M’Cheyne Bible Reading Plan
เผ่ายูดาห์สู้กับคนคานาอัน
1 หลังจากโยชูวาตาย ชาวอิสราเอลได้ถามพระยาห์เวห์ว่า “ในพวกเราเผ่าไหนจะเป็นเผ่าแรกที่ขึ้นไปสู้รบกับชาวคานาอันหรือ” 2 พระยาห์เวห์ตอบว่า “ให้ยูดาห์ขึ้นไปเป็นเผ่าแรก ดูสิ เราได้มอบแผ่นดินนั้นไว้ในมือของพวกเขาแล้ว”
3 ชาวเผ่ายูดาห์จึงไปพูดกับชาวเผ่าสิเมโอน พี่น้องของเขาว่า “ไปช่วยพวกเรารบกับชาวคานาอัน ในแผ่นดินที่ได้จัดสรรให้กับพวกเราด้วยเถิด แล้วพวกเราก็จะขึ้นไปช่วยพวกเจ้ารบในแผ่นดินที่ได้จัดสรรให้กับพวกเจ้าเหมือนกัน” แล้วชาวสิเมโอนก็ไปกับพวกเขา
4 แล้วยูดาห์ได้บุกขึ้นไป และพระยาห์เวห์ได้มอบชาวคานาอันและชาวเปริสซี ไว้ในมือของคนยูดาห์ พวกเขาได้ฆ่าพวกผู้ชายไปหนึ่งหมื่นคนที่เมืองเบเซก 5 แล้วที่นั่นพวกเขาได้เจอกับอาโดนีเบเซก[a] ผู้เป็นเจ้าเมืองเบเซก และได้สู้รบกับเขา และได้ฆ่าคนคานาอันและคนเปริสซี
6 อาโดนีเบเซกหนีไป แต่พวกเขาได้ไล่ล่าตามไป จนจับตัวเขาไว้ได้ และตัดนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วหัวแม่เท้าของเขาทิ้ง 7 อาโดนีเบเซก พูดว่า “มีกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ที่ถูกตัดนิ้วหัวแม่มือและนิ้วหัวแม่เท้า เก็บกินเศษอาหารอยู่ใต้โต๊ะของข้า ข้าได้ทำกับพวกเขายังไง พระเจ้าก็ได้ทำกับข้าอย่างนั้นเหมือนกัน” พวกเขาได้คุมตัวอาโดนีเบเซกไปที่เยรูซาเล็มและเขาก็ตายที่นั่น
8 ชนเผ่ายูดาห์เข้าโจมตีและยึดเมืองเยรูซาเล็มไว้ได้ พวกเขาใช้ดาบไล่ฆ่าฟันชาวเมืองเยรูซาเล็ม และเผาเมืองทิ้ง 9 ต่อมาชนเผ่ายูดาห์ได้ลงไปสู้รบกับคนคานาอัน ที่อาศัยอยู่ในแถบเทือกเขาเนเกบ และแถบที่ลุ่มเชิงเขาฝั่งตะวันตก[b] 10 ชนเผ่ายูดาห์ได้ไปสู้รบกับชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเฮโบรน (เมืองเฮโบรนเดิมชื่อ คิริยาทอารบา) และพวกเขาได้รบชนะตระกูลเชชัย อาหิมาน และทัลมัย
คาเลบและลูกสาวของเขา
11 จากที่นั่น ชาวยูดาห์ได้บุกไปสู้รบกับชาวเมืองเดบีร์ (เมืองเดบีร์เดิมชื่อว่า เมืองคิริยาทเสเฟอร์) 12 คาเลบพูดว่า “ใครที่โจมตีเมืองคิริยาทเสเฟอร์และยึดมันไว้ได้ เราจะยกอัคสาห์ลูกสาวของเราให้เป็นเมียผู้นั้น”
13 โอทนีเอล ลูกชายเคนัส ตีเมืองนั้นได้ เคนัสเป็นน้องชายของคาเลบ คาเลบจึงยกอัคสาห์ลูกสาวของเขาให้เป็นเมียของโอทนีเอล 14 เมื่อนางอัคสาห์มาหาโอทนีเอล โอทนีเอลได้บอกให้นางขอที่นากับพ่อของนาง 15 เมื่อนางลงจากหลังลา คาเลบจึงถามนางว่า “ลูกมีอะไรให้พ่อช่วยหรือ”
นางจึงตอบว่า “ขอของขวัญให้กับลูกสักอย่างเถิด ไหนๆพ่อก็ให้ดินแดนแห้งแล้งแถบเนเกบกับลูกแล้ว ขอพวกตาน้ำให้กับลูกด้วยเถิด” คาเลบจึงยกตาน้ำที่อยู่ตอนบนกับตาน้ำที่อยู่ตอนล่างให้กับนาง
