Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 6

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ต่อไปนี้ เจ้าจะได้เห็นว่าเราจะทำอะไรกับฟาโรห์ เราจะบีบบังคับให้เขาส่งคนพวกนี้ออกจากอียิปต์ เราก็จะบีบบังคับให้เขาขับไล่คนพวกนี้ออกจากแผ่นดินของเขา”

พระเจ้าพูดกับโมเสส และบอกกับโมเสสว่า “เราคือยาห์เวห์ เราเคยปรากฏตัวกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบในชื่อของพระเจ้าผู้มีอำนาจสูงสุด[a] เราไม่ได้ให้พวกเขารู้จักเราในชื่อของยาห์เวห์ เราได้สัญญากับพวกเขาด้วยว่า เราจะยกแผ่นดินคานาอันให้กับพวกเขา แผ่นดินที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ในฐานะคนต่างด้าว เราก็ยังได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของลูกหลานของอิสราเอล ที่ถูกชาวอียิปต์บีบบังคับให้ทำงานหนัก และเราก็จำคำสัญญาของเราได้ ดังนั้นให้ไปบอกกับลูกหลานของอิสราเอลว่า ‘เราคือยาห์เวห์ และเราจะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากภาระหนักของชาวอียิปต์ เราจะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากการเป็นทาสของพวกเขา เราจะไถ่พวกเจ้าด้วยแขนที่ยื่นออกมาช่วย เราจะไถ่พวกเจ้าด้วยการลงโทษอันยิ่งใหญ่ เราจะรับพวกเจ้าเป็นประชาชนของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้ที่ช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากภาระหนักของชาวอียิปต์ เราจะพาพวกเจ้าไปยังดินแดนที่เราได้สัญญาไว้ว่าจะให้กับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ เพราะเราคือยาห์เวห์ เราจะยกแผ่นดินนั้นให้พวกเจ้าเป็นเจ้าของ’”

แล้วโมเสสก็พูดอย่างนั้นกับลูกหลานของอิสราเอล แต่พวกเขาไม่ยอมฟัง เพราะพวกเขาหมดอาลัยตายอยาก และการเป็นทาสของพวกเขาก็หนักอึ้ง 10 พระยาห์เวห์จึงพูดกับโมเสสว่า 11 “ไปบอกกับฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ให้ปล่อยลูกหลานของอิสราเอลไปจากแผ่นดินของเขา”

12 แต่โมเสสพูดต่อหน้าพระยาห์เวห์ว่า “ดูสิขนาดคนอิสราเอลยังไม่ยอมฟังข้าพเจ้าเลย แล้วฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์จะฟังข้าพเจ้าหรือ เพราะข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง”

13 แต่พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรน และสั่งให้เขาทั้งสองไปหาลูกหลานของอิสราเอลและฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ เพื่อที่จะพาลูกหลานของอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์

ครอบครัวชาวอิสราเอล

14 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของผู้นำแต่ละครอบครัวของอิสราเอล

ลูกชายคนโตของอิสราเอลคือรูเบน รูเบนมีลูกสี่คนคือ ฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคารมี พวกเขาทั้งหมดอยู่ในครอบครัวของรูเบน

15 ลูกชายของสิเมโอนคือ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน โศหาร์ รวมทั้งชาอูลที่เกิดจากหญิงชาวคานาอัน พวกเขาทั้งหมดอยู่ในครอบครัวของสิเมโอน

16 เลวีมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดปี ลูกของเลวีคือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี

17 ลูกชายของเกอร์โชนคือ ลิบนีและชิเมอีพร้อมกับครอบครัวของพวกเขา

18 โคฮาทมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยสามสิบสามปี ลูกชายโคฮาทคือ อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล

19 ลูกชายของเมรารีคือ มาห์ลีและมูชี พวกเขาทั้งหมดอยู่ในครอบครัวของชาวเลวี เรียงตามลำดับรุ่นของเขา

20 อัมรามมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดปี อัมรามเอานางโยเคเบดซึ่งเป็นน้องสาวพ่อมาเป็นเมีย และนางคลอดลูกชายให้กับเขา คืออาโรนกับโมเสส

