Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ผู้วินิจฉัย 1

เผ่ายูดาห์สู้กับคนคานาอัน

หลังจากโยชูวาตาย ชาวอิสราเอลได้ถามพระยาห์เวห์ว่า “ในพวกเราเผ่าไหนจะเป็นเผ่าแรกที่ขึ้นไปสู้รบกับชาวคานาอันหรือ” พระยาห์เวห์ตอบว่า “ให้ยูดาห์ขึ้นไปเป็นเผ่าแรก ดูสิ เราได้มอบแผ่นดินนั้นไว้ในมือของพวกเขาแล้ว”

ชาวเผ่ายูดาห์จึงไปพูดกับชาวเผ่าสิเมโอน พี่น้องของเขาว่า “ไปช่วยพวกเรารบกับชาวคานาอัน ในแผ่นดินที่ได้จัดสรรให้กับพวกเราด้วยเถิด แล้วพวกเราก็จะขึ้นไปช่วยพวกเจ้ารบในแผ่นดินที่ได้จัดสรรให้กับพวกเจ้าเหมือนกัน” แล้วชาวสิเมโอนก็ไปกับพวกเขา

แล้วยูดาห์ได้บุกขึ้นไป และพระยาห์เวห์ได้มอบชาวคานาอันและชาวเปริสซี ไว้ในมือของคนยูดาห์ พวกเขาได้ฆ่าพวกผู้ชายไปหนึ่งหมื่นคนที่เมืองเบเซก แล้วที่นั่นพวกเขาได้เจอกับอาโดนีเบเซก[a] ผู้เป็นเจ้าเมืองเบเซก และได้สู้รบกับเขา และได้ฆ่าคนคานาอันและคนเปริสซี

อาโดนีเบเซกหนีไป แต่พวกเขาได้ไล่ล่าตามไป จนจับตัวเขาไว้ได้ และตัดนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วหัวแม่เท้าของเขาทิ้ง อาโดนีเบเซก พูดว่า “มีกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ที่ถูกตัดนิ้วหัวแม่มือและนิ้วหัวแม่เท้า เก็บกินเศษอาหารอยู่ใต้โต๊ะของข้า ข้าได้ทำกับพวกเขายังไง พระเจ้าก็ได้ทำกับข้าอย่างนั้นเหมือนกัน” พวกเขาได้คุมตัวอาโดนีเบเซกไปที่เยรูซาเล็มและเขาก็ตายที่นั่น

ชนเผ่ายูดาห์เข้าโจมตีและยึดเมืองเยรูซาเล็มไว้ได้ พวกเขาใช้ดาบไล่ฆ่าฟันชาวเมืองเยรูซาเล็ม และเผาเมืองทิ้ง ต่อมาชนเผ่ายูดาห์ได้ลงไปสู้รบกับคนคานาอัน ที่อาศัยอยู่ในแถบเทือกเขาเนเกบ และแถบที่ลุ่มเชิงเขาฝั่งตะวันตก[b] 10 ชนเผ่ายูดาห์ได้ไปสู้รบกับชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเฮโบรน (เมืองเฮโบรนเดิมชื่อ คิริยาทอารบา) และพวกเขาได้รบชนะตระกูลเชชัย อาหิมาน และทัลมัย

คาเลบและลูกสาวของเขา

11 จากที่นั่น ชาวยูดาห์ได้บุกไปสู้รบกับชาวเมืองเดบีร์ (เมืองเดบีร์เดิมชื่อว่า เมืองคิริยาทเสเฟอร์) 12 คาเลบพูดว่า “ใครที่โจมตีเมืองคิริยาทเสเฟอร์และยึดมันไว้ได้ เราจะยกอัคสาห์ลูกสาวของเราให้เป็นเมียผู้นั้น”

13 โอทนีเอล ลูกชายเคนัส ตีเมืองนั้นได้ เคนัสเป็นน้องชายของคาเลบ คาเลบจึงยกอัคสาห์ลูกสาวของเขาให้เป็นเมียของโอทนีเอล 14 เมื่อนางอัคสาห์มาหาโอทนีเอล โอทนีเอลได้บอกให้นางขอที่นากับพ่อของนาง 15 เมื่อนางลงจากหลังลา คาเลบจึงถามนางว่า “ลูกมีอะไรให้พ่อช่วยหรือ”

