M’Cheyne Bible Reading Plan
ความฝันของฟาโรห์
41 สองปีต่อมา กษัตริย์ฟาโรห์ฝันว่า เขากำลังยืนอยู่ที่แม่น้ำไนล์ 2 แล้วจู่ๆก็มีวัวเจ็ดตัวโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ วัวทั้งเจ็ดตัวนี้มีรูปร่างสมบูรณ์แข็งแรง อ้วนพี พวกมันยืนกินหญ้าอยู่แถวๆนั้น 3 หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีวัวอีกเจ็ดตัวโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ วัวเจ็ดตัวหลังนี้มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ผอมแห้ง พวกมันมายืนอยู่ข้างๆวัวเจ็ดตัวแรกบนฝั่งแม่น้ำไนล์ 4 วัวผอมที่น่าเกลียดพวกนี้ได้กินวัวอ้วนพีที่แข็งแรงทั้งเจ็ดตัวนั้น ฟาโรห์ก็ตื่นขึ้น 5 พระองค์นอนต่อและฝันอีกเป็นครั้งที่สองว่า มีรวงข้าวอยู่เจ็ดรวง แต่ละรวงมีเมล็ดข้าวออกเต็มไปหมด ทั้งหมดออกมาจากต้นข้าวต้นเดียว 6 มีรวงข้าวอีกเจ็ดรวงงอกออกมาทีหลัง แต่เป็นรวงข้าวผอมลีบและเหี่ยวแห้ง เพราะลมร้อนจากตะวันออก 7 รวงข้าวผอมลีบทั้งเจ็ดนี้ได้กลืนรวงข้าวเม็ดงามดีนั้นเสีย แล้วฟาโรห์ได้ตื่นขึ้น ก็รู้ว่าเป็นความฝัน 8 ในตอนเช้า พระองค์ไม่สบายใจ จึงได้เรียกพวกโหรและพวกผู้รู้ทั้งหมดของอียิปต์มา พระองค์ได้เล่าความฝันให้พวกเขาฟัง แต่ไม่มีใครสามารถแก้ฝันให้กับพระองค์ได้
คนใช้บอกฟาโรห์เกี่ยวกับโยเซฟ
9 แล้วหัวหน้าคนยกถ้วยเหล้าองุ่นได้บอกกับกษัตริย์ฟาโรห์ว่า “วันนี้ข้าพเจ้าเพิ่งนึกได้ถึงความผิดของข้าพเจ้า 10 ตอนที่พระองค์โกรธพวกคนใช้ของพระองค์ และเอาข้าพเจ้าไปขังไว้ในคุก ที่บ้านของผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ พร้อมกับหัวหน้าคนทำขนมปังนั้น 11 เราทั้งสองคนได้ฝันไปในคืนเดียวกัน ทั้งเขาและข้าพเจ้า เราต่างก็ฝันถึงสิ่งที่มีความหมายแตกต่างกัน 12 มีชายหนุ่มชาวฮีบรูคนหนึ่งอยู่ที่นั่นกับพวกข้าพเจ้า เขาเป็นคนใช้ของผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ พวกข้าพเจ้าเล่าความฝันให้เขาฟัง เขาได้แก้ฝันให้กับพวกเรา เขาทำนายฝันให้กับเราแต่ละคน 13 และมันก็เกิดขึ้นจริงตามที่เขาแก้ฝันให้นั้น ข้าพเจ้าได้รับตำแหน่งกลับคืนมา แต่อีกคนหนึ่งถูกเสียบไว้บนเสาไม้”
ฟาโรห์ขอให้โยเซฟทำนายฝัน
14 ฟาโรห์จึงส่งคนไปตามโยเซฟมา พวกเขารีบนำตัวโยเซฟมาจากคุก ให้โยเซฟโกนหัวและหนวดเครา เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และนำตัวเขามาหาฟาโรห์ 15 ฟาโรห์พูดกับโยเซฟว่า “เราได้ฝันไป แต่ไม่มีใครสามารถแก้ฝันของเราได้ แต่เราได้ยินเขาพูดถึงเจ้าว่า เมื่อเจ้าได้ฟังความฝัน เจ้าจะแก้ฝันได้”
16 โยเซฟตอบฟาโรห์ว่า “ไม่ใช่ข้าพเจ้าหรอก แต่เป็นพระเจ้าที่จะให้คำตอบดีๆกับท่านฟาโรห์”
