Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
โยชูวา 7

บาปของอาคาน

แต่ชาวอิสราเอลไม่เชื่อฟังคำสั่งในเรื่องสิ่งของที่ต้องถูกทำลาย อาคานลูกชายของคารมีที่เป็นลูกชายของศับดีที่เป็นลูกชายของเศราห์จากเผ่ายูดาห์ ได้แอบเอาของบางส่วนมาจากสิ่งต่างๆที่ต้องถูกทำลาย ดังนั้นความโกรธของพระยาห์เวห์ได้พลุ่งขึ้นต่อคนอิสราเอล

ฝ่ายโยชูวาได้ส่งคนกลุ่มหนึ่งออกจากเมืองเยริโคไปยังเมืองอัย[a] ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเมืองเบธาเวน ทางด้านตะวันออกของเมืองเบธเอล โยชูวาบอกพวกเขาว่า “ขึ้นไปสอดแนมแผ่นดินนั้นมา” ดังนั้นพวกเขาจึงขึ้นไปสอดแนมเมืองอัย

แล้วพวกเขาได้กลับมารายงานโยชูวาว่า “ไม่จำเป็นต้องให้ประชาชนทั้งหมดขึ้นไปต่อสู้กับเมืองอัย ให้ใช้คนแค่สองสามพันคนขึ้นไปตีเมืองอัยก็พอ อย่าให้ประชาชนทั้งหมดต้องเสียแรงขึ้นไปถึงที่นั่นเลย เพราะเมืองอัยมีประชาชนน้อย”

ประชาชนประมาณสามพันคนจึงได้เดินทางขึ้นไปที่เมืองอัย แต่พวกเขาก็ต้องถูกชาวเมืองอัยตีจนแตกหนีกลับมา และถูกฆ่าตายประมาณสามสิบหกคน และชาวเมืองอัยยังไล่ล่าชาวอิสราเอลตั้งแต่ที่หน้าประตูเมืองไปจนถึงเหมืองหิน[b] และฆ่าพวกเขาที่ทางลาดแห่งนั้น

ดังนั้น ชาวอิสราเอลจึงกลัวจนจิตใจหลอมละลายไปอย่างน้ำ โยชูวาได้ฉีกเสื้อผ้าของเขาและซบหน้าลงบนพื้นดินต่อหน้าหีบของพระยาห์เวห์จนถึงเวลาเย็น พร้อมๆกับพวกผู้อาวุโสของชาวอิสราเอล พวกเขาต่างก็เอาฝุ่นโปรยลงบนหัวตัวเอง

โยชูวาพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต พระองค์นำประชาชนทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาทำไมกัน เพื่อให้ชาวอาโมไรต์ทำลายล้างพวกเราอย่างนั้นหรือ เสียดายจริงๆพวกเราน่าจะพอใจที่จะอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนมากกว่า พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ในเมื่อชาวอิสราเอลได้หันหลังหนีจากศัตรูเสียแล้ว ชาวคานาอัน และบรรดาประชาชนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ จะได้ยินเรื่องนี้และจะพากันมาปิดล้อมและลบล้างพวกเราไปจากแผ่นดินโลก เมื่อถึงขั้นนั้น พระองค์จะทำอะไรเพื่อกู้ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”

10 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงพูดกับโยชูวาว่า “ลุกขึ้น เจ้าจะซบหน้าอยู่อย่างนี้ทำไม 11 ชาวอิสราเอลได้ทำบาป พวกเขาได้ละเมิดข้อตกลงที่เราได้สั่งพวกเขาไว้ พวกเขาได้เอาของบางส่วนที่เราสั่งให้ทำลาย พวกเขาได้ขโมยพวกมันไปและโกหก พวกเขาได้เอาสิ่งเหล่านั้นไปรวมไว้กับของของพวกเขา 12 ชาวอิสราเอลก็เลยไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ศัตรูได้ พวกเขาวิ่งหนีจากศัตรู เพราะพวกเขาเองได้กลายเป็นสิ่งที่จะต้องถูกทำลายให้กับเรา เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าอีกต่อไป นอกจากว่าพวกเจ้าจะเอาของเหล่านั้นที่ต้องทำลาย ออกไปเสียจากพวกเจ้า

