M’Cheyne Bible Reading Plan
พุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ
3 เยโธร[a]พ่อตาของโมเสสเป็นนักบวชของชาวมีเดียน ครั้งหนึ่งเมื่อโมเสสกำลังเลี้ยงแกะของเยโธรอยู่ เขาต้อนแกะไปด้านหลังของที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง จนไปถึงภูเขาโฮเรบ ซึ่งเป็นภูเขาที่พระเจ้ามาปรากฏให้ประชาชนเห็น 2 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้มาปรากฏให้เขาเห็น ในเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้กลางพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง โมเสสเข้าไปดูใกล้ๆ เขาเห็นพุ่มไม้กำลังลุกไหม้เป็นไฟ แต่พุ่มไม้กลับไม่ถูกเผาแม้แต่น้อย 3 โมเสสคิดในใจว่า “เราจะเข้าไปดูสิ่งมหัศจรรย์นี้สักหน่อยว่า ทำไมพุ่มไม้นี้ถึงไม่ไหม้ไฟ”
4 เมื่อพระยาห์เวห์เห็นโมเสสกำลังเดินเข้ามาเพื่อดูใกล้ๆ พระองค์จึงเรียกเขาจากพุ่มไม้ว่า “โมเสส โมเสส”
โมเสสจึงตอบว่า “ครับท่าน”
5 พระองค์พูดว่า “อย่าเข้ามาใกล้เรามากกว่านี้ ถอดรองเท้าออกซะ เพราะเจ้ากำลังยืนอยู่บนพื้นดินที่ศักดิ์สิทธิ์” 6 พระองค์พูดว่า “เราคือพระเจ้าของพ่อเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ”
โมเสสปิดหน้าของเขาไว้เพราะกลัวที่จะมองดูพระเจ้า
7 แต่พระยาห์เวห์พูดว่า “เราเห็นความทุกข์ยากของประชาชนของเราในอียิปต์ และเราก็ได้ยินเสียงร่ำร้องให้ช่วยเหลือให้พ้นจากผู้ที่กดขี่พวกเขา เรารับรู้ถึงความทุกข์ทรมานของพวกเขา 8 เราจึงลงมาเพื่อช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของคนอียิปต์ และนำพวกเขาออกจากแผ่นดินนั้น ไปสู่แผ่นดินที่ดีและกว้างขวาง ไปสู่แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ไปยังดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส 9 ตอนนี้เราได้ยินเสียงร่ำร้องของลูกหลานของอิสราเอลแล้ว และได้เห็นพวกชาวอียิปต์กดขี่ข่มเหงพวกเขาด้วย 10 ดังนั้นเจ้าจะต้องกลับไปที่นั่น เราจะส่งเจ้าไปหาฟาโรห์ เพื่อเจ้าจะได้นำคนของเรา คือพวกลูกหลานชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์”
11 โมเสสพูดกับพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเป็นใครกัน ถึงบังอาจจะไปเข้าพบฟาโรห์ และนำลูกหลานอิสราเอลออกจากอียิปต์”
12 พระเจ้าพูดกับเขาว่า “เจ้าควรไป เราจะอยู่กับเจ้า และนี่จะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า เราได้ส่งเจ้าไป คือเมื่อเจ้านำประชาชนออกมาจากอียิปต์แล้ว พวกเจ้าจะมานมัสการพระเจ้าบนภูเขาลูกนี้”
13 โมเสสพูดกับพระเจ้าว่า “ถ้าข้าพเจ้าไปพบลูกหลานชาวอิสราเอลและบอกกับพวกเขาว่า ‘พระเจ้าของบรรพบุรุษพวกท่าน ได้ส่งผมมาช่วยพวกท่าน’ แล้วพวกเขาย้อนถามข้าพเจ้าว่า ‘พระองค์ชื่ออะไร’ แล้วจะให้ข้าพเจ้าตอบพวกเขาว่าอย่างไร”