17 ฟาโรห์จึงพูดกับโยเซฟว่า “ในความฝันของเรา เรากำลังยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 18 แล้วจู่ๆก็มีวัวอ้วนพีเจ็ดตัว รูปร่างสมบูรณ์แข็งแรง โผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ มากินหญ้าที่ขึ้นอยู่แถวๆนั้น 19 หลังจากนั้นก็มีวัวอีกเจ็ดตัวที่หิวโซ ผอมลีบ น่าเกลียดน่ากลัว โผล่ขึ้นมา เรายังไม่เคยเห็นวัวที่น่าเกลียดอย่างนี้มาก่อนเลยในแผ่นดินอียิปต์ 20 แล้ววัวผอมลีบที่น่าเกลียดทั้งเจ็ดตัวนี้ ได้กินวัวอ้วนพีทั้งเจ็ดตัวนั้น 21 แต่เมื่อพวกมันกินวัวอ้วนพีทั้งเจ็ดตัวเข้าไปแล้ว ดูไม่รู้เลยว่าพวกมันได้กินวัวอ้วนพีเข้าไปในท้องของพวกมันแล้ว เพราะมันยังน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนในตอนแรก
22 แล้วเราได้ตื่นขึ้น จากนั้นเราได้ฝันอีก คราวนี้เราฝันเห็นรวงข้าวเจ็ดรวง แต่ละรวงมีเมล็ดข้าวออกเต็มไปหมด ทั้งหมดงอกออกมาจากต้นข้าวต้นเดียว 23 ต่อมาได้มีรวงข้าวอีกเจ็ดรวงงอกออกมา แต่มีเมล็ดข้าวที่ผอมลีบและเหี่ยวแห้ง เพราะลมร้อนจากตะวันออก 24 รวงข้าวที่ผอมลีบนี้ได้กลืนกินรวงข้าวที่งามดีทั้งเจ็ดรวงนั้น
เราได้เล่าเรื่องนี้ให้กับพวกโหรของเรา แต่ไม่มีใครแก้ฝันนี้ให้กับเราได้เลย”
โยเซฟทำนายฝันให้ฟาโรห์
25 โยเซฟพูดกับฟาโรห์ว่า “ความฝันทั้งสองอันนี้ของท่านเป็นความฝันเรื่องเดียวกันและเหมือนกัน พระเจ้าบอกฟาโรห์ถึงสิ่งที่พระองค์จะทำในไม่ช้านี้ 26 วัวดีๆเจ็ดตัวนั้นคือเจ็ดปี และรวงข้าวงามๆทั้งเจ็ดรวงนั้นก็คือเจ็ดปี ความฝันทั้งสองอันนี้มีความหมายอย่างเดียวกัน 27 วัวผอมลีบที่น่าเกลียดทั้งเจ็ดตัวที่โผล่ตามมานั้นก็คือเจ็ดปี และรวงข้าวทั้งเจ็ดรวงที่ผอมและเหี่ยวแห้งเพราะลมร้อนจากตะวันออกนั้น ก็เป็นเจ็ดปีของความอดอยากหิวโหย[a] 28 นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้บอกกับฟาโรห์ พระเจ้าได้แสดงให้ฟาโรห์เห็นถึงสิ่งที่พระองค์จะทำในไม่ช้านี้ 29 ดูเถิด ในเวลาเจ็ดปี จะมีอาหารอย่างเหลือเฟือในแผ่นดินอียิปต์ 30 หลังจากนั้นอีกเจ็ดปี ความอดอยากหิวโหยจะตามมา ผู้คนจะลืมช่วงที่มีอาหารอย่างเหลือเฟือในแผ่นดินอียิปต์ และความอดอยากหิวโหยนี้จะทำลายแผ่นดินนี้ 31 ความอดอยากหิวโหยที่ตามมานี้ จะทำให้ผู้คนลืมช่วงเวลาที่มีอาหารกินอย่างเหลือเฟือ เพราะความอดอยากหิวโหยนั้นจะหนักหนาสาหัสมาก 32 และที่ฟาโรห์ได้ฝันถึงสองครั้ง ก็เพราะพระเจ้าได้ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และพระองค์จะทำให้มันเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ 33 ดังนั้น ตอนนี้ขอให้ฟาโรห์รีบหาคนที่เฉลียวฉลาดและหัวดี และตั้งเขาให้จัดการดูแลทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์ 34 ขอให้ฟาโรห์แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทั่วแผ่นดินและให้แบ่งยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของผลผลิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเจ็ดปีแรก ออกมาเก็บไว้ 35 ให้พวกเขาเก็บสะสมอาหารที่มีในปีที่ดีที่กำลังจะมานี้ ให้พวกเขาเก็บรวบรวมเมล็ดข้าวไว้ในคลังของกษัตริย์ฟาโรห์ในเมืองต่างๆและให้เฝ้ามันไว้ 36 อาหารพวกนี้จะเก็บตุนไว้สำหรับเจ็ดปีแห่งความอดอยากหิวโหยที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดินอียิปต์ เพื่อแผ่นดินนี้จะได้ไม่ถูกทำลายเพราะความอดอยากหิวโหยนั้น”
