M’Cheyne Bible Reading Plan
ยาโคบยอมให้เบนยามินไปอียิปต์
43 การขาดแคลนอาหารยิ่งรุนแรงมากขึ้นในแผ่นดิน 2 เมื่อพวกเขากินข้าวสารที่เอามาจากอียิปต์หมดแล้ว ยาโคบพูดกับพวกเขาว่า “กลับไปซื้ออาหารมาให้พวกเราอีก”
3 แต่ยูดาห์ตอบพ่อว่า “ชายคนนั้นเตือนพวกเราไว้อย่างเด็ดขาดแล้วว่า ‘พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นหน้าเราอีก นอกจากน้องชายของเจ้าจะมาด้วย’ 4 ถ้าพ่อยอมให้น้องชายไปกับพวกเรา พวกเราก็จะลงไปซื้ออาหารมาให้พ่อ 5 แต่ถ้าพ่อไม่ยอม พวกเราก็จะไม่ลงไป เพราะชายคนนั้นได้บอกกับพวกเราแล้วว่า ‘พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นหน้าเราอีก นอกจากน้องชายของเจ้าจะอยู่ด้วย’”
6 อิสราเอลจึงพูดว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงได้ทำร้ายพ่ออย่างนี้ พวกเจ้าไปบอกชายคนนั้นทำไมว่า ยังมีน้องชายอีกคน”
7 พวกเขาตอบว่า “ชายคนนั้นถามพวกเราละเอียดมาก เกี่ยวกับพวกเราและครอบครัวของพวกเรา เขาถามว่า ‘พ่อของเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า พวกเจ้ายังมีพี่น้องอีกคนหนึ่งหรือเปล่า’ พวกเราตอบไปตามที่เขาถาม พวกเราจะไปรู้ได้ยังไงว่า เขาจะพูดว่า ‘ให้ไปเอาน้องชายของเจ้ามา’”
8 ยูดาห์ได้พูดกับอิสราเอลพ่อของเขาว่า “ให้น้องไปกับผมเถอะ แล้วพวกเราจะไปทันที เพื่อว่าพวกเรา ตัวพ่อเอง และลูกๆของพวกเราจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ต้องตาย 9 ผมจะรับรองความปลอดภัยของเขาเอง ผมจะเป็นคนรับผิดชอบเขาเอง ถ้าผมไม่เอาเขากลับมา พ่อก็ไม่ต้องยกโทษให้กับผมเลยตลอดชีวิต 10 ถ้าพวกเราไม่ชักช้าอยู่อย่างนี้ ป่านนี้พวกเราก็คงไปและกลับมาเป็นครั้งที่สองแล้ว”
11 อิสราเอลพ่อของพวกเขาจึงพูดกับพวกเขาว่า “ถ้ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ ก็ให้ทำตามนี้ ให้เอาผลิตผลที่ดีที่สุดในแผ่นดินนี้ใส่กระสอบไป เอาไปเป็นของขวัญให้กับชายคนนั้น คือพวกพิมเสน น้ำเชื่อมผลไม้ ยางไม้หอม มะม่วงหิมพานต์ และถั่วอัลมอนด์ 12 ให้เอาเงินไปมากเป็นสองเท่า และให้เอาเงินที่ติดกลับมาในกระสอบของพวกเจ้าไปคืนเขาด้วย บางทีมันอาจจะเป็นความผิดพลาด 13 ให้พาน้องเจ้าไปและกลับไปหาชายคนนั้นทันที 14 ขอให้พระเจ้าผู้เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ[a] ทำให้ชายคนนั้นมีเมตตากับพวกเจ้าด้วยเถิด และขอให้ชายคนนั้นยอมปล่อยสิเมโอนและ เบนยามินกลับมากับพวกเจ้าด้วยเถิด ส่วนพ่อเอง ถ้าพ่อจะต้องสูญเสียลูกๆของพ่อไป พ่อก็คงต้องทำใจแล้วล่ะ”
15 พวกเขาก็เอาของขวัญนี้ พร้อมเงินอีกสองเท่าและเบนยามิน แล้วพวกเขาก็ออกเดินทางลงไปอียิปต์ และเข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าโยเซฟ
