M’Cheyne Bible Reading Plan
การพิสูจน์สำหรับโมเสส
4 โมเสสตอบไปว่า “ดูสิ แล้วถ้าเกิดคนพวกนั้นไม่ยอมเชื่อข้าพเจ้าหรือฟังข้าพเจ้าล่ะ พวกเขาอาจพูดว่า ‘พระยาห์เวห์ ไม่ได้มาปรากฏให้เจ้าเห็นหรอก’”
2 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “มีอะไรอยู่ในมือเจ้า”
โมเสสตอบว่า “ไม้เท้าครับ”
3 พระยาห์เวห์บอกว่า “โยนมันลงบนพื้นซิ”
โมเสสจึงโยนมันลงบนพื้น มันได้กลายเป็นงูตัวหนึ่ง โมเสสวิ่งหนีงูตัวนั้น 4 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ยื่นมือเจ้าออกไปจับหางมันไว้”
เมื่อโมเสสยื่นมือออกไปจับหางมัน มันก็กลับกลายเป็นไม้เท้าอยู่ในมือเขาเหมือนเดิม 5 “ให้ไปทำอย่างนี้ แล้วพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และของยาโคบได้มาปรากฏกับเจ้าจริง”
6 พระยาห์เวห์พูดกับเขาอีกว่า “คราวนี้ ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อของเจ้าซิ”
เมื่อโมเสสล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ และดึงมันออกมา มือของเขากลายเป็นโรคสีขาวเหมือนหิมะ
7 พระยาห์เวห์พูดว่า “ล้วงมือกลับเข้าไปในอกเสื้ออีกครั้งซิ” โมเสสจึงล้วงมือกลับเข้าไปในอกเสื้ออีกครั้ง เมื่อเขาดึงมือออกมา มือของเขาก็หายเป็นปกติ เหมือนผิวเดิมของเขา
8 “ถ้าพวกเขายังไม่เชื่อเจ้า หรือไม่สนใจสิ่งอัศจรรย์อันแรก เขาอาจจะเชื่อสิ่งอัศจรรย์อันหลังนี้ก็ได้ 9 และถ้าพวกเขายังไม่เชื่อสิ่งอัศจรรย์ทั้งสองนี้ หรือไม่สนใจฟังเจ้า ก็ให้เจ้าตักน้ำจากแม่น้ำไนล์ขึ้นมา แล้วรดมันลงบนพื้นแห้ง น้ำที่เจ้าตักขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์นั้น จะกลายเป็นเลือดบนพื้นดิน” 10 โมเสสพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ได้โปรดเถิด พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าเป็นคนพูดไม่เก่ง ทั้งในอดีตหรือจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ที่พระองค์พูดอยู่กับข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะข้าพเจ้าเป็นคนพูดติดอ่างและพูดไม่ชัด”
11 พระยาห์เวห์พูดกับเขาว่า “ใครเป็นผู้ให้ปากกับมนุษย์ ใครทำให้มนุษย์เป็นใบ้ หูหนวก พิการหรือตาบอด เป็นเรายาห์เวห์ไม่ใช่หรือ 12 ดังนั้น ไปเดี๋ยวนี้ เราจะอยู่กับปากของเจ้า เราจะสอนเจ้าว่าจะให้พูดอะไร”
13 แต่โมเสสตอบว่า “ได้โปรดเถิดองค์เจ้าชีวิต ช่วยส่งคนอื่นไปเถิด”
14 พระยาห์เวห์โกรธโมเสส พระองค์พูดว่า “เจ้ายังมีพี่ชายชื่ออาโรนเป็นคนเลวี ใช่ไหม เรารู้ว่าเขาเป็นคนพูดเก่ง และเขากำลังมาหาเจ้า เมื่อเขามาพบเจ้า เขาจะดีใจมาก 15 เจ้าอยากให้เขาพูดอะไร เจ้าก็บอกกับเขาได้ เราจะอยู่กับปากของเจ้าและปากของเขา เราจะสอนพวกเจ้าว่าจะต้องทำอะไร 16 เขาจะพูดกับประชาชนให้กับเจ้า เขาจะเป็นเหมือนปากของเจ้า และเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้าสำหรับเขา[a] 17 ให้ถือไม้เท้านี้ไว้ในมือของเจ้า เจ้าจะแสดงสิ่งมหัศจรรย์ด้วยไม้เท้านี่แหละ”
