Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 44

โยเซฟวางกับดัก

44 โยเซฟได้สั่งคนใช้ที่ดูแลบ้านของเขาว่า “ให้เอาอาหารใส่กระสอบของพวกเขาแต่ละคนให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะขนไปได้ แล้วเอาเงินของพวกเขาใส่เข้าไปบนปากกระสอบของแต่ละคนด้วย ให้เอาชามเงินของเราใส่เข้าไปบนปากกระสอบของน้องคนสุดท้อง พร้อมกับเงินค่าข้าวสารของเขาด้วย” คนรับใช้ก็ทำตามที่โยเซฟบอก

เช้าวันต่อมา พวกพี่น้องของโยเซฟและลาก็ได้ถูกส่งกลับบ้านไป พวกเขาออกจากเมืองไปไม่ไกลนัก โยเซฟบอกกับคนรับใช้ที่ดูแลบ้านของเขาว่า “ให้ติดตามพวกเขาไปทันที เมื่อเจ้าตามทัน ให้พูดกับพวกเขาว่า ‘ทำไมพวกท่านถึงได้ทำชั่วตอบแทนความดี ทำไมท่านถึงได้ขโมยชามเงินของเราไป[a] มันเป็นชามเงินที่เจ้านายข้าใช้ดื่ม และใช้มันในการทำนาย[b]ด้วย พวกท่านแย่มากที่ทำอย่างนี้’”

เมื่อคนใช้ของเขาติดตามพวกนั้นทัน เขาก็พูดตามที่โยเซฟบอก

พวกพี่น้องของโยเซฟได้พูดกับคนใช้ว่า “ทำไมนายของเราถึงพูดอย่างนี้ พวกเราคนใช้ของท่าน จะไม่มีวันทำอย่างนั้นเด็ดขาด ดูเถิด ขนาดเงินที่พวกเราเจอที่ปากกระสอบของพวกเรา พวกเรายังเอามาจากแผ่นดินคานาอัน มาคืนให้กับท่านเลย แล้วเราจะไปขโมยเงินหรือทองจากบ้านของเจ้านายท่านทำไมกัน ถ้าท่านพบมันอยู่กับใครในพวกเราที่เป็นทาสของท่านนี้ คนๆนั้นจะต้องตาย และพวกเราที่เหลือก็จะกลายเป็นทาสของท่านด้วย”

10 คนใช้จึงพูดว่า “ดีแล้ว ตกลงตามที่ท่านพูด ถ้าเราเจอมันที่ใคร คนนั้นจะต้องเป็นทาสของเรา และพวกท่านที่เหลือก็จะเป็นอิสระ”

เบนยามินติดกับ

11 ทุกคนรีบเอากระสอบวางลงกับพื้น และเปิดกระสอบออก 12 คนใช้ก็ค้นหา เริ่มจากพี่ชายคนโตก่อน จนถึงคนสุดท้อง แล้วเขาก็พบชามเงินนั้นอยู่ในกระสอบของเบนยามิน 13 พวกพี่ๆฉีกเสื้อผ้าของพวกเขาแสดงถึงความเสียใจ จากนั้นทุกคนได้เอากระสอบขึ้นบรรทุกหลังลา กลับเข้ามาในเมืองอีกครั้ง

14 เมื่อยูดาห์และพี่น้องคนอื่นๆของเขามาถึงบ้านของโยเซฟ โยเซฟยังอยู่ที่นั่น พวกเขากราบลงถึงพื้นต่อหน้าโยเซฟ 15 โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าทำอะไรลงไป พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าคนอย่างเราทำนายได้”

16 ยูดาห์จึงพูดว่า “พวกเราจะพูดยังไงดีกับเจ้านายของพวกเรา จะให้พวกเราพูดยังไงดี พวกเราจะแสดงให้ท่านเห็นได้ยังไงว่าพวกเราบริสุทธิ์ พระเจ้าเอาผิดกับพวกเราผู้รับใช้ของท่าน พวกเราพร้อมกับคนที่เขาเจอว่ามีชามเงินอยู่ในมือ เป็นทาสของท่าน”

17 โยเซฟพูดว่า “เราจะไม่มีวันทำอย่างนั้นหรอก เฉพาะคนที่พบชามเงินของเราอยู่ในมือเขาเท่านั้น ที่จะต้องมาเป็นทาสของเรา ส่วนพวกเจ้าที่เหลือกลับไปหาพ่อของพวกเจ้าได้อย่างปลอดภัย”