โยเซฟเชิญพวกพี่น้องไปที่บ้าน
16 เมื่อโยเซฟเห็นเบนยามินมากับพวกเขา โยเซฟบอกกับชายที่ดูแลบ้านของเขาว่า “เอาคนพวกนี้ไปที่บ้าน และฆ่าสัตว์เตรียมอาหาร เพราะคนพวกนี้จะกินอาหารกลางวันกับเรา” 17 ชายคนนั้นได้ทำตามที่โยเซฟสั่ง เขาพาคนพวกนี้ไปที่บ้านของโยเซฟ
18 พวกพี่ๆของโยเซฟกลัวมาก ตอนที่พวกเขาถูกพาตัวไปที่บ้านของโยเซฟ พวกเขาพูดว่า “พวกเราถูกพามาที่นี่ เพราะเงินที่ติดกลับไปกับกระสอบของพวกเราในครั้งแรกนั้น เขาจะต้องจู่โจมและจับกุมพวกเรา และเอาพวกเราไปเป็นทาสและยึดลาของพวกเราไป”
19 พวกเขาจึงเข้าไปหาชายคนที่ดูแลบ้านของโยเซฟ 20 และพูดกับเขาที่ประตูทางเข้าบ้านว่า “ท่านครับ ตอนที่พวกเราลงมาซื้ออาหารครั้งแรกนั้น 21 เมื่อพวกเราไปหยุดอยู่ที่แห่งหนึ่งเพื่อพักแรม พวกเราได้เปิดกระสอบของพวกเรา และเจอถุงเงินอยู่บนปากกระสอบของพวกเราแต่ละคน เที่ยวนี้พวกเราเอามันกลับมาด้วย 22 พร้อมกับเงินอีกส่วนหนึ่งที่พวกเราจะเอามาซื้ออาหาร พวกเราไม่รู้ว่าใครเอาเงินนั้นมาใส่ไว้ในกระสอบของพวกเรา”
23 คนใช้นั้นพูดว่า “ใจเย็นๆไม่ต้องกลัวหรอก พระเจ้าของพวกท่าน พระเจ้าของพ่อท่าน คงเป็นผู้ที่เอาทรัพย์สมบัตินั้นใส่ไว้ในกระสอบของพวกท่านอย่างแน่นอน เพราะผมได้รับเงินของพวกท่านมาเรียบร้อยแล้ว”
ชายคนนั้นได้นำตัวสิเมโอนออกมาหาพวกเขา 24 แล้วได้พาพวกเขาเข้าไปในบ้านของโยเซฟ เอาน้ำให้พวกเขาล้างเท้า และเอาอาหารมาเลี้ยงลาของพวกเขา
25 พวกเขาได้เตรียมของขวัญให้กับโยเซฟ ที่จะมาในตอนเที่ยง เพราะพวกเขาได้ยินว่าจะกินอาหารร่วมกับโยเซฟที่นั่น
26 เมื่อโยเซฟกลับมาถึงบ้าน พวกเขาได้เอาของขวัญที่พวกเขาถือติดตัวเข้ามาในบ้าน ให้กับโยเซฟ แล้วพวกเขาก็ก้มลงกราบถึงดินต่อหน้าโยเซฟ
27 โยเซฟได้ถามถึงทุกข์สุขของพวกเขาและพูดว่า “พ่อที่แก่ชราของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เขายังมีชีวิตอยู่หรือ”
28 พวกเขาตอบว่า “พ่อของพวกเรา ผู้รับใช้ของท่าน สบายดี เขายังมีชีวิตอยู่” แล้วพวกเขาก้มกราบโยเซฟเพื่อเป็นการให้เกียรติเขา
29 เมื่อโยเซฟเงยหน้าขึ้นเห็นเบนยามินน้องชายของเขาที่เกิดจากแม่เดียวกัน โยเซฟพูดว่า “คนนี้คือน้องชายคนเล็กที่พวกเจ้าพูดถึงใช่ไหม” โยเซฟพูดว่า “ลูกเอ๋ย ขอพระเจ้าเอ็นดูเจ้า”
30 โยเซฟรีบออกไปจากห้อง เพราะความรักอย่างเหลือล้นที่มีต่อน้องชายของเขา ทำให้เขาอยากจะร้องไห้ เขาจึงต้องเข้าไปในห้องส่วนตัวของเขาเพื่อร้องไห้ที่นั่น 31 จากนั้นเขาก็ล้างหน้าและออกมา เขาพยายามกลั้นน้ำตา ควบคุมไว้ และสั่งว่า “ยกอาหารออกมาได้แล้ว”
