M’Cheyne Bible Reading Plan
24 แล้วโยชูวาก็ได้รวบรวมชาวอิสราเอลทุกเผ่ามาที่เชเคม เขาได้เรียกพวกผู้อาวุโส พวกผู้นำ พวกผู้พิพากษา และเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของอิสราเอลมา ทั้งหมดได้มายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า
2 โยชูวาได้พูดกับประชาชนทั้งหมดว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลพูด ‘ในอดีตนานมาแล้ว บรรพบุรุษของพวกเจ้า รวมทั้งเทราห์พ่อของอับราฮัมและนาโฮร์ ได้อาศัยอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติสและได้รับใช้พระอื่นๆ
3 แต่เราได้นำบรรพบุรุษของพวกเจ้าคือ อับราฮัม มาจากฝั่งโน้นของแม่น้ำยูเฟรติส และเราได้นำเขาไปทั่วแผ่นดินคานาอัน และให้เขามีลูกหลานมากมาย เราให้ลูกชายแก่เขาคืออิสอัค 4 และเราได้ให้ยาโคบ และเอซาวกับอิสอัค เราให้แถบเนินเขาเสอีร์กับเอซาว แต่ยาโคบกับลูกหลานของเขาได้ลงไปที่ประเทศอียิปต์
5 ต่อจากนั้น เราจึงส่งโมเสสกับอาโรนมา และเราได้ทำให้เกิดความทุกข์อย่างใหญ่หลวงกับประชาชนอียิปต์ ด้วยสิ่งที่เราได้ทำลงไปในประเทศนั้น และหลังจากนั้นเราได้นำพวกเจ้าออกมา 6 เมื่อเรานำบรรพบุรุษของเจ้าออกจากประเทศอียิปต์ พวกเจ้าก็มาถึงทะเล และชาวอียิปต์ได้ไล่ล่าบรรพบุรุษของพวกเจ้ามา ด้วยรถรบ และพลทหารม้า จนมาถึงทะเลแดง 7 เมื่อบรรพบุรุษของเจ้าได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ เราจึงเอาความมืดใส่ไว้ระหว่างพวกเจ้ากับชาวอียิปต์ และทำให้น้ำทะเลท่วมพวกอียิปต์จนมิด และสายตาของพวกเจ้าก็ได้เห็นสิ่งที่เราได้ทำต่อชาวอียิปต์ แล้วพวกเจ้าก็ได้อาศัยอยู่ในทะเลทรายเป็นเวลานาน 8 จากนั้น เราได้นำพวกเจ้ามาถึงแผ่นดินของคนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน คนอาโมไรต์ได้ต่อสู้กับพวกเจ้า แต่เราได้มอบพวกเขาไว้ในมือเจ้า เราได้ทำลายพวกเขาไปต่อหน้าเจ้า และเจ้าก็ได้ยึดครองแผ่นดินของพวกเขา
9 แล้วกษัตริย์บาลาคลูกชายของศิปโปร์แห่งเมืองโมอับได้ตระเตรียมที่จะสู้รบกับชาวอิสราเอล เขาใช้บาลาอัมลูกชายของเบโอร์มาสาปแช่งพวกเจ้า 10 แต่เราไม่ฟังบาลาอัม ดังนั้นเขาจึงได้อวยพรพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า เราได้ช่วยเหลือพวกเจ้าให้รอดพ้นจากอำนาจของเขา
11 เมื่อพวกเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนและมาถึงเมืองเยริโค ชาวเมืองเยริโคได้ต่อสู้กับเจ้า เหมือนกับคนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเกอร์กาชี คนฮีไวต์ และคนเยบุส และเราได้มอบพวกเขาไว้ในมือของพวกเจ้า 12 เราได้ส่งตัวแตน[a] นำหน้าพวกเจ้า และพวกมันได้ขับไล่กษัตริย์ชาวอาโมไรต์สองคนนั้นออกไปต่อหน้าเจ้า ที่เจ้าชนะนั้นไม่ใช่เป็นเพราะคมดาบหรือธนูของเจ้าหรอก
13 เราได้ยกแผ่นดินซึ่งเจ้าไม่ได้แผ้วถางและยกเมืองต่างๆซึ่งเจ้าไม่ได้สร้างให้กับพวกเจ้า และให้พวกเจ้าได้อยู่อาศัย พวกเจ้ากินผลไม้จากสวนองุ่นและสวนมะกอกเทศ ที่พวกเจ้าไม่ได้ปลูก’
14 อย่างนั้น ให้ยำเกรงพระยาห์เวห์ และรับใช้พระองค์อย่างจริงใจและสัตย์ซื่อ ให้ทิ้งพระทั้งหลายที่บรรพบุรุษของเจ้าเคยรับใช้ ตอนอยู่อีกฝากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติสและในประเทศอียิปต์ แล้วให้หันมารับใช้พระยาห์เวห์แทน
15 ถ้าพวกท่านไม่อยากรับใช้พระยาห์เวห์ ก็ให้เลือกเอาในวันนี้ว่า พวกท่านจะรับใช้ใคร จะเป็นพวกพระที่บรรพบุรุษของท่านเคยรับใช้ตอนที่อยู่อีกฝากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติส หรือจะเป็นพวกพระของคนอาโมไรต์ที่เคยอยู่ในแผ่นดินนี้ที่ท่านกำลังอาศัยอยู่ แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า จะรับใช้พระยาห์เวห์”