14 พระเจ้าตอบโมเสสว่า “เราเป็นผู้ที่เราเป็น”[b] พระองค์พูดว่า “ให้บอกกับลูกหลานอิสราเอลว่า ‘เราเป็น ส่งผมมาหาพวกท่าน’”
15 พระองค์พูดกับโมเสสอีกว่า “ให้บอกกับลูกหลานอิสราเอลว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษพวกท่าน พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ ส่งผมมาหาพวกท่าน’ ยาห์เวห์จะเป็นชื่อของเราตลอดไป คนทุกรุ่นจะรู้จักเราในชื่อนี้
16 ให้ไปและเรียกผู้อาวุโสชาวอิสราเอลมาประชุมกัน และบอกกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าของบรรพบุรุษพวกท่านได้มาปรากฏกับผม พระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัค และของยาโคบ พูดว่า เราใส่ใจกับพวกเจ้าและสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้าในอียิปต์ 17 เราได้ตัดสินใจที่จะนำพวกเจ้าไปให้พ้นจากความทุกข์ยากในอียิปต์ ไปยังแผ่นดินของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ไปยังแผ่นดินที่เต็มไปด้วยสิ่งดีๆมากมาย[c]’
18 พวกเขาจะฟังเจ้า เจ้ากับพวกผู้อาวุโสอิสราเอลจะไปพบกษัตริย์ของอียิปต์ และพูดกับเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าของชาวฮีบรู[d] ได้มาพบพวกข้าพเจ้า ตอนนี้ขออนุญาตให้พวกข้าพเจ้าเดินทางเป็นเวลาสามวัน เข้าไปยังที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง เพื่อฆ่าสัตว์บูชาให้กับพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด’
19 แต่เรารู้ว่ากษัตริย์อียิปต์จะไม่ยอมปล่อยพวกเจ้าไป นอกจากเขาจะถูกบังคับให้ต้องปล่อยพวกเจ้าไป 20 เราจะยื่นมือของเราออกทำลายอียิปต์ ด้วยสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหมดที่เราจะทำในแผ่นดินนั้น แล้วหลังจากนั้นเขาก็จะปล่อยพวกเจ้าไป 21 เราจะทำให้คนอียิปต์มีเมตตาต่อคนอิสราเอล เพื่อว่าเมื่อพวกเจ้าจากไป จะได้ไม่ไปมือเปล่า
22 พวกผู้หญิงแต่ละคนจะขอเงินทอง เครื่องเพชร และเสื้อผ้า จากเพื่อนบ้าน หรือคนที่อาศัยอยู่ในบ้านของพวกเขา พวกเจ้าจะเอาของพวกนี้ใส่ให้กับพวกลูกชายลูกสาวของพวกเจ้า จะเป็นการปล้นสะดมชาวอียิปต์ทางหนึ่ง”
ความคิดขัดแย้งเรื่องวันหยุดทางศาสนา
(มธ. 12:1-8; มก. 2:23-28)
6 ในวันหยุดทางศาสนาวันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังเดินผ่านทุ่งข้าวสาลี ลูกศิษย์ของพระองค์ได้เด็ดยอดรวงข้าวสาลีมาขยี้เปลือกออกแล้วกินกัน 2 พวกฟาริสีบางคนจึงพูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงทำผิดกฎของวันหยุดทางศาสนา”
3 พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านหรือว่าดาวิดทำอะไรตอนที่เขากับลูกน้องของเขาหิวโหย 4 เขาเข้าไปในบ้านของพระเจ้า หยิบขนมปังศักดิ์สิทธ์มากินซึ่งตามกฎแล้วมีแต่พวกนักบวชเท่านั้นที่กินได้ และยังส่งให้กับลูกน้องกินด้วย” 5 พระเยซูบอกพวกฟาริสีว่า “บุตรมนุษย์เป็นนายเหนือวันหยุดทางศาสนา”