32 พวกคนรับใช้จึงยกอาหารออกมาให้กับโยเซฟ ที่แยกนั่งอยู่คนเดียว พวกเขาได้ยกอาหารมาให้กับพวกพี่น้องของโยเซฟที่นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ส่วนชาวอียิปต์ที่มาร่วมกินด้วยก็นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง เพราะชาวอียิปต์ไม่กินร่วมโต๊ะกับชาวฮีบรู เพราะเขาถือว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจ 33 พวกพี่น้องของโยเซฟนั่งอยู่ตรงหน้าโยเซฟ พวกเขานั่งเรียงตามอายุ ตั้งแต่พี่คนโตไปจนถึงน้องคนสุดท้อง พวกเขามองหน้ากันอย่างประหลาดใจมาก 34 โยเซฟได้สั่งให้คนรับใช้มาเอาอาหารส่วนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา ไปแบ่งให้กับพวกพี่ชาย แต่ส่วนแบ่งของเบนยามินนั้นมีมากกว่าส่วนแบ่งของพวกพี่ชายเขาถึงห้าเท่า พวกเขากินดื่มกับโยเซฟอย่างเต็มที่จนเมามาย
พระเยซูทำนายว่าวิหารจะถูกทำลาย
(มธ. 24:1-25; ลก. 21:5-24)
13 เมื่อพระเยซูกำลังเดินออกจากวิหาร ศิษย์คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “อาจารย์ ดูตึกพวกนี้สิครับ สวยจริงๆสร้างจากหินก้อนใหญ่ๆทั้งนั้น”
2 พระเยซูตอบเขาว่า “เห็นตึกใหญ่โตพวกนี้กันแล้วใช่ไหม มันจะถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ซากหินเรียงซ้อนทับกันอีกเลย”
3 เมื่อพระเยซูนั่งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ ที่อยู่ตรงข้ามกับวิหารนั้น เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์ มาถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า 4 “สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ แล้วจะมีอะไรบอกเหตุให้รู้ก่อนไหมครับว่ามันจะเกิดขึ้นแล้ว”
5 พระองค์ก็ตอบว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ใครหลอกเอาล่ะ 6 เพราะจะมีหลายคนมาแอบอ้างชื่อของเราว่าพวกเขาเป็นพระคริสต์ และจะมีหลายคนหลงเชื่อ 7 เมื่อคุณได้ยินเสียงสงคราม หรือได้ยินข่าวลือว่าเกิดสงครามก็ไม่ต้องตกใจ เพราะมันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่นั่นยังไม่ใช่วันสุดท้าย 8 ชนชาติหนึ่งจะลุกฮือขึ้นต่อสู้กับอีกชนชาติหนึ่ง อาณาจักรนี้จะลุกฮือขึ้นต่อสู้กับอาณาจักรโน้น จะเกิดแผ่นดินไหวไปทั่ว และจะเกิดกันดารอาหาร นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเอง เหมือนเจ็บท้องเตือนก่อนคลอดลูก
9 ระวังตัวให้ดี พวกคุณจะถูกจับไปขึ้นศาล จะถูกเฆี่ยนในที่ประชุมของชาวยิว และพวกคุณจะต้องยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองและกษัตริย์เพราะคุณเป็นศิษย์ของเรา คุณจะต้องเป็นพยานเล่าเรื่องของเราให้พวกเขาฟัง 10 แต่ก่อนที่วันสุดท้ายจะมาถึง ข่าวดีจะต้องได้ประกาศออกไปทั่วทุกชนชาติเสียก่อน 11 ตอนที่พวกคุณถูกนำตัวไปขึ้นศาล ไม่ต้องห่วงว่าจะพูดแก้ตัวอย่างไร ให้พูดไปตามที่พระเจ้าบอกในเวลานั้น เพราะคนที่พูดนั้นไม่ใช่ตัวคุณเอง แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์
