Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 37

โยเซฟนักฝัน

37 ยาโคบอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่พ่อเขาเคยอาศัยมาก่อน คือแผ่นดินคานาอัน นี่คือประวัติของครอบครัวยาโคบ

ตอนที่โยเซฟมีอายุสิบเจ็ดปี เขาเป็นคนดูแลฝูงแกะร่วมกับพี่น้องของเขา เขาเป็นผู้ช่วยของพวกลูกชายบิลฮาห์และศิลปาห์เมียของพ่อเขา โยเซฟจะกลับมาฟ้องเรื่องไม่ดีของพวกเขาให้พ่อฟังอยู่เรื่อย อิสราเอลรักโยเซฟมากกว่าลูกชายคนอื่น เพราะโยเซฟเพิ่งเกิดตอนที่อิสราเอลแก่แล้ว อิสราเอลทำเสื้อคลุมตัวยาวสวยสดงดงามที่มีแขนให้กับโยเซฟ พวกพี่ๆเห็นว่าพ่อรักโยเซฟมากกว่าพวกเขา พวกเขาจึงพากันเกลียดโยเซฟ และไม่ยอมแม้แต่จะทักทาย

ครั้งหนึ่งโยเซฟฝัน และเขาเล่าความฝันนั้นให้พวกพี่ชายฟัง ทำให้พวกเขายิ่งเกลียดโยเซฟมากขึ้น

โยเซฟเล่าว่า “ฟังความฝันของผมดูสิ พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่กลางทุ่งนา ทันใดนั้น ฟ่อนข้าวของผมก็ตั้งตรงขึ้น และฟ่อนข้าวของพวกพี่ๆได้มาล้อมรอบและโค้งคำนับฟ่อนข้าวของผม”

พวกพี่ชายของเขาพูดกับเขาว่า “นี่เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้เป็นกษัตริย์ปกครองเหนือพวกเราจริงๆล่ะซินะ” หลังจากนั้นพี่ชายของเขาก็ยิ่งเกลียดเขามากขึ้น เพราะความฝันและสิ่งที่โยเซฟเล่าเกี่ยวกับความฝันนั้น

ต่อมาโยเซฟได้ฝันอีก และเขาก็เล่าให้พวกพี่ชายฟังอีกว่า “ดูสิ ผมฝันอีกแล้ว คราวนี้ฝันว่า มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดาวสิบเอ็ดดวง ต่างมาโค้งคำนับผม”

10 เมื่อเขาเล่าให้พ่อและพวกพี่ชายฟัง พ่อก็ต่อว่าเขา และพูดกับโยเซฟว่า “เจ้าฝันอะไรของเจ้า นี่พ่อ แม่ และพี่ชายของเจ้าจะต้องกราบลงถึงพื้นต่อหน้าเจ้าอย่างนั้นหรือ” 11 พวกพี่ชายต่างอิจฉาเขา แต่พ่อของเขาเก็บเรื่องพวกนี้ไปคิด

12 วันหนึ่ง พวกพี่ชายของโยเซฟได้พาฝูงสัตว์ของพ่อไปกินหญ้าแถวเชเคม 13 อิสราเอลจึงพูดกับโยเซฟว่า “พวกพี่ชายเจ้ากำลังดูแลฝูงสัตว์อยู่ที่เชเคม มานี่เถิด พ่อจะส่งเจ้าไปหาพวกเขา”

โยเซฟตอบว่า “ครับพ่อ”

14 อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า “ไปเดี๋ยวนี้เลย ไปดูสิว่าพี่ชายของเจ้ากับฝูงสัตว์สบายดีหรือเปล่า แล้วกลับมาบอกพ่อนะ” แล้วอิสราเอลก็ส่งโยเซฟจากหุบเขาเฮโบรนไปยังเชเคม แล้วโยเซฟก็มาถึงเชเคม

15 ชายคนหนึ่งพบโยเซฟกำลังเดินไปมาอยู่ในท้องทุ่ง เขาจึงถามโยเซฟว่า “เจ้ากำลังหาอะไรหรือ”