พระเยซูรักษาชายมือลีบในวันหยุดทางศาสนา
(มธ. 12:9-14; มก. 3:1-6)
6 ครั้งหนึ่งในวันหยุดทางศาสนา พระเยซูสั่งสอนอยู่ในที่ประชุมชาวยิว มีชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่น มือขวาของเขาลีบ 7 พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีจับตาดูว่า พระเยซูจะรักษาใครหรือเปล่า จะได้มีเรื่องกล่าวหาพระองค์ 8 แต่พระเยซูรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ จึงพูดกับชายมือลีบว่า “มายืนข้างหน้านี้สิ” เขาลุกขึ้นทำตาม 9 พระเยซูจึงพูดกับพวกเขาว่า “ขอถามหน่อย ตามกฎแล้วในวันหยุดทางศาสนาควรจะทำดีหรือทำชั่ว ควรจะช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต” 10 พระเยซูมองไปรอบๆพวกเขา แล้วพูดกับชายมือลีบว่า “ยืดมือออกสิ” เขาก็ทำตาม แล้วมือของเขาก็หายเป็นปกติ 11 พวกครูสอนกฎปฏิบัติกับพวกฟาริสีโกรธแค้นมาก ก็เลยปรึกษากันว่าจะจัดการกับพระเยซูอย่างไรดี
พระเยซูเลือกศิษย์เอกสิบสองคน
(มธ. 10:1-4; มก. 3:13-19)
12 หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน และพระองค์อธิษฐานถึงพระเจ้าตลอดทั้งคืน 13 พอถึงตอนเช้าพระองค์เรียกพวกศิษย์เข้ามาหา และเลือกสิบสองคนออกมาเพื่อตั้งให้เป็นศิษย์เอก
14 มีซีโมน ที่พระองค์เรียกว่า เปโตร
อันดรูว์น้องชายเปโตร
ยากอบ
ยอห์น
ฟีลิป
บารโธโลมิว
15 มัทธิว
โธมัส
ยากอบลูกชายของอัลเฟอัส
ซีโมนผู้มีใจจดจ่อกับพระเจ้า
16 ยูดาสลูกของยากอบ
และยูดาสอิสคาริโอท ซึ่งเป็นคนที่ต่อมาภายหลังได้หักหลังพระเยซู
พระเยซูสั่งสอนและรักษาโรค
(มธ. 4:23-25; 5:1-12)
17 พระเยซูลงมาจากภูเขากับพวกศิษย์เอกเหล่านั้น เมื่อมาถึงที่ราบแห่งหนึ่ง ก็ได้พบกับลูกศิษย์อีกมากมายที่มาจากทั่วแคว้นยูเดีย เมืองเยรูซาเล็ม และจากชายฝั่งทะเลในเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน 18 พวกเขาเดินทางมาเพื่อฟังพระองค์สอนและเพื่อให้พระองค์รักษาโรคให้ คนที่ทนทุกข์เพราะถูกผีชั่วเข้าสิงก็ได้รับการรักษาด้วย 19 ทุกคนพยายามจะแตะต้องตัวพระองค์ เพราะฤทธิ์ที่แผ่ออกมาจากพระองค์นั้นรักษาพวกเขาให้หายทุกคน
เกียรติและความอับอาย
(มธ. 5:1-12)
20 พระเยซูมองดูพวกลูกศิษย์แล้วก็พูดว่า
“พวกคุณคนจนนี่ ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ
เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคุณ
21 พวกคุณที่อดอยากหิวโหยตอนนี้ ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ
เพราะพระเจ้าจะทำให้คุณอิ่มหนำสำราญ
พวกคุณที่ร้องไห้เสียใจ ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ
เพราะพระเจ้าจะทำให้คุณหัวเราะอย่างมีความสุข
22 ให้ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆเมื่อคนเกลียดคุณ ขับไล่คุณ ดูถูกคุณและกล่าวหาว่าคุณเป็นคนเลว เพราะคุณติดตามบุตรมนุษย์
