M’Cheyne Bible Reading Plan
การทำลายเมืองอัย
8 จากนั้นพระยาห์เวห์ได้พูดกับโยชูวาว่า “อย่าได้กลัวหรือท้อถอย ให้นำเหล่านักรบทั้งหมดไปกับเจ้า และขึ้นไปยังเมืองอัย[a] ดูเถิด เราได้มอบกษัตริย์เมืองอัย ประชาชนของเขา รวมทั้งเมืองและแผ่นดินของเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว 2 เจ้าจะทำกับเมืองอัยและกษัตริย์ของเมืองนี้ อย่างกับที่เจ้าได้ทำกับเมืองเยริโคและกษัตริย์ของเขามาแล้ว แต่ครั้งนี้ เจ้าจะได้รับอนุญาตให้เก็บทรัพย์สมบัติในเมืองและสัตว์เลี้ยงไว้เป็นของพวกเจ้าได้ ให้จัดทหารไว้ซุ่มโจมตีจากทางด้านหลังของเมือง”
3 ดังนั้นโยชูวาจึงได้นำทหารทั้งหมดขึ้นไปเมืองอัย โยชูวาได้คัดทหารชั้นเยี่ยมออกมาสามหมื่นคน และส่งพวกเขาออกไปในตอนกลางคืน 4 เขาได้สั่งพวกทหารกลุ่มนี้ว่า “ฟังให้ดี ให้พวกเจ้าคอยดักซุ่มอยู่ทางด้านหลังของเมือง อย่าไปไกลจากเมืองนัก ให้พวกเจ้าทั้งหมดตื่นตัวอยู่ตลอด 5 เราและประชาชนของเราจะเข้าประชิดตัวเมือง เมื่อพวกเขาออกมาต่อสู้กับพวกเรา พวกเราก็จะแกล้งถอยหนีพวกเขาเหมือนครั้งก่อน 6 พวกเขาจะได้ตามเราออกมา จนกว่าเราได้ล่อให้พวกเขาออกห่างจากตัวเมือง เพราะพวกเขาจะพูดว่า ‘พวกนั้นกำลังหนีพวกเราเหมือนครั้งก่อน’ ดังนั้น พอพวกเราหนีพวกเขาออกไปนั้น 7 ถึงตอนนั้น ก็ให้พวกเจ้าลุกขึ้นจากที่ซ่อน และเข้ายึดเมืองไว้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าก็จะมอบเมืองนี้ไว้ในมือของพวกเจ้า
8 เมื่อพวกเจ้ายึดเมืองได้ ให้จุดไฟเผาเมืองซะ พวกเจ้าต้องทำตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ นี่คือคำสั่งทั้งหลายสำหรับพวกเจ้า ไปลงมือได้เลย”
9 แล้วโยชูวาก็ได้ส่งพวกเขาออกไป พวกเขาได้ไปยังที่ซ่อนตัวของพวกเขา พวกเขาได้แอบซุ่มอยู่ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย ทางทิศตะวันตกของเมืองอัย แต่ในคืนนั้นโยชูวายังอยู่ในค่ายกับประชาชน
10 วันต่อมา โยชูวาตื่นแต่เช้าตรู่ และได้เรียกประชาชนให้มารวมตัวกัน แล้วเขากับพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลก็ได้นำทัพประชาชนขึ้นไปที่เมืองอัย 11 พวกทหารทั้งหมดที่อยู่กับเขาก็ได้เดินทัพขึ้นไป และเข้าใกล้เมืองอัย จนกระทั่งพวกเขาได้มาถึงด้านหน้าของเมือง จึงได้ตั้งค่ายอยู่ทางทิศเหนือของเมืองอัย มีหุบเขาคั่นระหว่างพวกเขากับเมืองอัย
12 โยชูวา ได้จัดกำลังคนประมาณห้าพันให้แอบซุ่มอยู่ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย ทางทิศตะวันตกของเมือง 13 พวกเขาได้วางกองกำลังไว้ตามที่ของมัน ค่ายหลักอยู่ทางทิศเหนือของเมือง และพวกที่ดักซุ่มก็อยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ในคืนนั้นโยชูวาได้เข้าไปในหุบเขา
14 เมื่อกษัตริย์เมืองอัยเห็นอย่างนั้น เขาและประชาชนในเมืองก็รีบออกมาแต่เช้าตรู่ เพื่อต่อสู้กับชาวอิสราเอล ปะทะกันที่ด้านหน้าของหุบเขาจอร์แดน แต่กษัตริย์เมืองอัยไม่รู้ว่ายังมีกองทหารอีกหนึ่งกองแอบซุ่มอยู่ทางด้านหลังของเมือง