ยูดาห์อ้อนวอนแทนเบนยามิน

18 ยูดาห์เข้าไปใกล้โยเซฟและพูดว่า “นายท่าน ขอโปรดให้ข้าพเจ้าทาสของท่าน ได้พูดบางอย่างกับท่าน ผู้เป็นเจ้านายของข้าพเจ้าด้วยเถิด และขอท่านอย่าได้โกรธข้าพเจ้า ทาสของท่านเลย เพราะท่านเป็นเหมือนฟาโรห์ 19 ท่าน เจ้านายของข้าพเจ้า ได้ถามพวกเราทาสของท่านว่า ‘พวกเจ้ามีพ่อหรือน้องชายหรือเปล่า’ 20 พวกเราก็บอกท่าน เจ้านายของข้าพเจ้าว่า ‘พวกเรายังมีพ่อที่แก่แล้ว และน้องชายคนเล็ก ที่เกิดมาตอนพ่อแก่แล้ว และพี่ชายของเขาที่เกิดจากแม่เดียวกันก็ได้ตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องชายคนนี้คนเดียวเท่านั้น ดังนั้นพ่อของเราจึงรักเขามาก’ 21 แล้วท่านบอกกับพวกเรา ทาสของท่านว่า ‘ไปเอาเขาลงมาหาเรา เราจะได้เห็นเขากับตาตัวเอง’ 22 แต่พวกเราได้บอกกับท่าน เจ้านายของข้าพเจ้าว่า ‘เด็กคนนั้นจะทิ้งพ่อของเขามาไม่ได้ ถ้าเขาทิ้งพ่อของเขามา พ่อของเขาจะตาย’ 23 แล้วท่านบอกกับพวกเราทาสของท่านว่า ‘พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นหน้าเราอีก นอกจากจะพาน้องคนสุดท้องมาด้วยเท่านั้น’ 24 เมื่อพวกเรากลับไปหาพ่อของพวกเรา ทาสของท่าน พวกเรากลับไปเล่าให้พ่อฟังถึงสิ่งที่ท่านพูด

25 พ่อของพวกเราพูดว่า ‘กลับไปซื้ออาหารมาให้กับพวกเรา’ 26 แต่พวกเราบอกว่า ‘พวกเรากลับไปที่นั่นไม่ได้แล้ว แต่ถ้าน้องชายคนสุดท้องไปกับพวกเราด้วย พวกเราถึงจะกลับไปได้ เพราะพวกเราไม่สามารถพบหน้าชายคนนั้นได้ นอกจากน้องชายคนสุดท้องจะไปกับพวกเรา’ 27 แล้วพ่อของพวกเรา ทาสของท่าน บอกกับพวกเราว่า ‘พวกเจ้ารู้ว่านางราเชลเมียของพ่อได้คลอดลูกชายสองคนให้กับพ่อ 28 คนหนึ่งได้จากพ่อไปแล้ว และพ่อบอกว่า เขาคงถูกสัตว์ป่าฉีกเนื้อตายไปแล้ว และพ่อไม่เคยเห็นเขาอีกเลยจนถึงทุกวันนี้ 29 ถ้าเจ้าเอาเด็กคนนี้ไปจากพ่ออีกคน ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นกับเขา พวกเจ้าคงจะต้องส่งคนแก่หัวหงอกอย่างพ่อให้ลงไปในแดนคนตาย เพราะความเศร้าโศกเสียใจ’ 30 ตอนนี้ถ้าข้าพเจ้ากลับไปหาพ่อ ทาสของท่าน โดยที่ไม่มีเด็กคนนี้ไปด้วย และเนื่องจากเด็กคนนี้สำคัญมากต่อเขา 31 เมื่อเขาเห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ได้กลับมากับพวกเราด้วย เขาจะต้องตายแน่ และพวกเรา ทาสของท่าน จะเป็นเหตุที่ทำให้พ่อของพวกเราทาสของท่าน ลงไปในแดนคนตายเพราะความเศร้าโศกเสียใจอย่างยิ่ง

32 เนื่องจากข้าพเจ้า ทาสของท่าน ได้รับปากกับพ่อของข้าพเจ้าสำหรับเด็กนั้น ข้าพเจ้าบอกพ่อว่า ‘ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เอาเขากลับมาให้พ่อ พ่อก็ไม่ต้องยกโทษให้กับผมเลยตลอดชีวิต’ 33 ตอนนี้ ขอได้โปรดให้ข้าพเจ้า ทาสของท่าน อยู่เป็นทาสของท่าน เจ้านายของข้าพเจ้า แทนเด็กคนนั้นด้วยเถิดครับ และขอให้ปล่อยเด็กคนนั้นกลับไปกับพวกพี่ชายของเขาด้วยเถิด 34 เพราะข้าพเจ้าจะกลับไปหาพ่อได้ยังไง ถ้าไม่มีเด็กคนนี้ไปด้วย ข้าพเจ้าไม่กล้าไปเห็นความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นกับพ่อของข้าพเจ้าหรอกครับ”

มาระโก 14

พวกหัวหน้าวางแผนฆ่าพระเยซู

(มธ. 26:1-5; ลก. 22:1-2; ยน. 11:45-53)