นางจึงตอบว่า “ขอของขวัญให้กับลูกสักอย่างเถิด ไหนๆพ่อก็ให้ดินแดนแห้งแล้งแถบเนเกบกับลูกแล้ว ขอพวกตาน้ำให้กับลูกด้วยเถิด” คาเลบจึงยกตาน้ำที่อยู่ตอนบนกับตาน้ำที่อยู่ตอนล่างให้กับนาง

16 ลูกหลานของคนเคไนต์ (คนเคไนต์สืบเชื้อสายมาจากพ่อตาของโมเสส) ได้ขึ้นไปจากเมืองต้นปาล์มอินทผลัม[c] พร้อมกับชนเผ่ายูดาห์ พวกเขาเข้าไปถึงถิ่นทุรกันดารยูดาห์ที่อยู่ในเนเกบ ใกล้กับอาราด แล้วพวกเขาก็ได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่กับคนอามีลีไคที่นั่น 17 ชนเผ่ายูดาห์ได้ไปร่วมรบกับชนเผ่าสิเมโอนพี่น้องของเขา และพวกเขาก็ได้ฆ่าคนคานาอัน ที่อาศัยอยู่ในเมืองเศฟัท และทำลายเมืองนั้นอย่างราบคาบ เขาจึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่า “โฮรมาห์”[d]

18 ชนเผ่ายูดาห์ได้ยึดเมืองกาซา เมืองอัชเคโลนและเมืองเอโครน พร้อมกับอาณาเขตของสามเมืองนั้น 19 พระยาห์เวห์อยู่ด้วยกับชนเผ่ายูดาห์ และพวกเขาได้ยึดครองพื้นที่แถบเทือกเขาไว้ได้ แต่ไม่สามารถขับไล่ชาวเมืองที่อยู่ในหุบเขาออกไป เพราะพวกนั้นมีรถรบเหล็ก

20 คาเลบได้รับเมืองเฮโบรน ตามที่โมเสสได้สัญญาไว้ และเขาได้ขับไล่สามตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากอานาค[e]ออกไป

เผ่าเบนยามินในเยรูซาเล็ม

21 แต่ชนเผ่าเบนยามินไม่ได้ขับไล่ชาวเยบุสที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มออกไป ดังนั้นคนเยบุสจึงอยู่ร่วมกับคนเบนยามินในเยรูซาเล็มจนถึงทุกวันนี้

ลูกหลานโยเซฟยึดเบธเอล

22 ลูกหลานของโยเซฟได้ขึ้นไปต่อสู้กับเมืองเบธเอลด้วยเหมือนกัน และพระยาห์เวห์ได้อยู่กับพวกเขา 23 คนของโยเซฟได้ส่งคนสอดแนมเข้าไปในเมืองเบธเอล (เมืองนี้เดิมชื่อว่าลูส)

24 เมื่อพวกคนสอดแนมเห็นชายคนหนึ่งออกมาจากเมือง พวกเขาพูดกับชายคนนั้นว่า “บอกทางเข้าเมืองให้กับเราหน่อย และเราจะปรานีเจ้า” 25 ชายคนนั้นก็บอกทางเข้าเมืองให้ พวกคนสอดแนมก็เอาดาบฆ่าฟันคนในเมือง แต่เขาปล่อยชายคนที่บอกทางคนนั้นกับครอบครัวของเขาไป 26 ชายคนนั้นเข้าไปในดินแดนของชาวฮิตไทต์ และสร้างเมืองขึ้น เรียกว่า เมืองลูส และเมืองนั้นก็ยังมีชื่อว่าลูสมาจนถึงทุกวันนี้

คนตระกูลอื่นๆสู้รบกับคนคานาอัน

27 เผ่ามนัสเสห์ไม่ได้ขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเบธชาน เมืองทาอานาค เมืองโดร์ เมืองอิบเลอัม เมืองเมกิดโด และชนบทรอบๆเมืองเหล่านั้น เพราะคนคานาอันไม่ยอมออกไปจากแผ่นดินนั้น 28 เมื่อชาวอิสราเอลมีกำลังเข้มแข็งขึ้น พวกเขาก็ได้บังคับให้คนคานาอันทำงานอย่างทาส แต่ชาวอิสราเอลไม่ได้ไล่คนคานาอันออกไปให้หมด