23 ในวันนั้นขอให้ดีใจและกระโดดโลดเต้นด้วยความสุข เพราะพระเจ้าเก็บรางวัลอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับพวกคุณแล้วที่สวรรค์ อย่าลืมว่า แต่ก่อนบรรพบุรุษของพวกเขาก็ทำแบบนี้กับพวกผู้พูดแทนพระเจ้าเหมือนกัน
24 น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่ร่ำรวย
เพราะพวกคุณได้รับความสะดวกสบายจนครบแล้ว
25 น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่อิ่มหนำสำราญตอนนี้
เพราะคุณจะอดอยาก
น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่กำลังหัวเราะในตอนนี้
เพราะคุณจะต้องเป็นทุกข์และร้องไห้
26 น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่ทุกคนยกย่องเยินยอ
เพราะบรรพบุรุษของพวกเขาก็เคยยกย่องเยินยอพวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอม[a] อย่างนั้นมาแล้วเหมือนกัน
รักศัตรูของคุณ
(มธ. 5:38-48; 7:12)
27 แต่เราจะบอกพวกคุณที่กำลังฟังอยู่ว่า ให้รักศัตรูและทำดีกับคนที่เกลียดคุณ 28 อวยพรให้กับคนที่สาปแช่งคุณ อธิษฐานให้กับคนที่โหดร้ายกับคุณ 29 ถ้ามีใครตบแก้มคุณข้างหนึ่ง ก็หันอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ถ้ามีใครแย่งเสื้อคลุมของคุณไป ก็ให้แถมเสื้อตัวข้างในกับเขาไปด้วย 30 ถ้ามีใครมาขออะไรจากคุณก็ให้เขาไป และถ้ามีใครเอาของๆคุณไป ก็อย่าทวงคืน 31 ให้ทำกับคนอื่นเหมือนกับที่คุณอยากให้คนอื่นทำกับคุณ 32 ถ้าคุณรักแต่เฉพาะคนที่รักคุณ มีอะไรพิเศษตรงไหน เพราะคนบาปก็ยังรู้จักรักคนที่รักพวกเขาเหมือนกัน 33 ถ้าคุณดีกับเฉพาะคนที่ดีกับคุณเท่านั้น มีอะไรพิเศษตรงไหน เพราะแม้แต่คนบาปก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน 34 หากคุณให้ยืมเฉพาะคนที่คุณหวังจะได้รับคืนจากเขาเท่านั้น มีอะไรพิเศษตรงไหนหรือ เพราะแม้แต่คนบาปก็ยังให้คนบาปยืมโดยหวังว่าจะได้คืนทั้งหมดเหมือนกัน 35 พวกคุณต้องรักศัตรูของคุณ ทำดีกับพวกเขาด้วย และให้พวกเขายืมโดยไม่ต้องหวังว่าจะได้คืน แล้วคุณจะได้รับรางวัลมากมาย และเป็นลูกที่แท้จริงของพระเจ้าสูงสุด เพราะพระเจ้าดีกับคนเนรคุณและคนชั่ว 36 ขอให้คุณแสดงความเมตตาเหมือนกับที่พระบิดาแสดงความเมตตา
มองดูตัวเอง
(มธ. 7:1-5)
37 อย่าตัดสินคนอื่น แล้วพระเจ้าจะไม่ตัดสินคุณ อย่าประณามคนอื่น แล้วพระเจ้าจะไม่ประณามคุณ ยกโทษให้คนอื่น แล้วพระเจ้าจะยกโทษให้คุณ 38 ถ้าคุณให้คนอื่น พระเจ้าก็จะให้กับคุณ พระองค์จะใช้ถ้วยตวงที่อัดแน่นจนล้นออกมาเทลงบนตักของคุณ สรุปแล้วคุณทำกับคนอื่นแบบไหน คุณก็จะได้รับผลแบบนั้น”
39 พระองค์ยังเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้ฟังอีกว่า “คนตาบอดจะจูงคนตาบอดได้หรือ ทั้งสองคนจะไม่ตกคูหรือ 40 ลูกศิษย์จะเหนือครูหรือ แต่เมื่อเขาได้รับการอบรมครบถ้วนแล้ว เขาก็จะเป็นเหมือนกับครู
