Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 8

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ไปหาฟาโรห์และบอกกับเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พูดอย่างนี้ว่า ปล่อยคนของเรา เพื่อพวกเขาจะได้ไปรับใช้เรา แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยพวกเขา เราจะส่งฝูงกบมาสร้างความพินาศให้ทั่วทั้งแผ่นดินของเจ้า แม่น้ำไนล์จะเต็มไปด้วยฝูงกบ พวกมันจะกระโดดเข้ามาในบ้านของเจ้า ในห้องนอนและบนเตียงของเจ้า พวกมันจะเข้าไปในบ้านของพวกข้าราชการของเจ้า เกาะตามตัวประชาชนของเจ้า เข้าไปในพวกเตาอบของเจ้า ในภาชนะต่างๆของเจ้า ฝูงกบจะขึ้นมาเกาะอยู่ตามตัวของเจ้า ประชาชนของเจ้าและพวกข้าราชการของเจ้า’”

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้บอกอาโรนว่า ‘ให้ยื่นมือที่ถือไม้เท้าของเจ้าออกไปเหนือแม่น้ำ ลำธาร และสระน้ำ และฝูงกบจะกระโดดออกมาทั่วแผ่นดินอียิปต์’”

แล้วอาโรนก็ยื่นมือของเขาออกเหนือน้ำของอียิปต์ ฝูงกบก็โผล่ขึ้นมาปกคลุมทั่วอียิปต์

พวกนักมายากลใช้เวทมนตร์ของพวกเขา ทำในสิ่งเดียวกันกับที่อาโรนทำ พวกเขาทำให้ฝูงกบโผล่ขึ้นมาปกคลุมแผ่นดินอียิปต์เหมือนกัน

ฟาโรห์จึงเรียกโมเสสและอาโรนมาพูดว่า “ให้อธิษฐานถึงพระยาห์เวห์เพื่อพระองค์จะได้เอาฝูงกบพวกนี้ออกไปจากเราและประชาชนของเรา แล้วเราจะปล่อยประชาชนชาวอิสราเอล เพื่อพวกเขาจะได้ไปฆ่าสัตว์ถวายให้กับพระยาห์เวห์”

โมเสสพูดกับฟาโรห์ว่า “ให้ท่านเป็นคนบอก ว่าจะให้ข้าพเจ้าอธิษฐานเมื่อไหร่สำหรับท่าน พวกข้าราชการและประชาชนของท่าน เพื่อที่จะขับไล่ฝูงกบพวกนี้ออกไปจากท่าน และบ้านของท่าน เพื่อว่าพวกมันจะเหลืออยู่แต่ในแม่น้ำไนล์เท่านั้น”

10 ฟาโรห์บอกว่า “พรุ่งนี้”

โมเสสพูดว่า “มันจะเป็นอย่างที่ท่านพูด เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ไม่มีใครเหมือนพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราอีกแล้ว 11 ฝูงกบจะไปจากท่าน พวกบ้านของท่าน พวกข้าราชการของท่านและประชาชนของท่าน แต่จะเหลืออยู่แค่ในแม่น้ำไนล์เท่านั้น”

12 โมเสสและอาโรนจึงลาฟาโรห์ไป โมเสสอ้อนวอนต่อพระยาห์เวห์เรื่องฝูงกบเหล่านั้น ที่พระองค์ได้ทำขึ้นมาต่อต้านฟาโรห์ 13 พระยาห์เวห์ได้ทำตามที่โมเสสร้องขอ แล้วฝูงกบก็ตายกันเกลื่อนกลาดตามบ้าน ตามลานบ้าน และตามท้องทุ่ง 14 พวกเขาเอาซากพวกมันมากองทับถมกันสูงพะเนินเหม็นไปทั่วแผ่นดิน 15 เมื่อฟาโรห์เห็นว่าความเดือดร้อนบรรเทาลงแล้ว ฟาโรห์ก็เปลี่ยนใจ กลับมีใจแข็งกระด้างขึ้นอีก และไม่ยอมฟังโมเสสและอาโรนเหมือนกับที่พระยาห์เวห์บอกไว้