16 ลูกหลานของคนเคไนต์ (คนเคไนต์สืบเชื้อสายมาจากพ่อตาของโมเสส) ได้ขึ้นไปจากเมืองต้นปาล์มอินทผลัม[c] พร้อมกับชนเผ่ายูดาห์ พวกเขาเข้าไปถึงถิ่นทุรกันดารยูดาห์ที่อยู่ในเนเกบ ใกล้กับอาราด แล้วพวกเขาก็ได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่กับคนอามีลีไคที่นั่น 17 ชนเผ่ายูดาห์ได้ไปร่วมรบกับชนเผ่าสิเมโอนพี่น้องของเขา และพวกเขาก็ได้ฆ่าคนคานาอัน ที่อาศัยอยู่ในเมืองเศฟัท และทำลายเมืองนั้นอย่างราบคาบ เขาจึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่า “โฮรมาห์”[d]
18 ชนเผ่ายูดาห์ได้ยึดเมืองกาซา เมืองอัชเคโลนและเมืองเอโครน พร้อมกับอาณาเขตของสามเมืองนั้น 19 พระยาห์เวห์อยู่ด้วยกับชนเผ่ายูดาห์ และพวกเขาได้ยึดครองพื้นที่แถบเทือกเขาไว้ได้ แต่ไม่สามารถขับไล่ชาวเมืองที่อยู่ในหุบเขาออกไป เพราะพวกนั้นมีรถรบเหล็ก
20 คาเลบได้รับเมืองเฮโบรน ตามที่โมเสสได้สัญญาไว้ และเขาได้ขับไล่สามตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากอานาค[e]ออกไป
เผ่าเบนยามินในเยรูซาเล็ม
21 แต่ชนเผ่าเบนยามินไม่ได้ขับไล่ชาวเยบุสที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มออกไป ดังนั้นคนเยบุสจึงอยู่ร่วมกับคนเบนยามินในเยรูซาเล็มจนถึงทุกวันนี้
ลูกหลานโยเซฟยึดเบธเอล
22 ลูกหลานของโยเซฟได้ขึ้นไปต่อสู้กับเมืองเบธเอลด้วยเหมือนกัน และพระยาห์เวห์ได้อยู่กับพวกเขา 23 คนของโยเซฟได้ส่งคนสอดแนมเข้าไปในเมืองเบธเอล (เมืองนี้เดิมชื่อว่าลูส)
24 เมื่อพวกคนสอดแนมเห็นชายคนหนึ่งออกมาจากเมือง พวกเขาพูดกับชายคนนั้นว่า “บอกทางเข้าเมืองให้กับเราหน่อย และเราจะปรานีเจ้า” 25 ชายคนนั้นก็บอกทางเข้าเมืองให้ พวกคนสอดแนมก็เอาดาบฆ่าฟันคนในเมือง แต่เขาปล่อยชายคนที่บอกทางคนนั้นกับครอบครัวของเขาไป 26 ชายคนนั้นเข้าไปในดินแดนของชาวฮิตไทต์ และสร้างเมืองขึ้น เรียกว่า เมืองลูส และเมืองนั้นก็ยังมีชื่อว่าลูสมาจนถึงทุกวันนี้
คนตระกูลอื่นๆสู้รบกับคนคานาอัน
27 เผ่ามนัสเสห์ไม่ได้ขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเบธชาน เมืองทาอานาค เมืองโดร์ เมืองอิบเลอัม เมืองเมกิดโด และชนบทรอบๆเมืองเหล่านั้น เพราะคนคานาอันไม่ยอมออกไปจากแผ่นดินนั้น 28 เมื่อชาวอิสราเอลมีกำลังเข้มแข็งขึ้น พวกเขาก็ได้บังคับให้คนคานาอันทำงานอย่างทาส แต่ชาวอิสราเอลไม่ได้ไล่คนคานาอันออกไปให้หมด
29 ชนเผ่าเอฟราอิมก็ไม่ได้ขับไล่คนคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ออกไป แต่คนคานาอันและชนเผ่าเอฟราอิมต่างก็อยู่ร่วมกันในเมืองเกเซอร์ 30 ชนเผ่าเศบูลุนไม่ได้ขับไล่ชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองคิทโรนกับเมืองนาหะโลลออกไป แต่คนคานาอันกับคนเศบูลุนก็ยังอยู่ร่วมกัน แต่คนคานาอันก็ได้ถูกบังคับให้ทำงานอย่างทาส