12 พี่น้องจะหักหลังกันเองให้ไปถูกฆ่า พ่อจะหักหลังลูกให้ไปถูกฆ่า ลูกๆจะต่อต้านพ่อแม่ และส่งพ่อแม่ให้ไปถูกฆ่า 13 ทุกคนจะเกลียดพวกคุณ เพราะคุณเป็นศิษย์ของเรา แต่ใครที่ทนได้จนถึงที่สุดก็จะได้รับความรอด
ความน่าสยดสยอง
14 เมื่อพวกคุณเห็นสิ่งที่น่าขยะแขยง[a] ที่เป็นต้นเหตุของความหายนะ อยู่ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่ (ผู้อ่านน่าจะรู้ว่าหมายถึงอะไร) ก็ให้คนที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปที่ภูเขา 15 อย่าให้คนที่อยู่บนดาดฟ้าบ้านกลับเข้าไปเก็บของในบ้าน 16 อย่าให้คนที่อยู่ในไร่นากลับไปเอาเสื้อคลุม 17 ในวันนั้นจะน่ากลัวมากสำหรับผู้หญิงท้องและแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูก 18 อธิษฐานขออย่าให้เรื่องน่ากลัวนี้เกิดขึ้นในหน้าหนาวเลย 19 เพราะในเวลานั้นจะเกิดความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลกมาจนถึงเดี๋ยวนี้ จะไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกแล้วในอนาคต 20 ถ้าองค์เจ้าชีวิตไม่ทำให้วันนั้นสั้นลงก็จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย แต่เพราะเห็นแก่คนที่พระองค์ได้เลือกไว้ พระองค์ก็เลยทำให้วันเวลาเหล่านั้นสั้นลง 21 ถ้ามีใครมาบอกว่า ‘นี่ไง พระคริสต์’ หรือ ‘โน่นไง พระองค์’ ก็อย่าไปหลงเชื่อ 22 เพราะจะมีพวกพระคริสต์จอมปลอมและพวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอมเกิดขึ้น และพวกนี้จะทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ถ้าเป็นไปได้พวกนี้ก็จะหลอกแม้แต่คนที่พระเจ้าได้เลือกไว้แล้ว 23 ระวังตัวให้ดี เพราะเราได้เตือนคุณทุกสิ่งทุกอย่างไว้ล่วงหน้าเรื่องนี้
บุตรมนุษย์จะมา
(มธ. 24:29-51; ลก. 21:25-36)
24 ต่อจากความทุกข์ยากนั้น
‘ดวงอาทิตย์จะมืดมิดไป
ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
25 ดวงดาวจะร่วงหล่นจากท้องฟ้า
และพวกผู้มีอำนาจบนฟ้าสวรรค์จะถูกสั่นคลอน’[b]
26 แล้วผู้คนก็จะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆพร้อมด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และเต็มไปด้วยสง่าราศี 27 แล้วพระองค์จะส่งหมู่ทูตสวรรค์ของพระองค์มารวบรวมผู้ที่พระองค์ได้เลือกไว้แล้วจากทั่วทั้งแผ่นดินโลก จากขอบโลกด้านหนึ่งไปถึงสุดขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง
บทเรียนจากต้นมะเดื่อ