21 ลูกชายของอิสฮาร์คือ โคราห์ เนเฟก และศิครี

22 ลูกชายของอุสซีเอลคือ มิชาเอล เอลซาฟาน และสิธรี

23 อาโรนได้นางเอลีเชบามาเป็นเมีย เอลีเชบาเป็นลูกสาวของอัมมีนาดับ และเป็นพี่น้องกับนาโชน นางได้คลอด นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์

24 ลูกชายของโคราห์คือ อัสสีร์ เอลคานาห์ และอาบียาสาฟ พวกเขาทั้งหมดอยู่ในครอบครัวของชาวโคราห์

25 เอเลอาซาร์ลูกชายอาโรน เอาลูกสาวคนหนึ่งของปูทิเอลมาเป็นเมีย นางได้คลอดฟีเนหัส พวกเขาเหล่านี้เป็นต้นตระกูลในแต่ละครอบครัวของชาวเลวี

26 อาโรนและโมเสสนี่แหละ คือสองคนที่พระยาห์เวห์พูดด้วยว่า “ให้พาลูกหลานของอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ไปเป็นกลุ่มๆ”[b] 27 ทั้งสองคนนี้คือคนที่พูดกับฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ เพื่อนำลูกหลานของอิสราเอลออกจากอียิปต์ มันก็คือโมเสสกับอาโรนนี่แหละ

พระยาห์เวห์กำชับโมเสสและอาโรน

28 เมื่อพระยาห์เวห์พูดกับโมเสสในแผ่นดินอียิปต์ 29 พระองค์พูดกับโมเสสว่า “เราคือยาห์เวห์ ให้บอกกับฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ตามที่เราได้บอกกับเจ้าทุกอย่าง”

30 โมเสสได้พูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ดูสิ ข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง แล้วฟาโรห์จะมาฟังคนอย่างข้าพเจ้าทำไม”

ลูกา 9

พระเยซูส่งศิษย์เอกสิบสองคนออกไป

(มธ. 10:5-15; มก. 6:7-13)

พระเยซูเรียกศิษย์เอกทั้งสิบสองคนมา แล้วพระองค์ก็ให้พวกเขามีฤทธิ์และสิทธิอำนาจเหนือผีชั่วทั้งหมด และรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ แล้วพระองค์ก็ส่งพวกเขาออกไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และให้รักษาคนเจ็บป่วย พระองค์สั่งว่า “ไม่ต้องเอาอะไรติดตัวไปเลย ไม่ว่าจะเป็นไม้เท้า ถุงย่าม อาหาร เงินหรือเสื้อผ้าสำรอง เมื่อเข้าไปอยู่ในบ้านหลังไหนแล้ว ก็ให้อยู่ที่นั่นตลอดจนกว่าจะออกจากเมืองนั้นไป ถ้าเมืองไหนไม่ต้อนรับ ก็ให้ออกจากเมืองนั้นไป แล้วสะบัดฝุ่นออกจากเท้า[a] ด้วย เพื่อเป็นการเตือนพวกเขา”

พวกเขาก็ได้ไปประกาศข่าวดีนี้ ทั่วทุกหมู่บ้านและรักษาคนเจ็บป่วยด้วย

เฮโรดสับสนเรื่องพระเยซู

(มธ. 14:1-12; มก. 6:14-29)

เมื่อเฮโรด ผู้ปกครองแคว้นกาลิลี ได้ยินเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ ก็มึนงงสงสัย เพราะมีคนบอกเขาว่าพระเยซู “เป็นยอห์นที่ฟื้นขึ้นจากความตาย” บางคนก็บอกว่า “เป็นเอลียาห์ที่มาปรากฏให้เห็น” แล้วบางคนก็บอกว่าเป็น “ผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งจากสมัยก่อนที่ฟื้นขึ้นมาใหม่” แต่เฮโรดพูดว่า “เราตัดหัวยอห์นไปแล้ว แล้วคนนี้ที่เราได้ยินคนพูดถึง เป็นใครกันแน่” พระองค์ก็เลยอยากจะเจอพระเยซู

พระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคน

(มธ. 14:13-21; มก. 6:30-44; ยน. 6:1-14)

10 เมื่อพวกศิษย์เอกกลับมา ก็เล่าเรื่องทุกอย่างที่พวกเขาได้ทำและสอน ให้กับพระเยซูฟัง แล้วพระองค์จึงพาพวกเขาปลีกตัวออกไปที่เมืองเบธไซดา 11 เมื่อพวกชาวบ้านรู้เข้า ก็ตามพระองค์ไป พระองค์ก็ต้อนรับพวกเขา พร้อมกับเล่าเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าให้ฟัง และยังได้รักษาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วย