โมเสสกลับสู่อียิปต์
18 โมเสสกลับไปหาเยโธรพ่อตาของเขา และพูดว่า “ขออนุญาตให้ผมกลับไปหาญาติพี่น้องของผมในอียิปต์ ไปดูว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
เยโธรพูดกับโมเสสว่า “ขอให้เจ้าเดินทางด้วยความปลอดภัย”
19 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสในมีเดียนว่า “กลับไปอียิปต์ได้แล้ว เพราะพวกที่ตามล่าชีวิตของเจ้านั้น ตายหมดแล้ว”
20 โมเสสจึงพาเมียและลูกๆของเขา ขึ้นนั่งหลังลาและมุ่งหน้ากลับไปอียิปต์ เขาถือไม้เท้าของพระเจ้าไว้ในมือ
21 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์ ให้นึกถึงสิ่งอัศจรรย์ทั้งหลายที่เราได้มอบไว้ในมือเจ้า และแสดงพวกมันต่อหน้าฟาโรห์ แต่เราจะทำให้ฟาโรห์ใจแข็ง เพื่อเขาจะไม่ยอมปล่อยประชาชนไป 22 เจ้าต้องพูดกับฟาโรห์ว่า ‘พระยาห์เวห์พูดว่า อิสราเอลเป็นลูกชายคนโตของเรา และเราขอบอกเจ้าว่า 23 ปล่อยลูกชายของเราไปซะ เพื่อเขาจะได้มารับใช้เรา แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยเขา เราก็จะฆ่าลูกชายคนโตของเจ้า’”
ลูกชายโมเสสถูกขลิบ
24 ในระหว่างทางไปอียิปต์ โมเสสได้หยุดพักค้างคืนในที่แห่งหนึ่ง พระยาห์เวห์มาหาโมเสสและพยายามฆ่าเขา 25 แต่นางศิปโปราห์ได้เอามีดหิน[b] ไปขลิบลูกชายนาง และเอาหนังชิ้นนั้น ไปแตะที่เท้า[c] ของโมเสส นางพูดว่า “ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งเลือดสำหรับฉัน” 26 แล้วพระยาห์เวห์ก็จากไป โดยไม่ได้ทำอันตรายเขา ที่นางพูดว่า “เจ้าบ่าวแห่งเลือด” นั้น นางกำลังพูดถึงการขลิบนั่นเอง
โมเสสกับอาโรนไปหาชาวอิสราเอล
27 ขณะนั้นพระยาห์เวห์พูดกับอาโรนว่า “ไปหาโมเสสในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง” เขาจึงไปและพบโมเสสที่ภูเขาของพระเจ้า[d] อาโรนจูบโมเสส 28 โมเสสเล่าเรื่องทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ได้พูดกับเขาให้อาโรนฟัง รวมถึงเรื่องที่พระองค์ส่งเขาไป และการอัศจรรย์ทั้งหมดที่พระองค์สั่งให้เขาทำ
29 โมเสสและอาโรนจึงไป และได้รวบรวมพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลมา 30 อาโรนได้พูดทุกคำที่พระยาห์เวห์ได้บอกกับโมเสส และโมเสสก็ได้ทำสิ่งอัศจรรย์ต่างๆต่อหน้าต่อตาประชาชนชาวอิสราเอล 31 ประชาชนก็เชื่อ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระยาห์เวห์ได้มาเยี่ยมเยียนชาวอิสราเอล และเมื่อพวกเขาได้เห็นกับตา พวกเขาต่างก้มลงกราบนมัสการ
พระเยซูรักษาทาสคนหนึ่ง
(มธ. 8:5-13; ยน. 4:43-54)
