Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ผู้วินิจฉัย 7

เยรุบบาอัล (ซึ่งก็คือกิเดโอน) พร้อมกับทหารทั้งหมดที่อยู่กับเขา ก็ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และไปตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆกับตาน้ำฮาโรด ส่วนค่ายของชาวมีเดียนอยู่ทางเหนือของเขา อยู่ในหุบตรงตีนเขาโมเรห์ พระยาห์เวห์พูดกับกิเดโอนว่า “ทหารที่อยู่กับเจ้ามีมากเกินกว่าที่เราจะมอบชาวมีเดียนให้อยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา ไม่อย่างนั้น คนอิสราเอลจะยกตัวขึ้นต่อหน้าเรา และพูดว่า ‘เป็นมือข้าเอง ที่ช่วยกู้ข้าไว้’

ดังนั้นให้ประกาศอย่างนี้กับกองทัพว่า ‘ใครก็ตามที่กลัวจนตัวสั่น ก็ให้ไปจากภูเขากิเลอาด กลับบ้านไปในเช้ามืดวันพรุ่งนี้’” แล้วก็มีทหารสองหมื่นสองพันคนกลับบ้านไป เหลืออยู่หนึ่งหมื่นคน

แล้วพระยาห์เวห์พูดกับกิเดโอนว่า “ยังมีทหารมากเกินไป ให้นำพวกเขาลงไปที่น้ำ และเราจะแยกพวกเขาให้กับเจ้าที่นั่น เมื่อเราบอกว่า ‘คนนี้จะไปกับเจ้า’ เขาก็จะไปกับเจ้า แต่ถ้าคนไหนที่เราบอกว่า ‘คนนี้จะไม่ไปกับเจ้า’ เขาก็จะไม่ไป”

จากนั้นกิเดโอนก็นำพวกเขาลงไปที่น้ำ พระยาห์เวห์พูดกับเขาว่า “คนที่ใช้ลิ้นเลียน้ำเหมือนหมา ก็ให้เจ้าแยกออกมาไว้พวกหนึ่ง และคนที่คุกเข่าลงดื่มน้ำก็แยกไว้พวกหนึ่ง”

จำนวนคนที่ใช้มือวักน้ำขึ้นมาเลียมีทั้งหมดสามร้อยคน ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดคุกเข่าลงดื่มน้ำ พระยาห์เวห์จึงพูดกับกิเดโอนว่า “เราจะช่วยเหลือพวกเจ้าโดยใช้คนสามร้อยคนนี้ที่เลียน้ำ และเราจะมอบคนมีเดียนไว้ในเงื้อมมือของเจ้า ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดให้กลับบ้านไป”

ดังนั้นทหารสามร้อยคนนี้ก็ได้หิ้วเสบียงอาหารและถือแตรไว้ในมือ กิเดโอนสั่งชาวอิสราเอลคนอื่นที่เหลือให้กลับไปเต็นท์ของพวกเขา แต่เขาเก็บสามร้อยคนนี้ไว้กับเขา ค่ายของชาวมีเดียนอยู่ต่ำลงไปในหุบเขา ในคืนนั้นพระยาห์เวห์พูดกับเขาว่า “ลุกขึ้น ลงไปโจมตีค่ายเดี๋ยวนี้ เพราะเราได้มอบมันไว้ในมือของเจ้าแล้ว 10 แต่ถ้าเจ้ากลัว ก็อย่าเพิ่งลงไปโจมตีก็ได้ แต่ให้พาปูราห์คนรับใช้ของเจ้าลงไป 11 เจ้าจะได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน หลังจากนั้นเจ้าจะได้เกิดความกล้ามากขึ้น แล้วค่อยลงไปตีค่ายนั้น” ดังนั้นกิเดโอนและปูราห์คนรับใช้ของเขา ก็ลงไปที่ค่ายที่อยู่ด้านนอกสุดของทหารที่ติดอาวุธพวกนั้น

12 ชาวมีเดียน ชาวอามาเลค และคนตะวันออกนอนอยู่ตามหุบเขา มากมายเหมือนตั๊กแตน และอูฐของพวกเขาก็มีมากจนนับไม่ถ้วนเหมือนเม็ดทรายที่ชายฝั่ง 13 เมื่อกิเดโอนมาถึงค่าย ก็มีชายคนหนึ่งกำลังเล่าความฝันของเขาให้เพื่อนฟัง เขาเล่าว่า “ข้าฝันไปว่ามีขนมปังบาร์เลย์ก้อนใหญ่ กลิ้งเข้ามาในค่ายของมีเดียน และมันก็ชนเต็นท์จนล้มลงคว่ำพังทะลายไป”