12 พอตกเย็น ศิษย์เอกทั้งสิบสองคนพากันมาหาพระเยซู พูดว่า “ส่งชาวบ้านพวกนี้กลับไปเถอะ พวกเขาจะได้ไปหาอาหารกินและหาที่พักตามหมู่บ้านหรือไร่นาใกล้ๆนี้ในคืนนี้ เพราะที่นี่เปลี่ยวมาก”

13 แต่พระเยซูกลับบอกว่า “พวกคุณหาอะไรมาเลี้ยงพวกเขาสิ”

พวกศิษย์ตอบว่า “พวกเรามีแค่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น ถ้าจะให้มีอาหารพอก็ต้องไปซื้อมาเลี้ยงพวกเขาทุกคน” 14 ขณะนั้นมีผู้ชายอยู่ประมาณห้าพันคน แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกศิษย์ว่า “ถ้างั้นไปบอกให้พวกเขานั่งกันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละประมาณห้าสิบคน”

15 พวกเขาก็ไปทำตาม ทุกคนนั่งลงเป็นกลุ่มๆ 16 พระเยซูหยิบขนมปังห้าก้อน และปลาสองตัวขึ้นมา พร้อมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร แล้วหักขนมปังส่งให้กับพวกศิษย์ เพื่อเอาไปแบ่งให้กับทุกคน 17 พวกชาวบ้านต่างกินกันจนอิ่ม และพวกศิษย์ก็เก็บเศษอาหารที่เหลือกินได้อีกสิบสองเข่งเต็มๆ

พระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่

(มธ. 16:13-19; มก. 8:27-29)

18 เมื่อพระเยซูอธิษฐานอยู่คนเดียว พวกศิษย์ก็พากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงถามว่า “ชาวบ้านพูดว่าเราเป็นใคร”

19 พวกเขาตอบว่า “บางคนว่าเป็นยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์ แต่บางคนว่าเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งในสมัยก่อนที่ฟื้นขึ้นมาใหม่”

20 พระองค์จึงถามพวกเขาว่า “แล้วพวกคุณล่ะว่าเราเป็นใคร”

เปโตรตอบว่า “เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”

21 พระเยซูเตือนพวกเขาว่าอย่าบอกให้ใครรู้

พระเยซูบอกว่าพระองค์จะต้องตาย

(มธ. 16:21-28; มก. 8:31-9:1)

22 พระองค์พูดว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่าง พวกผู้นำชาวยิว พวกหัวหน้านักบวชและพวกครูสอนกฎปฏิบัติก็จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะต้องถูกฆ่า แต่พระองค์จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม”

23 แล้วพระองค์ก็พูดกับทุกคนว่า “ถ้าใครอยากจะติดตามเรา ต้องเลิกตามใจตัวเอง แล้วแบกไม้กางเขนของตัวเองตามเราทุกๆวัน 24 คนที่อยากจะเอาตัวรอดจะไม่รอด แต่คนที่ยอมสละตัวเองเพื่อเราจะรอด 25 มันจะได้กำไรตรงไหน ถ้าได้โลกทั้งใบ แต่เสียตัวตนหรือถูกทำลายไป 26 คนไหนที่อับอายที่จะยอมรับเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายที่จะรับคนนั้นด้วยเหมือนกันในวันที่บุตรมนุษย์เสด็จมาพร้อมกับสง่าราศีของพระองค์ สง่าราศีของพระบิดา และของพวกทูตสวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ 27 แต่เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้าเสียก่อน”

โมเสส เอลียาห์และพระเยซู

(มธ. 17:1-8; มก. 9:2-8)

