Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
โยชูวา 23

คำอำลาของโยชูวาต่อประชาชน

23 เมื่อผ่านไปหลายปี และพระยาห์เวห์ได้ให้ชาวอิสราเอลอยู่อย่างสงบสุข ไม่มีอันตรายจากศัตรูรอบด้าน และโยชูวาก็แก่มากแล้ว โยชูวาได้เรียกชาวอิสราเอลทั้งหมด พวกผู้ใหญ่ ผู้นำ ผู้พิพากษา และเจ้าหน้าที่ทั้งหลายให้มาชุมนุมพร้อมกัน เขาได้พูดกับพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าก็แก่มากแล้ว และพวกท่านเองก็ได้เห็นสิ่งต่างๆที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทำกับชนชาติทั้งหมดเหล่านี้เพื่อพวกท่านแล้ว เพราะเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่ได้ต่อสู้เพื่อพวกท่าน อย่าลืมว่า ข้าพเจ้าได้จับสลากแบ่งแผ่นดินของชนชาติที่เหลืออยู่นี้ให้เป็นมรดกกับเผ่าต่างๆของพวกท่าน รวมกับแผ่นดินของชนชาติทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเอาชนะไปแล้ว ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดน ไปทางทิศตะวันตก จนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พระยาห์เวห์เองที่เป็นพระเจ้าของพวกท่านจะขับไล่พวกเขาไปจากหนทางของท่าน และพระองค์จะผลักดันพวกเขาออกไปต่อหน้าท่าน และท่านจะได้ยึดครองดินแดนของเขาเหล่านั้นตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้สัญญาไว้

ให้ตั้งมั่นคงในการเชื่อฟังทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือกฎ[a] ของโมเสสอย่างเคร่งครัด โดยไม่หันซ้ายหันขวา เพื่อว่าท่านจะไม่ไปคบหากับชนชาติเหล่านี้ที่ยังหลงเหลืออยู่ในหมู่พวกท่าน หรือไปออกชื่อบรรดาพระของพวกเขา หรือสาบานในนามของพระของพวกเขา หรือไปรับใช้หรือกราบไหว้พระเหล่านั้น ท่านต้องผูกพันกับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอย่างที่ทำมาจนถึงทุกวันนี้

พระยาห์เวห์ได้ขับไล่พวกชนชาติที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจไปต่อหน้าท่าน และไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านพวกท่านได้จนถึงทุกวันนี้ 10 คนเดียวจากพวกท่านสามารถเอาชนะศัตรูเป็นพันคนได้ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านต่อสู้เพื่อท่านตามที่พระองค์ให้สัญญาไว้ 11 ดังนั้นให้ระวังตัวให้ดีที่จะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน

12 แต่ถ้าพวกท่านหันเหไปและไปผูกพันกับผู้รอดชีวิตจากชนชาติเหล่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ท่ามกลางพวกท่าน และถ้าพวกท่านไปแต่งงานกับพวกเขา หรือไปคบหาติดต่อกัน 13 พวกท่านควรรู้ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะไม่ขับไล่คนเหล่านั้นไปจากหน้าพวกท่านอีกต่อไป พวกเขาจะเป็นเหมือนบ่วงและกับดักจับพวกท่าน เป็นหอกข้างแคร่[b] และเป็นหนามยอกตาของพวกท่าน จนกว่าพวกท่านพินาศไปจากแผ่นดินที่ดีนี้ ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้มอบไว้ให้กับพวกท่าน

14 ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังจะตายแล้ว และพวกท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีคำสัญญาดีๆอันไหนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ให้ไว้กับท่าน แล้วต้องล้มเหลวไป ทุกอย่างสำเร็จหมด ไม่มีแม้แต่สิ่งเดียวที่ล้มเหลว 15 อย่างที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เคยทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี ที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับท่าน เกิดขึ้นจริง พระยาห์เวห์ก็สามารถนำเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่พระองค์ได้เตือนท่านแล้ว ให้เกิดขึ้นได้ด้วยเหมือนกัน จนกว่าพระองค์จะทำลายพวกท่านไปจากแผ่นดินที่ดีนี้ ที่พระองค์ได้มอบให้กับพวกท่าน 16 ถ้าท่านไม่รักษาข้อตกลงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ที่พระองค์ได้สั่งท่านไว้ และไปรับใช้พระอื่นๆแล้วไปกราบไหว้พระเหล่านั้น ความโกรธเกรี้ยวของพระยาห์เวห์ก็จะเผาผลาญพวกท่าน และพวกท่านจะพินาศไปอย่างรวดเร็วจากแผ่นดินที่ดีที่พระองค์ได้ให้ไว้กับพวกท่าน”