7 พอพระเยซูสอนชาวบ้านที่มาฟังเสร็จแล้ว พระองค์ก็เข้าไปยังเมืองคาเปอรนาอุม 2 มีทาสของนายร้อยทหารโรมันคนหนึ่งป่วยหนักใกล้จะตาย นายร้อยคนนี้รักทาสของเขามาก 3 เมื่อเขาได้ยินเรื่องของพระเยซู เขาก็ส่งพวกผู้นำอาวุโสชาวยิวไปขอร้องพระองค์ ให้มาช่วยรักษาทาสของเขา 4 เมื่อพวกผู้นำอาวุโสมาพบพระเยซูแล้ว ก็ขอร้องอ้อนวอนพระองค์ว่า “อาจารย์ ช่วยนายร้อยคนนี้ด้วยเถิด เขาเป็นคนดีมาก 5 เขารักคนของเราและสร้างที่ประชุมให้กับพวกเราด้วย”
6 พระเยซูจึงไปกับพวกเขา และเมื่อใกล้จะถึงบ้านเขา นายร้อยก็ส่งพวกเพื่อนให้มาบอกกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ อย่าต้องลำบากเลยครับ เพราะผมไม่ดีพอที่จะให้ท่านเข้าไปในบ้านของผม 7 ตัวผมเองจึงไม่กล้าที่จะมาพบอาจารย์ ขอแค่อาจารย์สั่งเท่านั้น ทาสของผมก็จะหายดี 8 ที่ผมรู้ก็เพราะผมเป็นทหาร มีทั้งหัวหน้าที่สั่งผม และมีลูกน้องที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งผมด้วย เมื่อผมสั่งให้ ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งให้ ‘มา’ เขาก็มา แล้วถ้าสั่งให้ทาสของผม ‘ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้’ เขาก็ทำ”
9 เมื่อพระเยซูได้ยินแบบนั้น พระองค์ก็แปลกใจมาก จึงหันไปพูดกับชาวบ้านที่ติดตามพระองค์มาว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า ยังไม่เคยพบใครที่มีความเชื่อยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนแม้แต่ในอิสราเอลเองก็ตาม”
10 เมื่อพวกเพื่อนของนายร้อยกลับไปถึงบ้าน ก็พบว่าทาสคนนั้นหายดีแล้ว
พระเยซูทำให้ชายหนุ่มคืนชีพ
11 ต่อมาพระเยซูกับพวกศิษย์ไปเมืองนาอิน และมีชาวบ้านมากมายติดตามไป 12 เมื่อพระองค์เดินมาใกล้ประตูเมือง ก็สวนกับขบวนแห่ศพของคนๆหนึ่ง เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของหญิงม่ายคนหนึ่ง มีชาวบ้านเป็นจำนวนมากเดินมากับขบวนพร้อมกับหญิงม่ายคนนั้น 13 เมื่อพระเยซูเห็นนาง ก็รู้สึกสงสาร และพูดว่า “อย่าร้องไห้เลย” 14 แล้วพระองค์เดินเข้าไปแตะโลงศพ พวกคนที่หามโลงก็หยุด แล้วพระองค์พูดว่า “พ่อหนุ่ม เราสั่งให้ลุกขึ้นมา” 15 คนตายก็ลุกขึ้นมานั่งและเริ่มพูด พระเยซูจึงมอบชายคนนั้นให้กับแม่ของเขา
16 ชาวบ้านต่างเกิดความเกรงกลัวและสรรเสริญพระเจ้าว่า “ผู้พูดแทนพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้เกิดในหมู่พวกเราแล้ว” และพูดว่า “พระเจ้ามาช่วยเหลือคนของพระองค์แล้ว”
17 แล้วชื่อเสียงของพระเยซู ก็ร่ำลือไปทั่วแคว้นยูเดียและบริเวณรอบๆนั้น
ยอห์นเกิดสงสัย
(มธ. 11:2-19)
18 มีศิษย์คนหนึ่งของยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำเล่าเรื่องนี้ให้ยอห์นฟัง ยอห์นจึงสั่งศิษย์สองคนของเขา 19 ให้ไปถามองค์เจ้าชีวิตว่า “ท่านคือคนๆนั้นที่จะมา หรือพวกเราจะต้องรออีกคนหนึ่ง”