16 แล้วประชาชนได้ตอบไปว่า “พวกเราจะไม่มีวันละทิ้งพระยาห์เวห์เพื่อไปรับใช้พระอื่นอย่างเด็ดขาด 17 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราคือ ผู้ที่ได้นำพวกเราและบรรพบุรุษของเราขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ที่เราเคยเป็นทาสนั้น และพระองค์คือ ผู้ที่ได้ทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆอันยิ่งใหญ่ต่อสายตาของพวกเรา และคุ้มครองพวกเราตลอดทางที่พวกเราไป และปกป้องพวกเราจากชนชาติต่างๆที่พวกเราเดินผ่านดินแดนของพวกเขานั้น 18 พระยาห์เวห์ได้ขับไล่ชนชาติทั้งหลายให้พ้นไปต่อหน้าพวกเรา รวมทั้งชาวอาโมไรต์ผู้อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ อย่างนั้น พวกเราก็จะรับใช้พระยาห์เวห์เหมือนกัน เพราะพระองค์คือพระเจ้าของพวกเรา”
19 แล้วโยชูวาก็พูดกับประชาชนว่า “พวกท่านไม่สามารถรับใช้พระยาห์เวห์ได้ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระเจ้าที่หึงหวง พระองค์จะไม่อภัยต่อการกบฏของพวกท่านและบาปทั้งหลายของพวกท่าน 20 ถ้าท่านทั้งหลายละทิ้งพระยาห์เวห์และไปรับใช้พระอื่นๆ พระองค์จะหันมาและจะนำความหายนะมาสู่พวกท่าน และจะทำลายพวกท่าน แม้ว่าพระองค์เคยทำดีกับพวกท่านมาก่อนก็ตาม”
21 ประชาชนจึงพูดกับโยชูวาว่า “ไม่หรอก เราจะรับใช้พระยาห์เวห์”
22 โยชูวาจึงพูดกับประชาชนว่า “ให้พวกท่านเป็นพยานต่อตัวเองว่า พวกท่านได้เลือกที่จะรับใช้พระยาห์เวห์”
พวกเขาก็พูดว่า “เราเป็นพยาน”
23 ดังนั้น โยชูวาจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ให้โยนพวกพระอื่นๆที่ยังอยู่ท่ามกลางพวกท่านทิ้งไปเดี๋ยวนี้ และให้หันจิตใจของพวกท่านเข้าหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล”
24 ประชาชนพูดกับโยชูวาว่า “เราจะรับใช้พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา และเชื่อฟังพระองค์”
25 โยชูวาจึงได้ทำข้อตกลงกับประชาชนในวันนั้น เขาได้วางกฎเกณฑ์และกฎหมายให้กับพวกเขาที่เมืองเชเคม 26 โยชูวาได้บันทึกข้อความเหล่านี้ลงในหนังสือกฎของพระเจ้า และได้เอาก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งมาตั้งไว้ใต้ต้นก่อ ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์
27 แล้วโยชูวาได้พูดกับประชาชนทั้งหมดว่า “ดูเถิด ก้อนหินนี้จะเป็นพยานฟ้องพวกเรา เพราะมันได้ยินทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้พูดกับพวกเรานี้ ดังนั้น มันจะเป็นพยานฟ้องพวกท่าน ถ้าพวกท่านกบฏต่อพระเจ้าของพวกท่าน”
28 แล้วโยชูวาก็ส่งประชาชนกลับไปยังดินแดนที่เป็นมรดกของพวกเขาแต่ละคน
การตายของโยชูวา
29 หลังจากนั้น โยชูวาลูกชายของนูนผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ก็ตาย เขามีอายุหนึ่งร้อยสิบปี 30 พวกเขาได้ฝังเขาไว้ในที่ดินที่เป็นมรดกของเขาที่เมืองทิมนาทเสราห์ ซึ่งอยู่ในแถบเนินเขาเอฟราอิม ทางทิศเหนือของยอดเขากาอัช
31 ชาวอิสราเอลได้รับใช้พระยาห์เวห์ตลอดชีวิตของโยชูวา และตลอดสมัยของพวกผู้อาวุโสที่มีอายุยืนยาวกว่าโยชูวา พวกผู้อาวุโสเหล่านี้ได้รู้เห็นถึงผลงานทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ได้ทำให้กับคนอิสราเอลนั้น
โยเซฟกลับบ้าน
32 กระดูกของโยเซฟที่ชาวอิสราเอลนำกลับมาจากอียิปต์ถูกฝังอยู่ที่เมืองเชเคม ในที่ดินที่ยาโคบได้ซื้อมาจากลูกหลานของฮาโมร์ผู้เป็นพ่อของเชเคม ด้วยแผ่นเงินหนึ่งร้อยชิ้น[b] ที่ดินแห่งนั้นได้ตกเป็นมรดกของลูกหลานโยเซฟ