ความวุ่นวายจากตัวริ้น

16 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้บอกกับอาโรนว่า ‘ให้ยื่นไม้เท้าของเจ้าและตีฝุ่นบนพื้นดิน ฝุ่นเหล่านั้นจะกลายเป็นตัวริ้นอยู่ทั่วแผ่นดินอียิปต์’”

17 พวกเขาทั้งสองคนก็ทำตามนั้น อาโรนยื่นมือที่ถือไม้เท้าตีฝุ่นบนพื้นดิน ฝุ่นเหล่านั้นได้กลายเป็นตัวริ้น ตอมประชาชนและพวกสัตว์ ฝุ่นทั้งหมดได้กลายเป็นตัวริ้นกระจายไปทั่วแผ่นดินอียิปต์

18 พวกพระที่มีเวทมนตร์คาถา พยายามใช้เวทมนตร์ของพวกเขาเพื่อทำให้ฝุ่นกลายเป็นตัวริ้น แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้ มีริ้นอยู่ตามตัวประชาชนและพวกสัตว์ 19 พวกพระที่มีเวทมนตร์คาถาบอกกับฟาโรห์ว่า “นี่คือนิ้วมือของพระเจ้า” แต่จิตใจของฟาโรห์แข็งกระด้างมากขึ้น และไม่ยอมฟังพวกเขาเหมือนกับที่พระยาห์เวห์บอกไว้

ฝูงแมลงวันที่มารังควาน

20 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “วันพรุ่งนี้ให้ไปหาฟาโรห์แต่เช้าตรู่ ตอนที่เขาเดินลงไปที่แม่น้ำ และให้บอกกับเขาว่า พระยาห์เวห์พูดอย่างนี้ว่า ‘ปล่อยประชาชนของเราเพื่อพวกเขาจะได้ไปรับใช้เรา 21 เพราะถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยประชาชนของเรา เราจะส่งฝูงแมลงวันมาต่อต้านเจ้า พวกข้าราชการของเจ้า ประชาชนของเจ้า และบ้านของเจ้า บ้านเรือนของชาวอียิปต์จะเต็มไปด้วยฝูงแมลงวัน รวมไปถึงแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วย 22 แต่ในวันนั้น เราจะแยกแผ่นดินโกเชน ที่ประชาชนของเราอาศัยอยู่ออกมา เพื่อว่าจะได้ไม่มีฝูงแมลงวันที่นั่น เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่า เรายาห์เวห์ อยู่ท่ามกลางแผ่นดินนี้ 23 เราจะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างประชาชนของเรากับประชาชนของเจ้า เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้’”

24 พระยาห์เวห์ได้ทำตามนั้น ฝูงแมลงวันมากมายได้เข้ามาในบ้านของฟาโรห์ พวกบ้านข้าราชการของเขา และทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์ ฝูงแมลงวันได้ทำลายล้างแผ่นดินอียิปต์ 25 ฟาโรห์จึงเรียกโมเสสและอาโรนมาพบ และพูดว่า “ไปฆ่าสัตว์ถวายให้กับพระเจ้าของเจ้าในแผ่นดินนี้เถิด”

26 โมเสสพูดว่า “มันไม่ถูกต้องที่จะทำอย่างนั้น เพราะสิ่งที่พวกเราจะทำในการฆ่าสัตว์ถวายให้กับพระเจ้าของพวกเรานั้น เป็นสิ่งที่ชาวอียิปต์ขยะแขยง ถ้าพวกเราฆ่าสัตว์เพื่อเอามาถวาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอียิปต์ขยะแขยง แล้วพวกเขามาเห็นเข้า พวกเขาจะไม่เอาหินขว้างพวกเราหรือ 27 พวกเราต้องเดินทางเป็นเวลาสามวัน เข้าไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง แล้วถึงค่อยฆ่าสัตว์ถวายให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา ตามที่พระองค์บอกพวกเราไว้”

28 ฟาโรห์บอกว่า “เราจะปล่อยพวกเจ้าไป และพวกเจ้าก็ไปฆ่าสัตว์ถวายให้กับยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งได้ แต่พวกเจ้าจะต้องไม่ไปไกลนัก อธิษฐานให้กับเราด้วย”