14 อีกสองวันจะถึงเทศกาลวันปลดปล่อย และเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ พวกผู้นำนักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติ ก็หาทางที่จะแอบจับพระเยซูเพื่อเอาไปฆ่า พวกเขาตกลงกันว่า “อย่าเพิ่งทำในช่วงเทศกาล เพราะประชาชนจะก่อการจลาจลขึ้น”

หญิงคนหนึ่งชโลมน้ำหอมให้พระเยซู

(มธ. 26:6-13; ยน. 12:1-8)

เมื่อพระเยซูอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี ขณะที่กำลังกินอาหารอยู่ในบ้านของซีโมนคนที่เคยเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง ก็มีหญิงคนหนึ่งถือขวด[a] น้ำมันหอมนาระดา[b] ซึ่งมีราคาแพงมากเข้ามา นางทุบปากขวดให้แตกและชโลมน้ำมันหอมนั้นลงบนศีรษะของพระเยซู

ทำให้บางคนที่อยู่ที่นั่นไม่พอใจและบ่นกันว่า “ทำไมถึงทำเสียของอย่างนี้ ถ้าเอาน้ำหอมนี้ไปขายคงได้เงินถึงสามร้อยเหรียญเงิน จะได้เอาไปแจกจ่ายให้กับคนจน” แล้วพวกเขาก็ต่อว่าเธอเป็นการใหญ่

แต่พระเยซูบอกว่า “อย่ายุ่งกับเธอเลย ไปวุ่นวายกับเธอทำไม เธอได้ทำสิ่งที่ดีงามให้กับเรา พวกคุณจะมีคนจนอยู่ด้วยเสมอ อยากช่วยเวลาไหนก็ช่วยได้ แต่เราจะไม่อยู่กับพวกคุณเสมอไป และนี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอจะทำให้กับเราได้ ก็คือการเทน้ำมันหอมบนตัวเราเพื่อเตรียมร่างของเราล่วงหน้าก่อนการฝัง เราจะบอกให้รู้ว่า ไม่ว่าข่าวดีนี้จะประกาศไปที่ไหนๆในโลกนี้ ก็จะมีคนพูดถึงเรื่องที่เธอทำให้กับเรานี้เสมอ เพื่อเป็นการระลึกถึงเธอ”

ยูดาสตกลงที่จะช่วยศัตรูของพระเยซู

(มธ. 26:14-16; ลก. 22:3-6)

10 แล้วยูดาสอิสคาริโอท ศิษย์คนหนึ่งในสิบสองคนของพระเยซูก็ได้ไปหาพวกหัวหน้านักบวช เพื่อเสนอตัวที่จะช่วยจับพระเยซูให้ 11 พวกเขาดีใจมากที่ได้ยินอย่างนั้น และสัญญาว่าจะจ่ายเงินให้เป็นค่าตอบแทน ดังนั้นยูดาสจึงเริ่มหาโอกาสเหมาะที่จะส่งมอบพระเยซูให้กับพวกหัวหน้านักบวช

มื้อสุดท้ายของพระเยซูกับพวกศิษย์

(มธ. 26:17-25; ลก. 22:7-14, 21-23; ยน. 13:21-30)

12 ในวันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งเป็นวันที่พวกยิวจะฆ่าลูกแกะถวายพระเจ้า สำหรับเทศกาลวันปลดปล่อย[c] ด้วย พวกศิษย์ของพระเยซูได้ถามพระองค์ว่า “จะให้พวกเราไปเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยให้กับอาจารย์ที่ไหนดีครับ”

13 พระเยซูส่งศิษย์สองคนไป พระองค์สั่งว่า “เข้าไปในเมืองแล้วจะเจอผู้ชายที่แบกเหยือกน้ำ ให้ตามเขาไป 14 ให้พูดกับเจ้าของบ้านที่ชายคนนั้นเข้าไปว่า ‘อาจารย์ให้ถามว่าห้องที่เราจะใช้กินอาหารในเทศกาลวันปลดปล่อยกับพวกศิษย์นั้นอยู่ที่ไหน’ 15 แล้วเขาจะพาคุณไปดูห้องใหญ่ชั้นบนที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว ให้จัดอาหารที่นั่น”

16 แล้วศิษย์ทั้งสองก็เข้าไปในเมือง และมันก็เป็นไปตามที่พระเยซูบอกทุกอย่าง พวกเขาจึงจัดเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยที่นั่น

17 เมื่อถึงตอนเย็น พระเยซูมาถึงบ้านหลังนั้นพร้อมกับพวกศิษย์เอกทั้งสิบสองคน 18 ในขณะที่กำลังกินอยู่นั้น พระเยซูพูดว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนหนึ่งในพวกคุณจะหักหลังเรา และเขาก็นั่งกินอยู่กับเราที่นี่ด้วย”