13 ให้ไปชำระประชาชนให้บริสุทธิ์และพูดว่า ‘ให้ชำระตัวของพวกท่านไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ เพราะนี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลได้พูด “ชาวอิสราเอล ท่ามกลางพวกเจ้ายังมีสิ่งของที่เราได้สั่งให้ทำลายเก็บไว้อยู่ เจ้าจะไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ศัตรูได้ จนกว่าพวกเจ้าจะเอาสิ่งเหล่านั้นที่เราได้สั่งให้ทำลายออกไปเสียจากพวกเจ้า”

14 ในตอนเช้า ให้พวกเจ้าเข้ามาทีละเผ่า และเผ่าที่พระยาห์เวห์เลือก ก็ให้เข้ามาทีละตระกูล ตระกูลที่พระยาห์เวห์เลือก ก็ให้เข้ามาทีละครอบครัว ครอบครัวที่พระยาห์เวห์เลือก ก็ให้เข้ามาทีละคน 15 คนใดที่ถูกจับได้ว่ามีสิ่งเหล่านั้นที่ต้องถูกทำลาย จะต้องถูกเผาไปพร้อมๆกับทุกสิ่งที่เป็นของเขา เพราะเขาได้ละเมิดข้อตกลงของพระยาห์เวห์และได้ทำสิ่งที่น่าละอายในอิสราเอล’”

16 ดังนั้น โยชูวาจึงตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ และได้นำชาวอิสราเอลเข้ามาทีละเผ่า และพระยาห์เวห์ได้เลือกเผ่ายูดาห์ 17 เขาให้ตระกูลต่างๆในเผ่ายูดาห์เข้ามา และตระกูลของเศราห์ถูกเลือกออกมา เขาให้แต่ละครอบครัวในตระกูลเศราห์มา ครอบครัวของศับดีถูกเลือกออกมา 18 โยชูวาได้ให้คนในครอบครัวศับดีเข้ามาทีละคน และคนที่ถูกเลือกคืออาคานลูกชายของคารมีที่เป็นลูกชายของศับดีจากเผ่ายูดาห์

19 แล้วโยชูวาก็พูดกับอาคานว่า “ลูกเอ๋ย ให้เกียรติกับพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลและสารภาพกับพระองค์เถิด ให้บอกเรามาสิว่า เจ้าได้ทำอะไรลงไป อย่าได้ปิดบังอะไรจากเราเลย”

20 อาคานได้ตอบโยชูวาว่า “ถูกแล้ว ข้าพเจ้าได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของประชาชนอิสราเอล นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำไป 21 คือในพวกสิ่งของทั้งหมดที่พวกเรายึดมาได้นั้น ข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อคลุมตัวงามจากบาบิโลน เงินกว่าสองกิโลกรัม และทองคำแท่งหนึ่งหนักประมาณหกร้อยกรัม ข้าพเจ้าอยากได้ของเหล่านั้นมาก จึงได้เอามันมาและซ่อนไว้ในพื้นดินใต้เต็นท์ของข้าพเจ้า โดยวางเงินอยู่ด้านล่าง”

22 โยชูวาจึงได้ส่งคนไป พวกเขาวิ่งไปที่เต็นท์หลังนั้น และได้พบของที่ถูกซ่อนไว้ในเต็นท์นั้น โดยมีเงินวางอยู่ด้านล่าง 23 พวกเขานำของเหล่านั้นออกมาจากเต็นท์ และนำไปที่โยชูวาและชาวอิสราเอลทั้งหมดอยู่ แล้ววางของเหล่านั้นไว้ต่อหน้าพระยาห์เวห์