28 ให้เรียนรู้จากต้นมะเดื่อกันเถอะ เมื่อต้นมะเดื่อเริ่มแตกกิ่งก้านและผลิใบอ่อน พวกคุณก็รู้ว่าใกล้ถึงหน้าร้อนแล้ว 29 เช่นเดียวกัน เมื่อพวกคุณเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้น พวกคุณก็รู้ว่าเวลา[c] นั้นใกล้มาถึงแล้ว เวลานั้นอยู่ที่หน้าประตูนี่เอง 30 เราจะบอกให้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเกิดขึ้นก่อนที่คนในรุ่นนี้จะตาย 31 สวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคำของเราจะไม่มีวันสูญหายไป
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเมื่อไหร่เวลานั้นจะมาถึง
32 ไม่มีใครรู้วันเวลานั้น แม้แต่หมู่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรเองก็ไม่รู้ มีแต่พระบิดาเท่านั้นที่รู้ 33 พวกคุณไม่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ดังนั้นให้ระวังตัวอยู่เสมอ อย่าประมาท 34 เหมือนกับที่ชายคนหนึ่งกำลังจะเดินทางไปที่อื่นพร้อมกับสั่งงานให้ทาสแต่ละคนในบ้านทำ และได้สั่งยามให้เฝ้าประตูบ้านดีๆ 35 พวกคุณก็ต้องพร้อมอยู่เสมอ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะกลับมาเมื่อไหร่ อาจจะเป็นตอนเย็น ตอนเที่ยงคืน ตอนไก่ขันเช้ามืด หรือตอนสายๆ 36 เพื่อว่าเมื่อเขากลับมาอย่างกระทันหัน เขาจะได้ไม่พบว่าพวกคุณกำลังนอนหลับอยู่ 37 สิ่งที่เราสั่งพวกคุณไว้เราก็ได้สั่งกับทุกๆคนด้วย คือ ‘ให้ระวังอยู่เสมอ’”
โยบตอบบิลดัด
9 แล้วโยบก็กล่าวตอบว่า
2 “ข้ารู้แน่ว่า
ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะชนะคดีต่อพระเจ้าได้หรอก
3 ถ้าหากเขาต้องการเอาพระองค์ขึ้นศาล
พระองค์จะย้อนกลับมาค้านเขาเป็นพันเรื่อง
คนนั้นก็ไม่สามารถตอบพระองค์ได้แม้แต่เรื่องเดียว
4 พระเจ้าฉลาดล้ำเลิศและเปี่ยมด้วยพลังอำนาจ
มีผู้ใดบ้างที่ฟ้องร้องพระองค์แล้วชนะ
5 พระองค์ย้ายพวกภูเขาและภูเขาทั้งหลายก็ไม่รู้ตัว
พระองค์คว่ำภูเขาลงได้เมื่อพระองค์โกรธเกรี้ยว
6 พระองค์เขย่าโลกให้เคลื่อนไปจากที่ของมัน
ทำให้พวกเสาหลักทั้งหลายของมันต้องสั่นไหว
7 พระองค์สามารถสั่งดวงอาทิตย์ไม่ให้ขึ้นและมันก็เป็นอย่างนั้น
พระองค์สามารถขังหมู่ดาวไม่ให้ออกมา
8 พระองค์ได้กางแผ่นฟ้าออก
และสามารถเดินอยู่บนคลื่นในทะเล
9 พระองค์ได้สร้างหมู่ดาวหมี
หมู่ดาวไถ ดาวลูกไก่ และหมู่ดาวทิศใต้
10 พระองค์ทำการยิ่งใหญ่มากมายเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้
พระองค์กระทำการอันน่าทึ่งมากมายเกินกว่าจะนับได้
11 ถ้าพระเจ้าผ่านหน้าข้าไป ข้าพเจ้าก็ไม่อาจมองเห็นพระองค์
ถ้าพระองค์เคลื่อนผ่านข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าก็ไม่อาจสังเกตเห็น