16 โยเซฟตอบว่า “ผมกำลังตามหาพวกพี่ชาย ช่วยบอกหน่อยว่าพวกเขาเอาสัตว์ไปกินหญ้าแถวไหน”

17 ชายคนนั้นตอบว่า “พวกเขาไปจากที่นี่แล้ว ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันว่า ‘พวกเราไปเมืองโดธานกันเถอะ’” โยเซฟจึงตามพวกพี่ชายไป และพบพวกเขาในเมืองโดธาน

โยเซฟถูกขายเป็นทาส

18 เมื่อพวกพี่ชายเห็นโยเซฟมาแต่ไกล พวกเขาได้วางแผนฆ่าโยเซฟก่อนที่โยเซฟจะเดินมาถึง 19 พวกเขาพูดกันว่า “ดูนั่น เจ้านักฝันกำลังเดินมาแล้ว 20 มาเถอะ ช่วยกันฆ่ามัน แล้วโยนมันทิ้งในบ่อน้ำแห้งๆพวกนี้ แล้วให้เราบอกว่ามันถูกสัตว์ป่าขย้ำกิน แล้วมาดูสิว่าฝันพวกนั้นของมันจะเป็นยังไง”

21 เมื่อรูเบนได้ยิน เขาพยายามจะช่วยโยเซฟให้พ้นจากมือของพวกนั้น เขาพูดว่า “อย่าฆ่าเขาเลย” 22 รูเบนพูดว่า “อย่าให้ถึงกับนองเลือดเลย แค่โยนเขาลงไปในบ่อแห้งกลางทะเลทรายก็พอ อย่าทำร้ายเขาเลย” รูเบนพูดอย่างนี้ เพราะกะว่าจะช่วยโยเซฟให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกนี้ และส่งเขากลับไปหาพ่อ 23 เมื่อโยเซฟมาถึง พวกพี่ชายก็ช่วยกันดึงเสื้อคลุมที่มีแขนออกจากตัวโยเซฟ 24 แล้วเอาเขาโยนลงไปในบ่อน้ำที่ว่างเปล่าและไม่มีน้ำ

25 พวกเขาได้นั่งลงกินอาหาร เมื่อพวกเขามองไป ก็เห็นขบวนพ่อค้าคนอิชมาเอลมาจากเมืองกิเลอาด มีฝูงอูฐบรรทุกเครื่องเทศ พิมเสนและยางไม้หอม พวกเขากำลังมุ่งหน้าลงไปอียิปต์ 26 ยูดาห์พูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า “มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราฆ่าน้องชายของเรา แล้วซ่อนศพไว้เฉยๆ 27 มาเถิด เอาตัวเขาขายให้กับชาวอิชมาเอล อย่าทำร้ายเขาเลย ยังไงเขาก็เป็นน้องของเรา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเราเอง” แล้วพวกพี่น้องของเขาก็เห็นด้วย 28 เมื่อพ่อค้าชาวมีเดียนผ่านมา พวกเขาช่วยกันดึงตัวโยเซฟขึ้นจากบ่อ และพวกเขาได้ขายโยเซฟให้กับชาวอิชมาเอลเป็นเงินยี่สิบเชเขล[a] และพวกอิชมาเอลก็พาโยเซฟไปอียิปต์

29 เมื่อรูเบนกลับมาที่บ่อน้ำนั้นอีกครั้ง เขาไม่พบโยเซฟในนั้น เขาฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเขาแสดงความเศร้าโศกเสียใจ 30 รูเบนกลับมาหาน้องๆของเขา และพูดว่า “เจ้าเด็กนั่นไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว แล้วทีนี้พี่จะทำยังไงดี” 31 พวกเขาจึงเอาเสื้อคลุมของโยเซฟมา และฆ่าแพะตัวผู้ตัวหนึ่ง แล้วเอาเสื้อคลุมของโยเซฟจุ่มลงไปในเลือดนั้น 32 แล้วพวกเขาก็เอาเสื้อเปื้อนเลือดตัวนั้นส่งให้พ่อดูและบอกว่า “เราพบเสื้อตัวนี้ ช่วยดูหน่อยว่าใช่เสื้อคลุมของลูกชายพ่อหรือเปล่าครับ”