33 เอเลอาซาร์ลูกชายของอาโรนก็ตายและถูกฝังไว้ที่กิเบอาห์ ซึ่งเป็นเมืองในแถบเนินเขาเอฟราอิม เป็นเมืองที่ได้มอบไว้ให้แก่ฟีเนหัสลูกชายของเขา
เปโตรและยอห์นอยู่ต่อหน้าสภายิว
4 ขณะที่เปโตรและยอห์นกำลังพูดกับคนทั้งหลายอยู่นั้น พวกนักบวช หัวหน้าผู้ดูแลความปลอดภัยของวิหาร และพวกสะดูสี ก็เดินเข้ามาหา 2 พวกเขาโกรธมากที่เปโตรและยอห์นกำลังประกาศสั่งสอนว่า ผู้คนจะฟื้นขึ้นจากความตายเหมือนกับพระเยซู 3 พวกเขาจึงจับทั้งสองคนไปขังคุกไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น เพราะตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว 4 แต่มีคนเป็นจำนวนมากที่ได้ยินพระคำของพระเจ้าแล้วเชื่อ ถึงตอนนี้ รวมศิษย์ที่เป็นผู้ชายได้ประมาณห้าพันคนแล้ว 5 วันรุ่งขึ้นพวกผู้นำชาวยิว พวกผู้อาวุโส และพวกครูสอนกฎปฏิบัติ ได้มาประชุมกันที่เมืองเยรูซาเล็ม 6 นอกจากนี้ยังมี อันนาส[a] ซึ่งเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด คายาฟาส[b] ยอห์น อเล็กซานเดอร์ และคนอื่นๆที่เป็นญาติของหัวหน้านักบวชสูงสุดด้วย 7 พวกเขาจับเปโตรและยอห์นมายืนอยู่ตรงหน้า แล้วถามว่า “พวกแกทำสิ่งนี้ด้วยฤทธิ์เดชอะไร พวกแกใช้อำนาจของใคร” 8 แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจเปโตรให้พูดกับพวกเขาว่า “ท่านผู้นำประชาชนและท่านผู้อาวุโส 9 ถ้าท่านจะมาไต่สวนเราวันนี้ในเรื่องความดีที่ได้ทำกับคนง่อยคนนี้ว่าเขาหายได้อย่างไร 10 ก็ให้พวกท่านทั้งหมดและประชาชนชาวอิสราเอลทุกคนรู้เอาไว้เถอะว่า สิ่งนั้นเกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ คนที่พวกท่านได้ตรึงที่กางเขน คนที่พระเจ้าทำให้ฟื้นขึ้นจากความตาย พระเยซูคนนี้แหละที่ทำให้ชายคนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกท่าน หายเป็นปกติ 11 พระเยซูเป็น
12 นอกจากพระเยซูแล้ว ไม่มีใครที่จะให้ความรอดกับเราได้ ไม่มีชื่ออื่นภายใต้ฟ้านี้ ที่จะทำให้มนุษย์รอดได้”
13 เมื่อพวกผู้นำชาวยิวเห็นถึงความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และเห็นว่าทั้งสองเป็นแค่คนธรรมดาๆที่ไม่ได้รับการศึกษาหรือฝึกฝนอะไรมาเป็นพิเศษ พวกเขาก็ยิ่งแปลกใจ พวกเขาต่างก็นึกขึ้นมาได้ว่า เปโตรและยอห์นเคยอยู่กับพระเยซูมาก่อน 14 ยิ่งพวกเขาได้เห็นชายง่อยซึ่งได้รับการรักษาจนหายดีแล้วยืนอยู่ข้างๆเปโตรและยอห์น พวกเขาก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก 15 ผู้นำชาวยิวก็สั่งให้เปโตรและยอห์นออกไปจากที่ประชุม แล้วก็ปรึกษากันว่า 16 “พวกเราจะเอาอย่างไรดีกับสองคนนี้ เพราะทุกคนที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มก็รู้ว่า สองคนนี้ได้ทำเรื่องปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่เห็นชัดแจ้งและพวกเราก็ปฏิเสธไม่ได้ 17 แต่เพื่อไม่ให้เรื่องนี้แพร่กระจายต่อไปในหมู่คนทั้งหลาย เราต้องขู่พวกเขาไม่ให้พูดถึงชื่อเยซูกับใครอีก”
18 จากนั้นเขาก็เรียกเปโตร และยอห์นเข้ามาเพื่อสั่งห้ามคนทั้งสอง ไม่ให้พูดหรือสั่งสอนอะไรเกี่ยวกับพระเยซู หรือแม้แต่จะอ้างชื่อของพระองค์อีก 19 แต่เปโตรและยอห์นตอบว่า “ท่านคิดดูเอาเองว่า มันถูกหรือเปล่า ที่จะให้เราเชื่อฟังท่าน แทนที่จะเชื่อฟังพระเจ้า 20 เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เราเลิกพูดในสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยิน” 21 หลังจากที่ได้ขู่เปโตรและยอห์นแล้ว พวกเขาก็ปล่อยตัวทั้งสองคนไป เพราะไม่รู้ว่าจะลงโทษอย่างไร เพราะทุกคนต่างพากันสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น 22 อีกทั้งชายที่ได้รับการรักษา ด้วยการอัศจรรย์จนหายเป็นปกตินี้ มีอายุมากกว่าสี่สิบปีแล้ว