28 หลังจากนั้นประมาณแปดวันพระองค์พาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน 29 ในขณะที่อธิษฐาน ใบหน้าของพระองค์ก็เปลี่ยนไป เสื้อผ้าพระองค์เปลี่ยนเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววาว 30 อยู่ๆก็มีชายสองคน คือโมเสสกับเอลียาห์[b] มาพูดคุยอยู่กับพระองค์ที่นั่น 31 ทั้งสองเปล่งรัศมีเจิดจ้า พวกเขากำลังพูดถึงการตายของพระเยซูที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองเยรูซาเล็ม 32 ส่วนเปโตรกับเพื่อนอีกสองคนนั้นง่วงมาก แต่เมื่อพวกเขาตื่นเต็มที่ ก็เห็นรัศมีอันเจิดจ้าของพระเยซู และเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระองค์ 33 เมื่อชายสองคนนั้นกำลังจะไป เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ดีจังเลยที่พวกเราอยู่ที่นี่ เราจะได้สร้างเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หนึ่งหลัง โมเสสหนึ่งหลัง และเอลียาห์อีกหนึ่งหลัง” แต่เปโตรไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกไป

34 ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเมฆลอยมาปกคลุมพวกเขาไว้ พวกเขากลัวมาก 35 มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกของเราที่เราเลือกไว้ ให้เชื่อฟังท่าน”

36 เมื่อเสียงนั้นเงียบลง พวกเขาก็เห็นแต่พระเยซูเท่านั้น แล้วพวกศิษย์ก็เก็บเรื่องที่ได้เห็นนี้ไว้ในใจ ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยในตอนนั้น

พระเยซูรักษาเด็กผู้ชายที่มีผีชั่วสิงอยู่

(มธ. 17:14-18; มก. 9:14-27)

37 วันต่อมา เมื่อพวกเขาเดินลงมาจากภูเขา ชาวบ้านกลุ่มใหญ่มาหาพระเยซู 38 ชายคนหนึ่งในฝูงชนนั้นร้องขึ้นว่า “อาจารย์ครับ ช่วยลูกผมด้วย ผมมีลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น 39 ผีชั่วชอบเข้าสิงเขา เขาก็จะกรีดร้องทันที บางครั้งมันก็ทำให้เด็กล้มชักดิ้นชักงอ น้ำลายฟูมปาก มันแทบจะไม่เคยออกจากตัวเขาเลย และชอบทำร้ายเขาอยู่เรื่อย 40 ผมได้ขอร้องให้พวกศิษย์ของท่านขับมันออกไป แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้”

41 พระเยซูจึงตอบว่า “พวกขาดความเชื่อและหัวดื้อ เราจะต้องอยู่กับพวกคุณไปอีกนานแค่ไหน เราจะต้องอดทนกับพวกคุณไปถึงไหน พาลูกคุณมานี่ซิ”

42 เมื่อเด็กนั้นกำลังเดินเข้ามา ผีชั่วก็ทำให้เขาล้มลงชักดิ้นชักงอกับพื้น พระเยซูได้ตวาดไล่ผีชั่วนั้นออกไป และรักษาเด็กคนนั้น แล้วส่งคืนให้กับพ่อของเขา 43 ทุกคนต่างพากันประหลาดใจมากถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

พระเยซูพูดถึงการตายของพระองค์

(มธ. 17:22-23; มก. 9:30-32)

ในขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจกับสิ่งที่พระเยซูทำนั้น พระองค์ก็พูดกับพวกศิษย์ว่า 44 “ตั้งใจฟังให้ดีในสิ่งที่เราจะบอก บุตรมนุษย์ จะต้องถูกจับส่งไปอยู่ในมือของมนุษย์” 45 แต่พวกศิษย์ไม่เข้าใจว่าพระองค์พูดถึงเรื่องอะไร เพราะความหมายถูกซ่อนไปจากใจของพวกเขา ก็เลยไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม

คนที่สำคัญที่สุด

(มธ. 18:1-5; มก. 9:33-37)

46 พวกเขาเริ่มเถียงกันว่า ในกลุ่มพวกเขาใครจะได้เป็นใหญ่ที่สุด 47 พระเยซูรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจ พระองค์จึงพาเด็กคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆพระองค์ 48 แล้วพูดกับพวกศิษย์ว่า “คนที่ต้อนรับเด็กเล็กอย่างนี้เพราะเห็นแก่เรา คนนั้นก็ต้อนรับเรา และคนที่ต้อนรับเราก็ต้อนรับพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย คนที่ต่ำต้อยที่สุดในหมู่พวกคุณนั่นล่ะคือคนที่สำคัญที่สุด”

คนที่ไม่ได้ต่อต้านคุณก็อยู่ฝ่ายคุณ

(มก. 9:38-40)

49 ยอห์นพูดว่า “อาจารย์ครับ พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับผีชั่วออกโดยอ้างชื่อของอาจารย์ พวกเราก็เลยพยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ใช่พวกเรา”

