M’Cheyne Bible Reading Plan
หนูน้อยโมเสส
2 มีชายเผ่าเลวีคนหนึ่งได้ไปแต่งงานกับสาวคนหนึ่งจากเผ่าเลวีด้วยกัน 2 นางตั้งท้องและคลอดลูกชาย ลูกของนางเป็นเด็กที่น่ารักมาก นางจึงซ่อนเด็กคนนี้ไว้ถึงสามเดือน 3 จนกระทั่งนางเห็นว่าไม่สามารถซ่อนเด็กคนนี้ได้อีกต่อไป นางจึงนำต้นกกมาสานเป็นตะกร้าแล้วฉาบด้วยชันและน้ำมันดิน[a] นางนำเด็กวางลงในตะกร้า และเอาไปวางไว้ในกอต้นกกที่ขึ้นอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 4 พี่สาวของเด็กคนนี้ คอยเฝ้ามองตะกร้าใบนั้นอยู่ห่างๆเพื่อจะได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย
5 ขณะนั้น ลูกสาวของฟาโรห์ได้ลงมาอาบน้ำที่แม่น้ำไนล์ ขณะที่คนรับใช้กำลังเดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ลูกสาวของฟาโรห์ก็เห็นตะกร้าใบนั้นในกอต้นกก นางจึงสั่งให้คนรับใช้ไปเอามา 6 เมื่อนางเปิดดู ก็เห็นเด็กผู้ชายกำลังร้องไห้อยู่ นางเกิดความสงสาร และพูดขึ้นว่า “นี่คงเป็นเด็กชายชาวฮีบรู[b] คนหนึ่ง”
7 พี่สาวของเด็กนั้นได้พูดกับลูกสาวฟาโรห์ว่า “จะให้หนูไปหาแม่นมชาวฮีบรูสักคน มาเลี้ยงเด็กคนนี้ให้กับท่านไหมคะ”
8 นางจึงตอบว่า “ไปสิ”
เด็กผู้หญิงคนนั้นจึงไปเรียกแม่ของเด็กชายคนนั้นมา
9 ลูกสาวฟาโรห์พูดกับนางว่า “ให้เอาเด็กคนนี้ไปเลี้ยงดูให้กับฉัน แล้วฉันจะจ่ายค่าจ้างให้”
หญิงคนนั้นจึงได้เอาเด็กนั้นไปเลี้ยงดู 10 เมื่อเด็กคนนั้นโตจนหย่านมได้แล้ว นางได้นำตัวเขาไปให้ลูกสาวฟาโรห์ แล้วเขาก็กลายเป็นลูกของลูกสาวฟาโรห์ นางตั้งชื่อเขาว่าโมเสส[c] เพราะนางบอกว่า “ฉันได้ดึงเขาขึ้นมาจากน้ำ”
โมเสสช่วยเหลือคนของตน
11 เมื่อโมเสสโตขึ้น เขาได้ออกไปเห็นชาวฮีบรูพี่น้องของเขาต้องทำงานอย่างหนัก เมื่อเขาเห็นชายอียิปต์คนหนึ่งกำลังเฆี่ยนตีชายฮีบรูคนหนึ่ง ซึ่งเป็นพี่น้องของเขา 12 โมเสสมองไปรอบๆ ไม่เห็นใคร เขาจึงฆ่าชาวอียิปต์คนนั้น แล้วฝังศพไว้ในทราย
13 วันต่อมา เมื่อโมเสสออกไปอีก เขาเห็นชายฮีบรูสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ โมเสสจึงพูดกับคนที่ทำผิดว่า “เจ้าทำร้ายชาวฮีบรูด้วยกันทำไม”
14 แต่ชายคนนั้นกลับตอบว่า “ใครตั้งให้แกเป็นเจ้าชายและเป็นผู้ตัดสินพวกเราหรือ แกคงคิดจะฆ่าเราเหมือนกับที่แกฆ่าคนอียิปต์เมื่อวาน[d] นี้สินะ”
โมเสสตกใจกลัวและคิดในใจว่า “เรื่องนี้คงรู้กันไปทั่วแล้วแน่ๆ”
15 เมื่อฟาโรห์ได้ยินเรื่องนี้ พระองค์หาทางที่จะฆ่าโมเสส โมเสสจึงหนีฟาโรห์ไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินมีเดียน
โมเสสในแผ่นดินมีเดียน
โมเสสได้มานั่งพักอยู่ใกล้บ่อน้ำแห่งหนึ่ง 16 มีนักบวชชาวมีเดียนคนหนึ่งมีลูกสาวเจ็ดคน ในขณะนั้นลูกสาวทั้งเจ็ดคนของเขาได้ออกมาตักน้ำที่บ่อและเอาไปเติมรางน้ำเพื่อเลี้ยงแกะของพ่อ 17 แต่มีคนเลี้ยงแกะกลุ่มหนึ่งมาถึงและขับไล่พวกนาง โมเสสจึงลุกขึ้นมาช่วยพวกนาง และยังช่วยตักน้ำให้แกะของพวกนางดื่มอีกด้วย
18 เมื่อพวกนางกลับไปหาเรอูเอล[e] ผู้เป็นพ่อ เรอูเอลถามลูกๆว่า “ทำไมวันนี้ลูกๆถึงได้กลับมาเร็วนัก”
19 พวกนางตอบว่า “ชายชาวอียิปต์คนหนึ่งได้ช่วยเราให้พ้นจากกำมือของพวกคนเลี้ยงแกะ เขายังช่วยตักน้ำแทนเราให้แกะของเราดื่มด้วย”
20 เขาจึงถามพวกลูกสาวว่า “แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ทำไมลูกๆทิ้งเขาไว้ข้างนอก ไปเชิญเขามากินอาหารร่วมกับพวกเราสิ”
21 โมเสสตกลงที่จะอยู่กับเขา เรอูเอลยกลูกสาวชื่อศิปโปราห์ให้เป็นเมียโมเสส 22 นางตั้งท้องและคลอดลูกชายคนหนึ่ง โมเสสพูดว่า “ตอนนี้เราเป็นคนแปลกหน้าบนแผ่นดินของคนต่างชาติ” เขาจึงตั้งชื่อลูกชายว่าเกอร์โชม[f]
พระเจ้าตัดสินใจช่วยชาวอิสราเอล
23 โมเสสได้อาศัยอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนั้นเป็นเวลาหลายปี ในช่วงเวลานั้น กษัตริย์ของอียิปต์ได้ตายไป ประชาชนชาวอิสราเอลยังคงร้องไห้คร่ำครวญ เพราะถูกบังคับให้ทำงานอย่างหนัก พวกเขาจึงร้องขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้า เสียงร่ำร้องให้ช่วยปลดปล่อยพวกเขาจากงานหนักนี้ได้ดังไปถึงหูของพระเจ้า 24 พระองค์ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขาและระลึกถึงคำสัญญาของพระองค์ที่ให้ไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ 25 พระองค์มองไปยังลูกหลานของอิสราเอล แล้วพระองค์ก็รู้ว่าพระองค์จะทำอะไร[g]
พระเยซูเลือกลูกศิษย์
(มธ. 4:18-22; มก. 1:16-20)
5 วันหนึ่งเมื่อพระเยซูยืนอยู่ที่ริมฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท มีคนเป็นจำนวนมากเบียดเสียดพระองค์ เพื่อฟังคำสอนของพระเจ้า 2 พระองค์เห็นเรือสองลำที่ชาวประมงจอดทิ้งไว้บนฝั่งเพื่อล้างอวน 3 พระเยซูจึงขึ้นไปบนเรือลำหนึ่งที่เป็นของซีโมน และขอให้เขาเอาเรือออกห่างจากฝั่งเล็กน้อย แล้วพระองค์ก็นั่งลงสอนคนจากเรือลำนั้น
4 เมื่อพระองค์สอนเสร็จแล้วก็พูดกับซีโมนว่า “ออกไปที่น้ำลึกหน่อย จะได้หย่อนอวนลงจับปลา”