เปโตรและยอห์นกลับไปหาเหล่าผู้เชื่อ
23 เมื่อเขาปล่อยเปโตรและยอห์นแล้ว ทั้งสองก็กลับไปหาพรรคพวก และเล่าเรื่องทั้งหมดที่หัวหน้านักบวชสูงสุดและพวกผู้อาวุโสพูดกับพวกเขาไว้ 24 เมื่อเหล่าผู้เชื่อได้ยินอย่างนั้น ทุกคนก็เปล่งเสียงอธิษฐานต่อพระเจ้าพร้อมกันว่า “องค์เจ้าชีวิต พระองค์เป็นผู้สร้างท้องฟ้า สร้างโลก สร้างทะเลและทุกสิ่งที่มีในที่เหล่านั้น 25 พระองค์พูดไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผ่านปากผู้รับใช้พระองค์ คือดาวิดบรรพบุรุษของเราว่า
‘ทำไมชนชาติต่างๆถึงได้โกรธแค้น
ทำไมผู้คนถึงได้วางแผนที่ไร้ประโยชน์
26 พวกกษัตริย์ในโลก ต่างเตรียมพร้อมที่จะสู้รบ
และพวกผู้ปกครองรวมตัวกันต่อต้านองค์เจ้าชีวิต
และต่อต้านกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า’[e]
27 แล้วเหตุการณ์ตามที่ได้เขียนอยู่ในพระคัมภีร์ก็เกิดขึ้น เมื่อเฮโรด[f] และปอนทัส ปีลาต[g] รวมทั้งพวกต่างชาติ และประชาชนชาวอิสราเอล ได้รวมตัวกันในเมืองเพื่อต่อต้านพระเยซูผู้รับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ได้เจิมให้เป็นพระคริสต์ 28 แต่ความจริงแล้ว พวกนี้ก็ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ตามแผนที่พระองค์ได้วางไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วที่จะให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามฤทธิ์อำนาจ และตามความต้องการของพระองค์ 29 ตอนนี้องค์เจ้าชีวิต ขอโปรดฟังคำขู่ของพวกเขา และช่วยพวกเราผู้รับใช้ของพระองค์ให้กล้าที่จะประกาศพระคำของพระองค์ด้วยเถิด 30 ขอโปรดยื่นมือของพระองค์ออกมารักษาโรค และทำเรื่องอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ ผ่านทางชื่อของพระเยซู ผู้รับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์”
31 เมื่อพวกผู้เชื่ออธิษฐานเสร็จ ที่ที่พวกเขามารวมตัวกันก็สั่นสะเทือน จากนั้นพวกเขาทุกคนก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเริ่มประกาศพระคำของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ
ผู้เชื่อแบ่งปันสิ่งที่เขามีกัน
32 กลุ่มของผู้เชื่อทั้งหมดต่างก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และสิ่งของที่เขามีอยู่นั้น ไม่มีใครอ้างว่าเป็นของตัวเองเลย แต่พวกเขาเอาทุกอย่างที่มีมาแบ่งปันกัน 33 พวกศิษย์เอกเป็นพยานให้กับผู้คนด้วยฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่ ถึงการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซูเจ้า และพระเจ้าก็ได้อวยพรคนที่เชื่อทุกคนอย่างมากมาย 34 ในกลุ่มคนที่เชื่อ ไม่มีใครขาดแคลนเลย คนที่มีที่ดินหรือบ้าน ก็เอาของเหล่านั้นไปขาย และนำเอาเงินนั้น 35 มาให้กับพวกศิษย์เอก เพื่อเอาไปแจกจ่ายให้แต่ละคนตามความจำเป็น
36 โยเซฟ คนที่พวกศิษย์เอกเรียกว่า บารนาบัส (หมายถึง “คนที่ให้กำลังใจ”) เป็นชาวเลวีเกิดที่เกาะไซปรัส 37 โยเซฟได้ขายที่นาของเขา และนำเงินที่ได้นั้นมาให้กับพวกศิษย์เอก
ผ้าคาดเอวของเยเรมียาห์
13 พระยาห์เวห์พูดกับผมอย่างนี้ว่า “ไปซื้อผ้าคาดเอวที่ทำจากผ้าลินินมาผืนหนึ่ง แล้วเอามาคาดเอวเจ้าไว้ แต่อย่าเอามันไปแช่น้ำ”
2 ผมก็เลยไปซื้อผ้าตามที่พระยาห์เวห์สั่ง แล้วเอามันมาคาดเอวผมไว้
3 หลังจากนั้นพระยาห์เวห์ก็พูดกับผมเป็นครั้งที่สองว่า
4 “ให้เอาผ้าที่เจ้าซื้อมา ที่คาดเอวเจ้าอยู่ ไปที่แม่น้ำยูเฟรติส แล้วเอามันไปซ่อนไว้ในซอกหิน”
5 ผมจึงไป และเอามันไปซ่อนไว้แถวแม่น้ำยูเฟรติสตามที่พระยาห์เวห์สั่งผมไว้