41 ทำไมคุณถึงเห็นขี้ผงในตาของพี่น้องคุณ แต่กลับมองไม่เห็นไม้ซุงทั้งท่อนในตาของตัวคุณเอง 42 แล้วคุณพูดกับพี่น้องออกมาได้ยังไงว่า ‘เดี๋ยวผมจะเขี่ยขี้ผงในตาให้นะ’ ทั้งๆที่ซุงทั้งท่อนในตาตัวเองก็ยังมองไม่เห็น ไอ้หน้าซื่อใจคด เอาท่อนซุงออกจากตาของตัวเองก่อน แล้วจะได้มองเห็นชัดๆตอนเขี่ยขี้ผงออกจากตาของพี่น้อง
ผลไม้สองชนิด
(มธ. 7:17-20; 12:34-35)
43 ต้นไม้ดีจะออกผลเลวๆไม่ได้ และต้นไม้เลวก็จะออกผลดีๆไม่ได้เหมือนกัน 44 อยากรู้ว่าต้นอะไรก็ให้ดูที่ผลของมัน คุณคงจะไม่ไปหาลูกมะเดื่อจากพุ่มไม้หนาม หรือลูกองุ่นจากกอหนามแน่ 45 คนดีก็จะทำดีเพราะจิตใจเต็มไปด้วยสิ่งที่ดีๆ คนชั่วก็จะทำชั่วเพราะจิตใจเต็มไปด้วยสิ่งชั่วๆ ใจเต็มไปด้วยอะไรปากก็จะพูดสิ่งนั้น
คนสองประเภท
(มธ. 7:24-27)
46 ในเมื่อคุณไม่ทำตามที่เราบอก จะมาเรียกเราว่า องค์เจ้าชีวิต องค์เจ้าชีวิต ทำไม 47 เราจะบอกให้รู้ว่าคนที่มาหาเราและทำตามคำสอนของเรานั้น 48 ก็เปรียบเหมือนคนสร้างบ้าน ที่ขุดดินลงไปลึก และวางรากฐานไว้บนหิน เมื่อน้ำท่วม กระแสน้ำไหลเชี่ยวมาพัดบ้าน บ้านก็ไม่สั่นคลอน เพราะสร้างไว้อย่างมั่นคง 49 แต่คนที่ได้ฟัง แล้วไม่ทำตาม ก็เปรียบเหมือนกับคนที่สร้างบ้านไว้บนดิน ไม่มีรากฐาน เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาพัดบ้าน บ้านก็พังราบคาบ เสียหายยับเยินทันที”
โศฟาร์ตอบโยบ
20 แล้วโศฟาร์ชาวนาอามาห์ตอบว่า
2 “เรื่องนี้รบกวนใจเหลือเกิน
ความคิดของข้าบีบให้ข้าต้องโต้ตอบออกมา
3 ข้าต้องทนฟังคำว่ากล่าวตักเตือนที่ดูถูกข้า
ความเข้าใจของข้าดลใจให้ข้าต้องตอบท่านไป
4 ตั้งแต่สมัยโบราณมา
ตั้งแต่เมื่อครั้งที่มนุษย์ถูกวางไว้บนแผ่นดินโลก
ท่านไม่รู้หรือว่า
5 เสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะของคนชั่วอยู่ไม่นาน
ความยินดีของคนไม่นับถือพระเจ้าก็อยู่แค่ประเดี๋ยวเดียว
6 แม้ความเย่อหยิ่งของเขาสูงเสียดฟ้า
และหัวของเขาขึ้นไปถึงหมู่เมฆ
7 แต่เขาจะหายไปตลอดกาลอย่างกับขี้ของเขาเอง
คนที่เคยเห็นเขาจะพูดว่า ‘พวกนั้นอยู่ไหนแล้ว’
8 พวกเขาจะบินไปเหมือนกับความฝันและจะไม่มีใครพบเขาอีกแล้ว
เขาจะถูกไล่ไปเหมือนกับภาพฝันในยามค่ำคืน
9 ดวงตาที่เคยเห็นพวกเขา จะไม่เห็นพวกเขาอีก
ที่ที่พวกเขาอยู่จะไม่เห็นพวกเขาอีก
10 เมื่อมือของคนชั่วเหล่านั้นจะต้องคืนความร่ำรวยที่โกงมากลับไป
ลูกๆของพวกเขาจะต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากคนยากจน
11 ในขณะที่พวกเขายังเป็นหนุ่มและแข็งแรง
พวกเขาจะต้องนอนตายลงในผงคลีดิน
12 แม้ความชั่วร้ายจะหอมหวานในปากของพวกเขา
แม้พวกเขาจะให้มันละลายอยู่ใต้ลิ้น
13 แม้พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยมันไป
และอมไว้ในปาก
14 แต่อาหารประเภทนั้นจะกลับบูดเปรี้ยวในท้องของพวกเขา
มันจะเป็นเหมือนพิษงูในร่างกายของพวกเขา
15 ความมั่งคั่งที่พวกเขากลืนเข้าไปนั้น พวกเขาจะต้องอ้วกออกมา