19 พวกศิษย์รู้สึกเป็นทุกข์มาก ต่างคนต่างก็ถามพระองค์ว่า “คงไม่ใช่ผมนะอาจารย์”

20 พระเยซูจึงพูดกับพวกเขาว่า “คนหนึ่งในพวกคุณสิบสองคนนี่แหละ คนที่จุ่มขนมปังในชามเดียวกับเรา 21 บุตรมนุษย์จะต้องตายเหมือนกับที่พระคัมภีร์ ได้เขียนไว้แล้ว แต่คนที่ได้หักหลังบุตรมนุษย์นั้นน่าละอายจริงๆ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาก็คงจะดีกว่า”

ขนมปังและเหล้าองุ่น

(มธ. 26:26-30; ลก. 22:15-20; 1 คร. 11:23-25)

22 ขณะที่กำลังกินอาหารอยู่นั้น พระเยซูได้หยิบขนมปังขึ้นมาขอบคุณพระเจ้า จากนั้นก็หักแบ่งให้พวกศิษย์แล้วพูดว่า “รับไปกินสิ นี่คือร่างกายของเรา”

23 แล้วพระองค์หยิบถ้วยขึ้นมาขอบคุณพระเจ้าและยื่นให้กับพวกศิษย์ พวกเขาก็ได้ดื่มจากถ้วยนั้นทุกคน

24 แล้วพระองค์พูดว่า “นี่คือเลือดของเรา พระเจ้าทำสัญญาขึ้นมาด้วยเลือดนี้ มันได้หลั่งไหลออกมาเพื่อคนเป็นจำนวนมาก 25 เราจะบอกให้รู้ว่า เราจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นอีกเลยจนกว่าจะถึงวันนั้นที่เราจะดื่มเหล้าองุ่นใหม่ในอาณาจักรของพระเจ้า”

26 เมื่อพวกเขาได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าแล้ว ก็ออกไปที่ภูเขามะกอกเทศ

พระเยซูทำนายว่าพวกศิษย์จะทิ้งพระองค์

(มธ. 26:31-35; ลก. 22:31-34; ยน. 13:36-38)

27 พระเยซูพูดกับพวกศิษย์ว่า “พวกคุณจะทิ้งเราไปกันหมดทุกคน เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า

‘เราจะฆ่าคนเลี้ยงแกะ
    และแกะนั้นก็จะกระเจิดกระเจิงไป’[d]

28 แต่เมื่อเราฟื้นขึ้นจากความตาย เราจะล่วงหน้าพวกคุณไปที่แคว้นกาลิลีก่อน”

29 แต่เปโตรพูดกับพระองค์ว่า “ถึงคนอื่นจะทิ้งอาจารย์ไปหมด ผมก็จะไม่มีวันทิ้งอาจารย์ไปอย่างเด็ดขาด”

30 พระเยซูจึงพูดกับเขาว่า “เราจะบอกให้ว่า คืนนี้แหละก่อนไก่ขันครั้งที่สอง คุณจะพูดว่าไม่รู้จักเราสามครั้ง”

31 แต่เปโตรก็ยังยืนยันเสียงแข็งว่า “ถึงผมจะต้องตายกับอาจารย์ ผมก็ไม่มีวันพูดไม่รู้จักอาจารย์” และพวกศิษย์ทั้งหมด ก็พูดอย่างเดียวกัน

พระเยซูอธิษฐานอยู่ตามลำพัง

(มธ. 26:36-46; ลก. 22:39-46)

32 พวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี พระเยซูบอกกับพวกศิษย์ว่า “นั่งคอยอยู่ที่นี่นะ เราจะไปอธิษฐาน” 33 พระองค์พาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปด้วย แล้วพระองค์ก็เริ่มโศกเศร้าเสียใจและเป็นทุกข์ยิ่งนัก 34 จึงบอกพวกเขาว่า “เราทุกข์ใจมากจนแทบจะตายอยู่แล้ว ให้ตื่นและเฝ้าระวังอยู่”

35 พระองค์เดินห่างออกไปอีกหน่อยหนึ่ง แล้วซบหน้าลงกับพื้นดิน อธิษฐานว่า ถ้าเป็นไปได้ขอให้เวลาแห่งความทุกข์ยากนี้ผ่านพ้นไปจากพระองค์ 36 พระองค์พูดว่า “อับบา[e] พระบิดา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระองค์ ขอช่วยเอาถ้วย[f] แห่งความทุกข์ยากนี้พ้นไปจากลูกด้วยเถิด แต่ขอให้เป็นไปตามใจพระบิดา ไม่ใช่ตามใจลูก”