24 แล้วโยชูวาและชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ได้พาอาคานลูกชายของเศราห์ พร้อมกับเงิน เสื้อคลุม ทองแท่ง พวกลูกชายลูกสาวของเขา พวกวัว ลาและแกะทั้งหลาย รวมทั้งเต็นท์ของเขา และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเขา ขึ้นไปที่หุบเขาอาโคร์ 25 โยชูวาพูดว่า “ทำไมเจ้าถึงได้นำความเดือดร้อนนี้มาให้กับพวกเรา วันนี้ พระยาห์เวห์จะนำความเดือดร้อนมาให้กับเจ้า” จากนั้นประชาชนชาวอิสราเอลก็พากันเอาหินขว้างใส่อาคานกับครอบครัวของเขาให้ตาย เผาครอบครัวของอาคานและทรัพย์สินทั้งหมดของเขา และขว้างก้อนหินใส่พวกเขา 26 แล้วชาวอิสราเอลก็เอาก้อนหินมากองทับร่างของเขาไว้และมันก็ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้[c] นั่นเป็นเหตุที่เขาเรียกสถานที่แห่งนั้นว่าหุบเขาอาโคร์[d]

หลังจากนั้นพระยาห์เวห์ก็หายจากความโกรธที่แผดเผานั้น

สดุดี 137-138

เยรูซาเล็มตอนเป็นเชลยในบาบิโลน

พวกเรานั่งอยู่ริมแม่น้ำทั้งหลายในบาบิโลน
    และร้องไห้เมื่อระลึกถึงศิโยน[a]
พวกเราได้แขวนพิณไว้
    บนต้นหลิวในเมืองนั้น
และที่นั่น พวกผู้จับกุมพวกเราเรียกให้พวกเราร้องเพลง
    พวกที่เยาะเย้ยพวกเราสั่งให้พวกเราสร้างความบันเทิงให้กับพวกเขา
พวกเขาสั่งว่า
    “ร้องเพลงเกี่ยวกับศิโยนให้พวกเราฟังสักเพลงซิ”

แต่พวกเราจะร้องเพลงของพระยาห์เวห์
    ในแผ่นดินของคนต่างชาตินี้ได้ยังไง
เยรูซาเล็มเอ๋ย ถ้าหากข้าพเจ้าลืมเจ้า
    ก็ขอให้มือขวาของข้าพเจ้านี้ลืมวิธีเล่นพิณเสีย
ขอให้ลิ้นของข้าพเจ้าติดอยู่ที่เพดานปาก
    ถ้าหากข้าพเจ้าลืมเจ้า
    หรือ ถ้าหากข้าพเจ้าไม่ได้ยกเจ้าให้สำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขที่สุด
ข้าแต่พระยาห์เวห์ให้ระลึกถึงสิ่งที่คนเอโดมทำในวันที่เยรูซาเล็มพินาศ
    พวกเขาตะโกนว่า “พังมันลงมา พังมันลงมา ให้ถึงรากถึงโคน”

นางสาวบาบิโลนเอ๋ย ผู้ที่กำลังจะถูกทำลายไป
    คนที่ตอบแทนเจ้าอย่างสาสมกับที่เจ้าทำกับเรานั้นถือว่ามีเกียรติจริงๆ
คนที่จับพวกทารกของพวกเจ้าไปฟาดกับก้อนหินนั้น
    ถือว่ามีเกียรติจริงๆ

ขอบคุณพระยาห์เวห์สำหรับการปกป้อง

เพลงของดาวิด

ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะขอบคุณพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ
    ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าพระเจ้าทั้งหลาย
ข้าพเจ้าจะกราบลงหันหน้าตรงไปยังวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ข้าพเจ้าจะสรรเสริญชื่อของพระองค์
    สิ่งที่พระองค์สัญญาว่าจะทำนั้นจะสร้างชื่อเสียงให้กับพระองค์มาก ยิ่งกว่าชื่อเสียงที่พระองค์มีอยู่ตอนนี้เสียอีก
เมื่อข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์ตอบ
    พระองค์ทำให้จิตใจของข้าพเจ้ากล้าหาญและเข้มแข็ง

ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้กษัตริย์ทั้งหมดบนแผ่นดินโลกนี้พากันสรรเสริญพระองค์
    เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดจากปากของพระองค์
ขอให้พวกเขาร้องเพลงเรื่องหนทางทั้งหลายของพระยาห์เวห์
    เพราะสง่าราศีของพระยาห์เวห์ยิ่งใหญ่นัก
ถึงแม้พระยาห์เวห์จะได้รับการยกย่องสูงสุด พระองค์ก็ยังสนใจคนที่ต่ำต้อย
    พระองค์รู้ว่าคนเย่อหยิ่งทำอะไรแม้ว่าพระองค์จะอยู่ห่างไกล

หากว่าข้าพเจ้าเดินอยู่ในท่ามกลางอันตราย
    พระองค์ก็จะรักษาชีวิตของข้าพเจ้าไว้
พระองค์ก็จะยื่นมือของพระองค์ออกมาต่อต้านพวกศัตรูที่โกรธเกรี้ยวข้าพเจ้า
    มือขวาของพระองค์ก็จะช่วยกู้ข้าพเจ้า
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์จะแก้แค้นแทนข้าพเจ้า
    ข้าแต่พระยาห์เวห์ ความรักมั่นคงของพระองค์คงอยู่ตลอดไป
    ขออย่าได้ทอดทิ้งพวกเราผู้ที่พระองค์สร้างขึ้นมากับมือ

เยเรมียาห์ 1

นี่คือคำพูดของเยเรมียาห์ ลูกชายของฮิลคียาห์ เยเรมียาห์เป็นหนึ่งในนักบวชที่อาศัยอยู่ในเมืองอานาโธท เมืองนี้ตั้งอยู่ในดินแดนที่เป็นของเผ่าเบนยามิน ถ้อยคำที่เยเรมียาห์เอามาบอกนี้ เป็นข่าวสารที่พระยาห์เวห์ได้เปิดเผยให้เยเรมียาห์รู้ ปีนั้นตรงกับปีที่สิบสามที่กษัตริย์โยสิยาห์ปกครองยูดาห์ โยสิยาห์เป็นลูกของอาโมน พระยาห์เวห์ได้เปิดเผยข่าวสารนี้ให้กับเยเรมียาห์อีก ในช่วงสมัยของกษัตริย์เยโฮยาคิมปกครองยูดาห์ เยโฮยาคิมเป็นลูกของกษัตริย์โยสิยาห์ และพระยาห์เวห์ยังเปิดเผยให้เยเรมียาห์รู้ต่อไปเรื่อยๆจนถึงปีที่สิบเอ็ด ที่กษัตริย์เศเดคิยาห์ปกครองยูดาห์ เศเดคิยาห์เป็นลูกของกษัตริย์โยสิยาห์ และในเดือนที่ห้าของปีที่สิบเอ็ดที่กษัตริย์เศเดคียาห์ปกครองนั้น ชาวเยรูซาเล็มก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย

พระเจ้าเรียกเยเรมียาห์

นี่คือข่าวสารที่พระยาห์เวห์เปิดเผยให้ผมรู้ คือ

“เรารู้จักเจ้า ก่อนที่เราจะก่อร่างเจ้าขึ้นมาในครรภ์เสียอีก
    เราได้แยกเจ้าออกมาสำหรับเรา
ก่อนที่เจ้าจะคลอดจากท้องแม่เสียอีก
    เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้พูดแทนพระเจ้า
    ให้กับชนชาติทั้งหลาย”

แต่ผมพูดว่า “แต่พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะข้าพเจ้าเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น”

แต่พระยาห์เวห์พูดกับผมว่า

“อย่าพูดว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น’
    เพราะเจ้าจะต้องไปหาทุกคนที่เราส่งให้เจ้าไป
    และเจ้าจะต้องพูดทุกอย่างตามที่เราสั่งเจ้า
ไม่ต้องกลัวคนพวกนั้น
เพราะเราจะอยู่กับเจ้า
และปกป้องเจ้า”
พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้