31 ชนเผ่าอาเชอร์ก็ไม่ได้ขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองอัคโค เมืองไซดอน เมืองอัคลาบ เมืองอัคซีบ เมืองเฮลบาห์ เมืองอาฟิก และเมืองเรโหบ 32 คนเผ่าอาเชอร์ก็อยู่ร่วมกับคนคานาอันในแผ่นดินนั้น เพราะคนอาเชอร์ไม่ได้ขับไล่คนคานาอันออกไป
33 ชนเผ่านัฟทาลีก็ไม่ได้ขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเบธเชเมช หรือในเมืองเบธอานาทออกไป แต่คนเผ่านัฟทาลีก็อยู่ร่วมกันกับคนคานาอันในแผ่นดินนั้น แต่ชาวเมืองเบธเชเมชและเมืองเบธอานาทได้ถูกบังคับให้ทำงานอย่างทาสให้กับชนเผ่านัฟทาลี 34 คนอาโมไรต์ขับไล่คนเผ่าดานให้กลับไปที่แถบเทือกเขาและไม่ยอมให้พวกเขาลงมาที่หุบเขา
35 คนอาโมไรต์ยังคงอาศัยอยู่ที่ภูเขาเฮเรส ในเมืองอัยยาโลน และในเมืองชาอัลบิม แต่ลูกหลานของโยเซฟเข้มแข็งกว่า และพวกเขาได้บังคับให้คนอาโมไรต์ทำงานอย่างทาส 36 อาณาเขตของคนอาโมไรต์ เริ่มตั้งแต่ทางข้ามแมงป่องไปถึงเมืองเส-ลา และเรื่อยขึ้นไป
อานาเนียกับสัปฟีรา
5 มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินของตนผืนหนึ่ง 2 แต่เขาแอบเก็บเงินเอาไว้บางส่วน และภรรยาของเขาก็เห็นด้วย จากนั้นเขาจึงนำเงินส่วนที่เหลือมาให้กับพวกศิษย์เอก 3 เปโตรต่อว่าอานาเนียว่า “ทำไมคุณถึงยอมให้ซาตานครอบงำจิตใจคุณจนโกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเก็บเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายที่ดินเอาไว้เอง 4 ที่ดินผืนนั้นก็เป็นของคุณอยู่แล้วก่อนที่คุณจะขายไม่ใช่หรือ และหลังจากที่ขายแล้ว เงินนั้นก็ยังอยู่ในอำนาจของคุณไม่ใช่หรือ แล้วทำไมคุณถึงคิดทำอย่างนี้ คุณกำลังโกหกพระเจ้า ไม่ได้โกหกพวกเราหรอก” 5 เมื่ออานาเนียได้ยินอย่างนี้ก็ล้มลงขาดใจตาย คนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็ตกใจกลัวยิ่งนัก 6 ชายหนุ่มหลายคนมาห่อศพของอานาเนียแล้วหามออกไปฝัง 7 หลังจากนั้นอีกประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของอานาเนียซึ่งยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เดินเข้ามา 8 เปโตรถามเธอว่า “บอกหน่อยว่า คุณขายที่ดินได้เงินเท่านี้หรือ” สัปฟีราตอบว่า “ใช่แล้วค่ะ”
9 แล้วเปโตรก็ต่อว่าเธอว่า “ทำไมคุณสองคนถึงได้สมคบกันลองดีกับพระวิญญาณขององค์เจ้าชีวิต ดูนั่นสิ คนพวกนั้นที่ไปฝังศพสามีคุณ ได้มาอยู่ที่หน้าประตูแล้ว และพวกเขาจะหามศพของคุณออกไปด้วยเหมือนกัน” 10 สัปฟีราก็ล้มลงตรงเท้าของเปโตร แล้วขาดใจตายทันที เมื่อชายหนุ่มพวกนั้นเดินเข้ามา ก็เห็นว่าเธอตายแล้ว พวกเขาจึงหามศพของเธอออกไปฝังไว้ข้างๆสามีของเธอ 11 ทั้งหมู่ประชุมของพระเจ้า และทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ ต่างก็เกิดความเกรงกลัวยิ่งนัก
ศิษย์เอกทำการอัศจรรย์