พระเจ้าจะโยนมันออกมาจากท้องของพวกเขา
16 พวกเขาจะดูดดื่มพิษงู
เขี้ยวของงูพิษจะฆ่าพวกเขาเสีย
17 พวกเขาจะไม่ได้เห็นธารน้ำมันมะกอก
และธารน้ำเชื่อมผลไม้
18 พวกเขาจะต้องคืนสิ่งที่เขาโกงมา เขาจะไม่สามารถกลืนมันลงไปได้
พวกเขาจะไม่ได้สนุกสนานกับผลกำไรจากการค้าของเขา
19 เพราะพวกเขาได้กดขี่และทอดทิ้งคนยากจน
พวกเขาได้ยึดบ้านที่เขาไม่ได้สร้างขึ้นมา
20 พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้สิ่งที่พวกเขาอยากได้หลุดลอยไป
เพราะท้องของเขาร้องหิวตลอดเวลา
21 พวกเขากินอย่างตะกละตะกลามจนไม่เหลืออะไรเลย
ดังนั้นความเจริญรุ่งเรืองของเขาจะไม่ยั่งยืน
22 ในยามที่คนชั่วอิ่มหนำสำราญนั้น ความทุกข์ยากจะเกิดขึ้นกับพวกเขา
ความเดือดร้อนจะถาโถมเข้าใส่พวกเขาอย่างสุดฤทธิ์
23 พระเจ้าจะยัดเยียดความเกรี้ยวโกรธของพระองค์ให้กับคนชั่วเหล่านั้นจนอิ่มแปล้
พระองค์จะเทความเกรี้ยวโกรธอย่างฝนให้เป็นอาหารพวกเขา
24 คนชั่วจะวิ่งหนีอาวุธเหล็ก
แต่ลูกธนูทองสัมฤทธิ์จะแทงทะลุตัวเขา
25 เขาจะดึงลูกธนูออกจากแผ่นหลัง
เขาดึงหัวลูกธนูที่อาบเลือดมันวับออกจากถุงน้ำดีของเขา
แล้วเรื่องน่าสะพรึงกลัวทั้งหลายตกลงบนพวกเขา
26 แดนมืดมิดนั้นได้สำรองที่ไว้แล้วสำหรับทรัพย์สมบัติของเขา
ไฟที่ไม่ต้องโหมพัดโดยมนุษย์ จะเผาผลาญพวกเขาไป
ไฟจะเผาผลาญทุกสิ่งที่เหลืออยู่ในเต็นท์ของเขา
27 ฟ้าสวรรค์จะเปิดเผยความชั่วร้ายของพวกเขา
และแผ่นดินโลกจะลุกขึ้นต่อต้านเขา
28 กระแสน้ำท่วมจะกวาดบ้านเขาไป
น้ำจะลากมันไปในวันที่พระเจ้าเกรี้ยวโกรธ
29 นี่คือส่วนแบ่งที่พระเจ้าให้กับคนชั่ว
นี่คือมรดกที่พระองค์กำหนดไว้ให้กับพวกเขา”
ตอบคำถามเรื่องชีวิตคู่
7 ตอนนี้ผมขอพูดถึงเรื่องที่พวกคุณเขียนมาหาผมว่า “ดีแล้วที่ผู้ชายจะไม่นอนกับภรรยา” 2 แต่ เพราะมีความผิดบาปทางเพศเกิดขึ้นมากมาย ผู้ชายแต่ละคนจึงควรจะมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา และผู้หญิงแต่ละคนก็ควรจะมีเพศสัมพันธ์กับสามี 3 สามีควรจะให้ความสุขทางเพศกับภรรยาตามหน้าที่ ส่วนภรรยาควรจะให้ความสุขทางเพศกับสามีตามหน้าที่เหมือนกัน 4 ร่างกายของภรรยาไม่เป็นของเธออีกต่อไป แต่กลายเป็นของสามี ส่วนร่างกายของสามีก็ไม่เป็นของเขาอีกต่อไป แต่กลายเป็นของภรรยา 5 อย่าปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์กันเลย นอกจากทั้งสองคนจะตกลงกันเป็นการชั่วคราว เพื่อคุณจะได้ทุ่มเทตัวเองในการอธิษฐาน หลังจากนั้นก็ค่อยกลับมาอยู่ร่วมกันอีก เพื่อซาตานจะได้ไม่มาล่อลวงคุณให้ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นเพราะขาดการบังคับตน 6 เรื่องที่อยู่ห่างกันชั่วคราวนี้ผมไม่ได้สั่งให้ทำนะครับ แต่ถ้าคุณอยากทำก็ตามใจ 7 ความจริงแล้วผมอยากให้ทุกคนเป็นโสดเหมือนผม แต่อย่างว่าแหละครับ พระเจ้าก็ให้พรสวรรค์แต่ละคนมาไม่เหมือนกัน คนนี้ได้อย่างนี้ คนโน้นก็ได้อีกอย่างหนึ่ง