15 โยชูวาและพวกทหารแกล้งทำเป็นพ่ายแพ้และวิ่งหนีไปทางทะเลทราย 16 ชาวเมืองอัยทุกคนถูกสั่งให้ไล่ตามพวกนั้นไป เมื่อพวกเขาไล่ตามโยชูวาไป พวกเขาก็ถูกล่อให้ออกห่างจากเมือง 17 ไม่มีผู้ชายเหลือเลยสักคนเดียวในเมืองอัยหรือเมืองเบธเอล เพราะผู้ชายทุกคนได้ออกไปไล่ตามชาวอิสราเอลจนหมด พวกเขาทิ้งประตูเมืองให้เปิดอยู่และไปไล่ตามชาวอิสราเอล
18 แล้วพระยาห์เวห์พูดกับโยชูวาว่า “ให้ยื่นหอกที่อยู่ในมือของเจ้าไปที่เมืองอัย เพราะเราจะมอบเมืองอัยให้อยู่ในกำมือของเจ้า” โยชูวาจึงยื่นหอกที่อยู่ในมือไปที่เมืองอัย 19 ทันใดนั้น ทหารที่แอบซุ่มอยู่ก็ออกมาจากที่ซ่อนของพวกเขาอย่างรวดเร็ว และรีบบุกไปข้างหน้าทันทีที่โยชูวายื่นมือของเขาออกไป พวกเขาได้เข้าไปในเมืองและยึดเมืองไว้ และรีบจุดไฟเผาเมือง
20 เมื่อชาวเมืองอัยเหลียวหลังมาดู ก็เห็นกลุ่มควันลอยออกมาจากเมืองพลุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่พวกเขาก็หมดทางหนี เพราะชาวอิสราเอลที่ก่อนหน้านี้ได้หนีไปทางทะเลทราย ได้หันกลับมาต่อสู้กับคนที่ไล่ล่าพวกเขา 21 คือ เมื่อโยชูวากับพวกชาวอิสราเอลเห็นว่าทหารที่แอบซุ่มอยู่ ได้เข้ายึดเมืองและได้เห็นควันจากในเมืองกำลังพลุ่งขึ้น พวกเขาก็ได้หันกลับมาโจมตีชาวเมืองอัย 22 พวกทหารอิสราเอลที่เคยแอบซุ่มอยู่ก็วิ่งออกมาจากเมืองเพื่อต่อสู้กับชาวเมืองอัย ดังนั้น ชาวเมืองอัยจึงถูกล้อมอยู่ในทุกๆด้าน ท่ามกลางชาวอิสราเอล และชาวอิสราเอลได้โจมตีพวกเขาจนไม่มีใครรอดชีวิตหรือหลบหนีไปได้ 23 แต่พวกเขาได้จับตัวกษัตริย์ของเมืองอัยไว้และได้นำตัวมาให้กับโยชูวา
การตรวจผลการสู้รบ
24 เมื่อชาวเมืองอิสราเอลได้ไล่ฆ่าชาวเมืองอัยที่วิ่งหนีไปในท้องทุ่ง และในทะเลทรายจนหมดเกลี้ยงทุกคนแล้ว กองทัพชาวอิสราเอลก็กลับเข้าสู่เมืองอัยและโจมตีคนในเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่ 25 ในวันนั้น พวกเขาฆ่าชาวเมืองอัยทั้งชายและหญิง ตายไปทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันคน 26 โยชูวาไม่ได้หดมือที่ถือหอกของเขากลับเข้ามา จนกระทั่งประชาชนของเมืองอัยถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น 27 แต่คนอิสราเอลได้ริบเอาสัตว์เลี้ยงและของมีค่าของเมืองไป ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโยชูวาไว้
28 แล้วโยชูวาได้เผาเมืองอัย และทำให้มันกลายเป็นซากปรักหักพังจนถึงทุกวันนี้ 29 และได้เสียบศพของกษัตริย์เมืองอัยบนต้นไม้จนกระทั่งถึงตอนเย็น และเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า โยชูวาจึงสั่งให้ปลดศพของกษัตริย์ลงมาจากต้นไม้และนำไปทิ้งไว้ที่ทางเข้าประตูเมือง แล้วพวกเขาได้ยกเอาก้อนหินมาทับไว้จนเป็นกองใหญ่และมันก็ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้
การอ่านคำอวยพรและคำสาปแช่ง