14 เพื่อนของเขาก็ตอบว่า “เรื่องนี้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากจะเป็นดาบของกิเดโอนลูกชายโยอาชชาวอิสราเอล พระเจ้าได้มอบชาวมีเดียนและทั้งกองทัพให้อยู่ในกำมือของเขาแล้ว”

15 เมื่อกิเดโอนได้ยินพวกเขาเล่าความฝันและตีความหมายของมันแล้ว เขาก็กราบลงต่อพระเจ้า จากนั้นเขาก็กลับไปที่ค่ายของอิสราเอล และพูดว่า “ลุกขึ้น เพราะพระเจ้าได้มอบกองทัพของมีเดียนไว้ในกำมือของพวกท่านแล้ว”

16 เขาแบ่งคนสามร้อยคน ออกเป็นสามกลุ่ม และให้ทุกคนถือแตรและหม้อเปล่า แล้วเอาคบเพลิงไว้ด้านใน 17 เขาพูดกับพวกทหารว่า “ให้มองผมและทำตาม เมื่อผมเข้าไปถึงค่ายด้านนอกสุด ผมทำอะไรก็ให้ทำตามนั้น 18 เมื่อผมและคนทั้งหมดที่อยู่กับผมเป่าแตรขึ้น ก็ให้พวกท่านเป่าแตรรับล้อมรอบค่าย และร้องว่า สำหรับพระยาห์เวห์และกิเดโอน”

19 ดังนั้นกิเดโอนกับทหารหนึ่งร้อยคนที่อยู่กับเขา ก็ไปถึงด้านนอกสุดของค่าย เพิ่งเลยเที่ยงคืนไป เพิ่งเปลี่ยนเวรยาม 20 กิเดโอนและคนที่อยู่กับเขาก็เป่าแตร และทุบหม้อที่อยู่ในมือพวกเขาจนแตก และทั้งสามกลุ่มก็เป่าแตร และทุบหม้อจนแตก พวกเขาถือคบเพลิงในมือซ้ายและถือแตรที่เป่าในมือขวา และต่างก็ตะโกนว่า “ดาบสำหรับพระยาห์เวห์และกิเดโอน”

21 แต่ละคนต่างยืนประจำที่ของตนรอบค่าย และพวกทหารในค่ายทั้งหมดต่างก็กระโดดขึ้นมา แล้วร้องตะโกนวิ่งหนีไป 22 เมื่อคนของกิเดโอนเป่าแตรพร้อมๆกันทั้งสามร้อยอัน พระยาห์เวห์ก็ทำให้กองทัพของมีเดียนทั้งหมดเอาดาบฆ่าฟันกันเอง พวกทหารได้หนีไปไกลถึงเบธ-ชิทธาห์ ทางไปเมืองเศเรราห์ พวกเขาหนีไปไกลจนถึงพรมแดนของเมืองอาเบล-เมโฮลาห์ ที่อยู่ใกล้กับเมืองทับบาท

23 คนอิสราเอลจากเผ่านัฟทาลี เผ่าอาเชอร์ และเผ่ามนัสเสห์ ถูกเรียกให้ไล่ตามชาวมีเดียนไป 24 กิเดโอนส่งพวกผู้ส่งข่าวไปทั่วหุบเขาเอฟราอิม ไปแจ้งว่า “ลงมาโจมตีพวกมีเดียน และให้ยึดแหล่งน้ำจากพวกเขาไปไกลถึงเบธ-บาราห์และแม่น้ำจอร์แดน” ดังนั้นทหารของเอฟราอิมทั้งหมดถูกเรียกมา และพวกเขาก็ได้ยึดแหล่งน้ำต่างๆไปไกลถึงเบธ-บาราห์และแม่น้ำจอร์แดน

25 พวกเขาจับแม่ทัพของมีเดียนได้สองคน คือโอเรบและเศเอบ พวกเขาฆ่าโอเรบที่หินแห่งโอเรบ และฆ่าเศเอบที่บ่อย่ำองุ่นแห่งเศเอบ พวกเขายังคงไล่ตามพวกมีเดียนต่อไป และได้นำหัวของโอเรบและเศเอบข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาให้กิเดโอน