37 แล้วพระองค์ก็เดินกลับมา เห็นพวกศิษย์นอนหลับอยู่ พระองค์จึงพูดกับเปโตรว่า “ซีโมน ยังจะหลับอยู่อีกหรือ คุณจะตื่นเป็นเพื่อนเราสักชั่วโมงไม่ได้เลยหรือ 38 พวกคุณต้องเฝ้าระวังและอธิษฐาน จะได้ไม่แพ้ต่อการยั่วยวน ถึงแม้จิตใจอยากจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ร่างกายก็ยังอ่อนแออยู่”

39 พระองค์เดินไปอธิษฐานอีกครั้งหนึ่งและพูดเหมือนเดิม 40 พอเดินกลับมา ก็เจอพวกศิษย์ยังนอนหลับอยู่ เปลือกตาเขาหนักอึ้งลืมไม่ขึ้น เขาไม่รู้จะพูดอะไรกับพระองค์

41 ต่อมาพระองค์ก็เดินกลับมาดูพวกเขาอีกเป็นครั้งที่สาม และพูดว่า “ยังนอนหลับพักผ่อนกันอยู่อีกเหรอ นอนพอแล้ว ชั่วโมงที่บุตรมนุษย์จะถูกหักหลังให้ไปอยู่ในมือของพวกคนบาปนั้นมาถึงแล้ว 42 ลุกขึ้นไปกันเถอะ นั่นไง คนที่หักหลังเรามาถึงแล้ว”

พระเยซูถูกจับ

(มธ. 26:47-56; ลก. 22:47-53; ยน. 18:3-12)

43 พระเยซูพูดยังไม่ทันขาดคำ ยูดาส ศิษย์คนหนึ่งในสิบสองคนก็มาถึงพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ที่ถือดาบและไม้กระบอง คนพวกนี้ถูกส่งมาจากพวกหัวหน้านักบวช พวกครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกผู้อาวุโส

44 ยูดาสได้ตกลงกับพวกนั้นไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่า “คนที่ผมจูบคือคนๆนั้น เข้าไปจับกุมและควบคุมตัวไปเลย” 45 เมื่อยูดาสมาถึงก็เดินเข้าไปหาพระเยซูและพูดว่า “อาจารย์ครับ” แล้วจูบพระองค์ 46 พวกนั้นก็เข้ามาจับตัวพระองค์และคุมตัวไว้ 47 คนหนึ่งในพวกพระเยซูที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้น ได้ชักดาบออกมา แล้วก็ฟันถูกหูทาสคนหนึ่งของนักบวชสูงสุดขาดไป

48 พระเยซูพูดกับพวกนั้นว่า “เห็นเราเป็นโจรหรือยังไง ถึงได้ถือดาบและไม้กระบองมาจับเรา 49 เราอยู่กับพวกคุณทุกวัน สอนอยู่ในวิหาร แต่พวกคุณก็ไม่จับ แต่ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามที่ได้เขียนไว้แล้วในพระคัมภีร์” 50 ส่วนพวกศิษย์วิ่งหนีทิ้งพระองค์ไปกันจนหมด

51 มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ติดตามพระองค์มา ไม่ได้สวมใส่อะไรเลย นอกจากห่มผ้าป่านผืนหนึ่ง เมื่อพวกนั้นพยายามจะจับเขา 52 เขาก็ได้สลัดผ้าป่านทิ้งแล้วเปลือยกายวิ่งหนีไป

พระเยซูอยู่ต่อหน้าผู้นำชาวยิว

(มธ. 26:57-68; ลก. 22:54-55, 63-71; ยน. 18:13-14, 19-24)

53 พวกเขานำตัวพระเยซูไปพบนักบวชสูงสุด พวกหัวหน้านักบวช พวกผู้นำชาวยิว และพวกครูสอนกฎปฏิบัติได้อยู่ชุมนุมกันที่นั่น 54 เปโตรตามพระเยซูมาห่างๆเข้าไปยังลานบ้านของนักบวชสูงสุดด้วย เขาไปนั่งผิงไฟให้ตัวอุ่นอยู่กับพวกผู้คุม

55 พวกหัวหน้านักบวชและสมาชิกสภาแซนฮีดรินทั้งหมดพยายามหาพยานเท็จมาปรักปรำพระเยซู เพื่อจะได้ฆ่าพระองค์ แต่ก็หาไม่ได้เลย 56 ถึงแม้จะมีพยานเท็จหลายคน แต่สิ่งที่พวกเขาพูดก็ไม่ตรงกัน

57 ในที่สุดมีบางคนยืนขึ้นเป็นพยานเท็จกล่าวหาพระเยซูว่า 58 “พวกเราได้ยินเขาพูดว่า ‘เราจะทำลายวิหารนี้ ที่สร้างขึ้นมาด้วยมือมนุษย์ และภายในสามวัน เราจะสร้างวิหารอีกแห่งหนึ่งขึ้นมาใหม่ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์’” 59 แต่คำพยานในเรื่องนี้ก็ไม่ตรงกันอีก