12 พวกศิษย์เอกได้ทำการอัศจรรย์ และปาฏิหาริย์หลายอย่างในหมู่ประชาชน และพวกคนที่เชื่อก็มาประชุมกันที่ระเบียงซาโลมอนอยู่เรื่อยๆ 13 คนอื่นๆไม่กล้าที่จะไปรวมกลุ่มกับพวกเขา แต่ก็เคารพนับถือพวกเขามาก 14 พระเจ้าได้เพิ่มจำนวนคนที่เชื่อมากขึ้นเรื่อยๆทั้งชายและหญิง ให้มาเป็นคนขององค์เจ้าชีวิต 15 ดังนั้นประชาชนต่างก็นำคนเจ็บป่วยมาวางบนแคร่หรือเสื่อแล้วนำไปไว้ข้างถนน เพื่อว่าเวลาที่เปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านอาจจะได้ทอดลงมาบนตัวของพวกเขาบ้าง 16 มีฝูงชนที่มาจากชานเมืองรอบๆเมืองเยรูซาเล็มด้วย พวกเขาต่างก็พาคนป่วยและคนที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากผีร้ายเข้าสิงมา ซึ่งพวกนี้ก็ได้รับการรักษาให้หายทุกคน
ผู้นำชาวยิวขัดขวางพวกศิษย์เอก
17 หัวหน้านักบวชสูงสุดและพรรคพวกของเขาทุกคน ซึ่งเป็นกลุ่มสะดูสี ก็โกรธแค้น และอิจฉา 18 พวกเขาจึงจับกุมพวกศิษย์เอกไปขังไว้ในคุก 19 แต่ในคืนนั้นเอง ทูตสวรรค์ขององค์เจ้าชีวิตได้มาเปิดประตูคุก แล้วพาพวกศิษย์เอกออกไป ทูตสวรรค์สั่งว่า 20 “ให้ไปยืนอยู่ในวิหาร พูดกับประชาชนถึงเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับชีวิตใหม่นี้” 21 เมื่อพวกศิษย์เอกได้ยินอย่างนั้น พอรุ่งเช้าพวกเขาก็เข้าไปในวิหาร และเริ่มสั่งสอนประชาชน เมื่อหัวหน้านักบวชสูงสุดและพรรคพวกของเขามาถึงวิหาร ก็เรียกประชุมสมาชิกสภา รวมทั้งสมาชิกผู้นำอาวุโสของอิสราเอลทั้งหมด และใช้เจ้าหน้าที่ไปคุมตัวพวกศิษย์เอกออกมาจากคุก 22 แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงคุก กลับไม่พบพวกศิษย์เอกอยู่ในนั้น พวกเขากลับมารายงานว่า 23 “พวกเราเห็นคุกปิดใส่กุญแจแน่นหนา และยามก็ยังเฝ้าอยู่ที่ประตู แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในนั้นเลย” 24 เมื่อหัวหน้ายามที่เฝ้าวิหาร และพวกหัวหน้านักบวชได้ยิน ก็งุนงงและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น 25 จากนั้นมีคนเข้ามารายงานว่า “พวกคนที่ท่านจับไปขังไว้ในคุกนั้น ตอนนี้กำลังยืนสั่งสอนประชาชนอยู่ในวิหาร” 26 จากนั้นหัวหน้ายามกับเจ้าหน้าที่ก็ออกไปนำตัวพวกศิษย์เอกกลับมา แต่ไม่ได้ใช้กำลังบังคับ เพราะกลัวประชาชนจะเอาหินขว้างพวกเขา
27 พวกเขานำตัวพวกศิษย์เอกเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าสภา แล้วหัวหน้านักบวชสูงสุดก็ถามพวกเขาว่า 28 “พวกเราสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดแล้วไม่ให้พูดถึงเยซูเวลาที่สั่งสอน แต่พวกแกก็ยังเผยแพร่คำสอนนี้ไปทั่วเมืองเยรูซาเล็ม แล้วยังโทษพวกเราว่าทำให้มันต้องตายอีกด้วย”