6 หลังจากผ่านไปหลายวัน พระยาห์เวห์ก็พูดกับผมว่า “ลุกขึ้นแล้วให้ไปที่แม่น้ำยูเฟรติส ไปเอาผ้าที่เราสั่งให้เจ้าเอาไปซ่อนไว้ที่นั่น”
7 ดังนั้น ผมจึงไปที่แม่น้ำยูเฟรติส แล้วไปหาผ้าผืนนั้น และเอามันออกมาจากที่ซ่อน แต่ผ้านั้นเปื่อยหมดแล้ว จะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่ได้
8 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผมว่า
9 “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘เราจะทำลายความเย่อหยิ่งของยูดาห์และเยรูซาเล็มเหมือนผ้าชิ้นนี้แหละ
10 คนชั่วช้าพวกนี้ ที่ไม่ยอมฟังเสียงเรา ที่ไปเดินตามจิตใจที่ดื้อดึงของพวกเขา และที่ไปติดตามรับใช้พระอื่น และไปก้มกราบอยู่ต่อหน้าพวกพระนั้น คนพวกนี้ก็จะเป็นเหมือนผ้าผืนนี้ ที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
11 ผ้านี้ติดอยู่ที่เอวของคนใส่ยังไง เราก็ทำให้คนอิสราเอลและคนยูดาห์ทุกคนติดอยู่กับเราอย่างนั้นเหมือนกัน’” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น
“เราอยากให้พวกเขาเป็นคนของเรา และนำชื่อเสียง คำสรรเสริญ และสง่าราศีมาให้กับเรา แต่พวกเขากลับไม่ยอมฟัง”
คำเตือนต่อยูดาห์
12 “ดังนั้นให้เอาข่าวนี้ไปบอกกับพวกเขา พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลพูดไว้ว่าอย่างนี้ ‘ไหทุกใบควรจะมีเหล้าองุ่นอยู่เต็ม’ แล้วพวกนั้นก็จะพูดกับเจ้าว่า ‘พวกเราไม่รู้หรือยังไงว่าไหทุกใบควรจะมีเหล้าองุ่นอยู่เต็ม’
13 เจ้าก็จะต้องบอกพวกนั้นว่า พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้ ‘เรากำลังจะทำให้คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้เมามายกันหมด ทั้งกษัตริย์ทุกคนที่นั่งบนบัลลังก์ของดาวิด พวกนักบวช พวกผู้พูดแทนพระเจ้า และคนทั้งหมดในเยรูซาเล็ม
14 และเราจะบดขยี้ผู้คนเข้าใส่กัน และบดขยี้แม้แต่พ่อแม่เข้าใส่ลูกๆของเขา’” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น
“เราจะไม่ละเว้น สงสาร หรือเมตตาปรานีต่อพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้พินาศไป”
15 เอียงหูเข้ามา อย่าได้หยิ่งผยอง
เพราะพระยาห์เวห์ได้เตือนไว้แล้ว
16 ถวายเกียรติให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านก่อนที่จะค่ำมืด
และก่อนที่เท้าท่านจะสะดุดล้มบนเนินเขาตอนพลบค่ำ
ในช่วงที่พวกท่านรอคอยแสงอรุณนั้น
พระองค์จะทำให้มันกลับกลายเป็นความมืดมิดและมืดมัว
17 ถ้าพวกท่านไม่ยอมฟังสิ่งนี้
ผมก็จะร้องไห้ให้กับความหยิ่งผยองของท่าน
ผมจะหลั่งน้ำตาอย่างขมขื่นและน้ำตาก็จะไหลพรากจากตาของผม
เพราะฝูงแกะของพระยาห์เวห์ถูกจับเอาไปเป็นเชลยแล้ว
18 ให้บอกกษัตริย์และแม่ของกษัตริย์ว่า
“ให้ลงมานั่งในที่นั่งที่ต่ำต้อย
เพราะมงกุฎอันแสนสวยของพวกเจ้าได้หล่นจากหัวของพวกเจ้าแล้ว
19 พวกเมืองต่างๆของเนเกบก็ถูกปิดไปหมดแล้ว
และก็ไม่มีใครไปเปิดมัน
ยูดาห์ถูกไล่ออกไปแล้วหมดทุกคน
ถูกไล่ออกไปจนหมดเกลี้ยง”
20 พระยาห์เวห์พูดว่า “เงยหน้าดูพวกที่กำลังมาจากทางทิศเหนือสิ
ฝูงแกะที่เจ้าได้มา ไปอยู่ที่ไหนหมดแล้ว
แกะที่สวยงามของเจ้าอยู่ที่ไหน
21 เจ้าจะว่ายังไงเมื่อคนที่เจ้าเคยฝึกอบรมเพื่อจะได้มาเป็นมิตรกับเจ้า
แต่พวกเขากลับแต่งตั้งคนเหล่านั้นให้มาเป็นหัวหน้าเจ้า
เจ้าจะไม่เจ็บเหมือนผู้หญิงที่กำลังจะคลอดลูกหรือ
22 และถ้าเจ้าสงสัยในใจว่า
‘ทำไมเรื่องพวกนี้ถึงได้เกิดขึ้นกับฉัน’
มันเป็นเพราะความผิดอันใหญ่หลวงของเจ้าเอง
ที่กระโปรงของเจ้าถูกถลกขึ้นมา
และเจ้าก็ถูกข่มขืน
23 ชาวเอธิโอเปียเปลี่ยนสีผิวตัวเองได้หรือ
เสือดาวเปลี่ยนลายจุดของมันได้หรือ
ถ้าได้ พวกเจ้าที่ได้รับการเรียนรู้ให้ทำในสิ่งที่ชั่วช้า
ก็เปลี่ยนมาทำดีได้เหมือนกัน