แล้วพระยาห์เวห์ก็ยื่นมือออกมาแตะปากของผม และพระองค์พูดกับผมว่า

“เราได้ใส่คำพูดของเราเข้าไปในปากของเจ้าแล้ว
10 ดูสิ ในวันนี้ เราได้แต่งตั้งเจ้าให้มีอำนาจเหนือชนชาติและอาณาจักรทั้งหลาย
    เจ้าจะถอน และจะรื้อพวกมันทิ้ง
    เจ้าจะทำลาย และจะคว่ำพวกมัน
    เจ้าจะสร้าง และจะปลูกพวกมันขึ้นมาใหม่”

นิมิตสองอย่าง

11 พระยาห์เวห์ ได้เปิดเผยข่าวสารนี้กับผม

พระองค์ถามว่า “เยเรมียาห์ เจ้าเห็นอะไร”

ผมตอบว่า “ผมเห็นกิ่งไม้กิ่งหนึ่งจากต้นอัลมอนด์ครับ”

12 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผมว่า “เจ้ามองเห็นได้ชัดเจนดีมาก เพราะเรากำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่เราพูด เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะเกิดขึ้นตามนั้น”

13 พระคำของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมอีกเป็นครั้งที่สองว่า “เจ้าเห็นอะไร” ผมตอบว่า “ผมเห็นหม้อที่กำลังเดือดอยู่หม้อหนึ่งหันหน้าไปจากทิศเหนือ”

14 แล้วพระยาห์เวห์ก็บอกผมว่า “ความหายนะจากทางเหนือจะถูกปลดปล่อยออกมาเหนือทุกชีวิตบนแผ่นดินยูดาห์

15 เรากำลังนำตระกูลต่างๆในอาณาจักรภาคเหนือมา” พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้

“พวกนั้นจะมาที่นี่ แต่ละคนจะตั้งบัลลังก์ของตัวเองไว้ที่ปากประตูทางเข้าของเมืองเยรูซาเล็ม พวกนั้นจะโจมตีกำแพงที่ล้อมรอบเมืองนั้น และโจมตีเมืองทุกเมืองของยูดาห์

16 และเราจะตัดสินลงโทษพวกมัน สำหรับความชั่วทั้งหมดที่พวกมันทำ คือที่ทอดทิ้งเราไป และไปเผาเครื่องหอมให้กับพระอื่นๆและไปก้มหัวกราบสิ่งที่พวกมันสร้างขึ้นมากับมือ

17 ส่วนเจ้า เยเรมียาห์ เตรียมตัวให้พร้อม ลุกขึ้น ไปบอกพวกมันทุกอย่างตามที่เราสั่งเจ้า ไม่ต้องกลัวพวกมัน ไม่อย่างนั้น เราจะหาสาเหตุทำให้เจ้าต้องกลัวพวกมันจริงๆเวลาที่อยู่ต่อหน้าพวกมัน

18 ส่วนเรา วันนี้เราจะทำให้เจ้าเป็นเหมือนป้อมปราการเมือง เป็นเหมือนเสาเหล็ก เป็นเหมือนกำแพงทองสัมฤทธิ์ ที่สามารถยืนหยัดสู้กับแผ่นดินทั้งสิ้น สู้กับพวกกษัตริย์แห่งยูดาห์ พวกเจ้าเมือง พวกนักบวช รวมทั้งสู้กับประชาชน

19 คนพวกนั้นจะต่อสู้กับเจ้า แต่พวกมันจะไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ เพราะเราจะอยู่ปกป้องเจ้า” พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้

มัทธิว 15

กฎที่มนุษย์ตั้งขึ้นแล้วอ้างว่าเป็นของพระเจ้า

(มก. 7:1-23)

