Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ผู้วินิจฉัย 11:12-40

12 เยฟธาห์ใช้คนส่งข่าวไปถึงกษัตริย์ของชาวอัมโมนว่า “ท่านมีเรื่องอะไรกับข้าหรือ ถึงได้ยกมาต่อสู้กับแผ่นดินของข้า”

13 กษัตริย์ของชาวอัมโมนตอบคนส่งข่าวของเยฟธาห์ว่า “เพราะชาวอิสราเอลได้ยึดครองแผ่นดินของข้าทั้งหมดจากแม่น้ำอารโนน ถึงแม่น้ำยับบอก ถึงแม่น้ำจอร์แดน เมื่อพวกเขาออกมาจากอียิปต์ บัดนี้ขอท่านคืนเมืองเหล่านั้นให้กับข้าซะดีๆ” 14 (ดังนั้นผู้ส่งข่าวกลับมาหาเยฟธาห์[a]) เยฟธาห์จึงส่งคนส่งข่าวกลับไปหากษัตริย์ของชาวอัมโมนใหม่

15 เยฟธาห์แจ้งกับเขาว่า

“นี่คือสิ่งที่เยฟธาห์พูด ‘อิสราเอลไม่ได้ยึดแผ่นดินโมอับหรือแผ่นดินของชาวอัมโมน 16 เมื่อพวกอิสราเอลออกจากอียิปต์ พวกเขาได้เข้าไปในถิ่นทุรกันดารถึงทะเลแดงและมาถึงคาเดช 17 แล้วชาวอิสราเอลจึงใช้คนส่งข่าวไปยังกษัตริย์เอโดมว่า “โปรดอนุญาตให้เราผ่านแผ่นดินของท่านด้วยเถิด” แต่กษัตริย์เอโดมไม่ยอมและชาวอิสราเอลก็ได้ใช้คนส่งข่าวไปถึงกษัตริย์โมอับด้วย แต่เขาก็ไม่ยอมเหมือนกัน อิสราเอลก็เลยต้องอาศัยอยู่ที่คาเดช

18 จากนั้นชาวอิสราเอลได้เดินทางในถิ่นทุรกันดารและอ้อมแผ่นดินเอโดม และแผ่นดินโมอับ พวกเขามาทางตะวันออกของแผ่นดินโมอับ และตั้งค่ายบนฝั่งแม่น้ำอารโนน พวกเขาไม่ได้เข้าไปในเขตแดนของโมอับ เพราะมีแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ

19 ชาวอิสราเอลจึงใช้คนส่งข่าวไปถึงกษัตริย์สิโหนของคนอาโมไรต์ ผู้ครองเมืองเฮชโบนและแจ้งกับเขาว่า “โปรดอนุญาตให้เราผ่านแผ่นดินของท่านด้วยเถิด” 20 แต่สิโหนไม่ไว้ใจที่จะให้อิสราเอลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเขา ดังนั้นเขาจึงรวบรวมประชาชนตั้งค่ายที่ยาฮาสสู้รบกับอิสราเอล

21 พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลได้มอบสิโหนและทหารทั้งหมดไว้ในมือของอิสราเอล แล้วพวกเขาก็พ่ายแพ้ ดังนั้นอิสราเอลจึงยึดครองแผ่นดินทั้งหมดที่ชาวอาโมไรต์อาศัยอยู่นั้น 22 พวกเขายึดเขตแดนทั้งหมดของอาโมไรต์ ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนไปจนถึงแม่น้ำยับบอก และตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารไปจนถึงแม่น้ำจอร์แดน

23 ในเมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลได้ขับไล่ชาวอาโมไรต์ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอลคนของพระองค์ แล้วท่านจะมาขับไล่ชาวอิสราเอลเพื่อยึดครองแทนหรือ 24 แน่นอนว่าท่านจะต้องครอบครองดินแดนที่พระเคโมชพระเจ้าของท่านมอบให้กับท่านแน่ อย่างนั้นพวกเราก็จะครอบครองดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ยึดมาให้กับพวกเราเหมือนกัน