กิจการ 3

เปโตรรักษาคนง่อย

วันหนึ่งตอนบ่ายสามโมง ซึ่งเป็นเวลาสำหรับการอธิษฐาน เปโตรและยอห์นเดินไปที่วิหาร มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยมาตั้งแต่เกิด ทุกวันจะมีคนอุ้มมาวางไว้ที่ประตูวิหาร ซึ่งประตูนั้นเรียกว่าประตูงาม เพื่อขอทานกับคนที่เดินเข้ามาในวิหารนี้ พอชายคนนี้เห็นเปโตร และยอห์นกำลังเดินมา เขาก็ร้องขอเงิน เปโตรกับยอห์นจ้องไปที่ชายคนนี้แล้วพูดว่า “มองดูพวกเราสิ” ชายขอทานก็มองไปที่คนทั้งสอง เพราะคิดว่าจะได้เงินจากพวกเขา แต่เปโตรพูดว่า “ผมไม่มีเงินทองหรอก แต่ผมมีอย่างอื่นจะให้ ด้วยอำนาจของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ ลุกขึ้นเดินเดี๋ยวนี้” แล้วเปโตรก็จับมือขวาของชายคนนั้นพยุงให้ลุกขึ้นมา เท้าและข้อเท้าของเขาก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที เขาเดินกระโดดโลดเต้นร้องสรรเสริญพระเจ้า และเขาเข้าไปในวิหารพร้อมกับเปโตรและยอห์น คนทั้งหมดมองเห็นเขาเดินร้องสรรเสริญพระเจ้า 10 ทุกคนจำได้ว่าเขาคือชายที่นั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามนั้น พวกเขาจึงแปลกใจมากและพากันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนนี้