24 ดังนั้นเราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไป
เหมือนแกลบที่ถูกลมของทะเลทรายพัดปลิวไป
25 นี่คือส่วนแบ่งของเจ้า
ที่เราได้ชั่งออกมาให้กับเจ้า”
พระยาห์เวห์พูดอย่างนั้น
“ส่วนแบ่งที่เราได้ชั่งให้กับเจ้า
เราทำอย่างนี้ก็เพราะเจ้าได้ลืมเรา
แล้วหันไปไว้วางใจในสิ่งที่ไม่จริง
26 เราเองจะยกกระโปรงขึ้นคลุมหัวเจ้า
เพื่อคนจะได้เห็นความอัปยศอดสูของเจ้า
27 เราได้เห็นการสำส่อนของเจ้า
การให้ท่าของเจ้า
อุบายแยบยลที่เจ้าใช้สำส่อนบนเนินเขาต่างๆ
เราได้เห็นพิธีกรรมที่น่าขยะแขยงที่เจ้าได้ทำในท้องทุ่งนั้น
แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ เยรูซาเล็มเอ๋ย
เจ้าจะไม่บริสุทธิ์ไปอีกนานเท่าไหร่”
พระเยซูถูกนำตัวไปให้ปีลาตเจ้าเมือง
(มก. 15:1; ลก. 23:1-2; ยน. 18:28-32)
27 ตอนเช้ามืด พวกหัวหน้านักบวชและผู้อาวุโสทั้งหมดได้ตัดสินกันว่า พระเยซูสมควรตาย 2 พวกเขามัดพระองค์ แล้วนำตัวไปมอบให้กับปีลาต[a]เจ้าเมือง
ยูดาสฆ่าตัวตาย
(กจ. 1:18-19)
3 เมื่อยูดาสคนที่หักหลังพระเยซูเห็นว่าพระองค์ถูกตัดสินลงโทษถึงตาย ก็รู้สึกเสียใจมาก เขาจึงคืนเงินสามสิบเหรียญให้กับหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโส 4 ยูดาสคร่ำครวญว่า “ผมทำบาปไปแล้วที่หักหลังคนที่บริสุทธิ์” พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสตอบว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราด้วย นั่นมันเรื่องของแก”
5 ยูดาสโยนเงินทิ้งไปในวิหาร และเดินออกไปผูกคอตาย
6 พวกหัวหน้านักบวชเก็บเงินนั้นขึ้นมาและพูดว่า “มันผิดกฎ ที่จะเอาเงินแบบนี้เก็บรวมกับเงินของวิหาร เพราะเป็นเงินเปื้อนเลือด” 7 พวกเขาตัดสินใจเอาเงินนี้ไปซื้อที่นาของช่างปั้นหม้อ เพื่อเอาไว้เป็นที่ฝังศพคนต่างบ้านต่างเมือง 8 ที่ตรงนั้นถูกเรียกว่า “ทุ่งเลือด” มาจนถึงทุกวันนี้ 9 เรื่องนี้ก็เป็นไปตามที่เยเรมียาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า ได้พูดไว้ว่า
“พวกเขาเอาเงินสามสิบเหรียญ ซึ่งเป็นราคาค่าตัวของพระองค์ที่คนอิสราเอลตั้งขึ้น 10 ไปซื้อที่นาของช่างปั้นหม้อ ตามที่องค์เจ้าชีวิตได้สั่งผมไว้”[b]
ปีลาต เจ้าเมืองสอบสวนพระเยซู
(มก. 15:2-5; ลก. 23:3-5; ยน. 18:33-38)
11 เขาได้นำพระเยซูไปยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองปีลาต เจ้าเมืองได้ถามพระองค์ว่า “แกเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระเยซูตอบว่า “ใช่ อย่างที่ท่านว่า”
12 แต่เมื่อพวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสกล่าวหาพระองค์ พระองค์ก็ไม่ได้ตอบอะไร
13 แล้วปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “เจ้าไม่ได้ยินข้อกล่าวหามากมายที่เขาว่าเจ้าหรือ”
14 แต่พระองค์ไม่ตอบปีลาตสักคำ ทำให้ปีลาตแปลกใจมาก
ปีลาตพยายามจะปล่อยตัวพระเยซูแต่ไม่สำเร็จ
(มก. 15:6-15; ลก. 23:13-25; ยน. 18:39-19:16)
15 ในช่วงเทศกาลวันปลดปล่อยเป็นประเพณีของเจ้าเมืองที่จะให้ประชาชนเลือกปล่อยนักโทษหนึ่งคน 16 ตอนนั้นมีนักโทษอื้อฉาวคนหนึ่งชื่อบารับบัส 17 เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันแล้ว ปีลาตถามพวกเขาว่า “อยากให้เราปล่อยใคร บารับบัสหรือเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์” 18 ปีลาตรู้ดีว่าที่พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสจับพระเยซูส่งมาให้กับเขานั้นมันเกิดจากความอิจฉา
19 ขณะที่ปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์ตัดสินคดี ภรรยาของเขาได้ส่งข้อความมาให้เขาว่า “อย่าไปยุ่งกับผู้ชายที่บริสุทธิ์คนนี้เลย เพราะเมื่อคืนฉันฝันร้ายถึงเขา ทำให้ฉันกลุ้มทั้งวัน”