37 ทั้งฟาโรห์และเจ้าหน้าที่ของเขาเห็นด้วยกับแผนนี้ 38 ฟาโรห์จึงพูดกับเจ้าหน้าที่ของเขาว่า “พวกเราจะไปหาคนอย่างนี้ได้ที่ไหน คนที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”
39 ฟาโรห์จึงบอกโยเซฟว่า “เพราะพระเจ้าได้ทำให้เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ทั้งหมด ไม่มีใครที่จะเฉลียวฉลาดและหัวดีเท่ากับเจ้าอีกแล้ว 40 เราจะให้เจ้าดูแลบ้านเรือนของเรา และประชาชนของเราทุกคนก็จะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า เจ้าจะใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเรา”
41 ฟาโรห์จึงพูดกับโยเซฟว่า “เห็นไหม เราได้แต่งตั้งเจ้าให้ดูแลแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด” 42 แล้วฟาโรห์ก็ถอดแหวนตราประทับจากมือ สวมเข้าที่มือของโยเซฟ ฟาโรห์ได้เอาผ้าลินินอย่างดีมาสวมใส่ให้โยเซฟ เอาสร้อยคอทองคำมาสวมที่คอของเขา 43 ฟาโรห์ได้ให้โยเซฟนั่งรถม้าคันที่สองของพระองค์ มีคนร้องตะโกนอยู่ข้างหน้าเขาว่า “กราบลง”
และฟาโรห์ได้แต่งตั้งให้โยเซฟดูแลแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด 44 ฟาโรห์พูดกับโยเซฟว่า “เราคือฟาโรห์ ในแผ่นดินอียิปต์จะไม่มีใครสามารถกระดิกแขนขาได้ นอกจากเจ้าจะอนุญาต”
45 แล้วฟาโรห์ได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับโยเซฟว่า ศาเฟนาทปาเนอาห์[b] และยกอาเสนัทให้เป็นเมียโยเซฟด้วย อาเสนัทเป็นลูกสาวของโปทิเฟรา นักบวชเมืองโอน แล้วโยเซฟก็ได้ออกไปจากฟาโรห์ และออกเดินทางไปทั่วแผ่นดินอียิปต์
46 โยเซฟมีอายุสามสิบปี เมื่อเขาเริ่มรับใช้ฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ โยเซฟจากฟาโรห์มา และได้เดินทางไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ 47 ในช่วงเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ แผ่นดินได้ให้ผลผลิตอย่างล้นเหลือ 48 ในช่วงเจ็ดปีนั้นที่มีอาหารอย่างล้นเหลือในแผ่นดินอียิปต์ โยเซฟได้เก็บกักตุนมันไว้ในเมืองต่างๆ อาหารที่เก็บได้จากท้องทุ่งรอบๆเมืองไหนก็จะตุนไว้ในเมืองนั้นๆ 49 ดังนั้นโยเซฟจึงเก็บเมล็ดข้าวมาตุนไว้มากมายเหมือนกับเม็ดทรายที่ทะเล มันมากซะจนชั่งไม่หวั่นไม่ไหวจนต้องหยุดชั่งไป
50 ก่อนที่จะถึงปีแห่งความอดอยากหิวโหย โยเซฟมีลูกชายสองคน อาเสนัทได้คลอดลูกสองคนนี้ให้กับโยเซฟ อาเสนัทเป็นลูกสาวของโปทิเฟรานักบวชเมืองโอน 51 โยเซฟตั้งชื่อลูกชายคนแรกว่า มนัสเสห์[c] โยเซฟพูดว่า “พระเจ้าทำให้ผมลืมความทุกข์ยากลำบากของผมทั้งสิ้น รวมทั้งทุกคนในครอบครัวของพ่อผม” 52 โยเซฟได้ตั้งชื่อลูกคนที่สองว่าเอฟราอิม[d] โยเซฟพูดว่า “เพราะพระเจ้าได้ทำให้ผมมีลูกหลาน[e] ในแผ่นดินที่ผมได้รับความทุกข์ยากลำบากนี้”
เวลาแห่งความอดอยากหิวโหยเริ่มขึ้น