กิจการ 11

เปโตรกลับเมืองเยรูซาเล็ม

11 พวกศิษย์เอกและพวกพี่น้องที่อยู่ทั่วแคว้นยูเดียได้ยินว่า คนที่ไม่ใช่ยิวยอมรับพระคำของพระเจ้าด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อเปโตรกลับมาที่เมืองเยรูซาเล็ม ชาวยิวก็พากันต่อว่าเขา ว่า “คุณเข้าไปในบ้านของพวกที่ไม่ได้เข้าพิธีขลิบ และยังกินอาหารร่วมกับพวกเขาด้วย”

เปโตรจึงเริ่มอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังว่า “ตอนที่ผมกำลังอธิษฐานอยู่ที่เมืองยัฟฟานั้น ผมเคลิ้มไปและได้เห็นนิมิต มีสิ่งที่ดูเหมือนกับผ้าผืนใหญ่ลอยลงมา ผ้าผืนนั้นถูกยึดไว้ทั้งสี่มุมหย่อนลงมาหาผมจากฟ้า ผมจ้องเข้าไปในผ้าผืนนั้นอย่างจดจ่อ ก็เห็นสัตว์บกสี่เท้า สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลานและพวกนกต่างๆ แล้วผมก็ได้ยินเสียงพูดว่า ‘ลุกขึ้นเปโตร ฆ่าสัตว์พวกนี้กินสิ’ แต่ผมตอบว่า ‘ไม่ได้หรอกองค์เจ้าชีวิต ผมไม่เคยกินของต้องห้ามหรือแปดเปื้อนตามกฎของโมเสส อย่างสัตว์พวกนี้เลย’ มีเสียงพูดจากท้องฟ้าเป็นครั้งที่สองว่า ‘สิ่งที่พระเจ้าทำให้สะอาดแล้ว เจ้าไม่ควรถือว่าไม่สะอาด’ 10 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแบบเดียวกันถึงสามครั้ง แล้วทุกอย่างก็ถูกดึงกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า 11 ทันใดนั้นก็มีคนสามคนมาถึงบ้านที่ผมอยู่ พวกเขาถูกส่งมาจากเมืองซีซารียาเพื่อมาหาผม 12 พระวิญญาณบอกให้ผมไปกับพวกเขาโดยไม่ต้องลังเล พี่น้องทั้งหกคนนี้จึงไปกับผมด้วย และพวกเราเข้าไปในบ้านของโครเนลิอัส 13 โครเนลิอัสบอกพวกเราว่า เขาได้เห็นทูตสวรรค์ยืนอยู่ในบ้านของเขาและพูดว่า ‘ให้ส่งคนไปที่เมืองยัฟฟา ไปพาซีโมนที่คนเรียกว่าเปโตรมา 14 เขาจะบอกข่าวสารที่จะทำให้ท่านและสมาชิกในครอบครัวของท่านได้รับความรอด’ 15 เมื่อผมเริ่มพูด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ลงมาบนพวกเขา เหมือนกับที่มาหาพวกเราในตอนเริ่มต้น[a] 16 ทำให้ผมคิดได้ถึงสิ่งที่องค์เจ้าชีวิตพูดไว้ว่า ‘ยอห์นได้ทำพิธีจุ่มด้วยน้ำ แต่พวกเจ้าจะได้เข้าพิธีจุ่มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 17 ดังนั้นถ้าพระเจ้าให้ของขวัญกับพวกเขาแบบเดียวกับที่พระองค์ให้กับพวกเราตอนที่พวกเราไว้วางใจในพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์และองค์เจ้าชีวิตแล้วละก็ ผมเป็นใครล่ะ ที่จะไปขัดขวางพระเจ้า”

18 เมื่อพวกชาวยิวที่ไว้วางใจในพระเยซูได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็เลิกต่อว่าเปโตร แล้วต่างสรรเสริญพระเจ้าว่า “ถ้าอย่างนั้น พระเจ้าก็ได้ให้โอกาส แม้แต่คนที่ไม่ใช่ยิว ที่จะกลับตัวกลับใจเสียใหม่เพื่อจะได้มีชีวิตรอดด้วย”