20 แต่พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสได้ยุยงประชาชนให้ขอปีลาตปล่อยบารับบัส และให้ฆ่าพระเยซู
21 เจ้าเมืองถามประชาชนว่า “จะให้ปล่อยใครดีระหว่างสองคนนี้” ประชาชนตะโกนว่า “บารับบัส”
22 ปีลาตถามว่า “แล้วจะให้ทำอะไรกับเยซูที่คนเรียกกันว่าพระคริสต์” พวกเขาทุกคนก็ตะโกนว่า “ตรึงมันซะ”
23 ปีลาตถามว่า “ทำไม เขาทำผิดอะไรหรือ” แต่ประชาชนกลับยิ่งตะโกนดังขึ้นว่า “ตรึงมันซะ”
24 เมื่อปีลาตเห็นว่าเขาทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ และเริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว เขาจึงเอาน้ำมาล้างมือต่อหน้าประชาชน และพูดว่า “เราไม่เกี่ยวกับการตายของชายคนนี้ พวกคุณรับผิดชอบกันเอาเองก็แล้วกัน”
25 ประชาชนทั้งหมดบอกว่า “พวกเราและลูกๆของเราจะรับผิดชอบต่อการตายของเขาเอง”[c]
26 ปีลาตก็เลยปล่อยบารับบัสให้พวกเขา จากนั้นเขาสั่งให้เฆี่ยนตีพระเยซู และส่งตัวพระองค์ไปให้กับทหารเพื่อเอาไปตรึงที่ไม้กางเขน
ทหารของปีลาตล้อเลียนพระเยซู
(มก. 15:16-20; ยน. 19:2-3)
27 ทหารของปีลาตนำตัวพระเยซูเข้าไปที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ของพวกเขา แล้วให้ทหารทั้งกองเข้ามารายล้อมพระองค์ไว้ 28 พวกเขาถอดเสื้อผ้าของพระองค์ แล้วเอาชุดสีแดงมาใส่ให้แทน 29 พวกเขาเอากิ่งหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมหัวของพระองค์ และให้ถือไม้อ้อไว้ในมือขวา จากนั้นพวกเขาก็แกล้งทำเป็นคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ ล้อเลียนพระองค์ว่า “กษัตริย์ของชาวยิว จงเจริญ” 30 แล้วก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเอาไม้อ้อมาตีหัวพระองค์ 31 เมื่อล้อเลียนจนพอใจแล้ว พวกเขาก็ถอดชุดสีแดง ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมให้ และนำตัวพระองค์ไปตรึงที่ไม้กางเขน
พระเยซูตายบนไม้กางเขน
(มก. 15:21-32; ลก. 23:26-43; ยน. 19:17-27)
32 ขณะที่พวกเขากำลังเดินออกมา ก็พบชายคนหนึ่งมาจากไซรีนชื่อซีโมน พวกเขาจึงได้บังคับให้ซีโมนแบกไม้กางเขนแทนพระเยซู 33 เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่า “กลโกธา” ซึ่งหมายถึง “เนินหัวกระโหลก” 34 พวกเขาเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาให้พระองค์ แต่เมื่อพระองค์ชิมแล้วก็ไม่ยอมดื่ม 35 หลังจากพวกเขาจับพระองค์ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว ก็เอาเสื้อผ้าของพระองค์มาจับสลากแบ่งกัน 36 แล้วพวกเขาก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น 37 เขาเขียนคำกล่าวหาติดไว้เหนือหัวพระองค์ว่า “นี่คือเยซู กษัตริย์ของชาวยิว” 38 มีโจรสองคนถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระเยซู ทางขวาคนหนึ่งและทางซ้ายคนหนึ่ง 39 คนที่เดินผ่านไปมาต่างส่ายหัว และพูดเยาะเย้ยว่า 40 “อ้าวไหนบอกว่าจะทำลายวิหาร แล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่ภายในสามวันไง ถ้าแกเป็นลูกของพระเจ้าจริงก็ให้ช่วยชีวิตตัวเอง แล้วลงมาจากไม้กางเขนสิ”
41 นอกจากนี้พวกหัวหน้านักบวช ครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกผู้นำอาวุโส ต่างก็พากันพูดเยาะเย้ยพระองค์ว่า 42 “มันช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้ามันเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลจริง ให้มันลงมาจากไม้กางเขนเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะเชื่อ 43 มันวางใจในพระเจ้า ถ้าพระเจ้าต้องการตัวมัน ก็ขอให้พระเจ้าช่วยชีวิตมันเดี๋ยวนี้ เพราะมันพูดว่า ‘เราเป็นลูกของพระเจ้า’” 44 โจรสองคนที่ถูกตรึงไม้กางเขนกับพระองค์ก็พูดจาดูถูกพระองค์เหมือนกัน