29 เปโตรและพวกศิษย์เอกคนอื่นๆก็ตอบว่า “พวกเราต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์ 30 พระเจ้าของบรรพบุรุษเราทำให้พระเยซู คนที่ท่านได้ตรึงที่ไม้กางเขนนั้นฟื้นขึ้นมาอีก 31 พระเจ้าได้ยกพระเยซูไว้ให้อยู่ที่ด้านขวาของพระองค์ ในฐานะเจ้าฟ้าชายและผู้ช่วยให้รอด เพื่อที่ชนชาติอิสราเอลจะได้กลับตัวกลับใจเสียใหม่ และได้รับการยกโทษจากความผิดบาปของเขาผ่านทางพระเยซู 32 พวกเราเป็นพยานในเรื่องนี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่พระเจ้ามอบให้กับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์ก็เป็นพยานด้วยเหมือนกัน”
33 เมื่อพวกสมาชิกในสภาได้ยินอย่างนั้น ก็โกรธแค้นมาก และต้องการฆ่าศิษย์เอกพวกนี้ 34 แต่มีสมาชิกสภาคนหนึ่ง เป็นฟาริสี ชื่อกามาลิเอล และเป็นครูสอนกฎปฏิบัติ เป็นคนที่ประชาชนทุกคนให้ความเคารพนับถือ ได้ลุกขึ้นยืนและสั่งให้พาพวกศิษย์เอกออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง 35 แล้วเขาก็พูดว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ระวังให้ดีในสิ่งที่คุณจะทำกับชายพวกนี้ 36 จำได้ไหม ตอนที่มีคนชื่อธุดาสโผล่มา แล้วอ้างว่าตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีคนติดตามเขาประมาณสี่ร้อยคน เมื่อเขาถูกฆ่า พวกศิษย์ของเขาก็กระจัดกระจายไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น 37 หลังจากธุดาสแล้วก็มียูดาสชาวกาลิลีโผล่มาอีก ในช่วงเวลาที่ทำสำมะโนครัว[a] เขาได้ชักจูงผู้คนให้ติดตามเขาไป แต่เขาก็ถูกฆ่าตายด้วย แล้วพวกศิษย์ของเขาก็กระจัดกระจายกันไป 38 ในครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมขอบอกให้พวกคุณอยู่ห่างจากคนพวกนี้ อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเลย เพราะถ้าแผนการหรืองานนี้ของพวกเขามาจากมนุษย์ มันก็จะล้มเหลวไปเอง 39 แต่ถ้าแผนการนี้มาจากพระเจ้าแล้วละก็ คุณไม่มีทางหยุดยั้งได้หรอก และคุณก็จะพบว่าตัวเองกำลังต่อสู้อยู่กับพระเจ้า” พวกเขาก็ยอมฟังคำแนะนำของกามาลิเอล
40 พวกเขาจึงเรียกพวกศิษย์เอกเข้ามาแล้วเฆี่ยนตี สั่งไม่ให้พูดเรื่องของพระเยซูอีก แล้วจึงปล่อยตัวไป 41 พวกศิษย์เอกออกจากสภามาด้วยความชื่นชมยินดี เพราะถือว่าการที่พวกเขาได้รับความอับอายจากการพูดเรื่องของพระเยซูนั้น เป็นเรื่องที่พระเจ้าให้เกียรติ 42 และพวกศิษย์เอกก็ไม่เคยหยุดสั่งสอนและประกาศข่าวดีว่าพระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ในวิหารและตามบ้านเรือนของผู้คนทุกๆวัน
ภัยแล้งและผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอม
14 นี่คือคำพูดของพระยาห์เวห์ที่มาถึงเยเรมียาห์เกี่ยวกับภัยแล้งว่า
2 “ยูดาห์ร้องไห้เศร้าโศก
ประตูเมืองต่างๆของเธอก็ทรุดโทรม
ความมืดปกคลุมแผ่นดิน
และเสียงร้องไห้ขมขื่นของเยรูซาเล็มก็ดังขึ้น