ข่าวดีมาถึงเมืองอันทิโอก

19 พวกที่ไว้วางใจในพระเยซูที่ได้กระจัดกระจายไปในช่วงที่มีการข่มเหงเกิดขึ้นหลังจากที่สเทเฟนตาย ต่างก็พากันไปไกลถึงดินแดนฟีนีเซีย เกาะไซปรัสและเมืองอันทิโอก พวกนี้ได้ไปประกาศพระคำของพระเจ้าให้แต่เฉพาะคนยิวเท่านั้น 20 บางคนในพวกที่เชื่อนี้ ก็มาจากเกาะไซปรัสและไซรีน และเมื่อพวกเขามาถึงเมืองอันทิโอก พวกเขาก็เริ่มประกาศข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าให้กับคนกรีกด้วย 21 พวกเขาเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจขององค์เจ้าชีวิต ทำให้มีคนมาเชื่อและหันกลับมาหาองค์เจ้าชีวิตเป็นจำนวนมาก 22 เมื่อหมู่ประชุมของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็มรู้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ได้ส่งบารนาบัสมาที่เมืองอันทิโอก 23 เมื่อบารนาบัสมาถึง และเห็นว่าพระเจ้าได้อวยพรคนที่นั่นขนาดไหน เขาก็ดีใจและให้กำลังใจกับคนที่เชื่อในพระเยซูทุกๆคนที่เมืองอันทิโอก และบอกให้รักษาความเชื่อที่มีต่อองค์เจ้าชีวิตอย่างสุดหัวใจ 24 บารนาบัสเป็นคนดี เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และมีความเชื่อที่เข้มแข็ง แล้วมีคนมากมายได้มาเชื่อในองค์เจ้าชีวิต

25 จากนั้นบารนาบัสไปหาเซาโลที่เมืองทาร์ซัส 26 เมื่อพบเซาโลแล้ว เขาพาเซาโลไปที่เมืองอันทิโอก และทั้งสองคนร่วมประชุมอยู่กับหมู่ประชุมของพระเจ้าในเมืองอันทิโอกเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม พวกเขาสั่งสอนคนเป็นจำนวนมาก และที่เมืองอันทิโอกนี่เองที่พวกศิษย์ของพระเยซูได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนครั้งแรก

27 ในช่วงนี้ มีผู้พูดแทนพระเจ้าบางคนเดินทางจากเมืองเยรูซาเล็มมาที่เมืองอันทิโอก 28 คนหนึ่งในนั้นชื่อว่าอากาบัส ได้ยืนทำนายผ่านทางพระวิญญาณว่า จะเกิดการกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วโลก (ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นในสมัยของจักรพรรดิคลาวดิอัส[b]) 29 ดังนั้นศิษย์แต่ละคนจึงได้ตกลงกันที่จะส่งความช่วยเหลือไปให้กับพี่น้องที่อาศัยในแคว้นยูเดียมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 30 พวกเขาได้ทำตามที่ตกลงกัน และฝากของเหล่านั้นไปกับบารนาบัสและเซาโล เพื่อเอาไปให้ผู้นำอาวุโสของหมู่ประชุมของพระเจ้าที่นั่น

เยเรมียาห์ 20

เยเรมียาห์และปาชเฮอร์

20 แล้วปาชเฮอร์ ที่เป็นนักบวช ลูกชายของอิมเมอร์ ปาชเฮอร์เป็นหัวหน้าคนดูแลวิหารของพระยาห์เวห์ เมื่อเขาได้ยินเยเรมียาห์พูดแทนพระเจ้าถึงเรื่องต่างๆเหล่านี้ ปาชเฮอร์จึงตีเยเรมียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า แล้วจับเขาไปใส่ขื่อ ประจานที่ประตูเบนยามินด้านบนในเขตวิหารของพระยาห์เวห์นั้นเอง

วันต่อมาปาชเฮอร์ก็ปลดขื่อให้เยเรมียาห์ ปล่อยเขาไป แล้วเยเรมียาห์ก็พูดกับเขาว่า พระยาห์เวห์ไม่เรียกชื่อเจ้าว่าปาชเฮอร์อีกต่อไปแล้ว แต่พระองค์เรียกเจ้าว่า “ความหายนะทุกด้าน”

เพราะพระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะทำให้เจ้าเองได้รับความหายนะ รวมทั้งทุกคนที่เจ้ารัก และพวกเขาก็จะถูกศัตรูฆ่าฟัน และเจ้าจะเห็นมันกับตา เราจะให้ทุกคนในยูดาห์ตกอยู่ในเงื้อมมือของกษัตริย์บาบิโลน และเขาจะกวาดต้อนพวกเขาไปบาบิโลน และเอาดาบฆ่าฟันพวกเขา