33 ยาโคบจำเสื้อตัวนั้นได้และพูดว่า “มันเป็นเสื้อคลุมของลูกพ่อ สัตว์ป่าได้กัดกินเขาเสียแล้ว โยเซฟคงถูกฉีกเป็นชิ้นๆแน่แล้ว” 34 แล้วยาโคบก็ฉีกเสื้อผ้าของตน และเอาผ้ากระสอบมาคาดเอว เพื่อแสดงความเศร้าโศก เขายังคงเศร้าโศกเสียใจให้กับลูกชายของเขาเป็นเวลานาน 35 ทั้งลูกชายและลูกสาวคนอื่นต่างมาปลอบโยนเขา แต่เขาก็ทำใจไม่ได้ เขาพูดว่า “พ่อจะไว้ทุกข์ให้กับลูกคนนี้จนกว่าพ่อจะลงไปหาเขาในแดนคนตาย” แล้วยาโคบก็ร้องไห้ให้โยเซฟ

36 ขณะนั้นชาวมีเดียนได้ขายโยเซฟต่อไปให้กับโปทิฟาร์ในอียิปต์ โปทิฟาร์เป็นข้าราชการของฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ และเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์

มาระโก 7

คำสอนของบรรพบุรุษ

(มธ. 15:1-20)

พวกฟาริสี กับพวกครูผู้สอนกฎปฏิบัติบางคนที่มาจากเมืองเยรูซาเล็ม พากันมาหาพระเยซู พวกเขาเห็นศิษย์บางคนของพระเยซู กินอาหารโดยไม่ได้ล้างมือ (พวกฟาริสี และคนยิวทุกคนจะไม่กินอาหารจนกว่าจะได้ล้างมือตามประเพณีที่บรรพบุรุษทำมา เมื่อกลับมาจากตลาดพวกเขาก็ต้องทำพิธีจุ่มตัวเองก่อนที่จะกินข้าว นอกจากนี้ ยังรักษาประเพณีอื่นๆอีกมากมายเช่น การล้างถ้วย เหยือก หม้อทองสัมฤทธิ์ และเก้าอี้เอนสำหรับกินข้าว)[a]

ดังนั้นพวกฟาริสีและพวกครูสอนกฎปฏิบัติพวกนี้ถามพระเยซูว่า “ทำไมศิษย์ของคุณถึงไม่ทำตามประเพณีที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ทำไมพวกเขาถึงไม่ล้างมือก่อนกินอาหาร”

พระองค์จึงตอบว่า “อิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า พูดไว้ถูกต้องเลยเกี่ยวกับพวกหน้าซื่อใจคดอย่างพวกคุณที่ว่า

‘คนพวกนี้นับถือเราแต่ปากเท่านั้น
    แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรามาก
จึงไม่มีประโยชน์ที่เขาจะบูชาเรา
    เพราะสิ่งที่เขาสอนกันนั้นเป็นแค่กฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น’[b]

พวกคุณละเลยคำสั่งของพระเจ้า เพื่อจะได้ไปทำตามประเพณีที่มนุษย์สอนต่อๆกันมา”

แล้วพระเยซูพูดอีกว่า “พวกคุณนี่เหลี่ยมจัดนะ เข้าใจหลีกเลี่ยงคำสั่งของพระเจ้า เพื่อจะได้ไปทำตามประเพณีที่สืบทอดกันมา 10 อย่างเช่น โมเสสสอนว่า ‘ให้เคารพนับถือพ่อแม่ของตน’[c] และ ‘คนที่สาปแช่งพ่อแม่ต้องตาย’[d] 11 แต่พวกคุณกลับสอนว่าไม่ผิดที่จะบอกพ่อแม่ว่า ‘สิ่งที่ลูกจะเอามาช่วยพ่อแม่ได้นั้น ลูกได้ยกให้กับพระเจ้าไปหมดแล้ว’ 12 ทำอย่างนี้เท่ากับว่าพวกคุณสอนเขาไม่ให้ช่วยเหลืออะไรพ่อแม่เลย 13 แบบนี้พวกคุณก็เลยยกเลิกพระคำของพระเจ้า แต่ไปทำตามประเพณีที่สืบทอดกันมา และพวกคุณยังทำอย่างนี้กับอีกหลายๆเรื่องด้วย”