เปโตรพูดกับผู้คน

11 ชายคนนี้ไม่ยอมห่างเปโตรและยอห์นไปไหนเลย คนทั้งหมดต่างก็แปลกใจ และวิ่งตามกันมาดูพวกเขาที่ระเบียงของซาโลมอน 12 เมื่อเปโตรเห็นอย่างนั้น ก็พูดกับพวกเขาว่า “ชาวอิสราเอล พวกคุณแปลกใจกับเรื่องนี้ทำไม แล้วจ้องมองเราทำไม ทำอย่างกับว่าเราทำให้ชายคนนี้เดินได้ด้วยอำนาจหรือความเคร่งศาสนาของเราเองอย่างนั้นแหละ 13 พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ ซึ่งเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเรา ได้ทำให้คนเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์ พระเยซูก็คือคนที่พวกคุณได้ส่งไปให้เขาฆ่า และพวกคุณไม่ยอมรับพระองค์ต่อหน้าปีลาต ทั้งๆที่ปีลาตตัดสินใจปล่อยพระองค์ให้เป็นอิสระ 14 คุณไม่ยอมรับองค์พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ทำตามใจพระเจ้า แต่กลับขอให้ปีลาตปล่อยตัวฆาตกรแทน 15 พวกคุณได้ฆ่าผู้ที่ให้ชีวิต แต่พระเจ้าได้ทำให้พระองค์ฟื้นขึ้นมาใหม่ เราเป็นพยานได้ในเรื่องนี้ 16 ชายง่อยคนนี้หายได้ เพราะความเชื่อในฤทธิ์เดชของพระเยซู คุณก็เห็นและรู้จักเขาดีนี่ แต่ความเชื่อของเราในฤทธิ์เดชของพระเยซูทำให้เขาหายเป็นปกติอย่างที่พวกคุณเห็นอยู่ 17 พี่น้องครับ ผมรู้นะว่าที่พวกคุณและพวกผู้นำของคุณได้ทำอย่างนั้นกับพระเยซู พวกคุณเองก็ไม่รู้หรอกว่าได้ทำอะไรลงไป 18 แต่พระเจ้าได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ผ่านทางปากของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมาน แล้วตอนนี้พระเจ้าก็ทำให้มันเกิดขึ้นจริง 19 ดังนั้นกลับตัวกลับใจเสียใหม่ หันกลับมาหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะลบล้างความบาปให้กับคุณ 20 แล้วองค์เจ้าชีวิตก็จะให้ความสดชื่นกับคุณอีกครั้ง และพระองค์จะส่งพระเยซู ผู้ที่พระองค์ได้เลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มาให้กับคุณอีกด้วย 21 แต่พระเยซูจะต้องอยู่ในสวรรค์ก่อน จนกว่าพระเจ้าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ใหม่เสียก่อน เหมือนกับที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ในสมัยก่อน ผ่านทางคนเหล่านั้นที่ถูกอุทิศไว้ให้เป็นให้พูดแทนพระองค์ 22 โมเสสพูดว่า ‘องค์เจ้าชีวิต พระเจ้าของคุณจะแต่งตั้งผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งที่เหมือนกับผมนี้ให้กับคุณ โดยที่เขาจะเป็นคนหนึ่งในพวกคุณ คุณจะต้องฟังทุกอย่างที่เขาบอก 23 ใครไม่เชื่อฟังผู้พูดแทนพระเจ้าคนนี้ก็จะต้องตาย และถูกตัดออกจากการเป็นคนของพระเจ้า’[a] 24 ซามูเอลและผู้พูดแทนพระเจ้าคนอื่นๆที่มาทีหลังต่างก็พูดถึงเวลานี้กันทั้งนั้น 25 คุณเป็นลูกหลานของผู้พูดแทนพระเจ้าเหล่านั้น และมีส่วนร่วมในคำสัญญาที่พระเจ้าได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของคุณด้วย พระองค์พูดกับอับราฮัมว่า ‘ทุกชนชาติในโลกจะได้รับพระพรผ่านทางลูกหลานของเจ้า’[b] 26 เมื่อพระเจ้าได้เลือกพระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ก็ได้ส่งพระเยซูมาให้กับพวกคุณชาวอิสราเอลก่อน เพื่ออวยพรพวกคุณ ให้แต่ละคนหันหลังให้กับความชั่วร้ายของตัวเอง”

เยเรมียาห์ 12

เยเรมียาห์บ่นให้พระเจ้าฟัง

12 พระยาห์เวห์ เมื่อข้าพเจ้าโต้แย้งกับพระองค์ในศาล
    พระองค์ได้รับการตัดสินว่าถูกเสมอ
แต่ข้าพเจ้าอยากจะพูดถึงความยุติธรรมกับพระองค์
    ทำไมคนหลอกลวงถึงได้เจริญเอาเจริญเอา
    ทำไมพวกวางแผนชั่วถึงประสบความสำเร็จ
พระองค์ปลูกพวกเขาแล้วพวกเขาก็หยั่งรากลงไป
    และเจริญงอกงามแถมยังออกลูกด้วย
พวกเขาพูดถึงพระองค์บ่อยๆ
    แต่พวกเขาไม่จริงใจต่อพระองค์เลย
แต่พระยาห์เวห์ พระองค์รู้จักข้าพเจ้า
    พระองค์เคยเห็นข้าพเจ้าและพระองค์เองก็เคยทดสอบจิตใจของข้าพเจ้าแล้ว
ขอให้พระองค์ลากพวกนั้นไปเหมือนลากแกะไปเชือดเถิด
    คัดพวกมันไว้รอวันเชือดเถิด
แผ่นดินจะแห้งแล้งไปอีกนานแค่ไหน
    และหญ้าในท้องทุ่งทุกที่จะเหี่ยวแห้งไปถึงเมื่อไหร่
เพราะความชั่วช้าของคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น
    พวกสัตว์และนกถึงถูกกวาดไปเรียบ
    สิ่งนี้ก็จะเกิดขึ้นด้วย เพราะพวกเขาพูดว่า “พระองค์ไม่เห็นหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา”