5 แต่ซีโมนตอบว่า “อาจารย์ครับ พวกเราตรากตรำลากอวนกันมาทั้งคืนแล้ว ก็ยังจับไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าอาจารย์บอกให้ทำ ผมก็จะลองใหม่” 6 เมื่อพวกเขาทำตามที่พระเยซูบอก ก็จับปลาได้เยอะมากจนอวนเกือบขาด 7 พวกเขาก็เลยต้องส่งสัญญาณเรียกเพื่อนร่วมงานในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย ปรากฏว่าพวกเขาได้ปลามาเต็มสองลำเรือจนเรือเกือบจะจม
8 เมื่อซีโมนเห็นอย่างนั้นจึงก้มลงกราบที่เข่าของพระเยซูและพูดว่า “อาจารย์ ไปให้ห่างจากผมเถิด เพราะผมมันคนบาป” 9 ที่พูดอย่างนั้นเพราะตัวเขาและเพื่อนๆรู้สึกตกตะลึงที่จับปลาได้มากขนาดนั้น 10 ยากอบและยอห์น ลูกชายของเศเบดีที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับซีโมนเองก็ตกตะลึงเหมือนกัน แล้วพระเยซูก็พูดกับซีโมนว่า “ไม่ต้องกลัว ต่อไปนี้คุณจะจับคนแทนปลา”
11 เมื่อพวกเขาลากเรือมาถึงฝั่ง พวกเขาก็ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วติดตามพระเยซูไป
พระเยซูรักษาคนโรคผิวหนังร้ายแรง
(มธ. 8:1-4; มก. 1:40-45)
12 เมื่อพระเยซูอยู่ในเมืองๆหนึ่ง มีชายคนหนึ่งที่เป็นโรคผิวหนังร้ายแรงทั่วทั้งตัว เมื่อเขาเห็นพระเยซู ก็มาก้มกราบอ้อนวอนว่า “นายท่าน ถ้าท่านอยากช่วย ท่านก็ทำให้ผมหายได้”
13 พระเยซูจึงยื่นมือออกไปแตะตัวเขาแล้วพูดว่า “เราอยากช่วย หายจากโรคเถิด” เขาก็หายจากโรคผิวหนังร้ายแรงทันที 14 แล้วพระเยซูสั่งว่า “อย่าไปเล่าให้ใครฟัง แต่ไปให้นักบวชตรวจดู และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสสั่งไว้ให้คนที่หายจากโรคผิวหนังร้ายแรงต้องทำเพื่อคนอื่นจะได้รู้ว่าคุณหายแล้ว”
15 ถึงแม้ว่าพระองค์จะสั่งห้ามไม่ให้เขาพูด แต่ข่าวเกี่ยวกับพระองค์ก็ยิ่งแพร่กระจายออกไปมากขึ้น ดังนั้นชาวบ้านมากมายจึงพากันมาฟังพระองค์สั่งสอน และมารับการรักษาให้หายจากโรคต่างๆ 16 แต่บ่อยครั้งที่พระเยซูหลบไปที่สงบเงียบเพื่ออธิษฐาน
พระเยซูรักษาคนง่อย
(มธ. 9:1-8; มก. 2:1-12)
17 อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่พระเยซูกำลังสอนอยู่ มีพวกฟาริสีและพวกครูสอนกฎปฏิบัติที่เดินทางมาจากทุกหมู่บ้านในแคว้นกาลิลี แคว้นยูเดีย และเมืองเยรูซาเล็มนั่งอยู่ที่นั่นด้วย และองค์เจ้าชีวิตให้ฤทธิ์อำนาจกับพระเยซูเพื่อจะรักษาโรคได้ 18 มีบางคนหามคนเป็นอัมพาตที่นอนอยู่บนเปลมา และพยายามที่จะพาเขาเข้าไปในบ้านเพื่อวางไว้ต่อหน้าพระเยซู 19 แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะคนแน่นมาก พวกเขาจึงพากันขึ้นไปบนหลังคาบ้าน รื้อหลังคาออกเป็นช่อง แล้วหย่อนชายที่นอนบนเปลนั้นลงไปกลางฝูงชนตรงหน้าพระเยซู