25 ตัวท่านจะดีกว่ากษัตริย์บาลาคลูกชายศิปโปร์[b]แห่งเมืองโมอับหรือ กษัตริย์องค์นั้นเคยโต้แย้งหรือเคยสู้รบกับชาวอิสราเอลอย่างนั้นหรือ 26 เมื่ออิสราเอลอาศัยอยู่ในเมืองเฮชโบนและชนบทของเมืองนั้น รวมทั้งเมืองอาโรเออร์และชนบทของเมืองนั้น และเมืองต่างๆที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำอารโนนถึงสามร้อยปี ทำไมท่านไม่ยึดคืนเสียในเวลานั้น

27 ข้าไม่ได้ทำบาปต่อท่าน แต่ท่านได้ทำผิดกับข้า โดยการทำสงครามกับข้า ขอให้พระยาห์เวห์ พระผู้พิพากษาได้ตัดสินวันนี้ เรื่องระหว่างชาวอิสราเอลกับชาวอัมโมนด้วยเถิด’”

28 แต่กษัตริย์ของชาวอัมโมนไม่ฟังคำพูดของเยฟธาห์ที่เขาส่งไปให้

คำบนบานของเยฟธาห์

29 ดังนั้นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็มาอยู่กับเยฟธาห์ เขาจึงยกพลผ่านกิเลอาดและมนัสเสห์ ผ่านมิสปาห์ในกิเลอาด และบุกไปถึงแผ่นดินของอัมโมน

30 เยฟธาห์สาบานต่อพระเจ้าว่า “ถ้าพระองค์ยอมให้ชาวอัมโมนตกอยู่ในกำมือของข้าพเจ้า 31 เมื่อข้าพเจ้ากลับมาอย่างมีชัยจากอัมโมนนั้น ข้าพเจ้าจะยกสิ่งแรกที่ออกมาจากประตูบ้านข้าพเจ้าเพื่อมาพบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะถวายสิ่งนั้นให้กับพระยาห์เวห์เป็นเครื่องเผาบูชา”

32 แล้วเยฟธาห์ก็ยกไปสู้กับชาวอัมโมน และพระยาห์เวห์ก็มอบพวกอัมโมนไว้ในกำมือของเขา 33 เขาได้โจมตีพวกอัมโมน ตั้งแต่อาโรเออร์ ตลอดไปจนถึงเมืองมินนิท รวมยี่สิบเมือง และไกลไปจนถึงอาเบล-ครามิม ทำให้มีคนตายจำนวนมาก คนอัมโมนจึงอยู่ใต้การปกครองของอิสราเอล

34 เมื่อเยฟธาห์กลับมาที่บ้านในมิสปาห์ ลูกสาวเขาก็ออกมาต้อนรับด้วยการเล่นกลองรำมะนาและเต้นรำ นางเป็นลูกเพียงคนเดียวของเขา เขาไม่มีลูกชายหรือลูกสาวอื่นอีก 35 เมื่อเขาเห็นลูก เขาก็ฉีกเสื้อผ้าตัวเองและพูดว่า “ลูกพ่อ ลูกทำให้พ่อหมดแรง และลูกเป็นสาเหตุให้พ่อเดือดร้อน พ่อได้ให้คำมั่นสัญญาต่อพระยาห์เวห์และจะคืนคำไม่ได้”

36 เธอจึงพูดกับพ่อว่า “เมื่อพ่อสัญญาต่อพระยาห์เวห์ พ่อก็ทำกับลูกตามที่ได้สัญญาไว้เถอะ เพราะพระยาห์เวห์ช่วยกู้พ่อให้พ้นจากชาวอัมโมนพวกศัตรูของพ่อ”

37 เธอยังพูดต่อไปอีกว่า “แต่ขออย่างหนึ่ง ขอไว้ชีวิตลูกสักสองเดือน ปล่อยให้ลูกท่องไปบนภูเขาและร้องไห้กับพวกเพื่อนหญิงของลูก เพราะลูกจะไม่มีวันได้แต่งงาน”[c]

38 เขาจึงตอบว่า “ไปเถอะ” แล้วเขาก็ปล่อยให้นางไปสองเดือน เธอและเพื่อนๆก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนภูเขาเพราะเธอจะไม่มีวันได้แต่งงาน