พระเจ้าตอบเยเรมียาห์

พระยาห์เวห์พูดว่า
“ถ้าเจ้าวิ่งแข่งกับมนุษย์ที่มีเท้าเหมือนกับเจ้าและพวกเขาทำให้เจ้าหมดแรง
    เจ้าจะไปวิ่งแข่งกับม้าได้ยังไง
ถ้าเจ้ายังสะดุดล้มลงในแผ่นดินที่มีความปลอดภัย
    แล้วเจ้าจะทำยังไงในป่าทึบริมแม่น้ำจอร์แดน
ที่เราพูดอย่างนี้ก็เพราะแม้แต่พี่น้องและญาติสนิทของเจ้า
    ยังวางแผนทรยศเจ้าเลย
    ถึงพวกเขาจะร้องเรียกหาเจ้าสุดเสียง
ก็อย่าได้ไปหลงเชื่อพวกเขา
    ถึงแม้พวกเขาจะพูดหวานกับเจ้า

พระยาห์เวห์ได้ทอดทิ้งยูดาห์คนของพระองค์

พระยาห์เวห์พูดว่า
    เราได้ทอดทิ้งวิหารของเราไป
เราได้ละทิ้งมรดกของเราไป
    เราได้ทิ้งยูดาห์คนที่เรารักไว้ในเงื้อมมือศัตรูของนาง
คนที่เราเรียกว่าคนของเราได้กลายเป็นเหมือนสิงโตป่าต่อเรา
นางได้ส่งเสียงคำรามใส่เรา
    ดังนั้น เราจึงเกลียดนาง
คนของเรากลายเป็นเหมือนนกล่อเหยื่อสำหรับเราหรือยังไง
    หรือมีนกล่อเหยื่อรายล้อมนางอยู่หรือ
รวบรวมสัตว์ป่าทั้งหมดเข้ามา
    เพื่อว่าพวกมันจะได้กินนาง
10 คนเลี้ยงแกะหลายคนทำลายไร่องุ่นของเรา
    พวกเขาได้เหยียบย่ำส่วนแบ่งของเราจนราบเรียบ
พวกเขาได้ทำให้ส่วนแบ่งที่เรารักกลายเป็นทะเลทรายร้าง
11 พวกเขาได้ทำให้มันกลายเป็นที่ดินเปล่าประโยชน์
    ดังนั้นที่ดินที่เปล่าประโยชน์นั้นจึงร้องทุกข์ต่อเรา
ที่ดินทั้งหมดถูกปล่อยร้างว่างเปล่า
    แต่ก็ไม่มีใครสนใจใยดี
12 ดังนั้นนักทำลายจึงเดินทางมาจากที่แห้งแล้งในทะเลทราย
    ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะดาบของพระยาห์เวห์กำลังกลืนกินจากสุดปลายโลกด้านหนึ่งไปสุดปลายอีกด้านหนึ่ง
    ไม่มีสันติสุขสำหรับสิ่งมีชีวิตหน้าไหนทั้งสิ้น
13 พวกเขาปลูกข้าวสาลี
    แต่กลับเก็บเกี่ยวหนาม
พวกเขาทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย
    แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ
แล้วพวกเขาจะต้องอับอายกับผลผลิตของตัวเอง
    เพราะพระยาห์เวห์จะระบายความโกรธใส่พวกเขา”

คำสัญญาที่พระยาห์เวห์ให้กับเพื่อนบ้านของอิสราเอล

14 พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้ คือ “เกี่ยวกับพวกคนชั่วช้าที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินที่อยู่ใกล้กับมรดก ที่เราได้ให้กับคนอิสราเอลนั้น เราจะถอนรากพวกเขาจากแผ่นดินของตัวเอง และถอนรากครอบครัวของยูดาห์ออกไปจากพวกเขาด้วย

15 หลังจากถอนรากพวกเขาแล้ว เราก็จะแสดงความเมตตากับพวกเขาอีกครั้ง เราจะพาพวกเขากลับมา ให้แต่ละคนกลับไปยังมรดกของตัวเอง และแต่ละคนก็จะได้กลับไปยังที่ดินของตัวเอง

16 ในอดีตพวกเขาเคยสอนคนของเราให้สาบานกับพระบาอัล แต่ตอนนี้ถ้าพวกเขาเรียนรู้วิถีทางของคนของเราจริงๆโดยสาบานในนามของเรา ด้วยการพูดว่า ‘พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ฉันใด …’ ถ้าทำอย่างนี้ พวกเขาก็จะเจริญขึ้นท่ามกลางคนของเรา