30 แล้วโยชูวาได้สร้างแท่นบูชาให้แก่พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอล บนภูเขาเอบาล 31 ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้สั่งชาวอิสราเอลไว้ โยชูวาสร้างมันขึ้นมาตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือกฎของโมเสส ที่ว่า “แท่นบูชาจะต้องทำจากพวกหินที่ไม่มีการตัดแต่ง ไม่มีการใช้เครื่องมือเหล็กใดๆบนแท่นบูชานี้” พวกเขาได้เผาเครื่องเผาบูชาให้แก่พระยาห์เวห์บนแท่นบูชานี้ และได้ถวายเครื่องสังสรรค์บูชาด้วย
32 ตรงนั้น โยชูวาได้คัดลอกกฎของโมเสสลงบนหินต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งหลาย 33 ชาวอิสราเอลทั้งหมด ชาวต่างชาติรวมทั้งคนที่เกิดในอิสราเอล พวกผู้นำอาวุโส พวกเจ้าหน้าที่ และพวกผู้พิพากษาทั้งหลาย ต่างยืนอยู่สองข้างของหีบเก็บข้อตกลงของพระยาห์เวห์ หันหน้าไปทางพวกนักบวชชาวเลวีที่แบกหีบนั้นอยู่ ประชาชนครึ่งหนึ่งก็ยืนอยู่ด้านหน้าภูเขาเกริซิม และประชาชนอีกครึ่งหนึ่งก็ยืนอยู่ด้านหน้าภูเขาเอบาล ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์เคยสั่งเอาไว้ก่อนหน้านี้ ตอนที่ท่านให้คำสั่งเกี่ยวกับการอวยพรชาวอิสราเอล[b]
34 หลังจากนั้น โยชูวาจึงอ่านถ้อยคำทั้งหมดจากกฎข้อปฏิบัตินั้น รวมทั้งคำอวยพรและคำสาปแช่ง ตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือกฎปฏิบัตินั้น 35 โยชูวาได้อ่านทุกๆคำที่โมเสสได้สั่งไว้ ต่อหน้าที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลทั้งหมด รวมทั้งผู้หญิง เด็กๆและคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา
พระยาห์เวห์รู้ทุกเรื่อง
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
1 ข้าแต่พระยาห์เวห์
พระองค์ได้สำรวจข้าพเจ้า และรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับข้าพเจ้า
2 ข้าพเจ้าจะนั่งลงหรือลุกขึ้น พระองค์ก็รู้
ข้าพเจ้าคิดอะไรอยู่ พระองค์ก็เข้าใจแม้พระองค์จะอยู่ห่างไกล
3 ไม่ว่าข้าพเจ้าจะไปที่ไหนหรือนอนที่ไหน พระองค์ก็เฝ้ามองอยู่
ข้าพเจ้าทำอะไร พระองค์ก็รับรู้หมด
4 ข้าแต่พระยาห์เวห์
พระองค์รู้ว่าข้าพเจ้าจะพูดอะไรก่อนที่ลิ้นของข้าพเจ้าจะพูดเสียอีก
5 พระองค์อยู่รอบตัวข้าพเจ้าทั้งหน้าหลัง
พระองค์วางมืออยู่บนข้าพเจ้า
6 ความรู้ของพระองค์น่าทึ่งเหลือเกินสำหรับข้าพเจ้า
สูงส่งเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้
7 ข้าพเจ้าจะหนีพระวิญญาณของพระองค์ไปไหนพ้น
ข้าพเจ้าหนีหน้าพระองค์ไปไหนได้
8 ถ้าข้าพเจ้าจะขึ้นไปบนสวรรค์พระองค์ก็อยู่ที่นั่น
ถ้าข้าพเจ้านอนลงที่แดนคนตายพระองค์ก็อยู่ที่นั่น
9 ถ้าข้าพเจ้าจะขึ้นมาพร้อมกับดวงอาทิตย์ทางตะวันออก
และข้ามขอบฟ้าไปตกอีกฝากหนึ่งของทะเล
10 แม้แต่ที่นั่น มือของพระองค์ก็ยังนำข้าพเจ้า
และมือขวาของพระองค์พยุงข้าพเจ้าไว้
11 ถ้าข้าพเจ้าขอให้ความมืดซ่อนตัวข้าพเจ้าไว้
และขอให้กลางวันกลายเป็นกลางคืนรอบตัวข้าพเจ้า
12 มันก็ยังไม่มืดเกินไปสำหรับพระองค์
สำหรับพระองค์แล้วกลางคืนก็สว่างเหมือนกลางวัน
สำหรับพระองค์แล้วกลางคืนและกลางวันไม่แตกต่างกันเลย
13 พระองค์สร้างทั้งจิตและใจของข้าพเจ้า
พระองค์ทอข้าพเจ้าเข้าด้วยกันในท้องแม่
14 ข้าพเจ้าจึงขอบคุณพระองค์เพราะงานของพระองค์นั้นช่างน่าเกรงขามและน่าทึ่ง