15 พวกฟาริสีและครูสอนกฎปฏิบัติได้เดินทางจากเมืองเยรูซาเล็มมาหาพระองค์ และถามพระองค์ว่า “ทำไมศิษย์ของคุณถึงไม่ทำตามประเพณีที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ทำไมพวกเขาถึงไม่ล้างมือก่อนกินอาหาร”

พระเยซูตอบว่า “แล้วทำไมพวกคุณถึงขัดคำสั่งพระเจ้าเพราะเห็นแก่ประเพณีของพวกคุณล่ะ พระเจ้าบอกว่า ‘ให้เคารพนับถือพ่อและแม่’[a] และ ‘ใครสาปแช่งพ่อแม่จะมีโทษถึงตาย’[b] แต่พวกคุณกลับสอนว่าไม่ผิดที่จะบอกพ่อแม่ว่า ‘สิ่งที่ลูกจะเอามาช่วยพ่อแม่ได้นั้น ลูกได้ยกให้กับพระเจ้าไปหมดแล้ว’ ด้วยวิธีนี้ เขาก็เลยไม่ต้องเคารพพ่อของเขา เพราะเห็นแก่ประเพณีของคุณ คุณยกเลิกพระคำของพระเจ้า ไอ้พวกหน้าซื่อใจคด อิสยาห์ได้พูดแทนพระเจ้าเกี่ยวกับพวกคุณไว้ถูกต้องเลยที่ว่า

‘คนพวกนี้นับถือเราแต่ปากเท่านั้น
    แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรามาก
จึงไม่มีประโยชน์ที่เขาจะบูชาเรา
    เพราะสิ่งที่เขาสอนกันนั้น เป็นแค่กฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น’”[c]

10 พระเยซูเรียกฝูงชนเข้ามาและพูดว่า “ฟังให้เข้าใจนะ 11 สิ่งที่เข้าไปในปากไม่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้าหรอก แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั่นแหละ ที่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า”

12 พวกศิษย์เข้ามาบอกพระเยซูว่า “อาจารย์รู้หรือเปล่า ที่อาจารย์พูดไปนั้น ทำให้พวกฟาริสีโกรธแค้นมาก”

13 พระเยซูตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาของเราบนสวรรค์ไม่ได้ปลูก ก็จะถูกถอนรากถอนโคนจนหมด 14 ไม่ต้องไปสนใจหรอก พวกเขาเป็นคนนำทางตาบอด ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนก็จะตกลงไปในคู”

15 เปโตรบอกพระเยซูว่า “ช่วยอธิบายเรื่องเปรียบเทียบที่เพิ่งพูดไปนั้นให้ฟังหน่อยครับ”

16 พระเยซูพูดว่า “อะไรกัน ยังไม่เข้าใจอีกหรือ 17 ไม่เห็นหรือว่า ทุกอย่างที่คนกินเข้าไปในปากจะตกลงไปในท้อง แล้วถ่ายออกมา 18 แต่สิ่งที่พูดออกมาจากปากนั้น มันมาจากใจ และสิ่งนี้เองที่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า 19 เพราะสิ่งที่ออกมาจากใจ คือความคิดชั่วร้าย การเข่นฆ่ากัน การมีชู้ ความผิดบาปทางเพศอื่นๆ การลักขโมย การโกหก การใส่ร้ายป้ายสีกัน 20 สิ่งเหล่านี้แหละเป็นสิ่งที่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า แต่การที่ไม่ได้ล้างมือก่อนกินอาหาร ไม่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้าหรอก”

พระเยซูช่วยผู้หญิงที่ไม่ใช่ชาวยิว

(มก. 7:24-30)

21 พระเยซูออกจากที่นั่น และเข้าไปยังเขตแดนเมืองไทระ และเมืองไซดอน 22 หญิงชาวคานาอันคนหนึ่งที่อยู่แถวนั้น ได้เข้ามาร้องบอกพระองค์ว่า “องค์เจ้าชีวิต บุตรของดาวิด[d] สงสารฉันด้วยเถอะ ลูกสาวของฉันถูกผีสิง เธอทนทุกข์ทรมานมาก”