3 พวกคนชั้นสูงส่งคนใช้ออกไปหาน้ำ
พวกเขาไปที่แอ่งเก็บน้ำแต่ก็หาน้ำไม่ได้
ก็เลยกลับมาพร้อมกับเหยือกเปล่าๆ
พวกเขาอับอายขายหน้าก็เลยคลุมหัวไว้
4 เพราะพื้นดินก็แตกระแหง
เพราะไม่มีฝนตกลงมาบนแผ่นดิน
คนไถนาก็อับอาย
จนต้องคลุมหัวไว้
5 แม้แต่แม่กวางในทุ่งโล่งออกลูกแล้วทิ้งลูกไป
เพราะไม่มีหญ้าให้กิน
6 พวกลาป่ายืนอยู่บนยอดเนินเขาโล้นเตียน
พวกมันหอบเหมือนพวกหมาไน
ดวงตาของพวกมันปิดลง
เพราะไม่มีผักหญ้าจะให้กิน
7 พระยาห์เวห์เจ้าข้า
ถ้าความผิดของพวกเราย้อนกลับมาสนองเราเอง
โปรดทำอะไรสักอย่างเพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์เอง
เพราะเราเคยหันหลังให้พระองค์หลายต่อหลายครั้ง
เราได้ทำบาปต่อพระองค์
8 พระยาห์เวห์เจ้าข้า พระองค์คือผู้ที่อิสราเอลกำลังรอคอย พระองค์คือความหวังของอิสราเอล
และเป็นพระผู้ช่วยของเขาในยามยาก
แต่ทำไมพระองค์ถึงทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า
หรือนักท่องเที่ยวที่ค้างแรมแค่คืนเดียว
9 ทำไมพระองค์ถึงทำเหมือนคนที่ประหลาดใจ
ทำเหมือนนักรบที่ไม่สามารถช่วยคนที่เขามาช่วย
พระยาห์เวห์เจ้าข้า พระองค์อยู่ท่ามกลางพวกเราที่นี่
คนเขาเรียกพวกเราด้วยชื่อของพระองค์ ขออย่าได้ทอดทิ้งพวกเรา”
10 พระยาห์เวห์พูดถึงคนพวกนี้ว่า
“มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า
เท้าของพวกเขาชอบเดินไปเรื่อยและพวกเขาก็ไม่ควบคุมมันไว้
ดังนั้นตอนนี้พระยาห์เวห์จะไม่ยอมรับพวกเขา
พระองค์จะจดจำความผิดที่พวกเขาได้ทำไป
และพระองค์จะลงโทษพวกเขาสำหรับบาปต่างๆของพวกเขา”
11 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผมว่า “อย่าได้อธิษฐานเพื่อความสุขสบายของคนพวกนี้ 12 ถึงพวกเขาจะอดอาหาร เราก็จะไม่ฟังคำร้องขอให้ช่วยของพวกเขา ถึงพวกเขาจะถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาจากเมล็ดพืช เราก็จะไม่พอใจในพวกเขาอยู่ดี เพราะเราได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว ที่จะกำจัดพวกเขาด้วยดาบ ด้วยความหิวโหยและด้วยโรคภัยไข้เจ็บ”
13 แล้วผมก็พูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ เจ้านายของข้าพเจ้า พวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอมบอกกับคนพวกนั้นว่า ‘ไม่ต้องกลัวดาบและความอดอยาก มันจะไม่เกิดขึ้นกับพวกเจ้าหรอก เราพูดเพราะพระยาห์เวห์จะให้สันติสุขกับเจ้าอย่างแน่นอน’” 14 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผมว่า “พวกผู้พูดแทนพระเจ้านั้นอ้างว่าพูดแทนเรา แต่พวกมันโกหก เราไม่ได้ส่งพวกมันมา เราก็ไม่ได้สั่งพวกมันและเราก็ไม่ได้พูดกับพวกมันด้วย แต่พวกมันยังคงพูดแทนเราให้กับพวกเจ้า เป็นนิมิตโกหกและคำทำนายไร้สาระที่มาจากจิตใจที่หลอกลวงของพวกมัน 