17 แต่ถ้าพวกเขาไม่ยอมฟัง เราก็จะถอนรากชนชาตินี้ และทำลายมันทิ้งอย่างแน่นอน” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้

มัทธิว 26

ผู้นำชาวยิววางแผนฆ่าพระเยซู

(มก. 14:1-2; ลก. 22:1-2; ยน. 11:45-53)

26 เมื่อพระเยซูพูดเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว พระองค์บอกกับพวกศิษย์ว่า “พวกคุณก็รู้แล้วว่า อีกสองวันจะถึงเทศกาลวันปลดปล่อย และบุตรมนุษย์จะถูกส่งมอบไปให้ศัตรูเพื่อเอาไปตรึงที่กางเขน”

พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสมาประชุมกันที่บ้านของคายาฟาสนักบวชสูงสุด พวกเขาวางแผนจับตัวพระเยซูไปฆ่า แต่พวกเขาตกลงกันว่า “อย่าเพิ่งทำในช่วงเทศกาล เพราะประชาชนจะก่อการจลาจลขึ้น”

หญิงคนหนึ่งชโลมน้ำหอมบนศีรษะพระเยซู

(มก. 14:3-9; ยน. 12:1-8)

ในเมืองเบธานี ขณะที่พระเยซูอยู่ที่บ้านของซีโมนที่เคยเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง มีผู้หญิงคนหนึ่งถือขวดใส่น้ำหอมราคาแพงมากมาหาพระองค์ เธอชโลมน้ำหอมลงบนศีรษะของพระองค์ ขณะที่พระองค์กำลังกินอาหารอยู่

เมื่อพวกศิษย์เห็นอย่างนั้นก็โกรธ ต่างพูดกันว่า “ทำไมถึงทำให้เสียของอย่างนี้ มันคงขายได้เงินมากทีเดียว แล้วก็เอาเงินนั้นไปแจกจ่ายให้กับคนจน”

10 เมื่อพระเยซูได้ยิน จึงห้ามพวกศิษย์ว่า “ไปวุ่นวายกับเธอทำไม เธอได้ทำสิ่งที่ดีงามให้กับเรา 11 พวกคุณจะมีคนจนอยู่ด้วยเสมอ[a] แต่เราจะไม่อยู่กับพวกคุณเสมอไป 12 ที่เธอเทน้ำหอมลงบนตัวเรานั้น ก็เพื่อเตรียมเราไว้สำหรับการฝังศพ 13 เราจะบอกให้รู้ว่า ไม่ว่าข่าวดีนี้จะประกาศออกไปที่ไหนๆในโลกนี้ ก็จะมีคนพูดถึงเรื่องที่เธอทำให้กับเรานี้เสมอ เพื่อเป็นการระลึกถึงเธอ”

ยูดาสกลายเป็นศัตรูของพระเยซู

(มก. 14:10-11; ลก. 22:3-6)

14 ยูดาส อิสคาริโอท ศิษย์เอกคนหนึ่งในสิบสองคนของพระเยซู ได้ไปพบพวกหัวหน้านักบวช 15 เขาถามว่า “ถ้าผมส่งตัวพระเยซูให้ จะจ่ายให้ผมเท่าไหร่” แล้วพวกเขาก็ให้เงินยูดาสสามสิบเหรียญ 16 ตั้งแต่นั้นมา ยูดาสก็คอยจ้องหาโอกาสที่จะส่งพระเยซูให้กับพวกเขา

พระเยซูกินอาหารมื้อพิเศษในเทศกาลวันปลดปล่อย

(มก. 14:12-21; ลก. 22:7-14, 21-23; ยน. 13:21-30)

17 วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พวกศิษย์ได้เข้ามาถามพระเยซูว่า “อาจารย์จะให้พวกเราเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยให้อาจารย์ที่ไหนครับ”

18 พระเยซูตอบว่า “ให้เข้าไปในเมืองหาชายคนหนึ่ง แล้วบอกเขาว่า ‘อาจารย์บอกว่า เวลาของเราใกล้มาถึงแล้ว เราจะเลี้ยงฉลองเทศกาลวันปลดปล่อยกับพวกศิษย์ของเราที่บ้านของคุณ’” 19 พวกศิษย์ทำตามที่พระเยซูบอก และจัดเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยที่นั่น