พระเยซูตาย
(มก. 15:33-41; ลก. 23:44-49; ยน. 19:28-30)
45 ตั้งแต่เที่ยงวัน มีแต่ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 46 ประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูร้องออกมาเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของลูก พระเจ้าของลูก ทำไมถึงทอดทิ้งลูกไป”[d]
47 เมื่อบางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้ยิน พวกเขาก็พูดกันว่า “เขากำลังเรียกเอลียาห์”
48 ทันใดนั้น คนหนึ่งในพวกเขาวิ่งไปเอาฟองน้ำมาชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวมาเสียบที่ปลายไม้อ้อ แล้วยื่นขึ้นไปให้พระองค์ดื่ม 49 แต่พวกที่เหลือพูดว่า “ให้คอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยชีวิตเขาหรือเปล่า”
50 พระเยซูร้องเสียงดังออกมาอีกครั้ง แล้วก็สิ้นใจตาย
51 ในขณะนั้นเอง ม่านภายในวิหารได้ฉีกขาดออกเป็นสองส่วนจากบนลงล่าง เกิดแผ่นดินไหว และก้อนหินแตกเป็นเสี่ยงๆ 52 พวกอุโมงค์ฝังศพเปิดออก และร่างของประชาชนของพระเจ้าหลายคนที่ตายไปแล้วก็ฟื้นขึ้นมา 53 หลังจากพระเยซูฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ จากนั้นพากันเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม และปรากฏตัวให้ประชาชนจำนวนมากได้เห็น
54 เมื่อนายร้อยและพวกทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ เห็นแผ่นดินไหวและเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็กลัวมาก ต่างก็พูดว่า “เขาเป็นลูกของพระเจ้าแน่ๆ”
55 มีผู้หญิงหลายคนที่ยืนดูอยู่ห่างๆ พวกเธอเคยติดตามรับใช้พระเยซูมาตั้งแต่แคว้นกาลิลี 56 ในพวกนั้นมี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์แม่ของยากอบกับโยเซฟ และแม่ของยากอบกับยอห์นที่เป็นภรรยาของเศเบดี
ฝังศพพระเยซู
(มก. 15:42-47; ลก. 23:50-56; ยน. 19:38-42)
57 มีเศรษฐีคนหนึ่งจากเมืองอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เขาเป็นศิษย์ของพระเยซู ในตอนเย็น 58 โยเซฟได้ไปหาปีลาตเพื่อขอศพพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้ทหารมอบศพพระเยซูให้กับโยเซฟ 59 โยเซฟได้นำศพพระเยซูไป และเอาผ้าลินินสะอาดพันศพไว้ 60 เขานำศพไปไว้ที่อุโมงค์ฝังศพใหม่ของเขาเอง ซึ่งเขาได้ขุดเข้าไปในหิน และก่อนจะจากไป เขากลิ้งหินก้อนใหญ่มาปิดปากอุโมงค์ไว้ 61 ตอนนั้น มารีย์ชาวเมืองมักดาลา และมารีย์อีกคนหนึ่ง ได้มานั่งมองอยู่ตรงข้ามอุโมงค์ฝังศพ
การจัดทหารยามเฝ้าอุโมงค์ฝังศพพระเยซู
62 วันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันหยุดทางศาสนา พวกหัวหน้านักบวชและพวกฟาริสี มาพบปีลาต 63 และบอกว่า “พวกเราจำได้ว่า เจ้าจอมหลอกลวงคนนั้นเคยพูดไว้ตอนที่ยังมีชีวิตว่า ‘หลังจากสามวัน เราจะฟื้นขึ้นจากความตาย’ 64 ช่วยสั่งให้คนไปเฝ้าที่อุโมงค์ฝังศพด้วยเถอะ เพื่อเฝ้าอย่างแน่นหนาจนถึงวันที่สาม เพราะไม่แน่พวกศิษย์ของมันอาจจะมาขโมยศพไปก็ได้ แล้วไปบอกกับประชาชนทั้งหลายว่า ‘เขาฟื้นขึ้นจากความตาย’ การหลอกลวงครั้งนี้จะเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก” 65 ปีลาตพูดกับพวกเขาว่า “เอาทหารไปเฝ้าอุโมงค์ฝังศพให้แน่นหนาเท่าที่พวกคุณจะทำได้” 66 ดังนั้นพวกเขาไปที่อุโมงค์ฝังศพ จัดเวรยามดูแลอย่างแน่นหนา และได้ประทับตราไว้บนหินที่ปิดปากทางเข้าอุโมงค์ฝังศพ
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International