20 เมื่อพระเยซูเห็นความเชื่อของพวกเขา พระองค์ก็พูดว่า “เพื่อนเอ๋ย บาปของคุณได้รับการอภัยแล้ว”
21 พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีก็คิดในใจว่า “คนนี้เป็นใครกัน บังอาจพูดจาดูหมิ่นพระเจ้า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ให้อภัยบาปได้”
22 แต่พระเยซูรู้ถึงความคิดเหล่านั้น ก็เลยตอบพวกเขาไปว่า “ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น 23 ระหว่างพูดว่า ‘บาปของคุณได้รับการอภัยแล้ว’ หรือพูดว่า ‘ลุกขึ้นเดิน’ อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน 24 แต่เพื่อจะให้พวกคุณรู้ว่า ในโลกนี้บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจที่จะให้อภัยบาปได้” แล้วพระองค์จึงพูดกับชายที่เป็นอัมพาตว่า “เราขอสั่งคุณให้ลุกขึ้น เก็บเปลแล้วกลับบ้านไปเถอะ”
25 ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นทันทีต่อหน้าคนทั้งหมด เขายกเปลที่เขาเคยนอนกลับไปบ้านและสรรเสริญพระเจ้า 26 คนทั้งหลายต่างประหลาดใจและพากันสรรเสริญพระเจ้า พวกเขารู้สึกเกรงกลัวและพากันพูดว่า “วันนี้พวกเราได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ”
พระเยซูเรียกเลวี
(มธ. 9:9-13; มก. 2:13-17)
27 หลังจากนั้นพระเยซูก็เดินออกไป และพบคนเก็บภาษี ชื่อเลวี นั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระเยซูพูดกับเขาว่า “ตามเรามา” 28 เลวีจึงทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง และตามพระองค์ไป
29 แล้วเลวีก็จัดงานเลี้ยงใหญ่ให้กับพระเยซูที่บ้านของเขา มีพวกคนเก็บภาษีเป็นจำนวนมาก และคนอื่นๆมาร่วมงานด้วย 30 พวกฟาริสีและพวกครูสอนกฎปฏิบัติบ่นกับลูกศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมพวกคุณถึงกินและดื่มกับพวกคนเก็บภาษี และพวกคนบาปแบบนี้”
31 พระเยซูก็ตอบกลับไปว่า “คนที่สบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการหมอ 32 เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนดี แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับตัวกลับใจ”
พระเยซูตอบคำถามเกี่ยวกับการอดอาหาร
(มธ. 9:14-17; มก. 2:18-22)
33 พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “ลูกศิษย์ของยอห์นถือศีลอดอาหารและอธิษฐานบ่อยๆ ลูกศิษย์ของพวกฟาริสีก็เหมือนกัน แต่ทำไมลูกศิษย์ของอาจารย์ถึงทั้งกินทั้งดื่มอยู่เรื่อย”
34 พระเยซูพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “เพื่อนเจ้าบ่าวจะอดอาหารตอนที่เลี้ยงฉลองอยู่กับเจ้าบ่าวได้หรือ 35 แต่เมื่อถึงวันนั้นที่เจ้าบ่าวถูกพรากไปจากพวกเขา ในวันนั้นแหละพวกเขาจะอดอาหาร”