29 โมเสสพูดว่า “ทันทีที่ข้าพเจ้าลาท่านไป ข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ และในวันพรุ่งนี้ ฝูงแมลงวันก็จะไปจากฟาโรห์ ข้าราชการของท่าน และประชาชนของท่าน ขอแต่อย่าให้ฟาโรห์หลอกลวงอีกเท่านั้น โดยไม่ยอมปล่อยประชาชนไปฆ่าสัตว์ถวายให้กับพระยาห์เวห์”

30 แล้วโมเสสก็จากฟาโรห์ไปและอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ 31 พระยาห์เวห์ได้ทำตามที่โมเสสขอ พระองค์ได้เอาฝูงแมลงวันออกไปจากฟาโรห์ พวกข้าราชการของเขาและประชาชนของเขา ไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว 32 แต่ฟาโรห์ก็ใจแข็งกระด้างขึ้นมาอีก และไม่ยอมปล่อยประชาชนชาวอิสราเอลไป

ลูกา 11

พระเยซูสอนเรื่องการอธิษฐาน

(มธ. 6:9-15)

11 มีครั้งหนึ่งที่พระเยซูอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วลูกศิษย์คนหนึ่งเข้ามาบอกว่า “อาจารย์ช่วยสอนพวกเราอธิษฐานหน่อยครับ เหมือนกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขา” พระเยซูบอกว่า “เมื่อพวกคุณอธิษฐาน ให้พูดอย่างนี้ว่า

‘พระบิดา ขอให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถือเสมอ
    ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ในโลกนี้
ขอช่วยให้เรามีอาหารกินในทุกๆวัน
ขอช่วยยกโทษให้กับความบาปของพวกเรา
    เหมือนกับที่เรายกโทษให้กับคนอื่นที่ทำบาปต่อเรา
แล้วขออย่าปล่อยให้เราแพ้ต่อการยั่วยวน’”

ต้องขอต่อไปเรื่อยๆ

(มธ. 7:7-11)

แล้วพระเยซูพูดต่อไปว่า “สมมุติว่ามีเพื่อนมาเยี่ยมคุณตอนเที่ยงคืน แต่บ้านคุณไม่มีอะไรจะให้เขากินสักอย่าง คุณก็เลยไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่ง และร้องเรียกว่า ‘นี่ เพื่อนขอยืมขนมปังสักสามก้อนสิ พอดีมีเพื่อนมาเยี่ยม แต่ที่บ้านไม่มีอะไรจะให้เขากินเลย’ เพื่อนคนนั้นที่อยู่ในบ้านร้องตอบว่า ‘อย่ายุ่งน่า ประตูก็ลงกลอนแล้ว ฉันกับลูกๆก็นอนกันอยู่บนเตียงนี้หมดแล้ว จะลุกไปหยิบอะไรให้ไม่ได้แล้ว’ เราจะบอกให้รู้ว่า ถึงแม้เขาจะไม่ลุกขึ้นมาหยิบให้เพราะความเป็นเพื่อนกัน แต่เขาจะลุกขึ้นมาหยิบให้เท่าที่คุณอยากได้ เพราะทนการตื๊อแบบหน้าด้านๆของคุณไม่ไหว เราขอบอกให้รู้ว่า ขอสิแล้วจะได้ หาสิแล้วจะพบ เคาะสิแล้วประตูจะเปิดให้ 10 เพราะทุกคนที่ขอก็จะได้ ทุกคนที่หาก็จะพบ และทุกคนที่เคาะ ประตูก็จะเปิดให้ 11 มีใครบ้างในพวกคุณ ถ้าลูกขอปลา แล้วจะให้งูพิษแทน 12 หรือเมื่อลูกขอไข่แล้วจะส่งแมงป่องให้แทน 13 แม้แต่พวกคุณที่เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีๆกับลูกของคุณเลย แล้วพระบิดาบนสวรรค์ล่ะ จะไม่ยิ่งพร้อมที่จะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ กับคนที่ขอจากพระองค์หรือ”

อำนาจของพระเยซูมาจากพระเจ้า

(มธ. 12:22-30; มก. 3:20-27)

14 วันหนึ่งพระเยซูไล่ผีชั่วออกจากชายคนหนึ่งที่เป็นใบ้ เมื่อผีออกไปแล้ว ชายคนนั้นก็พูดได้ ทำให้ชาวบ้านประหลาดใจมาก 15 แต่บางคนพูดว่า “เขาใช้ฤทธิ์อำนาจของ เบเอลเซบูลหัวหน้าผี ขับไล่ผีชั่วพวกนั้นออกไป”