53 เจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดินอียิปต์ได้สิ้นสุดลง 54 และเจ็ดปีแห่งความอดอยากหิวโหยได้เริ่มต้นขึ้นตามที่โยเซฟได้พูดไว้ ความอดอยากหิวโหยได้เกิดขึ้นกับทุกประเทศ ยกเว้นในแผ่นดินอียิปต์ที่มีอาหารกินกัน 55 เมื่อแผ่นดินอียิปต์เริ่มขาดแคลนอาหาร ประชาชนได้มาร้องขออาหารต่อฟาโรห์ ฟาโรห์บอกชาวอียิปต์ทุกคนว่า “ให้ไปหาโยเซฟและให้ทำตามที่เขาบอกพวกเจ้า”
56 เมื่อความอดอยากหิวโหยได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน โยเซฟจึงเปิดคลังข้าวสาร และขายข้าวให้กับชาวอียิปต์ เพราะความอดอยากหิวโหยนั้นรุนแรงมากในแผ่นดินอียิปต์ 57 และคนทั่วโลกต่างเดินทางมาอียิปต์ เพื่อมาขอซื้อข้าวจากโยเซฟ เพราะความอดอยากหิวโหยรุนแรงไปทั่วโลก
พระเยซูเข้าเมืองเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์
(มธ. 21:1-11; ลก. 19:28-40; ยน. 12:12-19)
11 เมื่อพระเยซูและพวกศิษย์ใกล้ถึงเมืองเยรูซาเล็ม ก็เข้าไปในหมู่บ้านเบธฟายี และหมู่บ้านเบธานี ที่อยู่ตรงเชิงเขามะกอกเทศ พระองค์ส่งศิษย์สองคนไปก่อนล่วงหน้า 2 พร้อมกับสั่งว่า “ให้เข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้านั้น ทันทีที่คุณไปถึงคุณจะเห็นลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ยังไม่เคยมีใครขี่มันมาก่อน ให้แก้มัดมันแล้วจูงมาให้เราที่นี่ 3 ถ้ามีใครถามว่า ‘แก้มัดมันทำไม’ ให้ตอบว่า ‘องค์เจ้าชีวิตต้องการใช้มัน แล้วจะรีบเอามาคืนให้’”
4 ศิษย์ทั้งสองก็ไป และพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่หน้าประตูข้างถนน พวกเขาแก้เชือกออก 5 มีบางคนที่ยืนอยู่แถวนั้นถามว่า “แก้เชือกมันทำไม” 6 ศิษย์ทั้งสองก็ตอบตามที่พระเยซูสั่งมา พวกเขาจึงยอมให้เอาลูกลาไป 7 เมื่อศิษย์ทั้งสองจูงลูกลามาให้พระเยซู พวกเขาก็เอาเสื้อคลุมของตัวเองปูบนหลังลาให้พระองค์ขี่ไป 8 ชาวบ้านมากมายเอาเสื้อคลุมมาปูตามทาง บางคนเอากิ่งไม้ที่ตัดจากทุ่งมาปูให้ด้วย 9 ทั้งพวกที่เดินนำหน้าและพวกที่เดินตามหลัง ก็ส่งเสียงร้องตะโกนว่า
10 “ขอพระเจ้าอวยพรอาณาจักรของดาวิดบรรพบุรุษของเรา
คืออาณาจักรที่กำลังจะมา
ไชโย แด่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในสวรรค์”
11 แล้วพระเยซูก็เข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม พระองค์ไปที่วิหาร เดินดูรอบๆจนทั่ว แต่เพราะเป็นเวลาเย็นมากแล้ว พระองค์ก็เลยกลับไปที่หมู่บ้านเบธานีกับพวกศิษย์ทั้งสิบสองคน
พระเยซูสาปต้นมะเดื่อ
(มธ. 21:18-19)
12 วันรุ่งขึ้นขณะที่ออกมาจากหมู่บ้านเบธานี พระเยซูรู้สึกหิว 13 พระองค์มองเห็นต้นมะเดื่ออยู่แต่ไกล มีใบอยู่เต็มต้น พระองค์ก็เดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อมองหาลูกของมัน แต่เมื่อมาถึงกลับพบว่าไม่มีลูกเลยสักลูก มีแต่ใบเต็มไปหมดเพราะยังไม่ถึงฤดูออกลูก 14 พระองค์จึงพูดกับต้นมะเดื่อนั้นว่า “อย่าให้ใครได้กินลูกจากเจ้าอีกเลย” และพวกศิษย์ได้ยินคำพูดนี้ด้วย
พระเยซูในวิหาร
(มธ. 21:12-17; ลก. 19:45-48; ยน. 2:13-22)