12 ถ้าพระองค์หยิบอะไรไป ใครจะไปห้ามพระองค์ได้
ใครจะกล้าไปถามพระองค์ว่า ‘พระองค์กำลังทำอะไรอยู่นั่น’
13 พระเจ้าไม่ยั้งความโกรธของพระองค์
แม้แต่พวกลูกสมุนของราหับ[a] ยังต้องมากราบอยู่แทบเท้าพระองค์
14 แล้วอย่างนั้นข้าจะตอบพระองค์ได้ยังไง
ข้าจะเลือกคำพูดอะไรไปโต้แย้งกับพระองค์ได้
15 ข้าพเจ้าเป็นฝ่ายถูก แต่ข้าก็ไม่สามารถตอบพระองค์ได้
ข้าได้แต่ขอความเมตตาจากคู่กรณีผู้นี้
16 ถึงแม้ข้าจะเชิญพระองค์มาที่ศาลและพระองค์ก็มา
ข้าก็ยังไม่เชื่อว่าพระองค์จะฟังเรื่องของข้า
17 พระองค์คงจะบดขยี้ข้าด้วยพายุ
และทำให้ข้ามีบาดแผลเพิ่มทวีขึ้น ทั้งๆที่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด
18 พระองค์คงไม่ยอมให้ข้าหยุดพักให้หายเหนื่อย
แต่คงจะใส่ความขมขื่นให้ข้าจนอิ่ม
19 ถ้าพูดถึงอำนาจ แน่นอนพระองค์ย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งกว่า
ถ้าพูดถึงความยุติธรรม ใครจะไปบังคับให้พระองค์มาขึ้นศาลได้
20 ข้าเป็นฝ่ายถูก แต่ปากข้าคงทำให้ข้าดูเหมือนเป็นฝ่ายผิด
ข้าไม่มีที่ติ แต่พระองค์คงทำให้ข้าดูเหมือนเป็นคนขี้โกง
21 ข้าเป็นคนที่ไม่มีที่ติ แต่ข้าไม่สนใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตข้า
ข้าเบื่อชีวิตของข้าเต็มทีแล้ว
22 ข้าไม่เห็นมีอะไรแตกต่างกันเลย
ข้าว่า ‘พระเจ้าทำลายทั้งคนถูกและคนผิด’
23 ยิ่งกว่านั้นเมื่อภัยพิบัตินำความตายมาให้อย่างกระทันหัน
พระองค์ยังหัวเราะเยาะกับความทุกข์ทรมานที่พวกผู้บริสุทธิ์ต้องเจอ
24 ในขณะที่แผ่นดินถูกยกไปอยู่ในกำมือของคนชั่ว
และพระองค์ได้ปิดตาของผู้พิพากษาไม่ให้เห็นความจริง
ถ้าไม่ใช่พระองค์ทำสิ่งเหล่านี้ แล้วใครทำล่ะ
25 วันเวลาของข้าผ่านไปเร็วกว่านักวิ่งส่งข่าว
มันวิ่งหนีไป โดยไม่ได้เห็นสิ่งดีๆอะไรเลย
26 มันผ่านไปรวดเร็วราวกับเรือที่ทำจากต้นอ้อ
เหมือนนกอินทรีที่โฉบลงมาเอาเหยื่อ
27 ถึงข้าจะพูดว่า ‘ข้าจะลืมคำพร่ำบ่นของข้า
จะถอดหน้าเศร้าทิ้งไปและปั้นสีหน้าให้มีความสุข’
28 แต่ข้าก็ยังกลัวความเจ็บปวดทั้งหมดของข้าอยู่ดี
เพราะข้ารู้ว่าพระองค์จะไม่ยอมถือว่าข้าเป็นฝ่ายถูก
29 ถึงยังไงข้าก็ยังจะถูกตัดสินว่าผิด
แล้วข้าจะดิ้นรนสู้คดีไปให้เหนื่อยเปล่าทำไมกัน
30 ถึงข้าจะล้างตัวเองด้วยหิมะ
และขัดถูเนื้อตัวให้สะอาดด้วยสบู่
31 พระเจ้าก็ยังจะหย่อนตัวข้าลงไปในหลุมโคลนอยู่ดี
จนแม้แต่เสื้อผ้าของข้ายังขยะแขยงตัวข้า
32 พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์อย่างข้าที่ข้าจะไปโต้ตอบกับพระองค์ได้
ที่จะไปขึ้นศาลด้วยกันได้
33 แล้วไม่มีใครจะสามารถมาเป็นคนกลางระหว่างเราได้
ที่จะมาสั่งให้เราทั้งสองยอมรับการตัดสินของเขา[b]
34 และมาเอาไม้เรียวของพระองค์ไปจากตัวข้า