16 บางคนก็เรียกให้พระองค์ทำเรื่องอัศจรรย์ให้ดู เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์มาจากพระเจ้าจริง 17 พระเยซูรู้ถึงความคิดนั้น จึงตอบไปว่า “อาณาจักรที่แตกแยกกันจะถูกทำลาย และบ้านไหนที่ทะเลาะกันเองก็จะพังพินาศ 18 ถ้าซาตานต่อสู้กับตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร คุณหาว่าเราใช้ฤทธิ์อำนาจของเบเอลเซบูล ขับไล่พวกผีชั่วนั้น 19 และถ้าเราใช้ฤทธิ์อำนาจของเบเอลเซบูลขับไล่พวกผีชั่วนั้น แล้วพวกของคุณใช้ฤทธิ์อำนาจของใครขับไล่พวกผีชั่วนั้นล่ะ ดังนั้น พวกศิษย์ของคุณเองจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับเรานั้นผิด 20 แต่ถ้าเราใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าขับผีชั่ว ก็แสดงว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพวกคุณแล้ว

21 เมื่อมีเจ้าของบ้านที่แข็งแรงและมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านอยู่ ทรัพย์สินของเขาก็ปลอดภัย 22 แต่ถ้ามีคนที่แข็งแรงกว่าบุกเข้ามาเอาชนะเขา และยึดเอาอาวุธที่เขาใช้ป้องกันตัวไป เมื่อถึงตอนนั้น ก็ปล้นเอาทรัพย์สินของเขาไปแบ่งปันกันได้

23 คนที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเรา ก็ต่อต้านเรา และคนที่ไม่ช่วยเรารวบรวมฝูงแกะ ก็เป็นคนที่ทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป

คนที่ว่างเปล่า

(มธ. 12:43-45)

24 เมื่อผีชั่วออกมาจากร่างของคนหนึ่งแล้ว มันก็ร่อนเร่ไปตามที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง เพื่อหาที่หยุดพัก แต่ก็หาไม่พบ มันจึงพูดว่า ‘กลับไปบ้านเก่าที่ออกมาดีกว่า’ 25 แล้วมันก็กลับไป พบว่าบ้านหลังนั้นถูกเก็บกวาดสะอาดเรียบร้อย 26 มันจึงไปชวนผีที่ชั่วร้ายกว่ามันมาอีกเจ็ดตัว เข้ามารวมกันอยู่ที่บ้านหลังนั้น สุดท้ายสภาพของคนๆนั้นก็เลวร้ายยิ่งกว่าในตอนแรกเสียอีก”

ผู้ที่มีเกียรติจริงๆ

27 เมื่อพระเยซูเล่าเรื่องนี้อยู่ ก็มีหญิงคนหนึ่งในฝูงชนร้องขึ้นมาว่า “คนที่คลอดท่านมาและให้ท่านดูดนม ถือว่ามีเกียรติจริงๆ”

28 แต่พระองค์พูดว่า “ใช่ แต่คนที่ฟังและทำตามถ้อยคำของพระเจ้า ก็มีเกียรติยิ่งกว่า”

พิสูจน์ให้พวกเราดูสิ

(มธ. 12:38-42; มก. 8:12)

29 เมื่อมีชาวบ้านมามากขึ้น พระเยซูก็พูดว่า “คนสมัยนี้ชั่วร้ายเรียกร้องให้ทำการอัศจรรย์ให้ดู แต่เราจะไม่ทำให้ดู นอกจากการอัศจรรย์ของโยนาห์[a] 30 สิ่งที่เกิดขึ้นกับโยนาห์เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่พิสูจน์ให้ชาวนีนะเวห์รู้ว่า พระเจ้าส่งโยนาห์มา และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา ก็จะเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่พิสูจน์ให้คนในสมัยนี้รู้ว่า พระเจ้าส่งบุตรมนุษย์มา 31 ราชินีแห่งทิศใต้[b]ก็เหมือนกัน ในวันตัดสินโทษพระนางจะลุกขึ้นมาพร้อมกับพวกคุณที่อยู่ในสมัยนี้และประณามพวกคุณ เพราะนางอุตส่าห์เดินทางมาจากสุดปลายโลก เพื่อมาฟังคำสอนที่ฉลาดปราดเปรื่องของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ตอนนี้ สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนก็อยู่ที่นี่แล้ว 32 ในวันตัดสินโทษ ชาวเมืองนีนะเวห์ก็จะมาทำให้เห็นว่าคนสมัยนี้ผิดเหมือนกัน เพราะชาวเมืองนีนะเวห์นั้นได้กลับตัวกลับใจเมื่อฟังคำสั่งสอนของโยนาห์ และตอนนี้ สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่แล้ว