พระองค์รู้จักข้าพเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่ง
15 ตอนที่ข้าพเจ้าถูกก่อขึ้นมาในที่ลึกลับในท้องแม่
ตอนนั้นที่ข้าพเจ้าประกอบเข้าด้วยกันในสถานที่ที่มองไม่เห็น
ไม่มีกระดูกสักชิ้นหนึ่งของข้าพเจ้าที่รอดพ้นสายตาของพระองค์ไปได้
16 ดวงตาของพระองค์มองดูข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าจะเป็นรูปเป็นร่าง
ทุกวันคืนที่พระองค์ให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่
พระองค์ได้จดบันทึกไว้แล้วในสมุดของพระองค์ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นเสียอีก
17 ข้าแต่พระเจ้า ความคิดทั้งหลายของพระองค์นั้นยากเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้
รวมเข้าด้วยกันแล้วมันมากมายจนนับไม่ถ้วน
18 ถ้าข้าพเจ้านับความคิดเหล่านั้นได้ก็คงมีมากกว่าเม็ดทราย
ถ้าจะให้ข้าพเจ้านับหมด ข้าพเจ้าคงจะต้องมีชีวิตยืนยาวเท่ากับพระองค์
19 ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าหวังจะเห็นพระองค์ฆ่าคนชั่วเหลือเกิน
ไอ้พวกฆาตกรไปให้พ้นจากข้า
20 คนพวกนั้นพูดสิ่งไม่ดีเกี่ยวกับพระองค์
พวกศัตรูของพระองค์อ้างชื่อของพระองค์ในคำสาบานที่หลอกลวง
21 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าเกลียดชังคนเหล่านั้นที่เกลียดชังพระองค์
ข้าพเจ้ารังเกียจคนเหล่านั้นที่กบฏต่อพระองค์
22 ข้าพเจ้าเกลียดคนเหล่านั้นเข้ากระดูกดำ
ศัตรูของพระองค์คือศัตรูของข้าพเจ้าด้วย
23 ข้าแต่พระเจ้า โปรดสำรวจข้าพเจ้าโปรดรู้ถึงจิตใจของข้าพเจ้า
โปรดทดสอบ โปรดรู้ถึงสิ่งต่างๆที่ข้าพเจ้าเป็นห่วง
24 ดูสิว่า ข้าพเจ้าเดินผิดทางหรือเปล่า
โปรดนำข้าพเจ้าไปบนหนทางอันเก่าแก่นั้นที่ถูกต้องมาตลอด
ยูดาห์ไม่สัตย์ซื่อ
2 พระคำของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 2 “เยเรมียาห์ ไปพูดให้กับคนเยรูซาเล็มได้ยินว่า พระยาห์เวห์พูดว่า
เรายังจำได้ถึงความรักอันมั่นคงที่เจ้ามีให้กับเราเมื่อเจ้ายังเป็นเด็กอยู่
เรายังจำได้ถึงความรักที่เจ้ามีให้กับเราในฐานะเจ้าสาว
และเรายังจำได้ว่าเจ้าได้ติดตามเราไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง
และในดินแดนที่ยังไม่เคยเพาะปลูกมาก่อน
3 อิสราเอลนั้นถูกแยกออกมาสำหรับพระยาห์เวห์ เป็นผลแรกที่ดีเยี่ยมของสิ่งที่พระองค์ปลูก
ใครที่คิดจะกินส่วนนั้น ก็จะต้องถูกลงโทษ
และคนพวกนั้นจะต้องได้รับความหายนะ”
พระยาห์เวห์พูดไว้อย่างนี้
4 พวกเจ้าที่เป็นลูกหลานของยาโคบ
ที่เป็นตระกูลต่างๆที่สืบเชื้อสายมาจากอิสราเอล ฟังคำของพระยาห์เวห์ไว้ให้ดี
5 พระยาห์เวห์พูดไว้อย่างนี้
“บรรพบุรุษของเจ้าไม่พอใจเราตรงไหนหรือ พวกเขาถึงอยากจะไปให้ไกลจากเรา
พวกเขาหันไปติดตามสิ่งที่ไร้ค่า ก็เลยทำให้พวกเขาไร้ค่าไปด้วย
6 บรรพบุรุษของเจ้าไม่ได้พูดว่า ‘พระยาห์เวห์อยู่ที่ไหนแล้ว
พระองค์ผู้ที่ได้นำเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์
ผู้ที่นำเราในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง
ในดินแดนที่รกร้างและหุบเขาลึก
ในดินแดนที่แห้งแล้งและอันตราย
ในดินแดนที่ไม่มีใครเคยผ่านเข้าไปมาก่อน
เป็นดินแดนที่ไม่เคยมีคนอยู่มาก่อน’
พระยาห์เวห์พูดว่า
7 แต่เราได้นำเจ้าไปยังแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์
เพื่อให้เจ้าได้กินผลไม้และผลผลิตต่างๆของมัน
แล้วเมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ เจ้าก็ได้ทำให้แผ่นดินของเราไม่บริสุทธิ์
และเจ้าได้ทำให้มรดกของเรากลายเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง
8 พวกนักบวชไม่ได้ถามว่า ‘พระยาห์เวห์อยู่ที่ไหน’
และคนพวกนั้นที่เชี่ยวชาญกฎโมเสส ก็ไม่รู้จักเรา
เหล่าผู้เลี้ยงแกะ ก็ได้ทรยศต่อเรา
ส่วนพวกผู้พูดแทนพระเจ้าก็พูดแทนพระบาอัล
ผู้คนก็ไปติดตามสิ่งต่างๆที่ไม่ได้เป็นประโยชน์กับใครเลย”
9 พระยาห์เวห์พูดว่า “เพราะฉะนั้นเราจะยังโต้แย้งกับเจ้าต่อไป
และโต้แย้งกับลูกของเจ้าและหลานของเจ้าด้วย
10 ข้ามไปที่เกาะไซปรัสสิ ไปดูว่าคนที่นั่นทำอะไรกัน
หรือไม่ก็ส่งคนไปที่เคดาร์ ไปสำรวจให้ละเอียด
ไปดูสิว่ามีใครเคยทำอะไรอย่างนี้เหมือนกับที่ยูดาห์บ้างไหม
11 มีชนชาติไหนบ้างที่เอาพระเจ้าของพวกเขาไปแลกกับพระอื่นๆ ไม่มีหรอก
นี่ขนาดพระของคนพวกนั้นไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้สักหน่อย
แต่คนของเราสิ กลับเอาศักดิ์ศรีของเราไปแลกกับของที่ไม่ให้ประโยชน์อะไรเลย
12 ฟ้าสวรรค์ทั้งหลาย ให้ตกตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
ให้สะดุ้งกลัว และหมดเรี่ยวแรงไป”
พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้แหละ
13 “ที่เราพูดอย่างนี้ เพราะคนของเราได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายต่อเราสองอย่าง คือ
พวกเขาได้ละทิ้งเราซึ่งเป็นน้ำพุที่ไหลริน
เพื่อจะได้ขุดแอ่งเก็บน้ำสำหรับตัวเอง
แต่แอ่งน้ำพวกนั้นเป็นแอ่งน้ำแตกที่กักเก็บน้ำไม่ได้
14 อิสราเอลเป็นทาสหรือยังไง เขาเป็นลูกของคนใช้หรือยังไง ไม่ใช่เลย
แล้วทำไมเขาถึงได้กลายเป็นเชลยสงครามไป
15 พวกสิงโตได้ขู่คำรามใส่อิสราเอล
พวกสิงโตได้ส่งเสียงคำรามดังขึ้น
พวกสิงโตได้ทำให้แผ่นดินของพวกเขาว่างเปล่า
จนไม่เหลือใครเลยในเมืองต่างๆเหล่านั้น
16 แม้แต่ลูกๆของชาวเมมฟิสและชาวทาปานเหส
ก็ยังทำให้หัวของเจ้าบาดเจ็บ
17 ที่มันเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นกับเจ้า ก็ไม่ใช่เพราะเจ้าได้ทอดทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าไปหรอกหรือ
ตอนที่พระองค์นำเจ้าเดินไปตามทางที่ถูกต้อง
18 แล้วตอนนี้ทำไมเจ้าถึงอยากจะเดินกลับไปอียิปต์
เพื่อไปดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์เล่า
และทำไมเจ้าถึงอยากจะไปอัสซีเรีย
เพื่อไปดื่มน้ำจากแม่น้ำยูเฟรติสเล่า
19 สิ่งชั่วร้ายต่างๆที่เจ้าได้ทำไปจะตีสอนเจ้า
และการหันเหไปจากเราก็จะทำให้เจ้าได้รับบทเรียน
เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่ามันชั่วร้ายและขมขื่นแค่ไหนที่เจ้าได้ทอดทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าไป