และเราก็จะเอาทรัพย์สินทั้งหมดของเมืองนี้ ผลผลิตทั้งหมดที่เก็บเกี่ยวได้ ของมีค่าทั้งหลาย รวมทั้งทรัพย์สมบัติที่พวกกษัตริย์แห่งยูดาห์สะสมไว้ เราจะให้ของเหล่านี้ทั้งหมดไปกับพวกศัตรูของพวกเขา พวกบาบิโลนจะปล้นพวกเขา และจะกวาดต้อนพวกเขาไปบาบิโลน

ส่วนเจ้า ปาชเฮอร์และทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านของเจ้า จะต้องตกไปเป็นเชลย เจ้าจะต้องไปอยู่บาบิโลน เจ้าจะต้องตายที่นั่นและถูกฝังที่นั่น ทั้งเจ้า ทั้งคนที่เจ้ารัก รวมทั้งคนที่เจ้าได้ไปหลอกว่าเจ้าพูดแทนเรา”

เยเรมียาห์บ่นเป็นครั้งที่ห้า

พระยาห์เวห์เจ้าข้า พระองค์หลอกข้าพเจ้า
    และข้าพเจ้าก็ยอมให้ถูกหลอก
พระองค์แสดงความแข็งแกร่งให้ข้าพเจ้าเห็น
    และพระองค์ก็โค่นข้าพเจ้าลง
ข้าพเจ้ากลายเป็นเป้าแห่งการเยาะเย้ย
    ให้คนหัวเราะเยาะทั้งวัน
เพราะเมื่อไหร่ที่ข้าพเจ้าพูด ข้าพเจ้าต้องร้องออกมา
    ประกาศว่าความรุนแรงและการถูกทำลายกำลังมา
พระคำของพระองค์กลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนดูถูก
    และหัวเราะเยาะข้าพเจ้าทั้งวัน
แล้วข้าพเจ้าก็พูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว
    ข้าพเจ้าจะไม่พูดแทนพระเจ้าอีกต่อไป”
แต่มันกลับเป็นเหมือนไฟเผาไหม้อยู่ในใจของข้าพเจ้า
    เป็นเหมือนสิ่งที่อัดอั้นไว้ในกระดูกของข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าก็เหนื่อยล้าที่จะหยุดยั้งมันไว้
    และในที่สุดข้าพเจ้าก็ยั้งมันไม่อยู่
10 เพราะข้าพเจ้าได้ยินคนจำนวนมากนินทาข้าพเจ้า
    พวกเขาประกาศว่า “มีแต่ความหายนะทุกด้าน”
ประกาศไปเลย ใช่แล้ว ให้พวกเราประกาศไปเลย
    เพื่อนข้าพเจ้าแต่ละคนคอยจ้องดูข้าพเจ้า ว่าเมื่อไหร่ข้าพเจ้าจะสะดุดล้มพลาดไป
พวกเขาพูดว่า “บางทีไอ้หมอนั่นอาจจะถูกหลอกก็ได้
    แล้วเราก็จะได้เอาชนะมันและระบายความแค้นกับมัน”
11 พระยาห์เวห์อยู่กับข้าพเจ้าเหมือนนักรบที่น่าเกรงขาม
    ดังนั้น คนที่ไล่ล่าข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม
    และไม่สามารถเอาชนะข้าพเจ้าได้
พวกเขาจะอับอายขายหน้าเพราะไม่เข้าใจ
    พวกเขาจะต้องแบกความอับอายนั้นไว้ตลอดกาลจะไม่มีใครลืมความอับอายนั้น

12 ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ผู้พิจารณาว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
    และผู้รู้ถึงความคิดและความอยากของมนุษย์
ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์แก้แค้นคนพวกนั้นด้วยเถิด
    เพราะข้าพเจ้าได้ร้องเรียนต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
13 ร้องเพลงแด่พระยาห์เวห์
    สรรเสริญพระยาห์เวห์สิ
เพราะพระองค์ได้ช่วยชีวิตคนยากจน
    ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของคนที่ทำชั่วร้าย