20 เมื่อถึงตอนเย็น พระเยซูเอนตัวอยู่ที่โต๊ะอาหาร พร้อมกับศิษย์ทั้งสิบสองคน 21 ขณะที่กำลังกินกันอยู่นั้น พระเยซูได้พูดขึ้นว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนหนึ่งในพวกคุณจะหักหลังเรา”

22 พวกศิษย์ตระหนกตกใจมาก ต่างถามพระองค์ว่า “คงไม่ใช่ผมนะ อาจารย์”

23 พระเยซูตอบว่า “คนที่เอามือจิ้มลงในชามเดียวกับเราจะเป็นคนที่หักหลังเรา 24 บุตรมนุษย์จะต้องตาย เหมือนกับที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้แล้ว แต่คนที่หักหลังบุตรมนุษย์นี้น่าละอายจริงๆ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมา ก็คงจะดีกว่า”

25 พอยูดาสคนที่จะหักหลังพระองค์ถามว่า “คงไม่ใช่ผมนะ อาจารย์” พระองค์จึงตอบว่า “คุณนั่นแหละ”

ขนมปังและเหล้าองุ่น

(มก. 14:22-26; ลก. 22:15-20; 1 คร. 11:23-25)

26 ขณะที่กำลังกินกันอยู่นั้น พระเยซูหยิบขนมปังมา ขอบคุณพระเจ้า จากนั้นหักขนมปังให้พวกศิษย์และพูดว่า “รับไปกินสิ นี่คือร่างกายของเรา”

27 แล้วพระองค์หยิบถ้วยขึ้นมา ขอบคุณพระเจ้า ส่งไปให้พวกเขาและพูดว่า “ให้ทุกคนดื่มจากถ้วยนี้ 28 เพราะนี่คือเลือดของเรา พระเจ้าได้ทำสัญญาขึ้นมาด้วยเลือดนี้ มันได้หลั่งไหลออกมาเพื่อยกโทษให้กับความบาปของคนทั้งหลาย 29 เราจะบอกให้รู้ว่า เราจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นนี้อีก จนกว่าจะถึงวันนั้นที่เราจะได้ดื่มเหล้าองุ่นใหม่ด้วยกันกับพวกคุณในอาณาจักรของพระบิดาเรา”

30 เมื่อพวกเขาได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าแล้ว ก็ออกไปที่ภูเขามะกอกเทศ

พระเยซูทำนายว่าพวกศิษย์จะทิ้งพระองค์

(มก. 14:27-31; ลก. 22:31-34; ยน. 13:36-38)

31 พระเยซูบอกพวกศิษย์ว่า “คืนนี้พวกคุณจะทิ้งเราไปกันหมดทุกคน เหมือนกับที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า

‘เราจะฆ่าคนเลี้ยงแกะ
    และแกะฝูงนั้นจะกระเจิดกระเจิงไป’[b]

32 แต่เมื่อเราฟื้นขึ้นมา เราจะล่วงหน้าพวกคุณไปที่แคว้นกาลิลีก่อน”

33 เปโตรตอบว่า “ถึงแม้คนอื่นๆจะทิ้งอาจารย์ไปหมด แต่ผมจะไม่มีวันทำอย่างนั้น”

34 พระเยซูจึงตอบเปโตรว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คืนนี้ก่อนไก่ขัน คุณจะพูดว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง”

35 แต่เปโตรยืนยันว่า “ถึงผมจะต้องตายกับอาจารย์ ผมก็ไม่มีวันพูดว่าไม่รู้จักอาจารย์” และพวกศิษย์ทั้งหมดก็พูดอย่างเดียวกัน

พระเยซูอธิษฐานตามลำพัง

(มก. 14:32-42; ลก. 22:39-46)

36 จากนั้นพระเยซูก็พาศิษย์ไปที่สวนแห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี และบอกพวกศิษย์ว่า “นั่งคอยอยู่ที่นี่นะ เราจะไปอธิษฐานทางโน้น” 37 พระองค์พาเปโตรกับลูกทั้งสองคนของเศเบดีไปด้วย พระองค์รู้สึกโศกเศร้าและเป็นทุกข์มาก 38 พระองค์จึงบอกพวกเขาว่า “เราทุกข์ใจมากจนแทบจะตายอยู่แล้ว ให้ตื่นและเฝ้าระวังอยู่กับเราหน่อย”