และเจ้าก็ไม่ได้มีความเกรงกลัวต่อเราเลย”
พระยาห์เวห์ เจ้านายของผม ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดไว้ว่าอย่างนี้
20 “ที่เราพูดเรื่องนี้ก็เพราะเมื่อก่อนโน้นเจ้าหักแอกของเจ้า เจ้ากระชากเชือกทั้งหลายของเจ้าออก
เจ้าพูดว่า ‘ฉันจะไม่รับใช้พระยาห์เวห์’
แน่ล่ะ ก็เจ้าเล่นนอนเอกเขนกอย่างกับโสเภณีอยู่บนเนินเขาสูงทุกลูก
และใต้ต้นไม้เขียวชอุ่มทุกต้น
21 แต่เราปลูกเจ้าขึ้นมาเหมือนเถาองุ่นอย่างดีจากเมล็ดที่ดีที่สุดที่มีอยู่
แล้วนี่เจ้ากลายพันธุ์ไปเป็นองุ่นป่าได้ยังไงกัน
22 ถึงเจ้าจะเอากรดหรือสบู่สารพัดมาล้างตัว เจ้าก็ยังดูเลอะเปรอะเปื้อน ในสายตาเราอยู่ดี
เพราะการกระทำที่ชั่วช้าของเจ้านั่นแหละ”
พระยาห์เวห์เจ้านายของผม พูดไว้ว่าอย่างนั้น
23 “เจ้าพูดได้ยังไงว่า ‘ฉันไม่ได้ด่างพร้อย
ฉันไม่ได้ติดตามพวกพระบาอัลสักหน่อย’
ดูการใช้ชีวิตของเจ้าในหุบเขาสิ
ให้รับรู้เสียบ้างว่าเจ้าได้ทำอะไรลงไป
เจ้าทำตัวเหมือนอูฐสาวที่อยู่ไม่สุขในช่วงฤดูผสมพันธุ์ของมัน
24 เจ้าเป็นเหมือนลาป่าที่เคยชินกับที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนั้น
หมกมุ่นอยู่กับความอยากของตัวเอง
แล้วก็ดมกลิ่นลม เมื่อถึงเวลาติดสัตว์ของนาง
ใครจะไปเหนี่ยวรั้งนางได้ สัตว์ที่ตามหานางเพื่อผสมพันธุ์ ไม่มีสักตัวที่ต้องตามหานางจนหมดแรง
เพราะพวกเขาต่างหานางได้ง่ายๆในฤดูผสมพันธุ์นั้น
25 ทำไมเจ้าจะต้องวิ่งเท้าเปล่าและหิวน้ำตามพระเหล่านั้น
แต่เจ้ากลับพูดว่า ‘ฉันก็เป็นอย่างนี้แหละ ฉันรักพระของคนต่างชาติ
และฉันจะไปติดตามพวกพระเหล่านั้น’
26 ก็เหมือนกับที่หัวขโมยต้องอับอายขายหน้าเมื่อถูกจับ
ชาติอิสราเอลก็จะต้องอับอายขายหน้าอย่างนั้นเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็น ตัวพวกมันเอง หรือพวกกษัตริย์ พวกเจ้าหน้าที่ พวกนักบวช หรือพวกผู้พูดแทนพระเจ้าของพวกมัน
27 เรากำลังพูดถึงคนพวกนั้นที่พูดกับต้นไม้ว่า ‘ท่านเป็นพ่อของฉัน’
และคนพวกนั้นที่พูดกับก้อนหินว่า ‘ท่านให้กำเนิดฉันมา’
พวกมันหันหลังให้เรา
ไม่ได้หันหน้าให้เรา
แต่พอพวกมันมีปัญหาก็พูดว่า
‘พระยาห์เวห์เจ้าข้า ลุกขึ้นมาช่วยพวกเราด้วยเถิด’
28 แล้วไหนละ ยูดาห์ พวกพระที่เจ้าทำขึ้นมาให้กับตัวเอง
ให้พวกมันลุกขึ้นมาช่วยพวกเจ้าตอนที่เจ้ามีปัญหาสิ
เพราะเจ้ามีพระตั้งมากมายเท่ากับจำนวนเมืองของเจ้า
29 ทำไมเจ้าถึงเถียงเรา
พวกเจ้าทุกคนทรยศต่อเรา”
พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้แหละ
30 “เราได้ตีลูกๆของพวกเจ้า แต่การตีนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
พวกเขาไม่ได้รับบทเรียนจากการถูกตีสอนนั้น
เจ้าได้ฆ่าผู้พูดแทนพระเจ้าทุกคนที่เราส่งมาเตือนเจ้า เหมือนสิงโตที่หิวจัด
31 พวกเจ้าที่เป็นคนในรุ่นนี้ ให้สนใจสิ่งที่พระยาห์เวห์พูดกับเจ้า
‘เราเป็นเหมือนทะเลทรายให้กับอิสราเอลหรือยังไง เราเป็นเหมือนแผ่นดินที่มืดมิดให้กับพวกเขาหรือยังไง’