60 นักบวชสูงสุดจึงยืนขึ้นต่อหน้าคนทั้งหลาย และถามพระเยซูว่า “แกจะไม่แก้ตัวในสิ่งที่เขากล่าวหาแกหรือ” 61 แต่พระเยซูก็ยังคงเงียบไม่ตอบอะไร แล้วนักบวชสูงสุดจึงถามพระองค์ว่า “แกเป็นพระคริสต์ บุตรของพระเจ้าหรือ”[g]

62 พระเยซูจึงตอบว่า “ใช่ เราเป็น และพวกคุณจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่ทางขวามือของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และเสด็จมากับเมฆในท้องฟ้า”

63 นักบวชสูงสุดก็ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตน และพูดว่า “เรายังต้องการพยานอะไรอีก 64 พวกคุณก็ได้ยินคำหมิ่นประมาทของมันแล้ว พวกคุณคิดว่ายังไง” พวกเขาทุกคนตัดสินว่า พระองค์มีความผิดและสมควรตาย 65 บางคนถ่มน้ำลายใส่พระองค์ บางคนปิดหน้าพระองค์ ชกหน้าพระองค์ แล้วถามพระองค์ว่า “ผู้พูดแทนพระเจ้า ทายสิว่าใครเป็นคนทำ” และพวกผู้คุมก็พาพระองค์ไปทุบตี

เปโตรพูดว่าไม่รู้จักพระเยซู

(มธ. 26:69-75; ลก. 22:56-62; ยน. 18:15-18, 25-27)

66 เปโตรยังอยู่ที่ลานบ้านข้างล่างนั้น สาวใช้คนหนึ่งในบ้านเดินผ่านมา 67 เธอเห็นเปโตรผิงไฟอยู่ แล้วก็เข้ามาดูใกล้ๆและพูดว่า “แกก็อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธนี่นา”

68 แต่เปโตรก็ได้ปฏิเสธว่า “ผมไม่รู้ไม่เข้าใจว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร” แล้วเปโตรก็เดินไปทางประตูเข้าบ้าน และไก่ก็ขัน

69 เมื่อสาวใช้เห็นเปโตรที่นั่นอีก เธอบอกกับคนที่ยืนอยู่แถวๆนั้นว่า “เขาเป็นคนหนึ่งในพวกนั้น” 70 เปโตรปฏิเสธอีก และอีกสักพักหนึ่งหลังจากนั้น พวกคนที่ยืนอยู่ที่นั่นก็ได้พูดกับเปโตรว่า “แกเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่ เพราะแกก็เป็นชาวกาลิลีเหมือนกัน”

71 แต่เปโตรก็เริ่มสบถ[h] โดยพูดว่า “สาบานได้เลย ว่าผมไม่เคยรู้จักชายคนที่พวกคุณพูดถึง”

72 ทันใดนั้น ไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง แล้วเปโตรก็นึกถึงคำพูดของพระเยซูได้ว่า “ก่อนไก่ขันครั้งที่สอง คุณจะพูดว่าไม่รู้จักเราสามครั้ง” แล้วเขาก็ร้องไห้โฮออกมา