29 ชนเผ่าเอฟราอิมก็ไม่ได้ขับไล่คนคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ออกไป แต่คนคานาอันและชนเผ่าเอฟราอิมต่างก็อยู่ร่วมกันในเมืองเกเซอร์ 30 ชนเผ่าเศบูลุนไม่ได้ขับไล่ชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองคิทโรนกับเมืองนาหะโลลออกไป แต่คนคานาอันกับคนเศบูลุนก็ยังอยู่ร่วมกัน แต่คนคานาอันก็ได้ถูกบังคับให้ทำงานอย่างทาส

31 ชนเผ่าอาเชอร์ก็ไม่ได้ขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองอัคโค เมืองไซดอน เมืองอัคลาบ เมืองอัคซีบ เมืองเฮลบาห์ เมืองอาฟิก และเมืองเรโหบ 32 คนเผ่าอาเชอร์ก็อยู่ร่วมกับคนคานาอันในแผ่นดินนั้น เพราะคนอาเชอร์ไม่ได้ขับไล่คนคานาอันออกไป

33 ชนเผ่านัฟทาลีก็ไม่ได้ขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเบธเชเมช หรือในเมืองเบธอานาทออกไป แต่คนเผ่านัฟทาลีก็อยู่ร่วมกันกับคนคานาอันในแผ่นดินนั้น แต่ชาวเมืองเบธเชเมชและเมืองเบธอานาทได้ถูกบังคับให้ทำงานอย่างทาสให้กับชนเผ่านัฟทาลี 34 คนอาโมไรต์ขับไล่คนเผ่าดานให้กลับไปที่แถบเทือกเขาและไม่ยอมให้พวกเขาลงมาที่หุบเขา

35 คนอาโมไรต์ยังคงอาศัยอยู่ที่ภูเขาเฮเรส ในเมืองอัยยาโลน และในเมืองชาอัลบิม แต่ลูกหลานของโยเซฟเข้มแข็งกว่า และพวกเขาได้บังคับให้คนอาโมไรต์ทำงานอย่างทาส 36 อาณาเขตของคนอาโมไรต์ เริ่มตั้งแต่ทางข้ามแมงป่องไปถึงเมืองเส-ลา และเรื่อยขึ้นไป

กิจการ 5

อานาเนียกับสัปฟีรา

มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินของตนผืนหนึ่ง แต่เขาแอบเก็บเงินเอาไว้บางส่วน และภรรยาของเขาก็เห็นด้วย จากนั้นเขาจึงนำเงินส่วนที่เหลือมาให้กับพวกศิษย์เอก เปโตรต่อว่าอานาเนียว่า “ทำไมคุณถึงยอมให้ซาตานครอบงำจิตใจคุณจนโกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเก็บเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายที่ดินเอาไว้เอง ที่ดินผืนนั้นก็เป็นของคุณอยู่แล้วก่อนที่คุณจะขายไม่ใช่หรือ และหลังจากที่ขายแล้ว เงินนั้นก็ยังอยู่ในอำนาจของคุณไม่ใช่หรือ แล้วทำไมคุณถึงคิดทำอย่างนี้ คุณกำลังโกหกพระเจ้า ไม่ได้โกหกพวกเราหรอก” เมื่ออานาเนียได้ยินอย่างนี้ก็ล้มลงขาดใจตาย คนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็ตกใจกลัวยิ่งนัก ชายหนุ่มหลายคนมาห่อศพของอานาเนียแล้วหามออกไปฝัง หลังจากนั้นอีกประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของอานาเนียซึ่งยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เดินเข้ามา เปโตรถามเธอว่า “บอกหน่อยว่า คุณขายที่ดินได้เงินเท่านี้หรือ” สัปฟีราตอบว่า “ใช่แล้วค่ะ”