ให้เป็นแสงสว่างของโลก

(มธ. 5:15; 6:22-23)

33 ไม่มีใครหรอกที่จุดตะเกียงแล้วจะเอาไปซ่อนไว้ หรือเอาถังครอบไว้ มีแต่จะเอาไปตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อจะได้ส่องสว่างให้กับคนที่เข้ามาในห้อง 34 ดวงตาของคุณก็คือตะเกียงของร่างกายคุณ ถ้าดวงตาดี ทั้งร่างก็จะเต็มไปด้วยแสงสว่าง แต่ถ้าดวงตาไม่ดี[c] ทั้งร่างกายก็จะมืดมนไป 35 ระวังตัวไว้ให้ดี อย่าให้แสงสว่างในตัวคุณกลับมืดไป 36 ถ้าทั้งร่างของคุณมีความสว่างเต็มไปหมด ก็จะไม่มีส่วนไหนมืดเลย คุณก็จะสว่างจ้าไปทั้งตัว เหมือนกับมีแสงตะเกียงส่องมาที่คุณ”

พระเยซูวิจารณ์พวกผู้นำศาสนา

(มธ. 23:1-36; มก. 12:38-40; ลก. 20:45-47)

37 เมื่อพระเยซูพูดจบแล้ว ฟาริสีคนหนึ่ง ก็ชวนพระองค์ไปกินอาหารที่บ้านของเขา เมื่อไปถึง พระองค์ก็ไปนั่งที่โต๊ะอาหารทันที 38 ส่วนฟาริสีคนนั้นก็แปลกใจที่พระเยซูไม่ได้ล้างมือ[d] ตามพิธีก่อนกินอาหาร 39 พระองค์ก็บอกว่า “พวกคุณฟาริสี ล้างถ้วยชามแต่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ภายในนั้นมีแต่ความโลภ และความชั่วร้ายเต็มไปหมด 40 ช่างโง่เสียจริง พระเจ้าสร้างด้านนอกและด้านในด้วยไม่ใช่หรือ 41 ถ้างั้นก็ให้กับคนจนด้วยใจ แล้วทุกอย่างก็จะสะอาดบริสุทธิ์สำหรับคุณ

42 น่าละอายจริงๆพวกคุณที่เป็นฟาริสี คุณเคร่งครัดมากในเรื่องการถวายหนึ่งในสิบ[e]ให้กับพระเจ้า แม้แต่ใบสะระแหน่ ต้นรู[f] และสมุนไพร ก็ให้จนครบถ้วน แต่พวกคุณกลับไม่มีความยุติธรรม และไม่มีความรักให้กับพระเจ้า คุณควรจะทำสิ่งนี้ไปพร้อมๆกับการถวายด้วย

43 น่าละอายจริงๆพวกคุณที่เป็นฟาริสี คุณชอบนั่งในที่อันมีเกียรติในที่ประชุม และชอบให้คนยกมือไหว้ที่ตลาด

44 น่าละอายจริงๆพวกคุณเป็นเหมือนหลุมศพที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้ ที่คนเดินเหยียบย่ำไปมาโดยไม่รู้ตัว”[g]

45 คนที่เก่งกฎปฏิบัติคนหนึ่งพูดว่า “อาจารย์พูดอย่างนี้ ก็เท่ากับดูถูกพวกเราด้วย”

46 พระเยซูจึงตอบว่า “ใช่แล้ว พวกคุณที่เก่งกฎปฏิบัติ ก็น่าละอายจริงๆเพราะพวกคุณออกกฎที่เป็นภาระหนักอึ้งให้คนอื่นแบกไว้ แต่ตัวเองไม่คิดที่จะช่วยแบกแม้แต่นิ้วเดียว