โยบ 10

10 “ข้าเบื่อชีวิตของข้า
    ดังนั้นข้าจะบ่นอย่างไม่ยั้ง
    ข้าจะพูด เพราะจิตวิญญาณข้าขมขื่น
ข้าจะพูดกับพระเจ้าว่า ‘อย่าเพิ่งตัดสินว่าข้าพเจ้าผิด
    ช่วยบอกหน่อยว่าพระองค์มีข้อกล่าวหาอะไรข้าพเจ้าบ้าง
พระองค์ชอบหรือที่จะกดขี่และทอดทิ้ง
    ผลงานที่พระองค์ทุ่มเทสร้างขึ้นมา
    ในขณะที่พระองค์อวยพรแผนการทั้งหลายของคนชั่วหรือ
พระองค์มีตาอย่างกับตามนุษย์หรือ
    พระองค์มองแคบๆเหมือนกับที่มนุษย์มองหรือ
วันคืนของพระองค์เหมือนกับวันคืนของคนหรือ
    เดือนปีของพระองค์สั้นเหมือนกับเดือนปีของมนุษย์หรือ
ที่พระองค์จะต้องรีบมาค้นหา
    ความชั่วช้าและความผิดบาปของข้าพเจ้า
พระองค์รู้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทำผิดอะไร
    แต่ไม่มีใครสามารถช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นไปจากเงื้อมมือของพระองค์ได้อยู่ดี
มือของพระองค์ปั้นและสร้างข้าพเจ้าขึ้นมา
    แต่ตอนนี้พระองค์กลับหันมาทำลายข้าพเจ้า
ขออย่าลืมว่าพระองค์ปั้นข้าพเจ้าขึ้นมาเหมือนปั้นดินเหนียว
    แต่ตอนนี้ พระองค์จะทำให้ข้าพเจ้ากลับไปเป็นผงคลีดินอีกอย่างนั้นหรือ
10 พระองค์เทข้าพเจ้าออกมาราวกับนม
    และทำให้ข้าพเจ้าแข็งตัวราวกับเนยแข็ง ไม่ใช่หรือ
11 พระองค์ห่อหุ้มข้าพเจ้าไว้ด้วยหนังและเนื้อ
    พระองค์สานทอข้าพเจ้าไว้ด้วยกระดูกและเส้นเอ็น
12 พระองค์ให้ชีวิตและความรักกับข้าพเจ้า
    และการเอาใจใส่ดูแลของพระองค์ได้ปกป้องจิตวิญญาณของข้าพเจ้าไว้
13 แต่พระองค์มีแผนการเหล่านี้แอบแฝงอยู่ในใจ
    ข้าพเจ้ารู้ว่านี่คือความตั้งใจของพระองค์
14 คือถ้าข้าพเจ้าทำบาป พระองค์จะจับตาดูข้าพเจ้า
    และจะไม่ปล่อยให้ข้าพเจ้าพ้นผิดจากความผิดบาปของข้าพเจ้า
15 ถ้าข้าพเจ้าผิด วิบัติก็จะเกิดกับข้าพเจ้า
    ถึงข้าพเจ้าถูก ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถเชิดหน้าขึ้นมาได้
เพราะข้าพเจ้าจะเต็มอิ่มไปด้วยความอับอายและความทุกข์ยาก
16 ถ้าข้าพเจ้ายกตัวเองขึ้น
    พระองค์ก็จะไล่ล่าข้าพเจ้าอย่างสิงโต
    และแผลงฤทธิ์อันอัศจรรย์ของพระองค์ใส่ข้าพเจ้าอีก
17 พระองค์จะหาพยานมาเพิ่มเพื่อปรักปรำข้าพเจ้าใหม่
    และเพิ่มความโกรธเกรี้ยวใส่ข้าพเจ้า
    พระองค์ส่งกองทัพชุดใหม่มาสู้กับข้าพเจ้า
18 ทำไมพระองค์จึงนำข้าพเจ้าออกมาจากท้องแม่
    ข้าพเจ้าน่าจะตายไปก่อนที่จะมีสายตาใครได้เห็น
19 ข้าพเจ้าน่าจะเป็นเหมือนกับคนที่ไม่เคยมีชีวิต
    คือถูกนำจากท้องแม่ตรงไปสู่หลุมฝังศพ
20 ข้าพเจ้ามีเวลาเหลืออยู่ไม่กีวันไม่ใช่หรือ
    อย่ามายุ่งกับข้าพเจ้าได้ไหม หันไปจากข้าพเจ้าหน่อยเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีความสุขสักนิด
21 ก่อนที่ข้าพเจ้าจะจากไปและไม่กลับมาอีก
    จะไปสู่ดินแดนแห่งความมืดและเงาแห่งความตาย
22 ไปสู่ดินแดนแห่งความมืดทึบ
    และเงาแห่งความตาย ดินแดนแห่งความยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ
    ที่ความสว่างของมันเป็นเหมือนความมืด’”