50 พระเยซูพูดกับยอห์นว่า “อย่าไปห้ามเขาเลย เพราะคนที่ไม่ได้ต่อต้านคุณก็เป็นพวกคุณอยู่แล้ว”

หมู่บ้านของชาวสะมาเรีย

51 เมื่อใกล้ถึงเวลาที่พระเยซูจะถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ พระองค์ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปเมืองเยรูซาเล็ม 52 พระองค์จึงส่งศิษย์บางคนล่วงหน้าไปก่อน พวกเขาเข้าไปที่หมู่บ้านของชาวสะมาเรีย เพื่อจัดเตรียมสิ่งต่างๆให้พร้อมสำหรับพระองค์ 53 แต่คนที่นั่นไม่ต้อนรับพระองค์ เพราะพวกเขาเห็นว่าพระองค์ตั้งใจจะไปเมืองเยรูซาเล็ม 54 เมื่อยากอบและยอห์น ศิษย์ของพระองค์เห็นอย่างนั้น ก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์ จะให้เราสั่งไฟจากสวรรค์ลงมาเผาผลาญคนพวกนี้ให้สิ้นซากไปเลยดีไหมครับ”[c]

55 แต่พระเยซูหันมาต่อว่าพวกเขา[d] 56 แล้วออกเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านอื่น

จะติดตามพระเยซูต้องทำอย่างไร

(มธ. 8:19-22)

57 ขณะที่พวกเขากำลังเดินไปตามถนน มีชายคนหนึ่งพูดกับพระเยซูว่า “ไม่ว่าอาจารย์จะไปที่ไหน ผมจะติดตามไปด้วย”

58 พระเยซูจึงตอบไปว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง นกยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอน”

59 พระองค์พูดกับอีกคนหนึ่งว่า “ตามเรามา” แต่ชายคนนั้นตอบว่า “ขออนุญาตไปฝังศพพ่อก่อนนะครับ”

60 พระเยซูจึงบอกว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายกันเองเถอะ ส่วนคุณให้ไปประกาศอาณาจักรของพระเจ้าเถอะ”

61 ชายอีกคนหนึ่งพูดว่า “ผมจะตามพระองค์ไปแน่ แต่ขอกลับไปร่ำลาคนที่บ้านก่อนนะครับ”

62 พระเยซูจึงตอบว่า “ถ้าคนที่จับคันไถแล้วยังห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ คนนั้นก็ไม่เหมาะสมกับอาณาจักรของพระเจ้า”

โยบ 23

โยบตอบอีกแล้ว

23 แล้วโยบก็ตอบว่า

“แม้แต่ตอนนี้ ข้าก็ยังร้องบ่นด้วยความขมขื่น
    มือของพระองค์หนักอึ้งอยู่บนตัวข้าทั้งๆที่ข้าร้องครวญคราง
อยากรู้เหลือเกินว่า จะไปหาพระองค์ได้ที่ไหน
    จะได้เข้าไปถึงที่พักของพระองค์
ข้าจะยื่นคดีของข้าต่อหน้าพระองค์
    และจะให้ปากข้าเต็มไปด้วยข้อพิสูจน์ว่าข้าถูก
แล้วจะได้รู้ว่าพระองค์จะตอบข้าว่ายังไง
    จะได้เข้าใจถึงสิ่งที่พระองค์จะพูดกับข้า
พระองค์จะโต้แย้งคดีกับข้าด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์หรือ
    ไม่หรอก พระองค์จะต้องฟังข้าแน่
คนซื่อตรงมีสิทธิ์ที่จะชี้แจงเหตุผลให้กับพระองค์ได้
    แล้วข้าจะได้หลุดพ้นจากคดีนี้ของข้าตลอดไป
ถ้าข้าไปทางทิศตะวันออก พระองค์ก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น
    หรือถ้าข้าไปทางทิศตะวันตก ข้าก็มองไม่เห็นพระองค์เหมือนกัน
ถ้าข้าไปทางเหนือ พระองค์ซ่อนตัว
    ข้าก็หาพระองค์ไม่เจอ
    ถ้าข้าหันไปทางใต้ ข้าก็ไม่พบพระองค์เหมือนกัน
10 แต่พระองค์รู้ดีว่าข้าไปตามเส้นทางไหน
    เมื่อพระองค์ทดสอบข้า ก็จะเห็นว่าข้าเป็นเหมือนทองคำบริสุทธิ์
11 เท้าของข้าได้เดินตามรอยเท้าของพระองค์ไป
    ข้าได้ยึดมั่นในเส้นทางของพระองค์นั้น ข้าไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางเลย
12 ข้าไม่ได้ละไปจากคำสั่งที่ออกจากริมฝีปากของพระองค์เลย
    แต่ข้าได้สะสมคำพูดจากปากของพระองค์มากกว่าที่กำหนดให้ซะอีก
13 แต่พระองค์เด็ดขาด ไม่มีใครทำให้พระองค์เปลี่ยนใจได้
    เมื่อพระองค์อยากจะทำอะไร พระองค์ก็จะทำสิ่งนั้น
14 สิ่งที่พระองค์ได้กำหนดไว้ให้กับข้า พระองค์จะทำให้สำเร็จ
    แล้วพระองค์มีแผนการอย่างนี้มากมายในจิตใจของพระองค์
15 ข้าก็เลยกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์
    แค่คิด ข้าก็กลัวพระองค์แล้ว
16 พระเจ้าทำให้จิตใจข้าขลาดกลัว
    พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ทำให้ข้าหวาดหวั่น
17 แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ข้าจะไม่ให้ความมืดปิดปากข้า
    ถึงแม้ว่าความมืดอันหนาทึบจะมาปกคลุมหน้าข้าไว้