39 พระองค์เดินห่างออกไปนิดหนึ่ง ก้มหน้าซบลงกับพื้นดิน แล้วอธิษฐานว่า “พระบิดา ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ถ้วย[c] แห่งความทุกข์ยากนี้ผ่านพ้นไปจากลูกด้วยเถิด แต่ขอให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์ไม่ใช่ของลูก” 40 แล้วพระองค์ก็เดินกลับมาเห็นพวกศิษย์หลับอยู่ พระองค์จึงพูดกับเปโตรว่า “พวกคุณตื่นอยู่เป็นเพื่อนเราสักชั่วโมงไม่ได้เลยหรือ 41 ให้เฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อจะได้ไม่แพ้ต่อการยั่วยวน ถึงแม้จิตใจอยากจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ร่างกายยังอ่อนแออยู่”

42 พระองค์เดินกลับไป และอธิษฐานเป็นครั้งที่สองว่า “พระบิดา ถ้าถ้วยแห่งความทุกข์ยากนี้ผ่านพ้นลูกไปไม่ได้ นอกจากลูกจะต้องดื่มมัน ก็ขอให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์เถิด” 43 จากนั้นพระองค์ก็เดินกลับมา ก็พบว่าพวกศิษย์ยังหลับอยู่ เพราะเปลือกตาเขาหนักอึ้งจนลืมไม่ขึ้น 44 พระองค์จึงเดินไปจากพวกเขา และอธิษฐานเหมือนเดิมอีกเป็นครั้งที่สาม 45 พระองค์เดินกลับมาที่พวกศิษย์อีก และพูดว่า “ยังนอนหลับพักผ่อนกันอยู่อีกหรือ ชั่วโมงที่บุตรมนุษย์จะถูกหักหลังให้ไปอยู่ในมือของพวกคนบาปนั้นมาถึงแล้ว 46 ลุกขึ้นไปกันเถอะ นั่นไงคนที่หักหลังเรามาถึงแล้ว”

พระเยซูถูกจับ

(มก. 14:43-50; ลก. 22:47-53; ยน. 18:3-12)

47 พระองค์พูดยังไม่ทันขาดคำ ยูดาสศิษย์คนหนึ่งในสิบสองคนของพระองค์ก็มาถึง พร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ที่ถือทั้งดาบและไม้กระบอง คนพวกนี้ถูกส่งมาจากพวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโส 48 ยูดาสได้ตกลงกับพวกนั้นไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่า “คนที่ผมจูบคือคนๆนั้น เข้าไปจับกุมได้เลย” 49 ยูดาสก็ตรงเข้าไปหาพระเยซูทันที พร้อมกับพูดว่า “สวัสดีครับ อาจารย์” และจูบพระองค์

50 พระเยซูจึงพูดกับเขาว่า “เพื่อนเอ๋ย มาทำอะไรก็รีบทำไปเลย” แล้วคนเหล่านั้น ก็เข้ามาจับตัวพระองค์และคุมตัวไว้ 51 ศิษย์คนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซูจึงชักดาบออกมาแล้วก็ฟันถูกหูทาสคนหนึ่งของหัวหน้านักบวชสูงสุดขาดไป

52 พระเยซูพูดกับเขาว่า “เก็บดาบใส่ฝักเสีย เพราะคนที่ใช้ดาบจะตายเพราะดาบ 53 คุณคิดว่า เราจะขอความช่วยเหลือจากพระบิดาเราไม่ได้หรือ พระองค์จะส่งทูตสวรรค์มาให้กับเรามากกว่าสิบสองกอง[d] ได้ทันที 54 แต่ถ้าเราทำอย่างนั้น มันก็จะไม่เป็นไปตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้”

55 แล้วพระเยซูก็พูดกับคนกลุ่มใหญ่นั้นว่า “เห็นเราเป็นโจรหรือยังไง ถึงได้ถือดาบและไม้กระบองมาจับเรา ตอนที่เรานั่งสอนอยู่ในวิหารทุกวัน กลับไม่มาจับ 56 แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ก็เพื่อจะได้เป็นจริงตามที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าได้เขียนไว้” แล้วพวกศิษย์ของพระองค์ได้ทิ้งพระองค์และหนีไป