แล้วเปโตรก็ต่อว่าเธอว่า “ทำไมคุณสองคนถึงได้สมคบกันลองดีกับพระวิญญาณขององค์เจ้าชีวิต ดูนั่นสิ คนพวกนั้นที่ไปฝังศพสามีคุณ ได้มาอยู่ที่หน้าประตูแล้ว และพวกเขาจะหามศพของคุณออกไปด้วยเหมือนกัน” 10 สัปฟีราก็ล้มลงตรงเท้าของเปโตร แล้วขาดใจตายทันที เมื่อชายหนุ่มพวกนั้นเดินเข้ามา ก็เห็นว่าเธอตายแล้ว พวกเขาจึงหามศพของเธอออกไปฝังไว้ข้างๆสามีของเธอ 11 ทั้งหมู่ประชุมของพระเจ้า และทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ ต่างก็เกิดความเกรงกลัวยิ่งนัก

ศิษย์เอกทำการอัศจรรย์

12 พวกศิษย์เอกได้ทำการอัศจรรย์ และปาฏิหาริย์หลายอย่างในหมู่ประชาชน และพวกคนที่เชื่อก็มาประชุมกันที่ระเบียงซาโลมอนอยู่เรื่อยๆ 13 คนอื่นๆไม่กล้าที่จะไปรวมกลุ่มกับพวกเขา แต่ก็เคารพนับถือพวกเขามาก 14 พระเจ้าได้เพิ่มจำนวนคนที่เชื่อมากขึ้นเรื่อยๆทั้งชายและหญิง ให้มาเป็นคนขององค์เจ้าชีวิต 15 ดังนั้นประชาชนต่างก็นำคนเจ็บป่วยมาวางบนแคร่หรือเสื่อแล้วนำไปไว้ข้างถนน เพื่อว่าเวลาที่เปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านอาจจะได้ทอดลงมาบนตัวของพวกเขาบ้าง 16 มีฝูงชนที่มาจากชานเมืองรอบๆเมืองเยรูซาเล็มด้วย พวกเขาต่างก็พาคนป่วยและคนที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากผีร้ายเข้าสิงมา ซึ่งพวกนี้ก็ได้รับการรักษาให้หายทุกคน

ผู้นำชาวยิวขัดขวางพวกศิษย์เอก

17 หัวหน้านักบวชสูงสุดและพรรคพวกของเขาทุกคน ซึ่งเป็นกลุ่มสะดูสี ก็โกรธแค้น และอิจฉา 18 พวกเขาจึงจับกุมพวกศิษย์เอกไปขังไว้ในคุก 19 แต่ในคืนนั้นเอง ทูตสวรรค์ขององค์เจ้าชีวิตได้มาเปิดประตูคุก แล้วพาพวกศิษย์เอกออกไป ทูตสวรรค์สั่งว่า 20 “ให้ไปยืนอยู่ในวิหาร พูดกับประชาชนถึงเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับชีวิตใหม่นี้” 21 เมื่อพวกศิษย์เอกได้ยินอย่างนั้น พอรุ่งเช้าพวกเขาก็เข้าไปในวิหาร และเริ่มสั่งสอนประชาชน เมื่อหัวหน้านักบวชสูงสุดและพรรคพวกของเขามาถึงวิหาร ก็เรียกประชุมสมาชิกสภา รวมทั้งสมาชิกผู้นำอาวุโสของอิสราเอลทั้งหมด และใช้เจ้าหน้าที่ไปคุมตัวพวกศิษย์เอกออกมาจากคุก 22 แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงคุก กลับไม่พบพวกศิษย์เอกอยู่ในนั้น พวกเขากลับมารายงานว่า 23 “พวกเราเห็นคุกปิดใส่กุญแจแน่นหนา และยามก็ยังเฝ้าอยู่ที่ประตู แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในนั้นเลย” 24 เมื่อหัวหน้ายามที่เฝ้าวิหาร และพวกหัวหน้านักบวชได้ยิน ก็งุนงงและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น 25 จากนั้นมีคนเข้ามารายงานว่า “พวกคนที่ท่านจับไปขังไว้ในคุกนั้น ตอนนี้กำลังยืนสั่งสอนประชาชนอยู่ในวิหาร” 26 จากนั้นหัวหน้ายามกับเจ้าหน้าที่ก็ออกไปนำตัวพวกศิษย์เอกกลับมา แต่ไม่ได้ใช้กำลังบังคับ เพราะกลัวประชาชนจะเอาหินขว้างพวกเขา