โรม 14

อย่าตัดสินคนอื่น

14 ให้ยอมรับคนที่ยังมีความเชื่ออ่อนแออยู่ และอย่าไปโต้เถียงกับเขาในเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่างกัน คนหนึ่งเชื่อว่าเขากินได้ทุกอย่าง แต่คนที่มีความเชื่ออ่อนแออยู่กินแต่ผักเท่านั้น คนที่กินได้ทุกอย่างก็อย่าไปดูถูกคนที่ไม่ได้กิน ส่วนคนที่ไม่ได้กินก็อย่าไปกล่าวโทษคนที่กินทุกอย่าง เพราะพระเจ้ายอมรับเขาไว้แล้ว คุณคิดว่าคุณเป็นใครกัน ถึงได้เที่ยวไปกล่าวโทษคนใช้ของคนอื่น เขาจะยืนหยัดหรือล้มลงก็ขึ้นอยู่กับเจ้านายของเขา แต่เขาจะยืนหยัดได้แน่ เพราะองค์เจ้าชีวิตสามารถช่วยให้เขายืนหยัดอยู่ได้ คนหนึ่งคิดว่าวันหนึ่งดีกว่าอีกวันหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งคิดว่าทุกๆวันเหมือนกันหมด ใครเชื่ออย่างไรก็ให้มั่นใจอย่างเต็มที่ในสิ่งที่เชื่อนั้น คนที่คิดว่าวันหนึ่งพิเศษกว่าอีกวันหนึ่ง เขาก็ได้ทำอย่างนั้นเพื่อให้เกียรติกับองค์เจ้าชีวิต และคนที่กินได้ทุกอย่าง ก็ได้กินเพื่อให้เกียรติกับองค์เจ้าชีวิต เพราะเขาขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหารนั้นแล้ว และคนที่ไม่ได้กินทุกอย่าง ก็ได้ทำเพื่อให้เกียรติกับองค์เจ้าชีวิตเหมือนกัน เพราะเขาก็ขอบคุณพระเจ้าแล้ว เพราะไม่มีใครในพวกเราที่ใช้ชีวิตอยู่ หรือตายไป เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เพราะถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราก็อยู่เพื่อองค์เจ้าชีวิต และถ้าเราตาย เราก็ตายเพื่อองค์เจ้าชีวิต ดังนั้นไม่ว่าเราจะอยู่หรือตาย เราก็เป็นขององค์เจ้าชีวิต รู้ไหมว่าทำไมพระคริสต์ถึงได้ตายและฟื้นขึ้นมาใหม่ ก็เพื่อพระองค์จะได้เป็นองค์เจ้าชีวิตของทั้งคนตายและคนเป็นนั่นเอง 10 แล้วคุณที่กินแต่ผัก จะไปกล่าวโทษพี่น้องของคุณที่กินทุกอย่างทำไม และคุณที่กินทุกอย่าง จะไปดูถูกพี่น้องของคุณที่กินแต่ผักทำไม เพราะเราทุกคนต่างก็ต้องยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าเพื่อให้พระองค์ตัดสินด้วยกันทั้งนั้น 11 เหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

“องค์เจ้าชีวิตพูดว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า
    ทุกหัวเข่าจะต้องกราบลงต่อหน้าเรา
    และทุกลิ้นจะต้องสรรเสริญพระเจ้า”[a]

12 ดังนั้นเราทุกคนจะต้องรายงานเรื่องที่เราได้ทำไปต่อหน้าพระเจ้า

อย่าเป็นเหตุทำให้คนอื่นทำบาป

13 ดังนั้นหยุดกล่าวโทษกันได้แล้ว แต่ให้ตั้งใจว่าจะไม่เป็นต้นเหตุทำให้พี่น้องสะดุดล้มไปทำบาป 14 ในฐานะคนของพระเยซูเจ้า ผมรู้และเชื่อมั่นว่า อาหารทุกชนิดกินได้หมด แต่ถ้าคนไหนคิดว่ากินแล้วผิด มันก็ผิดสำหรับคนนั้น 15 ถ้าอาหารที่คุณกินนั้น ไปทำร้ายจิตใจของพี่น้องคุณ แสดงว่าคุณไม่ได้ทำตามความรัก ดังนั้นอย่าให้การกินของคุณไปทำลายคนที่พระคริสต์ยอมตายให้เลย 16 ที่คุณเชื่อว่ากินได้ทุกอย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่อย่าให้ความเชื่อของคุณนี้ ทำให้คนอื่นดูถูกเอาได้

17 เพราะอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้เป็นเรื่องของอาหารและเครื่องดื่ม แต่เป็นเรื่องของการทำตามใจพระเจ้า[b] เรื่องสันติสุข และเรื่องความชื่นชมยินดีที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ 18 คนที่รับใช้พระคริสต์อย่างนี้ พระเจ้าก็ชอบใจและมนุษย์ก็นับถือด้วย

19 ดังนั้นขอให้เราตั้งใจทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดสันติสุขและสิ่งที่เสริมสร้างกัน 20 อย่าให้อาหารที่คุณกินนั้นเป็นเหตุที่มาทำลายงานของพระเจ้าเลย อาหารทุกอย่างกินได้หมด แต่มันผิดถ้าหากสิ่งที่คนนั้นกินเข้าไป เป็นเหตุทำให้พี่น้องสะดุดล้มไปทำบาป 21 คุณทำดีแล้ว ที่ยอมไม่กินเนื้อสัตว์หรือดื่มเหล้าองุ่น หรือทำอะไรก็แล้วแต่ ที่จะมาเป็นเหตุทำให้พี่น้องของคุณสะดุดล้มไปทำบาป 22 คุณเชื่ออย่างไรในเรื่องพวกนี้ ก็ให้เก็บไว้ระหว่างคุณกับพระเจ้า คนที่ทำในสิ่งที่เขาเห็นว่าดี แล้วใจของเขาไม่ฟ้องว่าผิด เป็นคนที่น่านับถือจริงๆ 23 แต่คนที่ยังกินทั้งๆที่สงสัยว่าผิด พระเจ้าจะตัดสินว่าเขาผิด เพราะเขาไม่ได้ทำตามที่เขาเชื่อ เพราะทุกอย่างที่ไม่ได้ทำตามความเชื่อก็เป็นบาป

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International