23 พระเยซูไม่ได้ตอบเธอเลยสักคำ พวกศิษย์เข้ามายุพระองค์ว่า “ไล่เธอไปเถอะครับ น่ารำคาญ ร้องตะโกนตามตื๊ออยู่ได้”

24 พระเยซูตอบผู้หญิงคนนั้นว่า “พระเจ้าส่งเรามาช่วยเฉพาะคนอิสราเอลที่เป็นเหมือนแกะที่หลงทางของพระองค์”

25 เธอจึงเข้ามาคุกเข่าลงต่อหน้าพระเยซู และพูดว่า “องค์เจ้าชีวิต ช่วยฉันด้วยเถิด”

26 พระเยซูจึงตอบว่า “มันไม่ถูกต้องหรอกนะ ที่จะเอาอาหารของลูกๆไปโยนให้หมากิน”

27 หญิงคนนั้นตอบว่า “ใช่ค่ะ แต่หมาก็ยังได้กินเศษอาหารที่หล่นจากโต๊ะของนายมันนะคะ”

28 พระเยซูตอบว่า “เธอนี่มีความเชื่อมากจริงๆ เธอขออะไรก็ให้เป็นไปตามนั้น” แล้วลูกสาวของนางก็หายเป็นปกติทันที

พระเยซูรักษาคนป่วยจำนวนมาก

29 พระเยซูออกจากที่นั่น เดินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลีและขึ้นไปบนภูเขา แล้วนั่งพักอยู่บนนั้น 30 มีฝูงชนจำนวนมากมาหาพระเยซู พวกเขาพาคนง่อย คนตาบอด คนพิการ คนใบ้ และคนที่เป็นโรคอื่นๆอีกมากมายมาด้วย และเอามาวางนอนอยู่ที่เท้าของพระองค์ แล้วพระองค์ได้รักษาทุกคนจนหายหมด 31 ผู้คนต่างก็พากันประหลาดใจ เมื่อเห็นคนใบ้พูดได้ คนพิการก็หาย คนขาเป๋เดินได้ และคนตาบอดก็มองเห็น ทุกคนต่างพากันสรรเสริญพระเจ้าของอิสราเอล

พระเยซูเลี้ยงอาหารคนกว่าสี่พันคน

(มก. 8:1-10)

32 พระเยซูเรียกพวกศิษย์ของพระองค์มา แล้วพูดว่า “สงสารคนพวกนี้จริงๆเพราะเขาอยู่ที่นี่กับเรามาสามวันแล้ว และไม่มีอะไรกินด้วย ไม่อยากจะส่งพวกเขากลับไปทั้งๆที่ยังหิวอยู่ อาจจะไปเป็นลมกลางทางได้”

33 พวกศิษย์จึงพูดว่า “ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งอย่างนี้ จะไปเอาอาหารที่ไหนมาเลี้ยงคนตั้งมากมายขนาดนี้ได้ล่ะครับ”

34 พระเยซูถามว่า “พวกคุณมีขนมปังอยู่กี่ก้อน” พวกศิษย์ตอบว่า “เจ็ดก้อนกับปลาตัวเล็กๆอีกไม่กี่ตัว”

35 พระเยซูบอกให้ฝูงชนนั่งลงกับพื้น 36 พระองค์เอาขนมปังทั้งเจ็ดก้อนและปลามา ขอบคุณพระเจ้า แล้วหักขนมปังและปลาส่งให้พวกศิษย์ พวกศิษย์ก็เอาไปแจกให้กับฝูงชนกินกัน 37 เมื่อทุกคนกินอิ่มแล้ว พวกศิษย์เก็บเศษอาหารที่เหลือได้เจ็ดเข่งเต็มๆ 38 นับผู้ชายที่กินอยู่ที่นั่นได้สี่พันคน ไม่รวมผู้หญิงและเด็ก 39 หลังจากที่พระเยซูส่งทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว พระองค์ก็ลงเรือไปแคว้นมากาดาน

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International