สิ่งที่ทำให้สกปรกในสายตาพระเจ้า

14 พระองค์เรียกฝูงชนเข้ามา และพูดว่า “ฟังให้ดีๆและเข้าใจซะด้วยว่า 15 ไม่มีอะไรเลยที่คนกินเข้าไปแล้ว ทำให้เขาสกปรกในสายตาพระเจ้า มีแต่สิ่งที่ออกมาจากข้างในตัวเขาเท่านั้น ที่จะทำให้เขาสกปรกในสายตาพระเจ้า” 16 [e]

17 หลังจากที่พระเยซูแยกกับชาวบ้านแล้ว พระองค์ได้เข้าไปในบ้าน พวกศิษย์ก็เข้ามาถามเกี่ยวกับเรื่องเปรียบเทียบนี้ 18 พระองค์บอกว่า “พวกคุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ไม่มีอะไรหรอกที่คนกินเข้าไปแล้วจะทำให้เขาสกปรกในสายตาพระเจ้า 19 เพราะมันไม่ได้เข้าไปในจิตใจ แต่มันตกลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกมา” (ที่พระองค์พูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าอาหารทุกชนิดสะอาดกินได้หมด)

20 พระองค์ก็พูดต่อว่า “สิ่งที่ออกมาจากตัวคนนั่นแหละที่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า 21 เพราะที่ออกมาจากตัวก็ออกมาจากจิตใจ และใจนี่เองเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย ความผิดบาปทางเพศ การลักขโมย การฆ่ากัน 22 การมีชู้ ความโลภ ความชั่วต่างๆ การหลอกลวง ราคะตัณหา การอิจฉาริษยา การนินทาว่าร้าย ความเย่อหยิ่งจองหอง และ ความโง่เขลา 23 สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกมาจากข้างในและทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า”

พระเยซูช่วยผู้หญิงกรีก

(มธ. 15:21-28)

24 พระเยซูจากที่นั่นเข้าไปยังเขตแดนเมืองไทระ แล้วพระองค์เข้าไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ไม่ต้องการให้คนรู้ แต่ก็ไม่สามารถซ่อนตัวได้

25 พอหญิงคนหนึ่งที่มีลูกสาวที่ถูกผีชั่วสิงอยู่รู้ว่าพระองค์มา เธอจึงมากราบแทบเท้าของพระเยซู 26 หญิงคนนี้เป็นคนกรีก[f] เกิดที่แคว้นฟีนีเซียในประเทศซีเรีย เธอมาขอร้องให้พระเยซูช่วยขับไล่ผีชั่วที่สิงลูกสาวของเธออยู่

27 แล้วพระองค์พูดว่า “มันไม่ถูกต้องที่จะเอาอาหารของลูกๆไปโยนให้หมากิน ต้องให้ลูกๆกินอิ่มเสียก่อน”

28 แต่เธอตอบว่า “ใช่ค่ะท่าน แต่หมาก็ยังได้กินเศษอาหารของเด็กๆที่ตกอยู่ใต้โต๊ะเลย”

29 พระองค์พูดว่า “ตอบได้ดีมาก กลับไปบ้านเถอะ เพราะผีชั่วได้ออกจากลูกสาวคุณแล้ว”

30 เมื่อเธอกลับถึงบ้าน ก็เห็นลูกสาวนอนอยู่บนเตียง และผีชั่วได้ออกไปแล้ว

พระเยซูรักษาคนที่หูหนวกและเป็นใบ้

31 พระองค์ออกจากเขตแดนของเมืองไทระ และเดินผ่านเมืองไซดอน เพื่อจะไปที่ทะเลสาบกาลิลี โดยผ่านทางแคว้นเดคาโปลิศ[g] 32 มีคนพาชายหูหนวกคนหนึ่งที่พูดไม่ค่อยได้มาหาพระเยซู พวกเขาขอร้องให้พระองค์วางมือบนชายคนนี้