39 เมื่อครบสองเดือนเธอก็กลับมาหาพ่อ และเขาก็ทำกับลูกสาวตามที่เขาได้สาบานไว้ ขณะนั้นลูกสาวเขายังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนไหนเลย และมันได้กลายเป็นธรรมเนียมในอิสราเอล 40 ที่พวกสาวๆในอิสราเอลจะออกไประลึกถึงเรื่องราวของลูกสาวเยฟธาห์ชาวกิเลอาดปีละสี่วัน

กิจการ 15

การประชุมในเมืองเยรูซาเล็ม

15 มีบางคนเดินทางมาจากแคว้นยูเดีย และได้มาสั่งสอนพวกพี่น้องว่า “ถ้าพวกคุณไม่ได้เข้าพิธีขลิบตามกฎของโมเสส พวกคุณก็จะไม่รอด” เปาโลและบารนาบัสไม่เห็นด้วยกับพวกเขา จึงเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ พี่น้องจึงแต่งตั้งเปาโล บารนาบัสกับบางคนในพวกเขาให้ไปหารือกับพวกศิษย์เอกของพระเยซูและพวกผู้นำอาวุโส ที่เมืองเยรูซาเล็มเกี่ยวกับปัญหานี้

หมู่ประชุมของพระเจ้าได้ส่งพวกนี้ออกเดินทางไป เมื่อผ่านแคว้นฟีนีเซียและแคว้นสะมาเรีย พวกเขาก็ได้เล่าเรื่องที่คนที่ไม่ใช่ยิวหันไปหาพระเจ้า ทำให้พี่น้องทุกคนดีใจมาก เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม ก็ได้รับการต้อนรับจากหมู่ประชุมของพระเจ้า จากพวกศิษย์เอกของพระเยซู และจากพวกผู้นำอาวุโส พวกเขาเล่าทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทำร่วมกับพวกเขา ศิษย์ของพระเยซูบางคน ที่เป็นพวกฟารีสียืนขึ้นพูดว่า “พวกคนที่ไม่ใช่ยิวจะต้องเข้าพิธีขลิบ และต้องทำตามกฎของโมเสสด้วย” พวกศิษย์เอกของพระเยซูและพวกผู้นำอาวุโส จึงได้ประชุมหารือกันเกี่ยวกับปัญหานี้ หลังจากโต้เถียงกันอยู่นาน เปโตรก็ยืนขึ้นพูดว่า “พี่น้องครับ คุณก็รู้อยู่ว่าก่อนหน้านี้พระเจ้าได้เลือกผมจากท่ามกลางพวกคุณให้ไปประกาศพระคำแห่งข่าวดีให้กับพวกคนที่ไม่ใช่ยิวฟัง เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อ พระเจ้าผู้รู้จิตใจของมนุษย์ดี ได้แสดงให้เห็นว่า พระองค์ยอมรับคนที่ไม่ใช่ยิว พระองค์ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์กับพวกเขาเหมือนที่ให้กับพวกเรา สำหรับพระเจ้าแล้ว เรากับพวกนั้น ไม่ได้แตกต่างกันเลย พระองค์ชำระจิตใจของพวกเขาด้วยความเชื่อเหมือนกัน 10 ถ้าอย่างนั้น พวกคุณลองดีกับพระเจ้าทำไม คือเอาแอก[a] ที่พวกเราหรือบรรพบุรุษของเราเอง ก็ยังแบกไม่ไหวไปสวมคอของพวกศิษย์ที่ไม่ใช่ยิว 11 แต่เราเชื่อว่า เรารอดโดยความเมตตากรุณาของพระเยซูผู้เป็นองค์เจ้าชีวิต และเราก็เชื่อว่าพวกคนที่ไม่ใช่ยิวก็รอดโดยวิธีนี้เหมือนกัน” 12 คนทั้งหมดจึงเริ่มเงียบ และตั้งใจฟังบารนาบัสและเปาโลเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์และสิ่งอัศจรรย์ทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทำผ่านพวกเขาในหมู่คนที่ไม่ใช่ยิว 13 เมื่อพวกเขาพูดจบ ยากอบก็พูดขึ้นว่า “พี่น้องทั้งหลาย ฟังผมหน่อย 14 ซีโมน[b] ได้เล่าให้พวกเราฟังว่า พระเจ้าได้แสดงความห่วงใยต่อคนที่ไม่ใช่ยิวอย่างไรในครั้งแรก ก็ด้วยการเลือกเอาคนไม่ใช่ยิวบางคนมาเป็นชนชาติของพระองค์ 15 ซึ่งตรงกับที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าได้เขียนไว้