15 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงพูดว่า ผู้พูดแทนพระเจ้าพวกนี้ที่พูดในนามของเรา ทั้งๆที่เราไม่ได้ส่งพวกมันมา ที่พูดว่า ‘ดาบและความหิวโหยจะไม่เข้ามาในแผ่นดินนี้ พวกผู้พูดแทนพระเจ้านี้จะต้องตายด้วยดาบและความหิวโหย 16 ส่วนคนที่ฟังพวกมันก็จะต้องถูกโยนลงไปบนถนนของเยรูซาเล็มด้วยความอดอยากหิวโหยและตายด้วยดาบและจะไม่มีใครฝังศพให้พวกเขา เราจะลงโทษพวกผู้พูดแทนพระเจ้านี้ รวมทั้งเมีย ลูกชาย และลูกสาวของพวกมัน’
17 เยเรมียาห์ เอาคำพูดนี้ไปบอกกับยูดาห์ว่า
‘เราหลั่งน้ำตาทุกคืนวันไม่เคยหยุดหย่อน
เพราะการทำลายล้างอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นกับคนที่เรารัก
เพราะเขามีแผลอันเจ็บปวดแสนสาหัส
18 ถ้าเราออกไปในทุ่ง
เราก็จะเห็นคนบาดเจ็บเพราะดาบ
และถ้าเราเข้าไปในเมือง
เราก็เห็นโรคร้ายต่างๆที่เกิดจากความอดอยาก
สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้น ก็เพราะว่า
ทั้งพวกผู้พูดแทนพระเจ้าและนักบวชทำการค้าไปทั่วแผ่นดินแต่ขาดความรู้’”
19 ประชาชนพูดว่า “พระองค์ทอดทิ้งยูดาห์อย่างสิ้นเชิงแล้วหรือ
พระองค์รังเกียจศิโยนมากขนาดนั้นเชียวหรือ
ทำไมพระองค์ถึงได้ทำร้ายเรา
ในเวลาที่ไม่มีหมอจะรักษาพวกเรา
พวกเราเฝ้ารอสันติสุข
แต่ไม่มีอะไรดีให้เห็นเลย
พวกเราเฝ้ารอเวลาที่พวกเราจะได้รับการรักษา
กลับมีแต่เรื่องสยดสยองเกิดขึ้น
20 พระยาห์เวห์เจ้าข้า พวกเรารู้ว่าเราทำบาปอะไรบ้าง
และรู้ว่าบรรพบุรุษของเราทำบาปอะไรเอาไว้
พวกเรารู้ว่าพวกเราทำผิดบาปต่อพระองค์
21 ขออย่าได้ปฏิเสธพวกเราเลยเพื่อว่าชื่อเสียงของพระองค์จะได้แผ่ไพศาลขึ้น
และอย่าทำให้บัลลังก์ของพระองค์เองต้องได้รับความอับอาย
ได้โปรดระลึกถึงคำมั่นสัญญาที่พระองค์ได้ทำไว้กับเราและขออย่าได้ผิดคำสัญญาเลย
22 พวกเทพเจ้าจอมปลอมของชนชาติต่างๆทำให้ฝนตกได้หรือ
ตัวท้องฟ้าเองจะทำให้ฝนตกได้หรือ
ไม่ใช่พระองค์หรอกหรือที่เป็นพระยาห์เวห์ของพวกเรา
พวกเราพึ่งในพระองค์
เพราะพระองค์เป็นผู้ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด”
พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย
(มก. 16:1-8; ลก. 24:1-12; ยน. 20:1-10)
28 หลังจากวันหยุดทางศาสนาผ่านไป ตอนเช้าตรู่วันอาทิตย์ มารีย์ชาวเมืองมักดาลา และมารีย์อีกคนหนึ่งได้มาที่อุโมงค์ฝังศพ
2 ในขณะนั้นเอง เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เพราะทูตขององค์เจ้าชีวิตองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านไปที่อุโมงค์ฝังศพกลิ้งหินที่ปิดปากอุโมงค์ออกและนั่งบนหินก้อนนั้น 3 ตัวของทูตสวรรค์สว่างจ้าเหมือนสายฟ้าแลบ เสื้อผ้าขาวเหมือนหิมะ 4 เมื่อพวกทหารยามเห็นทูตสวรรค์ ก็กลัวจนตัวสั่นและล้มลงเหมือนคนตาย