33 พระองค์พาชายคนนี้หลีกห่างไปจากผู้คน พระองค์เอานิ้วแยงเข้าไปในหูของเขา แล้วเอาน้ำลายที่พระองค์บ้วนออกมาไปแตะที่ลิ้นของเขา 34 แล้วพระองค์เงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นถอนใจยาว แล้วพูดกับชายคนนั้นว่า “เอฟฟาธา” แปลว่า “เปิดสิ” 35 หูของเขาก็ได้ยินทันที และลิ้นของเขาก็ไม่ขัดและพูดได้คล่องชัดเจน

36 พระองค์สั่งพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟัง แต่ยิ่งพระองค์สั่งห้ามมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งร่ำลือกันมากขึ้นเท่านั้น 37 คนที่ได้ยินก็ประหลาดใจมากและพูดว่า “ทุกอย่างที่เขาทำนั้นยอดเยี่ยมจริงๆขนาดคนหูหนวกยังทำให้ได้ยิน และคนใบ้ยังทำให้พูดได้”

โยบ 3

โยบสาปแช่งวันที่เขาเกิด

หลังจากนั้น โยบอ้าปากและพูดสาปแช่งวันที่เขาเกิดมา โยบพูดว่า

“วันที่ข้าเกิดมานั้น
    น่าจะถูกทำลายไปซะก่อน
และไม่น่าจะมีคืนนั้นที่พูดว่า
    ‘มีการตั้งท้องเด็กชายคนหนึ่งขึ้นแล้ว’
วันนั้นน่าจะมืดมิดไป
    พระเจ้าที่อยู่เบื้องบนไม่น่าจะคิดถึงวันนั้น
    หรือให้แสงสว่างส่องลงมาในวันนั้นเลย
ความมืดและเงาแห่งความตายน่าจะอ้างสิทธิ์เหนือวันนั้น
    เมฆหนาทึบน่าจะปกคลุมวันนั้นไว้
    ความมืดมิดของดวงอาทิตย์น่าจะทำให้วันนั้นตกใจกลัว
ความหมองหม่นน่าจะยึดเอาคืนนั้นที่ข้าก่อเกิดขึ้นในท้องไปซะ
    คืนนั้นไม่น่าจะเชื่อมต่อกับวันอื่นๆของปีเลย
    วันนั้นไม่น่าจะถูกนับรวมอยู่ในเดือนต่างๆเลย
ความจริงแล้วคืนนั้นน่าจะเป็นหมันไป
    ไม่น่าจะมีเสียงร้องอย่างมีความสุขในคืนนั้นเลย
คนที่สาปแช่งวันน่าจะร่ายเวทมนตร์ใส่คืนนั้นด้วย
    คนที่เก่งในการปลุกเรียกตัวเลวีอาธาน[a] ขึ้นมา
    น่าจะสาปแช่งคืนนั้นด้วย
ดวงดาวในยามรุ่งสางน่าจะมืดไป
    คืนนั้นที่รอแสงสว่างอย่างตื่นเต้นไม่น่าจะได้พบแสงสว่างเลย
    คืนนั้นไม่น่าจะได้พบกับแสงสว่างแห่งยามรุ่งสางเลย
10 เพราะคืนนั้นไม่ได้ปิดครรภ์ของแม่ข้าไว้
    เพราะคืนนั้นไม่ได้ซ่อนความทุกข์ยากไปจากสายตาข้า
11 ทำไมข้าถึงไม่ตายตั้งแต่เกิด
    ทำไมข้าถึงไม่คลอดออกมาแล้วสิ้นใจไปเลย
12 ทำไมตักของแม่จึงรองรับข้าไว้
    และทำไมถึงมีเต้านมให้ข้าดูด
13 เพราะถ้าข้าตายไปเสียตั้งแต่แรกเกิด
    ตอนนี้ข้าคงนอนเหยียดยาวอยู่และไม่ถูกรบกวน
ข้าคงนอนหลับอยู่และคงได้พักผ่อน
14     อยู่ร่วมกับพวกกษัตริย์และบรรดาที่ปรึกษาแห่งแผ่นดินที่เคยสร้างเมืองปรักหักพังขึ้นใหม่สำหรับพวกเขาเอง
15 หรืออยู่กับพวกเจ้านายในวัง
    ที่เคยมีทองคำและเงินเต็มบ้าน
16 ทำไมข้าถึงไม่ถูกฝังเหมือนกับเด็กที่ตายในท้อง
    หรือเป็นทารกที่ไม่เคยเห็นแสงสว่าง
17 ที่หลุมศพนั้นคนชั่วจะหยุดก่อปัญหา
    ที่นั่นผู้ที่เหนื่อยล้าจะได้พักผ่อน
18 ที่นั่นเหล่าเชลยจะอยู่กันอย่างสบาย
    เพราะพวกเขาจะไม่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของผู้คุม
19 ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ก็อยู่ที่นั่น
    ส่วนทาสก็เป็นอิสระจากเจ้านาย
20 ทำไมถึงให้แสงสว่างกับคนที่ทุกข์ทรมาน
    ทำไมถึงให้ชีวิตกับคนที่จมอยู่กับความขมขื่น
21 ทำไมไม่ยอมให้คนที่อยากตายได้ตายซะ
    พวกเขาขุดหาความตายยิ่งกว่าขุดหาทรัพย์สมบัติเสียอีก
22 พวกเขาดีใจแทบตายเมื่อเขาพบหลุมศพของตน
    พวกเขาร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน
23 ทำไมถึงให้ชีวิตกับคนที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม
    คือคนที่พระเจ้าได้ปิดกั้นรอบด้าน
24 อาหารของข้าคือการถอนหายใจ
    น้ำดื่มของข้าคือเสียงร้องคร่ำครวญ
25 เพราะสิ่งที่ข้ากลัวมากที่สุดนั้นก็ได้เกิดขึ้นกับข้า
    สิ่งที่ข้าหวาดผวาก็ได้ตกอยู่บนข้า
26 ข้าไม่มีความสงบสุข ไม่มีความเงียบสงบ
    ข้าไม่ได้พักผ่อน ข้ามีแต่ความว้าวุ่นใจ”