16 ‘หลังจากนี้เราจะกลับมา
    และเราจะสร้างบ้านของดาวิดที่พังทลายลงขึ้นมาใหม่
เราจะซ่อมแซมส่วนที่ปรักหักพัง
    เราจะตั้งมันขึ้นมาใหม่
17 ดังนั้นมนุษย์ที่เหลือทุกคน
    รวมถึงคนที่ไม่ใช่ยิวทุกคนที่เราได้เรียกให้มาเป็นของเรา
ก็จะแสวงหาเรา องค์เจ้าชีวิต
    นี่เป็นคำพูดขององค์เจ้าชีวิตผู้ทำสิ่งเหล่านี้[c]

18 ซึ่งเป็นที่รู้กันมาตั้งนานแล้ว’[d]

19 ดังนั้นผมขอตัดสินว่า เราควรเลิกสร้างปัญหาให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวเหล่านั้น ที่กำลังหันมาหาพระเจ้า 20 แต่เราควรจะเขียนจดหมายไปบอกพวกเขาว่า

อย่ากินอาหารที่สกปรกในสายตาพระเจ้า เพราะเคยเอาไปเซ่นไหว้รูปเคารพ

อย่าทำผิดบาปทางเพศ[e]

อย่ากินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอ

และอย่ากินเลือด

21 เพราะกฎพวกนี้ของโมเสส ก็ได้สั่งสอนกันอยู่แล้วในทุกๆเมือง ตั้งแต่สมัยโบราณและยังคงอ่านกันอยู่ในที่ประชุมชาวยิวทุกๆวันหยุดทางศาสนา”

จดหมายถึงผู้เชื่อที่ไม่ใช่ยิว

22 แล้วพวกศิษย์เอกของพระเยซู พวกผู้นำอาวุโส และหมู่ประชุมของพระเจ้าทั้งหมด ตัดสินใจเลือกผู้ชายบางคนในกลุ่มพวกเขาให้เดินทางไปที่เมืองอันทิโอกกับเปาโลและบารนาบัส พวกเขาเลือกยูดาสที่คนเรียกว่าบารซับบาสและสิลาส ผู้นำสองคนในหมู่พี่น้อง 23 พวกเขาฝากจดหมายไปกับสองคนนี้ด้วย ในจดหมายเขียนว่า

จากพวกศิษย์เอกของพระเยซู และพวกผู้นำอาวุโส ผู้เป็นพี่น้องของคุณ

สวัสดีพี่น้องที่ไม่ใช่ยิวในเมืองอันทิโอก ซีเรียและซิลีเซีย

24 เนื่องจากเราได้ยินว่า มีบางคนจากที่นี่ได้มาหาพวกคุณ และพูดบางอย่างที่สร้างปัญหาให้กับคุณ ทำให้คุณวุ่นวายใจ แต่เราไม่ได้ส่งพวกเขามา 25 พวกเราทั้งหมดจึงได้ตกลงใจที่จะเลือกผู้ชายบางคน เพื่อส่งมาหาคุณ พร้อมกับบารนาบัสและเปาโลคนที่เรารัก 26 ที่เสี่ยงชีวิตเพื่อพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์และองค์เจ้าชีวิตของเรา 27 ดังนั้นเราจึงส่งยูดาสและสิลาสมา พวกเขาจะมาเล่าเองยืนยันถึงสิ่งต่างๆที่เราได้เขียนมา 28 ทั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์และพวกเราเห็นดีด้วยกันว่าจะไม่วางภาระอะไรให้กับพวกคุณเลย นอกจากสิ่งที่จำเป็นพวกนี้ คือ

29 คุณควรหลีกเลี่ยงจากการกินเครื่องเซ่นไหว้รูปเคารพ

อย่ากินเลือด อย่ากินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย

อย่าทำบาปทางเพศ

ถ้าพวกคุณอยู่ห่างเสียจากสิ่งพวกนี้ พวกคุณก็ทำดีแล้ว ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข

30 แล้วหมู่ประชุมของพระเจ้าก็ส่งบารนาบัส เปาโล ยูดาส และสิลาส ไปเมืองอันทิโอก พวกเขาได้เรียกหมู่ประชุมของพระเจ้ามาประชุมกัน และให้จดหมายนั้นกับพวกเขา 31 เมื่อได้อ่านจดหมายแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกพอใจและมีกำลังใจ 32 ยูดาสและสิลาส ที่เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าด้วย ก็พูดกับพวกพี่น้องเป็นเวลานาน ให้กำลังใจและช่วยให้พวกเขามีความเชื่อมากขึ้น 33 หลังจากที่ยูดาสและสิลาสอยู่ที่นั่นสักพักหนึ่ง ก็ถึงเวลาที่จะกลับไปหาพี่น้องที่ส่งพวกเขามา พี่น้องที่เมืองอันทิโอกก็ได้อวยพรให้เขาเดินทางกลับไปด้วยความปลอดภัย 34 [f]

35 แต่เปาโลและบารนาบัสยังอยู่ในเมืองอันทิโอก ได้สั่งสอนและประกาศพระคำขององค์เจ้าชีวิตเป็นข่าวดีร่วมกับคนอื่นๆอีกหลายคน

เปาโลและบารนาบัสแยกกันทำงาน

36 เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง เปาโลพูดกับบารนาบัสว่า “ให้เรากลับไปเยี่ยมพี่น้องในเมืองต่างๆที่เราเคยไปประกาศพระคำขององค์เจ้าชีวิตไว้กันเถอะ ไปดูสิว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง” 37 บารนาบัสอยากจะพายอห์นที่คนเรียกว่ามาระโกไปด้วย 38 แต่เปาโลคิดว่าทางที่ดีไม่ควรพายอห์นไป เพราะยอห์นเคยทิ้งพวกเขาไปตอนที่อยู่เมืองปัมฟีเลีย และไม่ยอมช่วยงานต่อ 39 ทำให้เปาโลกับบารนาบัส ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจนถึงขั้นต้องแยกทางกัน บารนาบัสจึงพามาระโก นั่งเรือไปเกาะไซปรัส 40 ส่วนเปาโลเลือกสิลาส แล้วก็ไปจากเมืองนี้หลังจากที่พี่น้องฝากเปาโลไว้ให้องค์เจ้าชีวิตดูแลแล้ว 41 เปาโลเดินทางไปทั่วแคว้นซีเรียและแคว้นซิลีเซีย เพื่อช่วยหมู่ประชุมต่างๆของพระเจ้าให้เข้มแข็งขึ้นในความเชื่อ

เยเรมียาห์ 24

ลูกมะเดื่อดีกับลูกมะเดื่อเสีย

24 พระยาห์เวห์ให้ผมดูตะกร้ามะเดื่อสองใบที่วางอยู่ตรงหน้าวิหารของพระองค์ หลังจากที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนได้เนรเทศเยโคนิยาห์ลูกของกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ออกไปจากเยรูซาเล็มไปอยู่ที่บาบิโลนแล้ว พร้อมกับพวกเจ้านายของยูดาห์และช่างฝีมือและช่างเหล็กจากเยรูซาเล็ม

ตะกร้าหนึ่งใส่มะเดื่อที่ดีที่สุดเอาไว้ เหมือนมะเดื่อที่เก็บครั้งแรก อีกตะกร้าหนึ่งใส่มะเดื่อที่เสีย จนคนไม่กล้ากิน เพราะมันเสียมาก

แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผมว่า “เยเรมียาห์ เจ้าเห็นอะไรบ้าง”

ผมก็ตอบว่า “มะเดื่อครับ มะเดื่อดีก็ดีเยี่ยมเลยครับ แต่มะเดื่อเสียก็เสียเอามากๆกินไม่ได้เลยเพราะพวกมันเสียมาก”

แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผมว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลพูด ‘เราถือว่ามะเดื่อที่ดีพวกนี้เป็นเหมือนคนยูดาห์ในส่วนที่ถูกขับไล่ไป คนพวกนี้คือพวกที่เราส่งออกจากแผ่นดินนี้ไปที่ดินแดนของพวกเคลเดีย เราจะเฝ้าดูพวกเขาเป็นอย่างดี และเราจะนำพวกเขากลับมาที่แผ่นดินนี้ เราจะสร้างพวกเขาขึ้นมาใหม่ และจะไม่ทำลายพวกเขา เราจะปลูกพวกเขาและไม่ถอนพวกเขาขึ้นมา เราจะให้พวกเขามีใจที่รู้จักเรา เพื่อจะได้รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ พวกเขาจะเป็นคนของเรา และเราก็จะเป็นพระเจ้าของพวกเขา เพราะพวกเขาจะกลับมาหาเราด้วยสิ้นสุดใจของพวกเขา’”

พระยาห์เวห์พูดว่า “ส่วนกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ พร้อมกับเจ้านายทั้งหลายของเขา และคนที่เหลือในเยรูซาเล็ม รวมทั้งคนที่เหลืออยู่ในดินแดนนี้ และคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ด้วย เราจะทำกับเขาเหมือนลูกมะเดื่อที่เสียจนกินไม่ได้เหล่านั้น เพราะมันเสียมากเหลือเกิน

เราจะทำให้พวกเขากลัวจนตัวสั่นและเจอกับสิ่งที่เลวร้ายไปทั่วอาณาจักรของโลกนี้ เราจะทำให้พวกเขาถูกต่อว่า ถูกกระทบกระเทียบ ถูกเยาะเย้ย และถูกแช่งด่าในดินแดนที่เราจะเนรเทศพวกเขาไป

10 เราจะนำสงคราม ความอดอยาก และโรคร้าย มาทำลายพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นจากแผ่นดินนี้ ที่เราได้ยกให้กับพวกเขาและบรรพบุรุษของพวกเขาไว้”

มาระโก 10

การหย่าร้าง

(มธ. 19:1-12)

10 แล้วพระเยซูก็ไปจากที่นั่น พระองค์เข้าไปที่แคว้นยูเดีย ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน มีชาวบ้านมากมายมาหาพระองค์ พระองค์ก็สั่งสอนเขาเหมือนเคย

มีฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์ โดยถามว่า “มันถูกกฎหรือเปล่าที่ผู้ชายจะหย่ากับภรรยา”

พระองค์ย้อนถามว่า “แล้วโมเสสสั่งว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”

พวกเขาตอบว่า “โมเสสยอมให้ผู้ชายเขียนใบหย่าให้กับภรรยา แล้วก็หย่าได้”

พระองค์จึงพูดว่า “ที่โมเสสเขียนอย่างนั้นให้ ก็เพราะจิตใจของพวกคุณมันดื้อด้าน แต่อันที่จริง ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว ‘พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง’[a] ผู้ชายถึงได้แยกจากพ่อแม่ไปอยู่ร่วมกันกับภรรยาของเขา แล้วทั้งสองก็กลายเป็นคนๆเดียวกัน[b] พวกเขาไม่ใช่สองคนอีกต่อไปแต่เป็นคนๆเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ผูกพันเข้าด้วยกันแล้วก็อย่าให้ใครมาแยกออกจากกันเลย”

10 เมื่อพวกเขาอยู่กันตามลำพังในบ้าน พวกศิษย์ก็ถามพระเยซูเกี่ยวกับเรื่องนี้ 11 พระองค์ตอบว่า “ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้ 12 และถ้าหญิงที่หย่ากับสามีแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่านางมีชู้เหมือนกัน”

พระเยซูทรงอวยพรเด็กเล็กๆ

(มธ. 19:13-15; ลก. 18:15-17)

13 ผู้คนต่างพาเด็กเล็กๆมาให้พระองค์แตะต้องตัว แต่พวกศิษย์ได้ต่อว่าพวกเขาไป 14 เมื่อพระองค์เห็นก็ไม่พอใจ จึงพูดกับพวกศิษย์ว่า “ปล่อยให้พวกเด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามพวกเขา เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนกับเด็กเล็กๆพวกนี้ 15 เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าคนไหนไม่ยอมรับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับที่เด็กเล็กๆพวกนี้ยอมรับ คนนั้นจะไม่ได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้าแน่ๆ” 16 แล้วพระองค์ก็โอบเด็กๆไว้ในอ้อมแขนและวางมืออวยพรให้กับพวกเขา