ทำไมคนของเราถึงได้พูดว่า ‘พวกเราเป็นอิสระไปไหนก็ได้ พวกเราจะไม่มาหาพระองค์อีกแล้ว’
32 มีเจ้าสาวที่ไหนลืมเครื่องประดับของเธอบ้าง
มีเจ้าสาวที่ไหนลืมชุดแต่งงานของตัวเองบ้าง
แต่คนของเรากลับลืมเรานานซะจนนับไม่ถ้วนแล้ว
33 เจ้านี่เก่งจริงๆเลย ที่แสวงหาคนรักอื่นๆ
และเจ้ายังได้สอนคนอื่นๆให้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายต่างๆแบบเดียวกัน
34 เจ้ามีเลือดติตอยู่ที่ฝ่ามือของเจ้า
เป็นเลือดของคนบริสุทธิ์และคนยากจน
เจ้าไม่ได้พบว่าพวกเขาปล้นบ้านของเจ้าสักหน่อย
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องพวกนี้ทั้งหมด
35 เจ้าพูดว่า ‘ฉันบริสุทธิ์แน่นอน พระยาห์เวห์จะไม่มีวันโกรธฉันแน่’
ดูสิ เรากำลังนำตัวเจ้าไปศาล เพราะเจ้าพูดว่า ‘ฉันไม่ได้ทำบาป’
36 ทำไมเจ้าเปลี่ยนใจง่ายจัง
อียิปต์ก็จะทำให้เจ้าผิดหวัง เหมือนกับที่อัสซีเรียทำให้เจ้าผิดหวังมาแล้วก่อนหน้านี้
37 เจ้าจะต้องออกจากอียิปต์ด้วยมือกุมหัว
เพราะพระยาห์เวห์ได้ปฏิเสธชนชาติเหล่านั้นที่เจ้าไว้วางใจ
พวกเขาจะไม่ทำให้เจ้าประสบความสำเร็จหรอก”
ผู้นำชาวยิวทดสอบพระเยซู
(มก. 8:11-13; ลก. 12:54-56)
16 พวกฟาริสีและพวกสะดูสีเรียกให้พระเยซูทำเรื่องอัศจรรย์ให้ดู เพื่อทดสอบว่าพระองค์มาจากพระเจ้าจริงหรือไม่
2 พระเยซูตอบว่า “เมื่อท้องฟ้าสีแดงในตอนเย็น คุณบอกว่าพรุ่งนี้อากาศจะดี 3 เมื่อท้องฟ้าสีแดงและมืดครึ้มในตอนเช้า คุณบอกว่าวันนี้ฝนจะตก คุณรู้จักที่จะตีความหมายของดินฟ้าอากาศ แต่กลับไม่รู้จักความหมายของสิ่งเหล่านี้ที่เราทำ 4 มีแต่คนที่ชั่วและไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ที่เรียกร้องให้ทำการอัศจรรย์ให้ดู แต่เราจะไม่ทำอะไรให้ดูนอกจากการอัศจรรย์ของโยนาห์”[a] แล้วพระเยซูก็ไปจากพวกเขา
เชื้อของพวกฟาริสีและสะดูสี
(มก. 8:14-21)
5 ขณะที่พวกศิษย์ของพระเยซูกำลังข้ามทะเลสาบไปอีกฟากหนึ่งนั้น ก็ลืมเอาขนมปังมาด้วย 6 พระเยซูได้เตือนพวกเขาว่า “ระวังเชื้อของพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดีนะ”
7 พวกศิษย์จึงพูดกันว่า “ที่อาจารย์พูดอย่างนี้ ต้องเป็นเพราะพวกเราลืมเอาขนมปังมาแน่ๆ”
8 พระเยซูรู้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไร จึงพูดว่า “พวกคุณนี่ช่างมีความเชื่อน้อยจริงๆ ไปพูดกันถึงเรื่องไม่มีขนมปังทำไม 9 นี่พวกคุณยังไม่เข้าใจอีกหรือ จำไม่ได้แล้วหรือ ตอนที่เราแบ่งขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคน พวกคุณเก็บเศษที่เหลือได้กี่เข่ง 10 หรือตอนที่เราแบ่งขนมปังเจ็ดก้อนเลี้ยงคนสี่พันคน พวกคุณเก็บเศษที่เหลือได้กี่เข่ง 11 ทำไมพวกคุณถึงไม่เข้าใจนะว่า เราไม่ได้พูดถึงเรื่องขนมปัง แต่เราเตือนให้พวกคุณระวังเชื้อของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี”
12 ในที่สุดพวกศิษย์ก็เข้าใจแล้วว่า พระองค์ไม่ได้พูดถึงเชื้อที่ใส่ในขนมปัง แต่เตือนให้ระวังเรื่องคำสอนของพวกฟาริสีและสะดูสี
เปโตรพูดว่าพระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
(มก. 8:27-30; ลก. 9:18-21)