27 พวกเขานำตัวพวกศิษย์เอกเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าสภา แล้วหัวหน้านักบวชสูงสุดก็ถามพวกเขาว่า 28 “พวกเราสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดแล้วไม่ให้พูดถึงเยซูเวลาที่สั่งสอน แต่พวกแกก็ยังเผยแพร่คำสอนนี้ไปทั่วเมืองเยรูซาเล็ม แล้วยังโทษพวกเราว่าทำให้มันต้องตายอีกด้วย”

29 เปโตรและพวกศิษย์เอกคนอื่นๆก็ตอบว่า “พวกเราต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์ 30 พระเจ้าของบรรพบุรุษเราทำให้พระเยซู คนที่ท่านได้ตรึงที่ไม้กางเขนนั้นฟื้นขึ้นมาอีก 31 พระเจ้าได้ยกพระเยซูไว้ให้อยู่ที่ด้านขวาของพระองค์ ในฐานะเจ้าฟ้าชายและผู้ช่วยให้รอด เพื่อที่ชนชาติอิสราเอลจะได้กลับตัวกลับใจเสียใหม่ และได้รับการยกโทษจากความผิดบาปของเขาผ่านทางพระเยซู 32 พวกเราเป็นพยานในเรื่องนี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่พระเจ้ามอบให้กับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์ก็เป็นพยานด้วยเหมือนกัน”

33 เมื่อพวกสมาชิกในสภาได้ยินอย่างนั้น ก็โกรธแค้นมาก และต้องการฆ่าศิษย์เอกพวกนี้ 34 แต่มีสมาชิกสภาคนหนึ่ง เป็นฟาริสี ชื่อกามาลิเอล และเป็นครูสอนกฎปฏิบัติ เป็นคนที่ประชาชนทุกคนให้ความเคารพนับถือ ได้ลุกขึ้นยืนและสั่งให้พาพวกศิษย์เอกออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง 35 แล้วเขาก็พูดว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ระวังให้ดีในสิ่งที่คุณจะทำกับชายพวกนี้ 36 จำได้ไหม ตอนที่มีคนชื่อธุดาสโผล่มา แล้วอ้างว่าตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีคนติดตามเขาประมาณสี่ร้อยคน เมื่อเขาถูกฆ่า พวกศิษย์ของเขาก็กระจัดกระจายไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น 37 หลังจากธุดาสแล้วก็มียูดาสชาวกาลิลีโผล่มาอีก ในช่วงเวลาที่ทำสำมะโนครัว[a] เขาได้ชักจูงผู้คนให้ติดตามเขาไป แต่เขาก็ถูกฆ่าตายด้วย แล้วพวกศิษย์ของเขาก็กระจัดกระจายกันไป 38 ในครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมขอบอกให้พวกคุณอยู่ห่างจากคนพวกนี้ อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเลย เพราะถ้าแผนการหรืองานนี้ของพวกเขามาจากมนุษย์ มันก็จะล้มเหลวไปเอง 39 แต่ถ้าแผนการนี้มาจากพระเจ้าแล้วละก็ คุณไม่มีทางหยุดยั้งได้หรอก และคุณก็จะพบว่าตัวเองกำลังต่อสู้อยู่กับพระเจ้า” พวกเขาก็ยอมฟังคำแนะนำของกามาลิเอล

40 พวกเขาจึงเรียกพวกศิษย์เอกเข้ามาแล้วเฆี่ยนตี สั่งไม่ให้พูดเรื่องของพระเยซูอีก แล้วจึงปล่อยตัวไป 41 พวกศิษย์เอกออกจากสภามาด้วยความชื่นชมยินดี เพราะถือว่าการที่พวกเขาได้รับความอับอายจากการพูดเรื่องของพระเยซูนั้น เป็นเรื่องที่พระเจ้าให้เกียรติ 42 และพวกศิษย์เอกก็ไม่เคยหยุดสั่งสอนและประกาศข่าวดีว่าพระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ในวิหารและตามบ้านเรือนของผู้คนทุกๆวัน