1 โครินธ์ 10

บทเรียนจากคนของพระเจ้าในอดีต

10 พี่น้องครับ ผมอยากให้พวกคุณรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรรพบุรุษของเรา พวกเขาอยู่ใต้เมฆและได้ผ่านทะเลไปทุกคน พวกเขาทุกคนก็เข้าพิธีจุ่มน้ำในเมฆ และในทะเลเพื่อจะได้กลายเป็นผู้ติดตามโมเสส แล้วเขาได้กินอาหารทิพย์อย่างเดียวกัน ดื่มน้ำทิพย์เหมือนกัน ที่ไหลออกมาจากศิลาศักดิ์สิทธิ์นั้นที่ร่วมเดินทางมากับพวกเขา ศิลานั้นคือพระคริสต์นั่นเอง แต่พระเจ้าไม่พอใจพวกเขาส่วนใหญ่ ที่เรารู้ก็เพราะมีคนตายเกลื่อนกลาดในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนั้น

เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างไม่ให้เราเกิดความอยากในสิ่งชั่วๆนั้น เหมือนกับความอยากของคนพวกนั้น เราต้องไม่บูชารูปเคารพเหมือนกับที่พวกเขาบางคนทำ พระคัมภีร์บอกไว้ว่า “ผู้คนนั่งลงกินดื่ม และลุกขึ้นมาเต้นรำมั่วสุมทางเพศ”[a] เราต้องไม่ทำผิดทางเพศเหมือนกับที่บางคนในพวกเขาทำ จนมีคนต้องล้มตายลงถึงสองหมื่นสามพันคนในวันเดียว เราต้องไม่ลองดีกับพระคริสต์เหมือนกับที่พวกเขาบางคนทำ จนถูกงูกัดตาย 10 เราต้องไม่บ่นเหมือนกับที่บางคนในพวกเขาบ่น จนพระเจ้าต้องส่งทูตมาฆ่าพวกเขา

11 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับพวกเขาเพื่อเอาไว้เป็นตัวอย่าง และมันถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเตือนสติเราที่อยู่ในช่วงรอยต่อของยุคเก่าและยุคใหม่ 12 ดังนั้นคนที่คิดว่าตัวเองยืนมั่นคงอยู่แล้วก็ระวังตัวให้ดี จะได้ไม่ล้มลง 13 การทดลองที่พวกคุณมีนั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากที่คนอื่นมีหรอกครับ แต่พระเจ้านั้นซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ปล่อยให้คุณถูกทดลองจนทนไม่ไหว แต่พระองค์จะมีทางออกให้ เพื่อคุณจะทนได้