8 ตอนนี้ขอพูดกับคนโสดและแม่ม่ายว่า ถ้าพวกเขาจะอยู่เป็นโสดเหมือนกับผม ก็จะดีกว่านะ 9 แต่ถ้าเห็นว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็ให้แต่งงานเสียเถอะ เพราะทำอย่างนี้ ย่อมดีกว่าถูกเผาจนเร่าร้อนไปด้วยราคะตัณหา
10 ตอนนี้ผมขอสั่งคนที่แต่งงานแล้วว่า (ไม่ใช่ผมสั่งหรอกแต่เป็นองค์เจ้าชีวิตต่างหาก) ภรรยาต้องไม่หย่าจากสามี 11 (แต่ถ้าเธอหย่า เธอก็ต้องอยู่เป็นโสด หรือไม่ก็ให้กลับไปคืนดีกับสามีของเธอ) และสามีก็จะต้องไม่หย่าภรรยาเหมือนกัน
12 ตอนนี้ขอพูดถึงคนที่เหลือว่า (ตรงนี้ผมพูดเองนะครับ ไม่ใช่องค์เจ้าชีวิตพูด) ถ้าพี่น้องคนไหนมีภรรยาที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ และเธอตกลงใจที่จะอยู่กับเขา เขาก็ต้องไม่หย่ากับเธอ 13 ถ้าหญิงคนไหนมีสามีที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ และเขาตกลงใจที่จะอยู่กับเธอ เธอก็ต้องไม่หย่ากับเขา 14 เพราะสามีที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ก็บริสุทธิ์แล้ว เพราะภรรยาของเขาที่ไว้วางใจ ส่วนภรรยาที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ก็บริสุทธิ์แล้ว เพราะสามีของเธอที่ไว้วางใจ ไม่อย่างนั้นลูกๆของพวกคุณจะสกปรกต่อหน้าพระเจ้า แต่ความจริงตอนนี้ลูกๆของพวกคุณก็เป็นของพระเจ้าแล้ว
15 แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์อยากจะหย่า ก็ให้เขาหย่าไป พี่น้องที่ไว้วางใจในพระคริสต์คนนั้นก็เป็นอิสระแล้ว เพราะพระเจ้าเรียกให้พวกเรามาอยู่กันอย่างสงบสุข 16 คนที่เป็นภรรยาก็ไม่ต้องไปรั้งเขาไว้หรอก คุณแน่ใจหรือว่าคุณจะช่วยสามีที่ไม่ไว้วางใจในพระคริสต์ให้รอดได้ คนที่เป็นสามีก็เหมือนกัน คุณแน่ใจหรือว่าคุณจะช่วยภรรยาที่ไม่ไว้วางใจในพระคริสต์ให้รอดได้
ใช้ชีวิตตามที่พระเจ้าได้เรียกคุณ
17 แต่อย่างไรก็ตาม องค์เจ้าชีวิตได้กำหนดให้คุณอยู่ในสภาพไหนก็ให้อยู่ในสภาพนั้นตามที่พระเจ้าได้เรียกมา นี่แหละเป็นกฎที่ผมสั่งไว้ในทุกๆหมู่ประชุม 18 ตอนที่พระเจ้าเรียกนั้น ถ้ามีใครทำพิธีขลิบมาแล้ว ก็อย่าไปเปลี่ยนสภาพให้กลับมาเหมือนเดิมเลย หรือถ้ามีใครที่ยังไม่ได้ทำพิธีขลิบ ก็อย่าไปทำ 19 เพราะจะทำหรือไม่ทำพิธีขลิบก็ไม่ได้สำคัญอะไร สิ่งที่สำคัญคือการทำตามคำสั่งของพระเจ้า 20 ใครอยู่ในสภาพไหนตอนที่พระเจ้าเรียก ก็ให้อยู่ในสภาพนั้น 21 ถ้าเป็นทาสอยู่ก็ไม่ต้องกลุ้มใจ แต่ถ้ามีโอกาสเป็นอิสระก็ให้ฉวยเอาไว้ 22 ตอนที่องค์เจ้าชีวิตเรียกนั้น คนที่เป็นทาสก็กลายเป็นคนอิสระขององค์เจ้าชีวิต ส่วนคนที่เป็นอิสระก็กลายเป็นทาสของพระคริสต์ 23 พระเจ้าซื้อพวกคุณมาในราคาแพง ดังนั้นก็อย่าเป็นทาสของมนุษย์คนไหนเลย 24 พี่น้องครับ พระเจ้าเรียกให้คุณมาอยู่ในสภาพไหน พวกคุณแต่ละคนก็ควรจะอยู่ในสภาพนั้นต่อหน้าพระเจ้า
คำถามเกี่ยวกับการแต่งงาน