36 พระองค์เล่าเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้ฟัง “คงไม่มีใครฉีกผ้าจากเสื้อใหม่ไปปะรูเสื้อเก่าหรอก เพราะถ้าทำอย่างนั้น เสื้อใหม่ก็จะฉีกขาดและชิ้นผ้าใหม่ก็ไม่เข้ากับเสื้อเก่า 37 แล้วคงไม่มีใครเอาเหล้าองุ่นใหม่ไปใส่ไว้ในถุงหนังเก่าหรอก ถ้าทำอย่างนั้นเหล้าองุ่นใหม่จะทำให้ถุงหนังนั้นแตก เหล้าก็จะไหลออกมาหมด และถุงหนังก็จะพังไปด้วย 38 แต่เหล้าองุ่นใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ 39 ไม่มีใครที่ดื่มเหล้าองุ่นเก่าแล้วยังอยากดื่มเหล้าองุ่นใหม่อีก เพราะเขาจะบอกว่า ‘เหล้าองุ่นเก่าดีกว่า’”
โยบพูดอีก
19 แล้วโยบก็ตอบว่า
2 “พวกท่านจะทรมานข้าไปอีกนานแค่ไหน
พวกท่านพยายามจะบดขยี้ข้าเป็นชิ้นๆด้วยคำพูดอย่างนี้ไปอีกนานไหม
3 พวกท่านพยายามฉีกหน้าข้ามาตั้งสิบครั้งแล้ว
ยังไม่รู้สึกอายที่ทำผิดต่อข้าอย่างนี้หรือ
4 สมมุติว่าข้าได้ทำผิดจริง
ข้าเองจะต้องเป็นผู้รับผิด
5 ถ้าพวกท่านพองตัวว่าดีกว่าข้า
และถือเอาความตกต่ำของข้าเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าข้าผิด
6 ก็รู้ไว้เถิดว่าเป็นพระเจ้าที่ทำให้ข้าดูเหมือนเป็นคนผิด
แล้วปิดล้อมโจมตีข้าอย่างนี้
7 ถึงข้าจะร้องว่า ‘ช่วยด้วย ข้าถูกโบยตี’
ก็ไม่มีใครฟังข้าอยู่ดี
ถึงข้าจะร้องให้ช่วย
ก็ยังไม่มีความยุติธรรมเกิดขึ้น
8 พระองค์กั้นทางข้าไม่ให้ผ่าน
และทำให้เส้นทางทั้งหลายของข้ามืดไป
9 พระองค์ปลดศักดิ์ศรีของข้าไปหมด
และถอดมงกุฎไปจากหัวข้า
10 พระองค์รื้อข้าลงจากทุกด้าน จนข้าสูญสิ้นไป
ความหวังของข้าถูกพระองค์ถอนรากถอนโคนเหมือนต้นไม้
11 พระองค์จุดความโกรธเกรี้ยวต่อข้า
และนับว่าข้าเป็นศัตรูของพระองค์
12 กองทัพทั้งหลายของพระองค์เรียงหน้าบุกเข้ามาพร้อมกัน
พวกเขาสร้างเนินดินไว้บุกกำแพงข้า
และตั้งค่ายล้อมรอบเต็นท์ของข้า
13 พระองค์ทำให้พี่น้องของข้าเหินห่างจากข้า
ส่วนเพื่อนๆของข้าทำตัวเป็นคนแปลกหน้ากับข้า
14 ญาติพี่น้องและพวกเพื่อนสนิทของข้าได้ทอดทิ้งข้าไป
แขกทั้งหลายที่เคยมาบ้านข้าหลงลืมข้าหมดแล้ว
15 สาวใช้ของข้ามองข้าเป็นคนแปลกหน้า
ข้ากลายเป็นคนต่างด้าวในสายตาพวกเขา
16 ข้าเรียกทาสชายของข้า แต่เขาไม่ตอบ
แม้ข้าจะอ้อนวอนให้เขามาช่วยก็ตาม
17 กลิ่นปากของข้าเป็นที่น่ารังเกียจแก่เมียข้า
และพี่น้องท้องเดียวกับข้าก็สะอิดสะเอียนข้า
18 แม้แต่เด็กเล็กๆก็ดูหมิ่นข้า
เมื่อข้ายืนขึ้นพูด พวกเขาก็พูดต่อว่าข้า