พระเยซูอยู่ต่อหน้าผู้นำชาวยิว

(มก. 14:53-65; ลก. 22:54-55, 63-71; ยน. 18:13-14, 19-24)

57 พวกนั้นจับพระเยซูไปที่บ้านของคายาฟาสหัวหน้านักบวชสูงสุด ที่พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกผู้นำอาวุโสได้ประชุมกันอยู่ 58 เปโตรตามพระองค์มาห่างๆจนถึงลานบ้านของหัวหน้านักบวชสูงสุด แล้วเขาเข้าไปนั่งอยู่ในลานบ้านกับพวกผู้คุม เพื่อดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

59 พวกหัวหน้านักบวชและสมาชิกสภาแซนฮีดรินทั้งหมดพยายามหาพยานเท็จมาปรักปรำพระเยซู เพื่อจะได้ฆ่าพระองค์ 60 แต่ก็หาไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าจะมีพยานเท็จมาปรักปรำพระองค์หลายคน พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานที่ดีพอที่จะตัดสินฆ่าพระองค์ได้ 61 ในที่สุดก็มีสองคนให้การว่า “ชายคนนี้เคยพูดว่า ‘เราสามารถทำลายวิหารของพระเจ้า และสร้างขึ้นมาใหม่ภายในสามวัน’”

62 หัวหน้านักบวชสูงสุดจึงยืนขึ้น ถามพระเยซูว่า “แกจะไม่แก้ตัวในสิ่งที่เขากล่าวหาแกหรือ” 63 แต่พระเยซูยังนิ่งเงียบ หัวหน้านักบวชสูงสุด จึงพูดกับพระองค์ว่า “เราขอสั่งแกในนามของพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ บอกพวกเรามาสิว่า แกคือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าหรือเปล่า”

64 พระองค์จึงตอบเขาว่า “ท่านพูดถูกแล้ว แต่เราจะบอกให้รู้ว่า ในอนาคตท่านจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่ทางขวาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และเสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า”

65 แล้วหัวหน้านักบวชสูงสุด ก็ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองและพูดว่า “มันพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าชัดๆ เรายังต้องการพยานอะไรอีก เห็นไหม พวกคุณก็ได้ยินคำหมิ่นประมาทแล้ว 66 พวกคุณคิดว่าอย่างไร” พวกเขาตอบว่า “มันมีความผิด มันสมควรตาย”

67 พวกเขาถ่มน้ำลายรดหน้าพระองค์ และชกต่อยพระองค์ บางคนก็ตบหน้าพระองค์ 68 และพูดว่า “ทายมาสิ ไอ้คริสต์ ใครตบหน้าแก”

เปโตรไม่ยอมรับว่ารู้จักพระเยซู

(มก. 14:66-72; ลก. 22:56-62; ยน. 18:15-18, 25-27)

69 ในขณะเดียวกัน เปโตรกำลังนั่งอยู่ข้างนอกที่ลานบ้าน และสาวใช้คนหนึ่งเข้ามาทักเขาว่า “แกก็อยู่กับเยซูคนกาลิลีด้วยนี่นา”

70 แต่เปโตรพูดต่อหน้าทุกคนว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร”

71 แล้วเขาก็เดินออกไปที่ประตูบ้าน สาวใช้อีกคนที่เห็นเขาก็บอกกับทุกคนที่อยู่ตรงนั้นว่า “คนนี้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย”

72 เปโตรปฏิเสธว่า “สาบานได้เลย ผมไม่เคยรู้จักชายคนนั้น”

73 อีกสักครู่หนึ่ง คนที่ยืนอยู่ที่นั่นก็เดินเข้ามาหาเปโตร และพูดว่า “แกเป็นหนึ่งในพวกนั้นแน่ๆ สำเนียงของแกมันฟ้องอยู่ชัดๆ”

74 เปโตรขอให้ตัวเองถูกสาปแช่งถ้าโกหก แล้วเขาสาบานว่า “ผมไม่รู้จักชายคนนี้” ทันใดนั้นไก่ก็ขัน 75 เปโตรจึงนึกขึ้นได้ถึงคำพูดที่พระเยซูเคยบอกกับเขาว่า “ก่อนไก่ขัน คุณจะพูดว่าไม่รู้จักเราสามครั้ง” เปโตรออกไปข้างนอก แล้วร้องไห้อย่างขมขื่น

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International