เยเรมียาห์ 14

ภัยแล้งและผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอม

14 นี่คือคำพูดของพระยาห์เวห์ที่มาถึงเยเรมียาห์เกี่ยวกับภัยแล้งว่า

“ยูดาห์ร้องไห้เศร้าโศก
    ประตูเมืองต่างๆของเธอก็ทรุดโทรม
ความมืดปกคลุมแผ่นดิน
    และเสียงร้องไห้ขมขื่นของเยรูซาเล็มก็ดังขึ้น
พวกคนชั้นสูงส่งคนใช้ออกไปหาน้ำ
    พวกเขาไปที่แอ่งเก็บน้ำแต่ก็หาน้ำไม่ได้
ก็เลยกลับมาพร้อมกับเหยือกเปล่าๆ
    พวกเขาอับอายขายหน้าก็เลยคลุมหัวไว้
เพราะพื้นดินก็แตกระแหง
    เพราะไม่มีฝนตกลงมาบนแผ่นดิน
คนไถนาก็อับอาย
    จนต้องคลุมหัวไว้
แม้แต่แม่กวางในทุ่งโล่งออกลูกแล้วทิ้งลูกไป
    เพราะไม่มีหญ้าให้กิน
พวกลาป่ายืนอยู่บนยอดเนินเขาโล้นเตียน
    พวกมันหอบเหมือนพวกหมาไน
ดวงตาของพวกมันปิดลง
    เพราะไม่มีผักหญ้าจะให้กิน

พระยาห์เวห์เจ้าข้า
    ถ้าความผิดของพวกเราย้อนกลับมาสนองเราเอง
    โปรดทำอะไรสักอย่างเพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์เอง
เพราะเราเคยหันหลังให้พระองค์หลายต่อหลายครั้ง
    เราได้ทำบาปต่อพระองค์
พระยาห์เวห์เจ้าข้า พระองค์คือผู้ที่อิสราเอลกำลังรอคอย พระองค์คือความหวังของอิสราเอล
    และเป็นพระผู้ช่วยของเขาในยามยาก
แต่ทำไมพระองค์ถึงทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า
    หรือนักท่องเที่ยวที่ค้างแรมแค่คืนเดียว
ทำไมพระองค์ถึงทำเหมือนคนที่ประหลาดใจ
    ทำเหมือนนักรบที่ไม่สามารถช่วยคนที่เขามาช่วย
พระยาห์เวห์เจ้าข้า พระองค์อยู่ท่ามกลางพวกเราที่นี่
    คนเขาเรียกพวกเราด้วยชื่อของพระองค์ ขออย่าได้ทอดทิ้งพวกเรา”
10 พระยาห์เวห์พูดถึงคนพวกนี้ว่า
“มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า
    เท้าของพวกเขาชอบเดินไปเรื่อยและพวกเขาก็ไม่ควบคุมมันไว้
ดังนั้นตอนนี้พระยาห์เวห์จะไม่ยอมรับพวกเขา
    พระองค์จะจดจำความผิดที่พวกเขาได้ทำไป
    และพระองค์จะลงโทษพวกเขาสำหรับบาปต่างๆของพวกเขา”

11 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผมว่า “อย่าได้อธิษฐานเพื่อความสุขสบายของคนพวกนี้ 12 ถึงพวกเขาจะอดอาหาร เราก็จะไม่ฟังคำร้องขอให้ช่วยของพวกเขา ถึงพวกเขาจะถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาจากเมล็ดพืช เราก็จะไม่พอใจในพวกเขาอยู่ดี เพราะเราได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว ที่จะกำจัดพวกเขาด้วยดาบ ด้วยความหิวโหยและด้วยโรคภัยไข้เจ็บ”