19 พวกเพื่อนสนิททุกคนของข้าต่างก็สะอิดสะเอียนข้า
ส่วนคนเหล่านั้นที่ข้ารักก็หักหลังข้า
20 กระดูกของข้าอ่อนปวกเปียกซะจนต้องเกาะหนังและเนื้อไว้
ข้ารอดตายอย่างหวุดหวิดเหลือแต่หนังหุ้มฟัน
21 เพื่อนๆของข้า สงสารข้าด้วย สงสารข้าด้วยเถิด
เพราะมือของพระเจ้าได้ตบตีข้า
22 ทำไมพวกท่านต้องไล่ล่าข้าเหมือนกับที่พระเจ้าทำอยู่นี้
กินเนื้อข้ายังไม่อิ่มหรือ
23 ข้าอยากให้มีคนบันทึกคำพูดของข้าเหลือเกิน
ข้าอยากให้จารึกไว้บนแผ่นหิน
24 ข้าอยากให้สลักคำพูดทั้งหมดของข้าไว้บนแผ่นหินตลอดไป
ด้วยสิ่วเหล็กและเคลือบตะกั่ว
25 เพราะข้ารู้ว่าผู้ที่จะแก้ต่างให้กับข้านั้นมีชีวิตอยู่
เขาจะยืนขึ้นในที่สุดเพื่อพูดแทนข้าบนผืนดินนี้
26 แม้ว่าหนังของข้าจะถูกถลกออกไปแล้วก็ตาม
แต่ข้าก็ยังอยากจะเห็นพระเจ้าในขณะที่ข้ายังอยู่ในเนื้อหนังนี้
27 ข้าอยากจะเห็นพระองค์ด้วยตัวข้าเอง
ด้วยตาของข้าเอง ไม่ใช่มีแต่คนอื่นเห็น
ข้าคอยจนเหนื่อยใจแล้ว
28 เมื่อพวกท่านพูดว่า ‘ไล่ล่ามันไป’
และกล่าวว่า ‘ปัญหาของมันก็อยู่ที่ตัวมันนั่นแหละ’
29 ให้ระวังดาบไว้ให้ดี
เพราะความโกรธเกรี้ยวของพวกท่าน สมควรจะถูกลงโทษด้วยดาบ
แล้วพวกท่านจะได้รู้ว่าการพิพากษามีจริง”
การตัดสินปัญหาระหว่างพี่น้องคริสเตียน
6 เมื่อมีใครในพวกคุณมีเรื่องกัน ทำไมเขาถึงกล้าไปฟ้องร้องกันต่อหน้าคนที่ไม่มีความเชื่อ แทนที่จะเอาไปให้พวกคนที่เป็นของพระเจ้าตัดสิน 2 พวกคุณไม่รู้หรือว่า พวกคนที่เป็นของพระเจ้าจะตัดสินโลกนี้ และถ้าพวกคุณจะต้องเป็นคนตัดสินโลกนี้ เรื่องขี้ผงแค่นี้ยังจัดการกันเองไม่ได้หรืออย่างไร 3 พวกคุณไม่รู้หรือว่า เราจะตัดสินแม้แต่ทูตสวรรค์ แล้วเรื่องธรรมดาๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย 4 ดังนั้นถ้ามีคดีฟ้องร้องอย่างนี้เกิดขึ้น พวกคุณจะเอาเรื่องนี้ไปให้คนที่หมู่ประชุมของพระเจ้าไม่นับถือตัดสินได้อย่างไร 5 ที่ผมพูดอย่างนี้ ก็เพื่อทำให้คุณละอายใจ ไม่มีคนฉลาดสักคนในหมู่พวกคุณที่พอจะจัดการกับคดีฟ้องร้องระหว่างพี่น้องนี้ได้เลยหรือ 6 แต่กลับกลายเป็นว่าพี่น้องต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาล และยิ่งกว่านั้นยังไปอยู่ต่อหน้าคนที่ไม่เชื่ออีกด้วย
7 ความจริงแล้ว เมื่อคุณฟ้องร้องกันนั้น คุณก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้ว ยอมให้เขาเอาเปรียบ หรือยอมถูกโกงซะเองจะไม่ดีกว่าหรือ 8 แต่คุณกลับไปเอาเปรียบและโกงแม้กระทั่งพี่น้องของคุณเอง