20 ศิษย์สองคนนั้นไปพบพระเยซู และพูดว่า “ยอห์นผู้ทำพิธีจุ่มน้ำส่งพวกเรามาถามท่านว่า ‘ท่านคือคนๆนั้นที่จะมา หรือพวกเรายังต้องรออีกคนหนึ่ง’”
21 ในเวลานั้นพระเยซูได้รักษาคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆให้หาย ขับไล่ผีชั่ว และช่วยให้คนตาบอดหลายคนมองเห็น 22 พระเยซูบอกกับสองคนนั้นว่า “ไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่คุณได้เห็นและได้ยิน ว่าคนตาบอดมองเห็น คนง่อยเดินได้ คนเป็นโรคผิวหนังร้ายแรงก็หาย คนหูหนวกก็ได้ยิน คนตายกลับฟื้นคืนชีพ และคนจนก็ได้ยินเรื่องข่าวดี 23 คนที่ไม่ทิ้งเรา เพราะสิ่งที่เราทำ ก็เป็นคนที่มีเกียรติจริงๆ”
24 พอศิษย์ทั้งสองของยอห์นกลับไปแล้ว พระเยซูก็พูดถึงยอห์นให้ชาวบ้านฟังว่า “พวกคุณออกไปดูอะไรในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ไปดูต้นอ้อ[a] ลู่ตามลมหรือ 25 ไม่ใช่แน่ แล้วคุณออกไปดูอะไรล่ะ ไปดูคนใส่เสื้อผ้าสวยหรูราคาแพงหรือ ไม่ใช่หรอก เพราะคนที่ใส่เสื้อผ้าสวยหรูราคาแพงนั้นอยู่ในวัง 26 ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณออกไปดูอะไรล่ะ ออกไปดูผู้พูดแทนพระเจ้าหรือ ใช่แล้ว เราขอบอกให้รู้ว่าเขาเป็นยิ่งกว่าผู้พูดแทนพระเจ้าเสียอีก 27 เพราะเขาเป็นคนที่พระคัมภีร์เขียนถึงว่า
‘ดูสิ เราจะส่งผู้ส่งข่าวของเรานำหน้าท่านไปก่อน
เขาจะไปเตรียมหนทางให้กับท่าน’[b]
28 เราจะบอกให้รู้ว่า ยอห์นนั้นยิ่งใหญ่กว่าทุกๆคนที่เกิดมาจากผู้หญิง แต่คนที่สำคัญน้อยที่สุดในอาณาจักรของพระเจ้า ก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์นอีก”
29 ทุกคนที่ได้ยินพระเยซูพูด รวมทั้งคนเก็บภาษีก็เชื่อว่าทางของพระเจ้านั้นถูกต้อง เพราะพวกเขาเคยให้ยอห์นทำพิธีจุ่มน้ำให้ 30 แต่พวกฟาริสีและพวกครูสอนกฎปฏิบัติไม่ยอมรับทางที่พระเจ้ามีสำหรับพวกเขา เพราะพวกนี้ไม่ได้ให้ยอห์นทำพิธีจุ่มน้ำให้
31 พระเยซูพูดต่อ ว่า “เราจะเปรียบเทียบคนในสมัยนี้กับอะไรดี 32 พวกเขาเป็นเหมือนเด็กๆที่นั่งอยู่ที่ตลาดร้องตะโกนใส่กันว่า
‘พวกเราเป่าปี่ให้ฟัง
แต่พวกเธอก็ไม่ยอมเต้นตาม
พวกเราร้องเพลงเศร้า
แต่พวกเธอก็ไม่ยอมร้องไห้’
33 เมื่อยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำมา เขาไม่ได้กินขนมปังหรือดื่มเหล้าองุ่น พวกคุณก็ว่า ‘เขามีผีชั่วสิงอยู่’ 34 แต่พอบุตรมนุษย์มา ทั้งกินและดื่ม พวกคุณก็หาว่า ‘ดูไอ้หมอนั่นสิ ทั้งตะกละและขี้เมา แถมยังเป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาปอีกด้วย’ 35 แต่อย่างไรก็ตามสติปัญญานั้นถูกหรือผิด ก็ดูได้จากผลทั้งหลายของมัน”
ฟาริสีคนหนึ่งชื่อซีโมน