25 ตอนนี้ขอพูดถึงคนที่ยังไม่แต่งงาน ผมไม่ได้รับคำสั่งอะไรจากองค์เจ้าชีวิตในเรื่องนี้ แต่ผมอยากจะเสนอความคิดเห็นของผมในฐานะคนที่องค์เจ้าชีวิตให้ความเมตตากรุณาจึงทำให้เป็นคนที่ไว้ใจได้ 26 เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงที่มีปัญหามาก ผมเห็นว่าคุณอยู่เป็นโสดอย่างที่คุณเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ดีกว่า 27 แต่ถ้าคุณหมั้นกันแล้วก็อย่าคิดที่จะถอนหมั้นเธอ แต่ถ้าคุณยังเป็นโสดอยู่ก็อย่าคิดที่จะหาภรรยา 28 แต่ถ้าคุณจะแต่งงานก็ไม่บาปหรอก และถ้าหากหญิงโสดจะแต่งงานก็ไม่บาปเหมือนกัน แต่ขอเตือนว่าคนที่แต่งงานจะเจอกับปัญหามากมายในชีวิต และผมก็ไม่อยากให้พวกคุณเจอกับปัญหาพวกนี้
29 พี่น้องครับ ผมกำลังพูดถึงว่าเวลานั้นสั้นเหลือเกิน ต่อไปนี้ให้คนที่มีภรรยาแล้ว ทำเหมือนกับยังไม่มี 30 คนที่โศกเศร้าทำเหมือนกับไม่โศกเศร้า คนที่ร่าเริงทำเหมือนกับไม่ร่าเริง คนที่ซื้อของมาทำเหมือนกับไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย 31 คนที่ใช้สิ่งของในโลกนี้โดยไม่ลุ่มหลงโลก เพราะโลกในปัจจุบันนี้กำลังจะผ่านพ้นไป
32 ผมไม่อยากให้คุณกังวลอะไร ดูสิ ชายโสดก็สนใจเรื่องต่างๆขององค์เจ้าชีวิต คือคิดแต่ว่าจะเอาใจองค์เจ้าชีวิตได้อย่างไร 33 แต่ชายที่แต่งงานแล้วก็จะสนใจแต่เรื่องของโลกนี้ คือคิดแต่ว่าจะเอาใจภรรยาได้อย่างไร 34 ความสนใจของเขาจึงถูกแบ่งออกสองทาง หญิงโสดหรือหญิงที่ยังไม่เคยแต่งงานก็จะสนใจเรื่องต่างๆขององค์เจ้าชีวิต เพื่อนางจะได้บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วก็จะสนใจแต่เรื่องของโลกนี้ คือคิดแต่ว่าจะเอาใจสามีได้อย่างไร 35 ที่ผมพูดอย่างนี้ก็เพื่อประโยชน์ของคุณเอง ไม่ใช่เอาห่วงมาคล้องคอคุณ แต่อยากจะให้คุณใช้ชีวิตที่ถูกต้อง คือมีใจจดจ่อกับองค์เจ้าชีวิตโดยไม่ถูกแย่งความสนใจไป
36 ถ้าผู้ชายคนไหนคิดว่าเขาทำตัวไม่เหมาะสมกับคู่หมั้นของเขา เพราะทนต่อกิเลสของตัวเองไม่ไหว และเขาคิดว่าควรแต่งก็ให้เขาทำตามที่เขาอยากทำ เพราะมันไม่ผิดหรอกที่เขาจะแต่งงานกัน 37 แต่คนที่มีจิตใจแน่วแน่ ไม่อยู่ภายใต้ความกดดันอะไร เขาก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินเรื่องนี้เอง และถ้าเขาตัดสินใจที่จะไม่แต่งกับคู่หมั้นของเขา เขาก็ทำถูกต้องแล้ว 38 ดังนั้นคนที่แต่งงานกับคู่หมั้นของเขาก็ดีแล้ว แต่คนที่ไม่แต่งงานกับคู่หมั้นของเขาก็ดีกว่า
39 ผู้หญิงจะผูกมัดกับสามีของนางไปตลอดชีวิตของเขา เมื่อสามีตายนางก็เป็นอิสระ อยากจะไปแต่งงานกับใครก็แต่งได้ แต่ต้องเป็นคนที่มีความไว้วางใจในองค์เจ้าชีวิตเท่านั้น 40 แต่ในความคิดของผม ถ้านางไม่แต่งงานอีก นางจะมีเกียรติมากกว่า และผมคิดว่าพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับผมเมื่อผมพูดอย่างนี้
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International