เศรษฐีหนุ่ม

(มธ. 19:16-30; ลก. 18:18-30)

17 ในขณะที่พระองค์เริ่มออกเดินทางนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ แล้วถามว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ผมจะต้องทำยังไงถึงจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไปครับ”

18 พระเยซูตอบว่า “คุณเรียกเราว่าผู้ประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐหรอก นอกจากพระเจ้าเท่านั้น 19 คุณก็รู้กฎปฏิบัติดีอยู่แล้วนี่ ที่ว่าอย่าฆ่าคน อย่ามีชู้ อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าโกง และให้เคารพนับถือพ่อแม่”[c]

20 คนหนุ่มคนนั้นก็ว่า “อาจารย์ครับ ผมรักษากฎทุกข้อนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”

21 พระเยซูมองเขาด้วยความรักและพูดว่า “แต่คุณยังขาดอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือให้ไปขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่คุณมี แล้วเอาเงินไปแจกจ่ายให้กับคนยากจน คุณก็จะมีทรัพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์ แล้วมาติดตามเรา”

22 เมื่อได้ยินพระเยซูพูดอย่างนี้ เขาก็เดินจากไปด้วยความเศร้า เพราะเขาร่ำรวยมาก

23 พระเยซูมองไปรอบๆและพูดกับพวกศิษย์ว่า “มันยากมากที่คนรวยจะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า”

24 พวกศิษย์ต่างก็งงที่ได้ยินพระองค์พูดอย่างนั้น แต่พระเยซูพูดต่อว่า “ลูกๆเอ๋ยรู้ไหมว่า อาณาจักรของพระเจ้านี่เข้ายากจริงๆ 25 จะให้อูฐลอดรูเข็ม ก็ยังจะง่ายกว่าที่จะให้คนรวยเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า”

26 พวกศิษย์ก็ยิ่งงงกันไปใหญ่และพูดกันเองว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะไปรอดได้”

27 พระเยซูมองดูพวกเขาแล้วพูดว่า “สำหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้เลย แต่สำหรับพระเจ้าก็เป็นไปได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า”

28 เปโตรพูดกับพระองค์ว่า “ดูสิครับ พวกเราได้สละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาติดตามอาจารย์”

29 พระเยซูพูดว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ได้สละบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง พ่อแม่ ลูกๆหรือไร่นาเพื่อมาติดตามเราและข่าวดีของเรา 30 คนๆนั้นจะได้รับผลตอบแทนคืนเป็นร้อยเท่าของสิ่งที่เขามีในโลกนี้ ทั้งบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง พ่อแม่ ลูกๆและไร่นา รวมถึงว่าพวกเขาจะต้องถูกกดขี่ข่มเหงด้วย แต่พวกเขาจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไปในโลกหน้าที่จะมาถึง 31 คนที่เป็นใหญ่เป็นโตที่สุดในตอนนี้จะกลายเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุด ส่วนคนที่ต่ำต้อยที่สุดในตอนนี้จะได้กลายเป็นใหญ่เป็นโตที่สุด”

พระเยซูพูดถึงความตายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

(มธ. 20:17-19; ลก. 18:31-34)

32 พวกเขามุ่งหน้าไปเมืองเยรูซาเล็ม พระเยซูเดินนำหน้า พวกศิษย์ต่างก็แปลกใจ ส่วนพวกที่ติดตามมาก็หวาดกลัว พระองค์พาศิษย์ทั้งสิบสองคนปลีกตัวออกมาข้างๆและเริ่มเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ให้พวกเขาฟังอีกครั้ง 33 พระองค์บอกว่า “ฟังนะ พวกเรากำลังจะขึ้นไปเมืองเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกจับส่งตัวไปให้พวกผู้นำนักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติ พวกเขาจะตัดสินประหารชีวิตเขา และพวกนั้นจะจับเขาส่งไปให้กับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว 34 แล้วพวกนั้นก็จะหัวเราะเยาะ ถ่มน้ำลายใส่ เฆี่ยนตี และในที่สุดก็จะฆ่าเขา แต่เขาก็จะฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สาม”

คำขอของยากอบกับยอห์น

(มธ. 20:20-28)