15 เมื่อมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม พระเยซูได้เข้าไปในเขตวิหาร และขับไล่พวกที่มาซื้อมาขายข้าวของกันอยู่ในวิหารนั้น พระองค์คว่ำโต๊ะคนรับแลกเงิน และม้านั่งของพวกที่ขายนกพิราบ 16 พระองค์ห้ามไม่ให้คนแบกของผ่านไปมาในเขตวิหาร 17 แล้วสั่งสอนพวกเขาว่า “พระคัมภีร์ไม่ได้เขียนไว้หรือว่า ‘บ้านของเรามีชื่อว่า บ้านอธิษฐานสำหรับชนทุกชาติ[c] แต่พวกเจ้ากลับทำให้มันเป็นรังโจร’”[d]
18 เมื่อพวกผู้นำนักบวชและพวกครูสอนกฎปฏิบัติรู้เรื่องนี้ ก็หาทางที่จะฆ่าพระองค์ แต่พวกเขากลัวพระองค์เพราะมีชาวบ้านมากมายที่ตื่นเต้นกับคำสอนของพระองค์ 19 เย็นวันนั้นพระเยซูและพวกศิษย์ก็ออกนอกเมืองไป
บทเรียนจากต้นมะเดื่อ
(มธ. 21:20-22)
20 วันรุ่งขึ้นเมื่อพระเยซู และพวกศิษย์เดินผ่านต้นมะเดื่อต้นเดิม พวกศิษย์เห็นต้นมะเดื่อเหี่ยวแห้งตายตั้งแต่ยอดถึงโคน 21 เปโตรก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานพระเยซูสาปมันไว้ เขาจึงบอกพระเยซูว่า “อาจารย์ ดูนั่นสิครับ ต้นมะเดื่อที่อาจารย์สาปแช่งไว้แห้งตายแล้ว”
22 พระเยซูบอกพวกศิษย์ว่า “เชื่อในพระเจ้าสิ 23 เรารับรองว่า ถ้าคุณเชื่อโดยไม่สงสัยเลย แม้คุณสั่งให้ภูเขานี้ลอยลงไปในทะเล มันก็จะเป็นไปตามนั้น 24 ถ้าคุณเชื่อ คุณจะได้ทุกอย่างที่คุณอธิษฐานขอนั้น 25 ตอนที่คุณอธิษฐาน ถ้าโกรธใครอยู่ก็ต้องยกโทษให้กับเขาก่อน แล้วพระบิดาของคุณที่อยู่บนสวรรค์ก็จะยกโทษให้กับความบาปของคุณเหมือนกัน” 26 [e]
ผู้นำชาวยิวสงสัยในสิทธิอำนาจของพระเยซู
(มธ. 21:23-27; ลก. 20:1-8)
27 พวกเขาก็เข้าไปในเมืองเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่พระเยซูกำลังเดินอยู่ในวิหารนั้น พวกหัวหน้านักบวช พวกครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกผู้อาวุโสเดินเข้ามาถามพระองค์ว่า 28 “แกมีสิทธิ์อะไรไปไล่พ่อค้าพวกนั้น ใครให้สิทธิ์นี้กับแกที่จะทำสิ่งเหล่านั้น”
29 พระเยซูพูดว่า “เราขอถามท่านเรื่องหนึ่ง ตอบเรามา แล้วเราจะบอกว่าเราใช้สิทธิ์ของใครทำอย่างนี้ 30 ช่วยตอบหน่อยว่าพิธีจุ่มน้ำของยอห์นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์”
31 พวกเขาก็ปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ มันก็จะย้อนถามเราว่า ‘แล้วทำไมไม่เชื่อยอห์นล่ะ’ 32 แต่ถ้าตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ ก็กลัวฝูงชน เพราะพวกนั้นเชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าอย่างแน่นอน”
33 พวกเขาจึงตอบพระเยซูว่า “ไม่รู้สิ” พระเยซูก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็จะไม่บอกเหมือนกันว่าเราใช้สิทธิ์ของใครทำสิ่งเหล่านี้”
7 มนุษย์ต่างก็ต้องทำงานหนักในโลกนี้ไม่ใช่หรือ
และชีวิตของเขาเหมือนชีวิตลูกจ้างรายวันไม่ใช่หรือ
2 พวกเขาต่างรอคอยเวลาเย็นเหมือนกับทาส
เขารอคอยค่าจ้างเหมือนกับลูกจ้างรายวัน
3 ในทำนองเดียวกัน
ส่วนแบ่งของข้าคือเดือนแห่งความว่างเปล่าทั้งหลาย
ส่วนที่ข้าได้รับนั้นคือค่ำคืนอันทุกข์ระทมทั้งหลาย
4 เมื่อข้านอนลง ข้าพูดว่า