13 แล้วผมก็พูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ เจ้านายของข้าพเจ้า พวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอมบอกกับคนพวกนั้นว่า ‘ไม่ต้องกลัวดาบและความอดอยาก มันจะไม่เกิดขึ้นกับพวกเจ้าหรอก เราพูดเพราะพระยาห์เวห์จะให้สันติสุขกับเจ้าอย่างแน่นอน’” 14 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผมว่า “พวกผู้พูดแทนพระเจ้านั้นอ้างว่าพูดแทนเรา แต่พวกมันโกหก เราไม่ได้ส่งพวกมันมา เราก็ไม่ได้สั่งพวกมันและเราก็ไม่ได้พูดกับพวกมันด้วย แต่พวกมันยังคงพูดแทนเราให้กับพวกเจ้า เป็นนิมิตโกหกและคำทำนายไร้สาระที่มาจากจิตใจที่หลอกลวงของพวกมัน 15 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงพูดว่า ผู้พูดแทนพระเจ้าพวกนี้ที่พูดในนามของเรา ทั้งๆที่เราไม่ได้ส่งพวกมันมา ที่พูดว่า ‘ดาบและความหิวโหยจะไม่เข้ามาในแผ่นดินนี้ พวกผู้พูดแทนพระเจ้านี้จะต้องตายด้วยดาบและความหิวโหย 16 ส่วนคนที่ฟังพวกมันก็จะต้องถูกโยนลงไปบนถนนของเยรูซาเล็มด้วยความอดอยากหิวโหยและตายด้วยดาบและจะไม่มีใครฝังศพให้พวกเขา เราจะลงโทษพวกผู้พูดแทนพระเจ้านี้ รวมทั้งเมีย ลูกชาย และลูกสาวของพวกมัน’

17 เยเรมียาห์ เอาคำพูดนี้ไปบอกกับยูดาห์ว่า
    ‘เราหลั่งน้ำตาทุกคืนวันไม่เคยหยุดหย่อน
เพราะการทำลายล้างอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นกับคนที่เรารัก
    เพราะเขามีแผลอันเจ็บปวดแสนสาหัส
18 ถ้าเราออกไปในทุ่ง
    เราก็จะเห็นคนบาดเจ็บเพราะดาบ
และถ้าเราเข้าไปในเมือง
    เราก็เห็นโรคร้ายต่างๆที่เกิดจากความอดอยาก
สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้น ก็เพราะว่า
    ทั้งพวกผู้พูดแทนพระเจ้าและนักบวชทำการค้าไปทั่วแผ่นดินแต่ขาดความรู้’”

19 ประชาชนพูดว่า “พระองค์ทอดทิ้งยูดาห์อย่างสิ้นเชิงแล้วหรือ
    พระองค์รังเกียจศิโยนมากขนาดนั้นเชียวหรือ
ทำไมพระองค์ถึงได้ทำร้ายเรา
    ในเวลาที่ไม่มีหมอจะรักษาพวกเรา
พวกเราเฝ้ารอสันติสุข
    แต่ไม่มีอะไรดีให้เห็นเลย
พวกเราเฝ้ารอเวลาที่พวกเราจะได้รับการรักษา
    กลับมีแต่เรื่องสยดสยองเกิดขึ้น
20 พระยาห์เวห์เจ้าข้า พวกเรารู้ว่าเราทำบาปอะไรบ้าง
    และรู้ว่าบรรพบุรุษของเราทำบาปอะไรเอาไว้
    พวกเรารู้ว่าพวกเราทำผิดบาปต่อพระองค์
21 ขออย่าได้ปฏิเสธพวกเราเลยเพื่อว่าชื่อเสียงของพระองค์จะได้แผ่ไพศาลขึ้น
    และอย่าทำให้บัลลังก์ของพระองค์เองต้องได้รับความอับอาย
    ได้โปรดระลึกถึงคำมั่นสัญญาที่พระองค์ได้ทำไว้กับเราและขออย่าได้ผิดคำสัญญาเลย
22 พวกเทพเจ้าจอมปลอมของชนชาติต่างๆทำให้ฝนตกได้หรือ
    ตัวท้องฟ้าเองจะทำให้ฝนตกได้หรือ
ไม่ใช่พระองค์หรอกหรือที่เป็นพระยาห์เวห์ของพวกเรา
    พวกเราพึ่งในพระองค์
    เพราะพระองค์เป็นผู้ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด”

มัทธิว 28

พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย

(มก. 16:1-8; ลก. 24:1-12; ยน. 20:1-10)