35 ยากอบและยอห์น ลูกของเศเบดีเข้ามาพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ช่วยพวกเราสักเรื่องได้ไหมครับ”

36 พระเยซูถามว่า “จะให้ทำอะไรล่ะ”

37 พวกเขาตอบว่า “พออาจารย์ได้รับเกียรติยศอันสูงส่งอย่างกษัตริย์แล้ว ขอให้เราได้นั่งข้างขวาอาจารย์คนหนึ่งและข้างซ้ายอีกคนหนึ่งนะครับ”

38 พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่รู้หรอกว่ากำลังขออะไรอยู่ พวกคุณจะดื่มจากจอก[d]ที่เราต้องดื่มนี้ได้หรือ ความทรมานนี้[e]ที่เราต้องรับ คุณจะรับได้หรือ”

39 พวกเขาตอบว่า “ได้ครับ” พระเยซูจึงพูดว่า “จริงอยู่ที่คุณจะดื่มจากจอกที่เราจะต้องดื่ม และคุณจะทนทุกข์ทรมานแบบเดียวกับที่เราจะต้องทน 40 แต่จะให้ใครนั่งทางขวาหรือทางซ้ายของเรานั้น เราไม่ได้เป็นคนเลือก พระเจ้าจะเป็นผู้เลือกเอง”

41 เมื่อศิษย์อีกสิบคนรู้เรื่องนี้ ก็โกรธยากอบและยอห์น 42 พระเยซูเลยเรียกพวกเขาเข้ามาหาและพูดว่า “พวกคุณก็รู้ว่ากษัตริย์ของพวกคนต่างชาติทำตัวเป็นเจ้าเป็นนายเหนือประชาชน และพวกข้าราชการระดับสูงก็ชอบใช้อำนาจต่อประชาชน 43 แต่ในพวกคุณมันจะไม่เป็นอย่างนั้น คนไหนที่อยากจะเป็นใหญ่ ก็ให้เขาเป็นผู้รับใช้พวกคุณ 44 และคนไหนอยากเป็นคนสำคัญที่สุด ก็ให้เขาเป็นทาสรับใช้ทุกคน 45 เพราะแม้แต่บุตรมนุษย์ ก็ยังไม่ได้มาเพื่อจะให้คนอื่นรับใช้ แต่มาเพื่อจะรับใช้คนอื่น และยอมสละชีวิตเพื่อปลดปล่อยให้คนมากมายเป็นอิสระ”

พระเยซูรักษาบารทิเมอัส

(มธ. 20:29-34; ลก. 18:35-43)

46 พระเยซูและพวกศิษย์เดินทางมาถึงเมืองเยริโค และในระหว่างที่พระองค์และพวกศิษย์กำลังเดินทางออกจากเมืองเยริโคพร้อมกับชาวบ้านนั้น ก็มีคนตาบอดคนหนึ่งชื่อบารทิเมอัสซึ่งเป็นลูกชายของทิเมอัส นั่งขอทานอยู่ริมถนน 47 เมื่อเขารู้ว่าเป็นพระเยซูชาวนาซาเร็ธ เขาก็ร้องตะโกนว่า “เยซู บุตรดาวิด สงสารผมด้วยครับ”

48 หลายคนตวาดให้เขาเงียบ แต่เขายิ่งตะโกนดังขึ้น “เยซูบุตรดาวิดสงสารผมด้วยครับ”

49 พระเยซูจึงหยุด และพูดว่า “เรียกเขามาสิ” พวกเขาก็เลยเรียกคนตาบอดนั้น และบอกเขาว่า “ดีใจได้แล้ว ลุกขึ้นสิ อาจารย์เรียกแกไปหาแล้ว” 50 คนตาบอดนั้นก็โยนเสื้อคลุมทิ้งไปข้างๆแล้วกระโดดลุกขึ้นมาหาพระเยซู

51 พระองค์ถามเขาว่า “อยากให้เราช่วยอะไร” คนตาบอดตอบว่า “ผมอยากมองเห็นครับอาจารย์”

52 พระเยซูจึงพูดว่า “ไปเถอะ ความเชื่อของคุณทำให้คุณหายแล้ว” เขาก็มองเห็นทันที และติดตามพระองค์ไป

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International