‘เมื่อไหร่จะถึงเวลาลุกขึ้น’
แต่คืนก็ยิ่งยืดยาวออกไปอีก
ข้าพเจ้าพลิกตัวไปมาจนถึงเช้า
5 ร่างกายข้าห่อหุ้มไปด้วยตัวหนอนและดิน
ผิวหนังของข้าแห้งแข็ง แล้วก็แตกเป็นหนองอีก
6 วันเวลาของข้าผ่านไปรวดเร็วยิ่งกว่ากระสวยทอผ้า
และถึงจุดจบอย่างสิ้นหวัง
7 ข้าแต่พระเจ้า อย่าลืมว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นแค่ลมหายใจ
ดวงตาข้าพเจ้าจะไม่มีโอกาสเห็นสิ่งดีงามอีกต่อไป
8 ดวงตาของพระองค์ที่มองเห็นข้าพเจ้าตอนนี้
ก็จะไม่ได้เห็นข้าพเจ้าอีกต่อไป
พระองค์จะมองหาข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้าจะไม่อยู่แล้ว
9 คนที่ร่วงลงสู่หลุมศพจะไม่ได้ลุกขึ้นมาอีก
เขาเป็นเหมือนกับเมฆที่กระจัดกระจาย และสูญหายไป
10 เขาจะไม่ได้กลับไปยังบ้านเรือนของเขาอีก
และบ้านเรือนของเขาก็ไม่รู้จักเขาแล้ว
11 ดังนั้นข้าพเจ้าจะไม่ยั้งปากข้าพเจ้าไว้
ข้าพเจ้าจะพูดถึงความทุกข์ทรมานในวิญญาณข้า
ข้าพเจ้าจะบ่นเรื่องความขมขื่นในใจข้า
12 ข้าพเจ้าเป็นทะเลหรือเป็นมังกรทะเล[a] อย่างนั้นหรือ
พระองค์ถึงต้องตั้งยามเฝ้าดูข้าพเจ้าไว้
13 เมื่อข้าพเจ้าพูดว่า
‘เตียงนอนของข้าพเจ้าจะทำให้ข้าพเจ้าสุขสบาย
ที่นอนของข้าพเจ้าจะช่วยทำให้เรื่องที่ข้าพเจ้าพร่ำบ่นนั้นเบาบางลง’
14 แต่แล้วพระองค์ก็ใช้ความฝันทำให้ข้าพเจ้าหวาดกลัว
และใช้นิมิตทำให้ข้าพเจ้าตกใจกลัว
15 ดังนั้นข้าพเจ้าอยากจะถูกรัดคอและตายไป
มากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนี้
16 ข้าพเจ้าเบื่อชีวิต
ข้าพเจ้าไม่ต้องการอยู่นาน
อย่ายุ่งกับข้าพเจ้าเลย
เพราะวันเวลาของข้าพเจ้านั้นสั้นแค่ลมหายใจอยู่แล้ว
17 มนุษย์เป็นอะไรหรือ
พระองค์ถึงให้ความสำคัญและสนใจมันมากขนาดนี้
18 ทำไมพระองค์ต้องมาตรวจตราพวกเขาทุกเช้า
และทดสอบพวกเขาทุกเวลา
19 ทำไมพระองค์ไม่หันหน้าไปทางอื่นบ้าง
พระองค์จะไม่ยอมปล่อยข้าพเจ้านานพอที่ข้าพเจ้าจะกลืนน้ำลายได้เลยหรือ
20 พระองค์ผู้เฝ้าจับผิดมนุษย์
ถ้าข้าพเจ้าได้ทำบาป ข้าพเจ้าทำให้พระองค์เดือดร้อนตรงไหนหรือ
ทำไมพระองค์ถึงจับข้าพเจ้าเป็นเป้าของพระองค์
ทำไมพระองค์ถึงมองว่าข้าพเจ้าเป็นภาระให้กับพระองค์
21 ทำไมพระองค์ไม่ยกโทษให้กับความผิดบาปของข้าพเจ้า
และมองข้ามความผิดบาปของข้าพเจ้าไปเสีย
เพราะตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังจะนอนลงในดิน
พระองค์จะตามหาข้าพเจ้าแต่ข้าพเจ้าจะไม่อยู่แล้ว”
พระเจ้าไม่ได้ลืมคนของพระองค์
11 ผมขอถามหน่อยว่า “พระเจ้าทอดทิ้งคนของพระองค์แล้วหรืออย่างไร” ไม่มีทาง ตัวผมเองก็เป็นคนอิสราเอล สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม มาจากเผ่าเบนยามิน 2 พระเจ้าไม่ได้ทิ้งคนของพระองค์ที่พระองค์ได้เลือกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว พวกคุณไม่เคยรู้เรื่องของเอลียาห์ที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เลยหรือ ตอนที่เขามาต่อว่าคนอิสราเอลกับพระเจ้าว่า 3 “องค์เจ้าชีวิต พวกนี้ได้ฆ่าพวกผู้พูดแทนพระองค์ และได้รื้อพวกแท่นบูชาของพระองค์ ตอนนี้เหลือแต่ผมคนเดียวเท่านั้น และพวกเขากำลังตามล่าผมอยู่”[a] 4 แต่พระเจ้าตอบเขาว่า “ยังมีคนของเราเหลืออยู่อีกเจ็ดพันคน ที่ไม่ได้กราบไหว้พระบาอัล”[b] 5 เวลานี้ก็เหมือนกัน ยังมีคนกลุ่มเล็กๆเหลืออยู่ เป็นคนที่พระเจ้าเลือกไว้ด้วยความเมตตากรุณาของพระองค์ 6 ถ้าพระองค์เลือกเรามาด้วยความเมตตากรุณา แสดงว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำ ไม่อย่างนั้นแล้วจะเรียกว่าเป็นความเมตตาได้อย่างไร
7 ถ้าอย่างนั้นจะว่าอย่างไรดี คนอิสราเอลไม่ได้เจอสิ่งที่เขาหา แต่กลุ่มคนที่พระเจ้าได้เลือกไว้กลับเป็นผู้ที่ได้เจอ ส่วนคนอิสราเอลที่เหลือก็มีจิตใจดื้อด้านไป 8 เหมือนกับที่พระคัมภีร์พูดไว้ว่า
“พระเจ้าได้มอบจิตใจที่เย็นชาให้พวกนี้”[c]
“พระองค์ทำให้ตาของเขามองอะไรก็ไม่เห็น
หูของเขาฟังอะไรก็ไม่ได้ยินจนถึงทุกวันนี้”[d]
9 กษัตริย์ดาวิดพูดเรื่องเดียวกันนี้ว่า
“ขอให้งานเลี้ยงต่างๆของพวกเขาเป็นหลุมพรางและกับดัก
ขอให้พวกเขาล้มลงและได้รับกรรมที่ทำไว้
10 ขอให้ตาของพวกเขามืดบอดจนมองไม่เห็น
และขอให้พระองค์ทำให้หลังของพวกเขางอจากการแบกปัญหาตลอดไป”[e]
11 ผมขอถามหน่อยว่า พวกคนยิวสะดุดล้มลงจนเยียวยาไม่ได้เลยหรือ ไม่ใช่เลย แต่ตรงกันข้าม เพราะความผิดพลาดของคนยิว จึงทำให้คนที่ไม่ใช่ยิวได้รับความรอด ที่เป็นอย่างนี้เพราะพระเจ้าอยากจะทำให้คนยิวอิจฉา 12 แต่ถ้าการที่คนยิวทำผิดพลาดและล้มเหลว ยังทำให้โลกนี้และคนที่ไม่ใช่ยิวได้รับพระพรมากมายขนาดนี้ ลองคิดดูสิว่า ถ้าคนยิวกลับมาครบถ้วน โลกนี้จะได้รับพระพรขนาดไหน
13 ผมกำลังพูดกับพวกคุณคนที่ไม่ใช่ยิว เพราะพระเจ้าได้ตั้งให้ผมเป็นศิษย์เอกสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว ผมตั้งใจที่จะให้งานรับใช้ของผมนี้โด่งดังไปทั่ว 14 เพื่อทำให้พี่น้องยิวของผมอิจฉา เผื่อจะช่วยให้พวกเขาบางคนรอดได้ 15 เพราะถ้าโลกนี้ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า เมื่อพระองค์ทอดทิ้งพวกยิว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพระเจ้ายอมรับพวกยิว ก็จะเกิดการฟื้นขึ้นจากความตายนะสิ 16 ถ้าแป้งส่วนที่แบ่งออกมาถวายเป็นส่วนแรกนั้นเป็นของพระองค์ ส่วนที่เหลือทั้งก้อนก็ต้องเป็นของพระองค์ด้วย และถ้ารากของต้นไม้เป็นของพระองค์ กิ่งก้านของมันก็ต้องเป็นของพระองค์ด้วย 17 แต่ถ้ากิ่งบางกิ่งถูกหักทิ้งไป แล้วเอาคุณที่เป็นกิ่งมะกอกป่ามาต่อเข้าไปแทน คุณก็จะเป็นส่วนหนึ่งของต้นมะกอกต้นนั้น และได้รับการหล่อเลี้ยงจากรากของมัน 18 คุณไม่ควรจะคุยโวข่มกิ่งที่ถูกหักทิ้งไป แต่ถ้าคุณคุยโว ก็ให้จำไว้ว่า คุณไม่ได้เป็นคนหล่อเลี้ยงราก รากต่างหากที่หล่อเลี้ยงคุณ