47 น่าละอายจริงๆเพราะคุณสร้างอนุสาวรีย์สำหรับผู้พูดแทนพระเจ้าที่บรรพบุรุษของพวกคุณเป็นคนฆ่า 48 แสดงว่าพวกคุณเห็นดีด้วยกับสิ่งที่บรรพบุรุษของคุณได้ทำไป พวกเขาฆ่า พวกคุณก็สร้างอนุสาวรีย์ให้ 49 เพราะอย่างนี้ จึงมีสติปัญญาของพระเจ้าบอกไว้ว่า ‘เราจะส่งพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และพวกทูตพิเศษ ไปให้พวกเขา ซึ่งบางคนก็จะถูกพวกเขาฆ่า และบางคนก็จะถูกข่มเหง’ 50 คนสมัยนี้จะต้องถูกลงโทษสำหรับเลือดของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าทุกคน ที่ถูกฆ่าตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมา 51 นับจากเลือดของอาเบล จนถึงเลือดของเศคาริยาห์[h] ที่ถูกฆ่าตายระหว่างแท่นบูชากับวิหารของพระเจ้า ใช่แล้ว เราจะบอกให้รู้ว่า คนในสมัยนี้นี่แหละที่จะต้องถูกลงโทษสำหรับเลือดของคนพวกนั้นทุกคน

52 น่าละอายจริงๆพวกคุณที่เก่งกฎปฏิบัติ เพราะคุณเอากุญแจที่จะไขความรู้ไป แต่ตัวเองไม่ยอมเข้าไป แล้วยังขัดขวางคนอื่นที่กำลังจะเข้าไปอีกด้วย”

53 เมื่อพระเยซูออกไปแล้ว พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสี ก็เริ่มต่อต้านพระองค์อย่างหนัก และซักถามหลายๆเรื่องอย่างไม่หวังดี 54 เพื่อคอยจับผิดคำพูดของพระองค์

โยบ 25-26

บิลดัดตอบโยบ

25 แล้วบิลดัดชาวชูอาห์ก็ตอบว่า

“พระเจ้าทรงครอบครอง พระองค์น่ายำเกรง
    พระองค์สร้างสันติในสวรรค์ชั้นฟ้าของพระองค์
ทหารในกองทัพของพระองค์นั้นนับไม่ถ้วน
    แสงสว่างของพระองค์สาดส่องลงมายังทุกคน
มนุษย์จะเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อหน้าพระเจ้าได้หรือ
    คนที่เกิดจากผู้หญิงจะสะอาดบริสุทธิ์ได้หรือ
ขนาดดวงจันทร์ก็ยังไม่สุกใส
    และหมู่ดาวก็ยังไม่บริสุทธิ์ในสายตาของพระองค์เลย
แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์
    ที่เป็นเพียงแมลงหนอน
    และนับประสาอะไรกับคนเราที่เป็นแค่ตัวหนอน”

โยบพูดอีก

26 แล้วโยบก็ตอบว่า

“ท่านนี่ช่างช่วยเหลือผู้ที่หมดเรี่ยวแรงได้ดีมาก
    ท่านนี่ช่างเป็นผู้ช่วยให้รอดจริงๆสำหรับผู้ที่อ่อนแอ
ท่านช่างให้คำปรึกษาที่มหัศจรรย์กับผู้ที่ขาดปัญญาเสียจริง
    ท่านช่างให้คำแนะนำที่แสนจะวิเศษมากมายเสียนี่กระไร
ใครกันนี่ที่มาช่วยให้ท่านเปล่งคำพูดออกมาอย่างนี้
    วิญญาณของใครกันนี่ที่กำลังออกมาจากพวกท่าน