28 หลังจากวันหยุดทางศาสนาผ่านไป ตอนเช้าตรู่วันอาทิตย์ มารีย์ชาวเมืองมักดาลา และมารีย์อีกคนหนึ่งได้มาที่อุโมงค์ฝังศพ

ในขณะนั้นเอง เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เพราะทูตขององค์เจ้าชีวิตองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านไปที่อุโมงค์ฝังศพกลิ้งหินที่ปิดปากอุโมงค์ออกและนั่งบนหินก้อนนั้น ตัวของทูตสวรรค์สว่างจ้าเหมือนสายฟ้าแลบ เสื้อผ้าขาวเหมือนหิมะ เมื่อพวกทหารยามเห็นทูตสวรรค์ ก็กลัวจนตัวสั่นและล้มลงเหมือนคนตาย

ทูตสวรรค์ขององค์เจ้าชีวิตพูดกับหญิงสองคนนั้นว่า “ไม่ต้องกลัวหรอก ผมรู้ว่าพวกคุณมาหาพระเยซูที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะพระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายแล้วเหมือนกับที่พระองค์ได้พูดไว้ มาดูที่ที่เขาเคยวางร่างของพระองค์สิ รีบไปบอกพวกศิษย์ของพระองค์ว่า ‘พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว และพระองค์ล่วงหน้าไปที่แคว้นกาลิลีก่อนแล้ว พวกคุณจะพบพระองค์ที่นั่น’ นี่เป็นเรื่องที่เราเอามาบอกพวกคุณ”

ผู้หญิงทั้งสองคนรีบออกไปจากอุโมงค์ พวกเธอรู้สึกทั้งหวาดกลัวและดีใจ เขารีบวิ่งไปบอกศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้นพระเยซูก็มายืนอยู่ข้างหน้าหญิงสองคนนี้ พระองค์ทักว่า “สวัสดี” ทั้งสองคนจึงเข้ามากอดเท้าของพระองค์ไว้และก้มกราบพระองค์ 10 พระเยซูพูดกับหญิงทั้งสองคนว่า “ไม่ต้องกลัว ไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปที่แคว้นกาลิลีเถอะ พวกเขาจะพบเราที่นั่น”

ทหารยามรายงานพวกหัวหน้านักบวช

11 ขณะที่หญิงทั้งสองคนกำลังเดินทางไปนั้น ทหารยามบางส่วนเข้ามาในเมือง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พวกหัวหน้านักบวชฟัง 12 พวกหัวหน้านักบวชไปพบพวกผู้นำอาวุโสแล้ววางแผนกัน พวกเขาให้เงินพวกทหารยามจำนวนมาก 13 เขาสั่งว่า “พวกเจ้าจะต้องพูดว่า พวกศิษย์ของพระเยซูแอบมาตอนกลางคืน และขโมยศพพระเยซูไปตอนที่ทหารยามกำลังหลับอยู่ 14 ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเจ้าเมือง พวกข้าจะพูดกับเขาเอง เพื่อไม่ให้พวกเจ้าเดือดร้อน” 15 พวกทหารรับเงินไป และทำตามที่พวกเขาสั่ง ดังนั้นจึงมีข่าวลือเรื่องนี้ในหมู่ชาวยิวจนถึงทุกวันนี้

พระเยซูพูดกับศิษย์ของพระองค์

(มก. 16:14-18; ลก. 24:36-49; ยน. 20:19-23; กจ. 1:6-8)

16 พวกศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนเดินทางไปแคว้นกาลิลีเพื่อไปยังภูเขาที่พระเยซูบอกให้ไป 17 เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ก็ก้มลงกราบ แต่มีบางคนที่ยังสงสัยอยู่ 18 พระเยซูเข้ามาหาพวกเขา และพูดว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมด ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ได้มอบไว้กับเราแล้ว 19 ดังนั้นให้ออกไปทำให้คนทุกชาติมาเป็นศิษย์ของเรา ให้เขาเข้าพิธีจุ่มน้ำ เพื่อจะได้กลายเป็นของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนพวกเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราได้สั่งไว้ จำไว้ว่า เราจะอยู่กับพวกคุณเสมอ จนกว่าจะสิ้นยุค”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International