เพื่อข้าจะได้ไม่ต้องกลัวฤทธิ์อำนาจอันน่าสะพรึงกลัวของพระองค์อีกต่อไป
35 แล้วเมื่อนั้นข้าจะพูดและจะไม่กลัวพระองค์
แล้วข้าจะได้เป็นตัวของตัวเองซะที[c]
13 ให้ทุกคนยอมเชื่อฟังผู้มีอำนาจของรัฐบาล เพราะอำนาจทุกอย่างมาจากพระเจ้า และพระเจ้าเองเป็นผู้ที่แต่งตั้งผู้มีอำนาจเหล่านั้น 2 ถ้าอย่างนั้น คนที่ขัดขืนต่ออำนาจนั้น ก็เท่ากับขัดขืนคำสั่งของพระเจ้า และคนที่ขัดขืนคำสั่งของพระเจ้า ก็จะต้องถูกลงโทษ 3 คนที่ทำดีไม่กลัวผู้มีอำนาจพวกนั้นหรอก มีแต่คนที่ทำชั่วเท่านั้นที่กลัว ถ้าคุณไม่อยากกลัวผู้มีอำนาจพวกนั้นก็ให้ทำดี แล้วพวกเขาจะได้ชมเชยพวกคุณ 4 เพราะพวกเขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มาทำงานช่วยพวกคุณ แต่ถ้าคุณทำเรื่องชั่วๆก็ให้กลัวไว้ เพราะเขาไม่ได้ถือดาบเอาไว้ขู่เฉยๆ เขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เป็นผู้แก้แค้นแทนพระเจ้า เพื่อลงโทษคนที่ทำชั่ว 5 ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังรัฐบาล ไม่ใช่เพราะกลัวถูกลงโทษเท่านั้น แต่เพื่อใจจะไม่ฟ้องตัวเองว่าผิด 6 นี่เป็นเหตุที่คุณต้องเสียภาษี เพราะผู้มีอำนาจพวกนี้เป็นคนรับใช้ของพระเจ้า ที่ดูแลเรื่องเหล่านี้เสมอ 7 คุณเป็นหนี้อะไรกับใคร ก็ให้จ่ายคืนเขาไป เป็นหนี้ส่วยสาอากร ก็ให้จ่ายส่วยสาอากร เป็นหนี้ภาษี ก็ให้จ่ายภาษี คุณต้องยำเกรงใคร ก็ให้ยำเกรงคนนั้น คุณต้องให้เกียรติใคร ก็ให้เกียรติคนนั้น
หัวใจของกฎคือการรักผู้อื่น
8 อย่าเป็นหนี้อะไรกับใครเลย นอกจากหนี้รักที่มีต่อกันและกัน เพราะคนที่รักคนอื่นก็ถือว่าได้ทำตามกฎครบถ้วนแล้ว 9 ในกฎบัญญัติมีคำสั่งมากมายเช่น “อย่าเป็นชู้” “อย่าฆ่าคน” “อย่าขโมย” “อย่าโลภ”[a] และยังมีคำสั่งอื่นๆอีก แต่ทั้งหมดนั้นก็สรุปได้ว่า “ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”[b] 10 ความรักไม่ทำร้ายเพื่อนบ้าน เป็นเหตุที่ว่า ถ้ามีความรักก็ถือว่าได้ทำตามกฎครบถ้วนแล้ว 11 ให้ทำอย่างที่บอกนี้ เพราะถึงเวลาตื่นได้แล้ว ความรอดของเรานั้นได้เข้ามาใกล้มากยิ่งกว่าตอนที่เราเพิ่งไว้วางใจใหม่ๆ 12 กลางคืน[c] ใกล้จะผ่านไป ตอนเช้า[d] ใกล้จะมาแล้ว ดังนั้นขอให้เราเลิกทำในสิ่งที่เป็นของความมืด และให้สวมอาวุธที่เป็นของความสว่าง 13 ทำตัวให้น่านับถือเหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกลางวัน ไม่เที่ยวมั่วสุม ไม่เสพสุราเมามาย ไม่ทำผิดทางเพศ ไม่มักมากในกาม ไม่ทะเลาะวิวาทและไม่อิจฉาริษยา 14 แต่ให้สวมใส่พระเยซูคริสต์เจ้า และอย่าให้ความสนใจกับกิเลสตัณหาที่มาจากสันดานเลย
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International