เยเรมียาห์บ่นเป็นครั้งที่หก

14 ขอให้ถือว่าวันที่ผมเกิดมานั้นเป็นวันที่ถูกสาปแช่ง
    ขอให้ถือว่าวันที่แม่ผมคลอดผมมานั้นเป็นวันที่ถูกสาปแช่ง
    ขออย่าได้ถือว่ามันเป็นวันแห่งความสุขเลย
15 ชายคนที่ไปบอกข่าวกับพ่อของผมว่า
    “ลูกท่านเกิดมาเป็นผู้ชาย”
แล้วก็ทำให้พ่อดีอกดีใจยกใหญ่
    ขอให้ชายคนนั้นถูกสาปแช่ง
16 ขอให้ชายคนนั้นเป็นเหมือนเมืองต่างๆที่พระยาห์เวห์ทำลาย
    วอดวายอย่างไร้ปรานี
ขอให้เขาได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญในตอนเช้า
    และเสียงแตรเตือนว่ามีอันตรายเข้ามาใกล้ในตอนเที่ยง
17 ขอให้สิ่งเหล่านี้เกิดกับคนที่ไม่ได้ฆ่าผมตั้งแต่อยู่ในท้อง
    เพราะถ้าเขาได้ทำอย่างนั้น แม่ของผมก็จะเป็นสุสานของผม
    และแม่ก็จะท้องอยู่อย่างนั้นตลอดไป
18 ทำไมผมจะต้องเกิดออกมาจากท้องแม่
    เพื่อมาเจอกับปัญหาทุกข์ยากพวกนี้
    และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความอัปยศอดสู

มาระโก 6

พระเยซูกลับบ้าน

(มธ. 13:53-58; ลก. 4:16-30)

พระเยซูไปจากที่นั่นและกลับไปบ้านเดิม พวกศิษย์ก็ติดตามไปด้วย เมื่อถึงวันหยุดทางศาสนา พระองค์ก็สั่งสอนอยู่ในที่ประชุมของชาวยิว มีคนมากมายที่ทึ่งในคำสอนของพระองค์ และพูดกันว่า “เขาไปเอาความรู้แบบนี้มาจากไหน แล้วทำการอัศจรรย์เหล่านี้ได้ยังไง เขาเป็นแค่ช่างไม้ ลูกของมารีย์ พี่ชายของยากอบ โยเสส ยูดาส และซีโมน และพวกน้องสาวของเขาก็อยู่ในเมืองนี้กับพวกเราอีกด้วย” พวกเขาจึงขุ่นเคืองพระองค์

พระเยซูจึงพูดกับพวกเขาว่า “ผู้พูดแทนพระเจ้าได้รับเกียรติในทุกที่ ยกเว้นในบ้านเมือง ในหมู่ญาติพี่น้อง และในครอบครัวของตัวเอง” เมื่ออยู่ที่นั่น พระเยซูจึงไม่สามารถทำการอัศจรรย์ได้นอกจากวางมือรักษาคนป่วยไม่กี่คน พระองค์แปลกใจที่พวกเขาไม่มีความเชื่อในพระองค์ พระองค์จึงไปสอนที่หมู่บ้านใกล้เคียงแถวนั้นแทน

พระเยซูส่งศิษย์เอกสิบสองคนออกไป

(มธ. 10:1, 5-15; ลก. 9:1-6)

พระองค์เรียกศิษย์เอกทั้งสิบสองคนมา แล้วส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ๆพระองค์ทำให้พวกเขามีสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณชั่วทั้งหลาย และสั่งว่า “อย่าเอาอะไรติดตัวไปเลยนอกจากไม้เท้า ไม่ต้องเอาอาหาร ถุงย่ามหรือเงินติดตัวไป ให้ใส่รองเท้าได้แต่ไม่ต้องเอาเสื้อผ้าสำรองไป” 10 พระองค์พูดกับพวกเขาว่า “บ้านไหนที่ต้อนรับคุณ ก็ให้อยู่ที่บ้านนั้นตลอดจนกว่าจะจากเมืองนั้นไป 11 แต่ถ้าที่ไหนไม่ต้อนรับหรือไม่ฟังพวกคุณ ก็ให้ออกไปจากที่นั่น และให้สะบัดฝุ่นออกจากเท้า[a] ด้วย เพื่อเป็นการเตือนพวกเขา”

12 พวกศิษย์ของพระองค์ก็ออกไปสั่งสอน ให้ผู้คนกลับตัวกลับใจเสียใหม่ 13 พวกเขาขับผีชั่วออกไปหลายตน ทาน้ำมันมะกอกให้กับคนเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก และรักษาพวกเขาจนหาย

เฮโรดสั่งตัดหัวยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ

(มธ. 14:1-12; ลก. 9:7-9)

14 กษัตริย์เฮโรด[b] ได้ยินชื่อเสียงของพระเยซูเพราะคนพูดกันไปทั่ว บางคนพูดว่า “เขาต้องเป็นยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำที่ฟื้นขึ้นจากความตายแน่ๆถึงทำการอัศจรรย์พวกนี้ได้”