9 พวกคุณไม่รู้หรือว่า คนที่ทำชั่วจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก อย่าหลอกตัวเองเลย คนที่ทำผิดทางเพศ คนที่กราบไหว้รูปเคารพ คนที่เล่นชู้ ผู้ชายขายตัว พวกเกย์[a] 10 คนขี้ขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนชอบใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น คนขี้โกง คนพวกนี้ไม่มีวันได้อาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกหรอก 11 ในอดีตพวกคุณบางคนก็เป็นอย่างนั้น แต่ฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ และฤทธิ์เดชของพระวิญญาณของพระเจ้าของเราได้ชำระคุณจากบาป ทำให้คุณเป็นของพระเจ้า และทำให้พระเจ้ายอมรับคุณ
ใช้ร่างกายของคุณให้เกียรติกับพระเจ้า
12 มีบางคนพูดว่า “ฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้” แต่ผมว่าสิ่งที่ทำไปนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์ไปเสียทุกเรื่องหรอกนะครับ อย่างที่บางคนพูดว่า “ฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้” แต่ผมจะไม่ยอมให้อะไรมาครอบงำผมหรอก 13 บางคนพูดว่า “อาหารมีไว้สำหรับท้อง และท้องก็มีไว้สำหรับอาหาร” แต่พระเจ้าจะทำลายทั้งท้องและอาหารนั้น ร่างกายไม่ได้มีไว้สำหรับทำความผิดบาปทางเพศ แต่มีไว้สำหรับรับใช้องค์เจ้าชีวิต และองค์เจ้าชีวิตก็มีไว้สำหรับร่างกาย
14 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงแต่ทำให้องค์เจ้าชีวิตฟื้นขึ้นจากความตายเท่านั้น แต่ยังจะทำให้เราฟื้นขึ้นจากความตายเหมือนกัน 15 พวกคุณไม่รู้หรือว่า ร่างกายของพวกคุณนั้นเป็นส่วนต่างๆของพระคริสต์ รู้อย่างนั้นแล้ว ผมควรจะเอาส่วนต่างๆของพระคริสต์ไปเที่ยวโสเภณีหรือ ไม่มีทาง 16 พวกคุณไม่รู้หรือว่าคนที่ไปยุ่งกับโสเภณีก็จะเป็นร่างเดียวกับเธอเหมือนพระคัมภีร์พูดไว้ว่า “เขาทั้งสองจะเป็นร่างเดียวกัน”[b]
17 ส่วนคนที่เอาตัวเองไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับองค์เจ้าชีวิต จิตวิญญาณของเขาก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ด้วย 18 ให้หลีกเลี่ยงจากบาปทางเพศนี้ บาปอื่นๆทั้งหมดที่คนทำนั้นเป็นบาปภายนอกร่างกาย แต่คนทำผิดทางเพศได้ทำบาปต่อร่างของเขาเอง[c] 19 พวกคุณไม่รู้หรือว่าร่างกายของพวกคุณเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าให้พระวิญญาณนี้อยู่ในตัวพวกคุณ พวกคุณก็เลยไม่ได้เป็นเจ้าของตัวเองอีกต่อไป 20 เพราะพระเจ้าซื้อพวกคุณมาด้วยราคาแพง ดังนั้นขอให้ใช้ร่างกายของคุณให้เกียรติกับพระเจ้า
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International