[a] วิญญาณคนตายทั้งหลายตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว
    ในแดนคนตายที่อยู่ใต้ชั้นน้ำซึ่งอยู่ใต้แผ่นดินโลก
ต่อหน้าพระเจ้า แม้แต่แดนคนตายก็เปลือยอยู่
    ดินแดนแห่งความพินาศนั้นไม่มีอะไรปกปิด
พระองค์คลี่ฟ้าทางเหนือออกเหนือที่เวิ้งว้าง
    และแขวนโลกเอาไว้บนความว่างเปล่า
พระองค์ห่อน้ำไว้ในเมฆอันหนาทึบของพระองค์
    และน้ำนั้นไม่ได้ทำให้เมฆฉีกขาด
พระองค์เอาเมฆของพระองค์
    ปูคลุมหน้าของดวงจันทร์เต็มดวง
10 พระองค์ขีดเส้นขอบฟ้าไว้เหนือทะเล
    แบ่งเขตแดนระหว่างความสว่างกับความมืด
11 เมื่อพระองค์ตะโกน
    พวกเสาหลักของฟ้าสวรรค์ก็สะดุ้งสั่นไหว
12 พระองค์ใช้พละกำลังปราบทะเลให้สงบลง
    และใช้ปัญญาของพระองค์บดขยี้ราหับ[b]
13 ลมหายใจของพระองค์ทำให้ฟ้าสว่างสดใส
    มือของพระองค์แทงงูใหญ่[c] ที่กำลังเลื้อยหนีไป
14 นี่เป็นแค่เสี้ยวเดียวของสิ่งที่พระองค์ทำ
    ที่เราได้ยินนี้เป็นแค่เสียงกระซิบของฤทธิ์อำนาจพระองค์เท่านั้น
    ส่วนฤทธิ์อำนาจทั้งหมดที่กึกก้องเหมือนฟ้าร้องนั้น ใครจะไปเข้าใจได้”

1 โครินธ์ 12

พรสวรรค์จากพระวิญญาณบริสุทธิ์

12 ตอนนี้ พี่น้องครับ ผมอยากให้พวกคุณรู้เกี่ยวกับพรสวรรค์ที่มาจากพระวิญญาณ คุณก็รู้แล้วว่าตอนที่คุณยังไม่ไว้วางใจพระเจ้าเพราะสาเหตุอะไรก็ตาม คุณถูกชักจูงให้หลงผิด และไปกราบไหว้รูปเคารพที่พูดไม่ได้ ดังนั้นผมขอบอกให้รู้ว่า คนที่พูดผ่านทางพระวิญญาณของพระเจ้าจะไม่มีวันที่จะพูดว่า “ขอให้พระเยซูถูกสาปแช่ง” และคนที่พูดว่า “พระเยซูคือองค์เจ้าชีวิต” นั้น จะต้องเป็นคนที่พูดผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น

พรสวรรค์มีหลายอย่าง แต่มาจากพระวิญญาณองค์เดียวกัน งานรับใช้ก็มีหลายแบบ แต่ก็รับใช้องค์เจ้าชีวิตองค์เดียวกัน การงานมีหลายอย่าง แต่เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันที่ได้ทำงานทั้งหมดนี้ผ่านทางทุกคน พระเจ้าให้พระวิญญาณทำงานในแต่ละคนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม พระวิญญาณให้คนหนึ่งสามารถพูดอย่างชาญฉลาด และพระวิญญาณองค์เดียวกันนี้ทำให้อีกคนหนึ่งพูดด้วยความรอบรู้ พระวิญญาณนี้ก็ให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ และให้อีกคนหนึ่งรักษาโรคได้ ซึ่งก็มาจากพระวิญญาณองค์เดียวกัน 10 แล้วพระองค์ก็ให้อีกคนหนึ่งทำการอัศจรรย์ได้ และให้อีกคนหนึ่งพูดแทนพระเจ้าได้ และให้อีกคนหนึ่งแยกแยะออกว่า สิ่งที่คนนั้นพูดมาจากพระเจ้าหรือเปล่า และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆได้ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษาเหล่านั้นได้ 11 แต่ทั้งหมดนี้ก็สำเร็จได้ด้วยพระวิญญาณองค์เดียวกัน และพระองค์ก็ให้พรสวรรค์กับแต่ละคนตามที่พระองค์เห็นสมควร