15 บางคนพูดว่า “เขาคือเอลียาห์” และบางคนพูดว่า “เขาคือผู้พูดแทนพระเจ้าเหมือนกับผู้พูดแทนพระเจ้าคนอื่นๆในสมัยโบราณนั้น”

16 เมื่อเฮโรดได้ยินเรื่องพวกนี้ พระองค์พูดว่า “ต้องเป็นยอห์น คนที่เราสั่งให้ตัดหัวฟื้นขึ้นจากตายแน่ๆ” 17 เพราะเฮโรดเองที่เป็นคนสั่งให้จับยอห์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของเฮโรด 18 เพราะยอห์นได้เตือนกษัตริย์เฮโรดบ่อยๆว่า “พระองค์ทำไม่ถูก ที่เอาภรรยาน้องชายมาเป็นภรรยาตัวเอง” 19 ทำให้เฮโรเดียสแค้นใจอยากจะฆ่ายอห์น แต่ก็ทำไม่ได้ 20 เพราะกษัตริย์เฮโรดกลัวยอห์น พระองค์รู้ว่ายอห์นเป็นคนที่ทำตามใจพระเจ้า และเป็นคนของพระเจ้าจริงๆ จึงปกป้องยอห์นไว้ ทุกครั้งที่เฮโรดฟังยอห์นสอนก็ลำบากใจ แต่ก็ยังชอบฟัง

21 แล้วโอกาสของนางเฮโรเดียสก็มาถึง เมื่อเฮโรดจัดงานวันเกิดของพระองค์ขึ้น พระองค์เชิญพวกข้าราชการชั้นสูง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญๆของแคว้นกาลิลีมาในงาน 22 ลูกสาวของนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ทำให้เฮโรดและบรรดาแขกเหรื่อถูกอกถูกใจมาก แล้วกษัตริย์เฮโรดจึงบอกกับหญิงสาวนี้ว่า “อยากได้รางวัลอะไรก็ขอมาเลย เราจะให้” 23 พระองค์ยังสัญญาอีกว่า “เราจะให้ทุกอย่างที่เจ้าขอ แม้กระทั่งครึ่งหนึ่งของอาณาจักรนี้”

24 เธอก็ออกไปถามแม่ว่า “แม่ หนูขออะไรดีคะ” แม่ตอบว่า “ขอหัวของยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำสิ”

25 แล้วเธอก็รีบวิ่งเข้าไปบอกกษัตริย์ว่า “ดิฉันขอหัวของยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำใส่ถาดมาให้ที่นี่ค่ะ”

26 กษัตริย์เฮโรดเสียใจมาก แต่เพราะเขาได้สาบานไว้แล้วต่อหน้าแขกเป็นจำนวนมาก เฮโรดจึงไม่กล้าที่จะผิดคำพูดกับเธอ 27 เฮโรดจึงสั่งให้เพชฌฆาตไปตัดหัวของยอห์นในคุกทันที 28 และเอาใส่ถาดมาให้กับเธอ แล้วเธอก็เอาไปให้แม่ของเธอ 29 เมื่อศิษย์ของยอห์นรู้เข้าก็พากันมารับร่างของยอห์นไปฝังไว้ในอุโมงค์

พระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคน

(มธ. 14:13-21; ลก. 9:10-17; ยน. 6:1-14)

30 พวกศิษย์ที่พระเยซูส่งออกไป ได้กลับมาหาพระองค์ และเล่าเรื่องทุกอย่างที่ได้ทำและสอนให้พระองค์ฟัง แล้วพระเยซูบอกพวกเขาว่า 31 “พวกเราไปหาที่เงียบๆพักผ่อนกันเถอะ” เพราะมีผู้คนเป็นจำนวนมากมาหาพระองค์ จนไม่มีเวลาแม้แต่จะกินอาหารกัน

32 พวกเขาจึงลงเรือไปยังที่เปลี่ยวเพื่ออยู่กันเฉพาะพวกเขา 33 แต่ก็มีคนจำนวนมากเห็นพวกเขาจากไปและจำเขาได้ จึงมีคนมากมายจากหมู่บ้านต่างๆรีบเดินตามไปที่นั่น และไปถึงก่อนพวกเขา 34 เมื่อพระองค์มาถึงฝั่งก็เห็นฝูงชนเป็นจำนวนมากรออยู่ก่อนแล้ว พระองค์รู้สึกสงสาร เพราะพวกเขาเหมือนฝูงแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายเรื่อง