5 ทูตสวรรค์ขององค์เจ้าชีวิตพูดกับหญิงสองคนนั้นว่า “ไม่ต้องกลัวหรอก ผมรู้ว่าพวกคุณมาหาพระเยซูที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน 6 พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะพระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายแล้วเหมือนกับที่พระองค์ได้พูดไว้ มาดูที่ที่เขาเคยวางร่างของพระองค์สิ 7 รีบไปบอกพวกศิษย์ของพระองค์ว่า ‘พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว และพระองค์ล่วงหน้าไปที่แคว้นกาลิลีก่อนแล้ว พวกคุณจะพบพระองค์ที่นั่น’ นี่เป็นเรื่องที่เราเอามาบอกพวกคุณ”
8 ผู้หญิงทั้งสองคนรีบออกไปจากอุโมงค์ พวกเธอรู้สึกทั้งหวาดกลัวและดีใจ เขารีบวิ่งไปบอกศิษย์ของพระองค์ 9 ทันใดนั้นพระเยซูก็มายืนอยู่ข้างหน้าหญิงสองคนนี้ พระองค์ทักว่า “สวัสดี” ทั้งสองคนจึงเข้ามากอดเท้าของพระองค์ไว้และก้มกราบพระองค์ 10 พระเยซูพูดกับหญิงทั้งสองคนว่า “ไม่ต้องกลัว ไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปที่แคว้นกาลิลีเถอะ พวกเขาจะพบเราที่นั่น”
ทหารยามรายงานพวกหัวหน้านักบวช
11 ขณะที่หญิงทั้งสองคนกำลังเดินทางไปนั้น ทหารยามบางส่วนเข้ามาในเมือง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พวกหัวหน้านักบวชฟัง 12 พวกหัวหน้านักบวชไปพบพวกผู้นำอาวุโสแล้ววางแผนกัน พวกเขาให้เงินพวกทหารยามจำนวนมาก 13 เขาสั่งว่า “พวกเจ้าจะต้องพูดว่า พวกศิษย์ของพระเยซูแอบมาตอนกลางคืน และขโมยศพพระเยซูไปตอนที่ทหารยามกำลังหลับอยู่ 14 ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเจ้าเมือง พวกข้าจะพูดกับเขาเอง เพื่อไม่ให้พวกเจ้าเดือดร้อน” 15 พวกทหารรับเงินไป และทำตามที่พวกเขาสั่ง ดังนั้นจึงมีข่าวลือเรื่องนี้ในหมู่ชาวยิวจนถึงทุกวันนี้
พระเยซูพูดกับศิษย์ของพระองค์
(มก. 16:14-18; ลก. 24:36-49; ยน. 20:19-23; กจ. 1:6-8)
16 พวกศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนเดินทางไปแคว้นกาลิลีเพื่อไปยังภูเขาที่พระเยซูบอกให้ไป 17 เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ก็ก้มลงกราบ แต่มีบางคนที่ยังสงสัยอยู่ 18 พระเยซูเข้ามาหาพวกเขา และพูดว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมด ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ได้มอบไว้กับเราแล้ว 19 ดังนั้นให้ออกไปทำให้คนทุกชาติมาเป็นศิษย์ของเรา ให้เขาเข้าพิธีจุ่มน้ำ เพื่อจะได้กลายเป็นของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนพวกเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราได้สั่งไว้ จำไว้ว่า เราจะอยู่กับพวกคุณเสมอ จนกว่าจะสิ้นยุค”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International