14 สรุปแล้ว เพื่อนรัก ให้หลีกเลี่ยงการบูชารูปเคารพเสีย 15 ผมกำลังพูดกับพวกคุณอย่างคนที่มีมันสมอง ให้ตัดสินเอาเองถึงสิ่งที่ผมพูดนี้ 16 เมื่อเราขอบคุณพระเจ้าและดื่มจากถ้วยนั้น ก็เป็นการเข้าส่วนในเลือดของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ และขนมปังที่เราหักนั้น เป็นการเข้าส่วนในร่างกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ 17 มีขนมปังแค่ก้อนเดียว พวกเราที่มีกันหลายคนก็เลยเป็นกายเดียวกัน เพราะเราทุกคนได้กินขนมปังก้อนเดียวกัน

18 ดูชนชาติอิสราเอลสิ เมื่อพวกเขากินของที่บูชามา เขาก็เป็นส่วนหนึ่งในแท่นบูชานั้นไม่ใช่หรือ 19 ผมพยายามจะพูดอะไรหรือ ผมกำลังพูดว่าเนื้อสัตว์ที่เอามาเซ่นไหว้นั้นมีค่าและรูปเคารพนั้นสำคัญหรืออย่างไร 20 ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ผมกำลังพูดว่า เนื้อที่เอามาเซ่นไหว้รูปเคารพนั้นทำให้กับพวกปีศาจ[b]ไม่ใช่พระเจ้า ผมไม่อยากให้พวกคุณไปมีส่วนร่วมกับปีศาจพวกนั้น 21 พวกคุณจะดื่มทั้งถ้วยขององค์เจ้าชีวิตพร้อมกับถ้วยของพวกปีศาจด้วยก็ไม่ได้ และจะร่วมโต๊ะขององค์เจ้าชีวิตพร้อมกับโต๊ะของพวกปีศาจด้วยก็ไม่ได้ 22 เราพยายามจะทำให้องค์เจ้าชีวิตหึงหรือ เราคิดว่าเราแข็งแรงกว่าพระองค์หรือ

ใช้เสรีภาพเพื่อให้เกียรติพระเจ้าเถิด

23 บางคนพูดว่า “ฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้” แต่ผมว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่ทำไปนั้นจะเป็นประโยชน์ บางคนว่า “ฉันมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้” แต่ผมว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่จะทำให้คนเข้มแข็งขึ้น 24 อย่าเห็นแก่ตัว ให้คิดถึงคนอื่น

25 เนื้อที่วางขายอยู่ตามท้องตลาดนั้นกินได้หมด ไม่ต้องไปถามซอกแซกว่าเนื้อมาจากไหน เพื่อความสบายใจของคุณเอง 26 เพราะพระคัมภีร์บอกไว้ว่า “โลกและทุกสิ่งในโลกนี้เป็นขององค์เจ้าชีวิต”[c]

27 ถ้าคนที่ไม่ไว้วางใจพระเจ้าได้เชิญคุณไปกินอาหาร และคุณก็อยากไป ก็ให้กินทุกอย่างที่เขาจัดมาให้ ไม่ต้องถามอะไรเพื่อความสบายใจของตัวคุณเอง 28 แต่ถ้ามีคนมาบอกคุณว่า “เนื้อนี้เอาไปบูชามา” ก็อย่ากินเลย เพื่อเห็นกับคนที่บอกคุณนั้น และเพื่อความสบายใจด้วย 29 ผมไม่ได้หมายถึงความสบายใจของคุณนะ แต่หมายถึงความสบายใจของคนนั้นที่คิดว่า ถ้าคุณกินก็ผิดแน่ พวกคุณบางคนอาจจะย้อนถามผมว่า “ทำไมสิทธิ์ของผมจะต้องถูกจำกัดด้วยความคิดของคนอื่นด้วย 30 ถ้าผมกินร่วมกับพวกเขาและขอบคุณพระเจ้าแล้ว ทำไมผมจะต้องถูกต่อว่าในสิ่งที่อย่างน้อยผมได้ขอบคุณพระเจ้าแล้ว”

31 คำตอบคือ ไม่ว่าจะกิน หรือจะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม ให้ทำทุกอย่างเพื่อถวายเกียรติกับพระเจ้า 32 อย่าสร้างปัญหาให้กับใครเลย ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ใช่ยิวหรือหมู่ประชุมของพระเจ้า 33 เหมือนกับที่ผมพยายามจะเอาใจทุกคนในทุกเรื่อง โดยไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของตัวเอง แต่คิดถึงประโยชน์ของทุกๆคน เพื่อพวกเขาจะได้รอด

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International