35 เมื่อมันเริ่มเย็นมาก พวกศิษย์มาบอกพระองค์ว่า “ที่นี่เปลี่ยวมาก และนี่ก็เย็นมากแล้ว 36 ส่งพวกนี้กลับไปเถอะ พวกเขาจะได้เข้าไปตามชนบท ตามหมู่บ้านแถวๆนี้ และไปหาซื้ออะไรกินกัน”

37 แต่พระองค์กลับตอบว่า “พวกคุณหาอะไรให้พวกเขากินสิ” พวกเขาก็ตอบว่า “พวกเราต้องใช้ถึงสองร้อยเหรียญเงินทีเดียวนะครับ ถึงจะพอซื้ออาหารมาเลี้ยงคนพวกนี้”

38 พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “ไปดูสิว่าคุณมีขนมปังอยู่กี่ก้อน” เมื่อพวกเขารู้ก็กลับมาบอกว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวครับ”

39 พระองค์จึงสั่งให้พวกเขาไปจัดการให้ชาวบ้านนั่งกันเป็นกลุ่มๆบนพื้นที่มีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มแถวนั้น 40 พวกชาวบ้านนั่งกันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละหนึ่งร้อยบ้าง ห้าสิบบ้าง 41 แล้วพระองค์หยิบขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวขึ้นมา มองขึ้นไปบนสวรรค์ขอบคุณพระเจ้า แล้วหักขนมปังส่งให้กับพวกศิษย์ไปแจกชาวบ้าน และพระองค์แบ่งปลาสองตัวนั้นแจกพวกเขาทุกคนด้วย 42 ทุกคนกินกันจนอิ่ม 43 แล้วพวกศิษย์เก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้สิบสองเข่งเต็มๆ 44 นับเฉพาะผู้ชายที่มากินได้ถึงห้าพันคน

พระเยซูเดินบนทะเล

(มธ. 14:22-33; ยน. 6:16-21)

45 ทันทีหลังจากที่กินเสร็จ พระองค์ให้พวกศิษย์ลงเรือข้ามฟากไปก่อนล่วงหน้า ไปยังเมืองเบธไซดา ส่วนพระองค์ยังรอส่งชาวบ้านอยู่ 46 หลังจากชาวบ้านกลับหมดแล้วพระองค์ขึ้นไปอธิษฐานที่บนภูเขา

47 ในคืนนั้นเรือของพวกศิษย์ยังลอยอยู่กลางทะเลสาบ ส่วนพระองค์อยู่บนฝั่งเพียงคนเดียว 48 พระองค์เห็นพวกศิษย์กำลังพายเรืออยู่ด้วยความยากลำบากเพราะมีลมแรงมากต้านเรือไว้ ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้านั้นพระองค์เดินบนน้ำมาหาพวกเขา และทำท่าเหมือนจะเดินผ่านไป 49 เมื่อพวกศิษย์เห็นพระองค์เดินอยู่บนน้ำ ก็คิดว่าเป็นผี เลยร้องตะโกนกันลั่น 50 เพราะตกใจกลัวมาก แต่ในทันใดนั้น พระองค์ก็พูดกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องตกใจ เราเอง ไม่ต้องกลัว” 51 จากนั้นพระองค์ก็ขึ้นไปอยู่บนเรือกับพวกเขา แล้วลมก็สงบลง พวกเขาประหลาดใจมาก 52 เพราะพวกเขายังมีใจที่แข็งกระด้างอยู่ จึงยังไม่เข้าใจถึงการอัศจรรย์ที่พระองค์เพิ่งทำไปกับขนมปังห้าก้อนนั้น

พระเยซูรักษาคนไม่สบาย

(มธ. 14:34-36)

53 เมื่อข้ามฟากมาก็มาถึงฝั่งเมืองเยนเนซาเรท พวกศิษย์ก็ผูกเรือไว้ 54 พอลงจากเรือ ชาวบ้านก็จำพระองค์ได้ 55 พวกเขาวิ่งไปบอกคนอื่นๆทั่วบริเวณนั้น และหามคนป่วยใส่แคร่มาหาพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะอยู่ที่ไหนก็ตาม 56 ไม่ว่าพระองค์จะเข้าไปในหมู่บ้าน หรือในเมือง หรือในชนบท ชาวบ้านก็จะนำคนป่วยมาวางไว้ที่ตลาด และพวกคนป่วยต่างอ้อนวอนขอแค่แตะพู่ที่ชายเสื้อคลุมของพระองค์ และทุกคนที่ได้แตะก็หายกันหมด

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International