36 มีฟาริสีคนหนึ่งเชิญพระเยซูมากินอาหารกับเขา พระองค์ก็เลยมาที่บ้านของเขาและนั่งเอนกายอยู่ที่โต๊ะอาหาร 37 มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นที่รู้กันไปทั่วในเมืองนั้นว่าเป็นคนบาป นางได้ยินว่าพระเยซูกำลังกินอาหารอยู่ที่บ้านของฟาริสีคนนั้น นางก็ถือน้ำหอมในขวดสวยหรูมาด้วย 38 นางเข้าไปยืนอยู่ข้างหลังใกล้เท้าของพระเยซู แล้วร้องไห้จนเท้าของพระองค์เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา แล้วเอาผมของนางเช็ด และก้มลงจูบเท้าของพระองค์ พร้อมทั้งเทน้ำหอมลงบนเท้าทั้งสองข้างของพระองค์ 39 เมื่อฟาริสีคนที่เชิญพระเยซูเห็นก็คิดในใจว่า “ถ้าชายคนนี้เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าจริง เขาจะต้องรู้ว่า หญิงที่แตะต้องตัวเขานี้เป็นใคร และเป็นหญิงประเภทไหน เขาจะต้องรู้ว่านางเป็นคนบาป”
40 พระเยซูพูดว่า “ซีโมน เราจะบอกอะไรให้นะ”
และซีโมนก็ตอบว่า “ว่ามาเลยครับ อาจารย์”
41 พระเยซูพูดว่า “มีคนปล่อยเงินกู้คนหนึ่ง มีลูกหนี้อยู่สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญเงิน[c] และอีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญเงิน 42 แต่ทั้งสองไม่มีเงินใช้หนี้ เจ้าหนี้ก็เลยยกหนี้ให้ทั้งสองคน คุณคิดว่าคนไหนจะรักเจ้าหนี้คนนี้มากกว่ากัน”
43 ซีโมนตอบว่า “คนแรกที่มีหนี้มากกว่าครับ”
พระองค์ก็ตอบว่า “ถูกต้อง”
44 แล้วพระเยซูหันไปมองหญิงคนนั้น และพูดกับซีโมนว่า “เห็นหญิงคนนี้ไหม เรามาบ้านคุณ คุณก็ไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าเรา แต่เธอกลับใช้น้ำตาล้างเท้าเรา และเอาผมของเธอเช็ดจนแห้ง 45 คุณไม่ได้จูบต้อนรับเรา แต่เธอไม่ได้หยุดจูบเท้าเราเลยตั้งแต่เข้ามา 46 คุณไม่ได้เอาน้ำมันใส่หัวของเรา แต่เธอเอาน้ำหอมเทใส่เท้าของเรา 47 เราจะบอกให้รู้ว่า ที่เธอแสดงความรักมากขนาดนี้ ก็เพราะเธอได้รับการยกโทษจากบาปมากมายนั่นเอง ส่วนคนอื่นที่ได้รับการยกโทษน้อย ก็มีความรักน้อย”
48 พระเยซูพูดกับนางว่า “บาปของคุณได้รับการยกโทษแล้ว” คนที่นั่งดื่มกินกับพระองค์ก็พูดกันว่า
49 “คนนี้คิดว่าเขาเป็นใครกัน ถึงได้เที่ยวยกโทษบาปให้ใครต่อใคร”
50 พระเยซูพูดกับหญิงคนนี้ว่า “ความเชื่อของคุณทำให้คุณรอดแล้ว ไปเป็นสุขเถิด”
โยบตอบอีกแล้ว
21 แล้วโยบก็ตอบว่า
2 “ตั้งใจฟังคำพูดของข้าหน่อย
นั่นแหละเป็นวิธีที่พวกท่านจะปลอบใจข้า
3 อดทนกับข้าหน่อย ปล่อยให้ข้าพูดเถิด
แล้วเมื่อข้าพูดจบแล้ว อยากจะเยาะเย้ยข้าต่อก็เชิญ
4 คำบ่นของข้าไม่ได้ต่อว่ามนุษย์ซักหน่อย
แล้วเรื่องอะไรข้าจะต้องอดทนกับพระองค์ต่อไป
5 มองดูข้าสิ แล้วให้ท่านตกตะลึง
อ้าปากค้างพูดไม่ออก
6 เมื่อข้าคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับข้านี้
ข้าก็ตกใจ สั่นสะท้านไปทั้งตัว
7 ทำไมคนชั่วจึงมีชีวิตอยู่