19 คุณอาจจะพูดว่า “กิ่งพวกนั้นถูกหักทิ้งไป ก็เพื่อจะได้เอาผมต่อเข้าไปแทน” 20 ถูกแล้ว ที่พวกเขาถูกหักทิ้งไปเพราะพวกเขาไม่ไว้วางใจ แต่คุณยังอยู่ได้เพราะคุณไว้วางใจ เพราะฉะนั้นอย่าเหลิง แต่ให้ระวังตัวให้ดี 21 เพราะถ้าพระเจ้าไม่ได้เว้นโทษกิ่งเดิมของต้น พระองค์ก็จะไม่เว้นโทษคุณเหมือนกัน 22 ดูสิ พระเจ้านั้นทั้งเมตตาและเด็ดขาด พระองค์เด็ดขาดกับคนที่หลงผิด แต่มีเมตตากับคุณ ถ้าคุณยังคงอยู่ในความเมตตาของพระองค์ ไม่อย่างนั้น คุณก็จะถูกตัดทิ้งไปจากต้นเหมือนกัน 23 แต่ถ้าพวกนั้นกลับมาไว้วางใจพระเจ้าใหม่ พวกเขาก็จะถูกต่อเข้าไปกับต้นเดิมอีกครั้งหนึ่ง เพราะพระเจ้าสามารถต่อพวกเขาเข้าไปใหม่ได้ 24 แม้แต่คุณที่เป็นกิ่งของต้นมะกอกป่า ยังตัดเอามาต่อเข้ากับต้นมะกอกบ้านได้เลย ทั้งๆที่ขัดกับธรรมชาติ ถ้าจะเอากิ่งเดิมของมะกอกบ้านที่ถูกตัดทิ้งไปนั้นมาต่อเข้ากับต้นเดิมของมัน จะยิ่งง่ายกว่านั้นมากขนาดไหน
25 พี่น้องครับ ผมอยากให้พวกคุณเข้าใจเรื่องลึกลับนี้ เพื่อคุณจะได้ไม่หลงตัวเอง เรื่องลับนี้คือมีชาวอิสราเอลส่วนหนึ่งที่มีจิตใจดื้อด้านจะยังคงดื้อด้านต่อไป จนกว่าจำนวนคนที่ไม่ใช่ยิวทั้งหมดได้เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้า 26 ทางนี้แหละเป็นทางที่ชาวอิสราเอลทั้งหมดจะได้รับความรอด เหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
“พระผู้ช่วยให้รอดจะมาจากศิโยน
พระองค์จะกำจัดสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย
ให้ออกไปจากครอบครัวของยาโคบ
27 และเราก็จะทำสัญญานี้กับพวกเขา
เมื่อเราเอาบาปของพวกเขาทิ้งไป”[f]
28 พวกยิวได้กลายเป็นศัตรูของพระเจ้า เพราะไม่ยอมรับข่าวดีนี้ มันจึงกลายเป็นผลดีกับพวกคุณ แต่พวกยิวก็ยังเป็นพวกที่พระเจ้าเลือกและพระองค์ก็ยังรักพวกยิว เนื่องจากคำสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา 29 เพราะพระเจ้าไม่เคยเอาพรสวรรค์ที่พระองค์ให้ไปแล้วกลับคืน และไม่เคยเรียกใคร แล้วเปลี่ยนใจ 30 ครั้งหนึ่งพวกคุณเคยไม่เชื่อฟังพระเจ้าเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้พวกคุณก็ได้รับความเมตตากรุณาจากพระเจ้าแล้ว เพราะพวกยิวไม่ยอมเชื่อฟัง 31 เหมือนกับตอนนี้ที่พวกยิวไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า ก็เพื่อพวกเขาจะได้รับความเมตตาจากพระเจ้าเหมือนกับที่พวกคุณได้รับ 32 ที่ผมพูดอย่างนี้ก็เพราะพระเจ้าได้ขังทุกคนทั้งคนยิวและคนที่ไม่ใช่ยิวไว้ในชีวิตที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้แสดงความเมตตากับพวกเขาทุกคนเหมือนกันหมด
สรรเสริญพระเจ้า
33 โอ้โห ความมั่งคั่ง สติปัญญา และความรู้ของพระเจ้านั้นล้ำลึกเหลือเกิน ใครเล่าจะหยั่งรู้การตัดสินใจของพระองค์ได้ ใครจะเข้าใจการกระทำของพระองค์ได้ 34 เหมือนกับที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า
“ใครจะรู้ว่าองค์เจ้าชีวิตคิดอะไรอยู่
ใครจะเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ได้”[g]
35 “ใครเคยให้ของกับพระองค์ก่อน
พระองค์ถึงต้องตอบแทนเขากลับ”[h]
36 เพราะทุกๆอย่างมาจากพระองค์ มาทางพระองค์ และอยู่เพื่อพระองค์ ขอให้พระเจ้าได้รับเกียรติตลอดไป อาเมน
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International