13 เมื่อพระเยซูมาถึงแคว้นซีซารียาฟีลิปปี พระองค์ถามพวกศิษย์ว่า “คนเขาพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นใครกัน”
14 พวกศิษย์ตอบว่า “บางคนว่าเป็นยอห์นคนที่ทำพิธีจุ่มน้ำ บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์ บางคนก็ว่าเป็นเยเรมียาห์หรือเป็นคนหนึ่งในพวกผู้พูดแทนพระเจ้า”
15 พระเยซูถามพวกศิษย์ว่า “แล้วพวกคุณล่ะ ว่าเราเป็นใคร”
16 ซีโมน เปโตร ตอบว่า “พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ พระบุตรของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่”
17 พระเยซูตอบว่า “ซีโมนลูกของโยนาห์ คุณนี่ได้รับเกียรติจริงๆ ในเรื่องนี้ พระบิดาของเราที่อยู่บนสวรรค์เป็นผู้เปิดเผยให้คุณรู้นะ ไม่ใช่มนุษย์หรอก 18 เราจะบอกให้รู้ว่า คุณคือเปโตร[b] และบนหินก้อนนี้ เราจะสร้างหมู่ประชุมของเราขึ้นมา และอำนาจทั้งหมดของความตาย[c] จะไม่สามารถเอาชนะหมู่ประชุมของเราได้ 19 เราจะให้กุญแจของอาณาจักรแห่งสวรรค์กับคุณ อะไรก็ตามที่คุณห้ามไม่ให้ทำบนโลกนี้ พระเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ก็จะห้ามไม่ให้ทำด้วย ส่วนอะไรก็ตามที่คุณให้ทำบนโลกนี้ พระเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ก็จะให้ทำด้วย” 20 แล้วพระเยซูได้สั่งพวกศิษย์ ห้ามไม่ให้บอกใครว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
พระเยซูทำนายว่าพระองค์ต้องตาย
(มก. 8:31-9:1; ลก. 9:22-27)
21 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระเยซูเริ่มอธิบายให้พวกศิษย์ฟังว่า พระองค์จะต้องไปเมืองเยรูซาเล็มและต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่างจากพวกผู้นำอาวุโสของชาวยิว พวกหัวหน้านักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติ พระองค์จะถูกฆ่า แต่จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม
22 เปโตรดึงพระองค์มาข้างๆและต่อว่าพระองค์ว่า “ไม่มีทางหรอกอาจารย์ มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างนั้นแน่”
23 พระองค์หันมาพูดกับเปโตรว่า “ไปให้พ้น ไอ้ซาตาน แกกำลังขัดขวางเรา เพราะแกไม่ได้คิดแบบพระเจ้า แต่คิดแบบมนุษย์”
24 แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกศิษย์ว่า “ถ้าใครอยากจะติดตามเรา คนนั้นต้องเลิกตามใจตัวเอง และแบกกางเขนของตัวเองตามเรามา 25 คนที่อยากจะเอาตัวรอดจะไม่รอด แต่คนที่ยอมสละตัวเองเพื่อเราจะค้นพบตัวเอง 26 มันจะได้กำไรตรงไหน ถ้าได้โลกทั้งใบ แต่ตัวเองถูกทำลายไป จะเอาอะไรไปแลกเพื่อจะได้ตัวเองกลับคืนมาได้หรือ 27 เพราะบุตรมนุษย์จะกลับมาด้วยความสง่างามของพระบิดาของพระองค์ และมาพร้อมกับทูตสวรรค์ของพระองค์ แล้วบุตรมนุษย์จะมาตัดสินมนุษย์ทุกคนตามการกระทำของเขา 28 เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนในพวกคุณที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์มาในอาณาจักรของพระองค์”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International