ทำไมพวกเขาอยู่จนแก่เฒ่าและมีอิทธิพลมากขึ้น
8 พวกเขาเห็นลูกๆเติบโตขึ้น
พวกเขาอยู่จนได้เห็นหน้าของหลานๆ
9 บ้านของพวกเขาปลอดภัย พวกเขาไม่ต้องกลัวอะไร
พระเจ้าไม่ได้เอาไม้เรียวตีพวกเขา
10 วัวผู้ของพวกเขาทำให้ตัวเมียตั้งท้อง ไม่เคยพลาด
วัวตัวเมียของพวกเขาคลอดลูก ไม่เคยแท้ง
11 พวกคนชั่วส่งลูกๆออกไปเล่นกันเหมือนพวกลูกแกะ
เด็กๆเหล่านั้นต่างพากันกระโดดโลดเต้น
12 พวกเขาร้องเพลง ตีกลองรำมะนา และดีดพิณ
เฉลิมฉลองกันด้วยเสียงปี่
13 ตลอดวันเวลาของเขาผ่านไปอย่างรุ่งโรจน์
เขาลงไปสู่แดนคนตายอย่างสงบสุข
14 พวกเขาพูดกับพระเจ้าว่า ‘อย่ามายุ่งกับพวกเรา
พวกเราไม่ต้องการเรียนรู้ทางทั้งหลายของพระองค์
15 พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์เป็นใคร ที่เราจะต้องไปบูชา
ถ้าเราอธิษฐานต่อพระองค์แล้วจะได้อะไร’
16 ที่พวกเขารวยก็มาจากความสามารถของพวกเขาเองไม่ใช่หรือ
เขาวางแผนชั่วยังไงพระองค์ก็ไม่สน[a]
17 มีสักกี่ครั้งที่ตะเกียงของคนชั่วโดนดับไป
มีสักกี่ครั้งที่ความพินาศเกิดขึ้นกับพวกเขา
มีสักกี่ครั้งที่พระเจ้าแจกจ่ายความเจ็บปวดให้กับพวกเขาตอนที่พระเจ้าเกรี้ยวโกรธ
18 มีสักกี่ครั้ง ที่พวกเขาถูกพัดปลิวไปเหมือนฟาง
มีสักกี่ครั้ง ที่พวกเขาถูกพายุหอบไปเหมือนแกลบ
19 ท่านอาจแย้งว่า ‘พระเจ้าจะสะสมโทษให้ไปตกที่ลูกๆของพวกเขา’
แต่ข้าว่า ‘พระองค์น่าจะให้โทษนั้นตกกับพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้เจอกับตัวเอง’
20 ขอให้ดวงตาของคนชั่วเห็นความพินาศของตัวเอง
และให้เขาดื่มความโกรธของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์
21 เพราะคนพวกนี้ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวหลังจากที่ตัวเขาจากไป
คือเมื่อจำนวนเดือนของเขาถูกตัดขาดเสียแล้ว
22 ใครจะไปสั่งสอนพระเจ้าได้
ขนาดพวกเทพเจ้า พระองค์ยังพิพากษาเลย
23 มนุษย์คนหนึ่งตาย
ตอนที่ยังร่ำรวย อยู่สุขสบายและมั่นคง
24 ยังมีน้ำยาอยู่เลย
และกระดูกของเขาก็ยังแข็งแรงอยู่
25 แต่มนุษย์อีกคนหนึ่งตายไปด้วยความขมขื่น
ในชีวิตเขาไม่เคยได้ชิมของดีอะไรเลย
26 ทั้งสองคนนี้นอนตายด้วยกันในธุลีดิน
และตัวหนอนก็มาห่อหุ้มเขาทั้งสอง
27 ข้ารู้นะว่าพวกท่านคิดอะไรอยู่
และรู้ถึงแผนการร้ายของท่านที่มีต่อข้า
28 เพราะพวกท่านว่า ‘บ้านที่ผู้ทรงอิทธิพลเคยอยู่นั้นหายไปไหนแล้ว
และเต็นท์ที่พวกคนชั่วเคยอยู่กันหายไปไหนแล้ว’
29 ท่านไม่เคยถามพวกคนเดินทางหรือ
ไม่เคยฟังเรื่องที่พวกเขาเล่าหรือ ที่ว่า
30 มีคนชั่วเยอะแยะที่ไม่เจอกับวันหายนะ
พวกเขารอดพ้นจากวันแห่งความเกรี้ยวโกรธ
31 มีใครบ้างที่กล้าไปเตือนเขาต่อหน้าถึงสิ่งที่เขาทำ
มีใครบ้างที่ตอบแทนพวกเขาสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำลงไป
32 เมื่อเขาถูกแห่ไปที่หลุมฝังศพ
ก็มียามดูแลอุโมงค์ให้
33 ดินที่ถมทับพวกเขาก็หอมหวาน
และทุกคนต่างเดินตามหลังขบวนแห่ศพของเขา
และมีฝูงชนจำนวนนับไม่ถ้วนเดินนำหน้า
34 แล้วพวกท่านยังจะเอาคำพูดไร้สาระอย่างนี้ มาปลอบใจข้าหรือ
คำตอบของพวกท่านนี้มันทรยศเพื่อนชัดๆ”
อาหารบูชารูปเคารพ
8 ตอนนี้ ผมขอพูดถึงเรื่องที่พี่น้องเขียนมา เรื่องเนื้อสัตว์ที่เอามาบูชารูปเคารพ เรารู้ว่า “เราต่างก็มีความรู้” ความรู้นั้นทำให้คนลำพอง แต่ความรักนั้นเสริมสร้างขึ้นมา 2 ถ้าใครคิดว่าตัวเองเป็นผู้รู้ เขาก็ยังไม่รู้ตามที่เขาควรจะรู้หรอก 3 แต่ถ้าใครรักพระเจ้า พระเจ้าก็จะรู้จักคนนั้น
4 ดังนั้น พูดถึงเนื้อสัตว์ที่เอามาบูชารูปเคารพนั้น เรารู้อยู่แล้วว่า “พวกรูปเคารพในโลกนี้ไร้สาระ” แล้วก็ “มีพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียวเท่านั้น” 5 ถึงแม้จะมีสิ่งต่างๆที่คนเรียกกันว่าพระเจ้า ไม่ว่าจะในสวรรค์หรือบนโลกนี้ก็ตาม (จริงๆแล้วมีสิ่งต่างๆที่คนเรียกว่า “พระ” ว่า “เจ้า” เต็มไปหมด) 6 แต่สำหรับเราแล้วมีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น นั่นคือพระบิดาผู้ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง และเราก็มีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ และมีองค์เจ้าชีวิตเพียงองค์เดียวเท่านั้นคือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสร้างทุกอย่างผ่านทางพระองค์ และพระเจ้าให้ชีวิตกับเราผ่านทางพระองค์ด้วย
7 แต่ไม่ใช่ทุกคนที่รู้อย่างนี้ จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังมีบางคนที่เคยกราบไหว้รูปเคารพมาก่อน เมื่อเขากินเนื้อสัตว์ที่ไปบูชารูปเคารพมา เขาก็ยังคิดว่าเป็นเนื้อที่บูชารูปเคารพที่มีชีวิตจริงๆ ใจที่ขาดความรู้ของเขานั้นก็ฟ้องว่าเขาทำผิด 8 แต่อาหารไม่ทำให้เราใกล้ชิดพระเจ้าหรอก การกินก็ไม่ทำให้เราดีขึ้นและการไม่กินก็ไม่ทำให้เราเลวลง
9 แต่ระวังให้ดี อย่าใช้สิทธิ์ของคุณไปทำให้คนที่ขาดความรู้สะดุดหลงไปทำบาป 10 เพราะถ้าเผอิญคนที่ขาดความรู้เกิดไปเห็นคุณผู้ที่มีความรู้ในเรื่องนี้ กำลังกินอยู่ในวัดที่มีรูปเคารพ[a] แล้วไปทำให้เขาเกิดความกล้าที่จะกินเนื้อสัตว์ที่ใช้บูชารูปเคารพมาบ้าง ทั้งๆที่ใจของเขาฟ้องว่าผิด 11 ก็จะกลายเป็นว่าความรู้ของคุณนั้นได้ไปทำลายพี่น้องคนนั้นของคุณที่พระเยซูได้ตายแทน[b] 12 ถ้าทำอย่างนี้ คุณก็ได้ทำบาปต่อพี่น้องของคุณ และทำร้ายใจที่ขาดความรู้ของเขา พวกคุณก็ได้ทำบาปต่อพระคริสต์ด้วย 13 ดังนั้น ถ้าอาหารทำให้พี่น้องของผมทำบาป ผมก็จะไม่มีวันกินเนื้ออีก เพื่อผมจะได้ไม่เป็นเหตุทำให้พี่น้องของผมทำบาป
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International