ร่างกายของพระคริสต์

12 พวกเรามีร่างกายเดียวแต่มีอวัยวะหลายส่วน และถึงแม้จะมีอวัยวะหลายส่วน อวัยวะทั้งหมดก็ประกอบขึ้นเป็นร่างกายเดียวกัน พระคริสต์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน 13 เพราะพวกเราทุกคนได้รับการจุ่มน้ำด้วยพระวิญญาณองค์เดียว เพื่อจะได้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม คนยิวหรือไม่ใช่คนยิว เป็นทาสหรือเป็นคนอิสระ พวกเราก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน[a]

14 ร่างกายของมนุษย์นั้นไม่ได้มีแค่อวัยวะเดียว แต่มีหลายอวัยวะ 15 ถึงเท้าจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ใช่มือ ฉันก็เลยไม่เป็นของร่างกายนี้” นั่นก็ไม่ได้ทำให้เท้าเลิกเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายหรอกนะ 16 ถึงหูจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ใช่ตา ฉันก็เลยไม่เป็นของร่างกายนี้” นั่นก็ไม่ได้ทำให้หูเลิกเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนี้หรอกนะ 17 ถ้าทั้งร่างเป็นตาหมด แล้วเราจะได้ยินได้อย่างไร ถ้าทั้งร่างเป็นหูหมด แล้วเราจะได้กลิ่นได้อย่างไร 18 แต่ความจริงแล้ว พระเจ้าก็ได้จัดอวัยวะแต่ละชิ้นในร่างกาย ตามที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสมแล้ว 19 ถ้าทั้งร่างมีอวัยวะเดียวเหมือนกันหมด แล้วจะมีร่างกายได้อย่างไร 20 เราจะเห็นว่ามีอวัยวะตั้งหลายส่วนก็จริง แต่มีกายแค่กายเดียว

21 ตาจะบอกกับมือว่า “ฉันไม่ต้องการเธอ” ก็ไม่ได้ หรือหัวจะบอกกับเท้าว่า “ฉันไม่ต้องการพวกเธอ” ก็ไม่ได้ 22 อวัยวะของร่างกายที่เราคิดว่าอ่อนแอกลับเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก 23 อวัยวะที่เราเห็นว่าไม่ค่อยสำคัญเท่าไรกลับต้องดูแลเป็นพิเศษ และอวัยวะที่เราอายที่จะอวด กลับต้องดูแลเป็นอย่างดี 24 แต่อวัยวะที่อวดได้นั้น กลับไม่จำเป็นต้องดูแลมากนัก พระเจ้าได้ประกอบอวัยวะต่างๆเข้าด้วยกันในแบบที่ว่า อวัยวะส่วนไหนที่ดูเหมือนต่ำต้อย พระองค์ก็ให้เกียรติส่วนนั้นมากขึ้น 25 เพื่อจะได้ไม่เกิดการแตกแยกกันขึ้นในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทุกส่วนเอาใจใส่ซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียมกันหมด 26 ถ้าอวัยวะหนึ่งเจ็บ อวัยวะทุกส่วนของร่างกายก็เจ็บด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทุกส่วนก็จะร่วมฉลองด้วย

27 ดังนั้น พวกคุณเป็นร่างกายของพระคริสต์ และแต่ละคนก็เป็นอวัยวะของร่างกายนั้น 28 ยิ่งกว่านั้น ในหมู่ประชุมของพระเจ้า พระองค์ได้แต่งตั้งศิษย์เอกเป็นอันดับแรก อันดับที่สองผู้พูดแทนพระเจ้า อันดับที่สามครูสอน จากนั้นก็คนทำสิ่งอัศจรรย์ คนที่รักษาโรคได้ คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นได้ คนที่เป็นผู้นำ คนที่พูดภาษาแปลกๆได้ 29 ทุกคนเป็นศิษย์เอกหรือ ทุกคนเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าหรือ ทุกคนเป็นครูสอนหรือ ทุกคนทำสิ่งอัศจรรย์ได้หรือ 30 ทุกคนรักษาโรคได้หรือ ทุกคนพูดภาษาแปลกๆได้หรือ ทุกคนแปลภาษาพวกนั้นได้หรือ 31 แต่ขอให้พวกคุณขวนขวายพรสวรรค์ต่างๆที่ยิ่งใหญ่

ความรักเป็นพรสวรรค์ที่ดีที่สุด

ตอนนี้ ผมจะชี้หนทางที่ดีที่สุดให้คุณเห็น

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International