โรม 7

ตัวอย่างจากการแต่งงาน

พี่น้องครับ พวกคุณไม่รู้หรือว่ากฎนั้นมีอำนาจเหนือมนุษย์เฉพาะตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น (คุณก็คุ้นเคยกับกฎดีอยู่แล้ว) ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องผูกมัดอยู่กับสามีตามกฎเมื่อสามีของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีของเธอตายไป เธอก็หลุดพ้นจากกฎการแต่งงานนั้น แต่ถ้าสามีเธอยังมีชีวิตอยู่ แล้วเธอไปเป็นเมียชายอื่น ก็ถือว่าเธอคบชู้ แต่ถ้าสามีเธอตายแล้ว เธอก็เป็นอิสระจากกฎการแต่งงานนั้น และถ้าเธอไปเป็นเมียชายอื่น ก็ไม่ถือว่าเธอคบชู้

พี่น้องก็เหมือนกัน เป็นเพราะความตายของพระคริสต์ คุณเองถึงตายไปแล้วด้วยและเป็นอิสระจากกฎนั้นแล้ว เพื่อคุณจะได้เป็นของพระคริสต์ผู้ที่ฟื้นขึ้นจากความตาย และเพื่อที่เราจะได้เกิดผลสำหรับพระเจ้า แต่ก่อนตอนที่เราใช้ชีวิตตามสันดานนั้น กฎก็กระตุ้นให้เกิดกิเลสตัณหาขึ้นมา แล้วกิเลสตัณหานี้ก็มาควบคุมอวัยวะในตัวเรา เราจึงไปทำสิ่งที่นำไปสู่ความตาย แต่เดี๋ยวนี้เราตายแล้วและหลุดพ้นจากกฎที่เคยขังเราไว้ ตอนนี้เราได้มารับใช้พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายของเรา ด้วยชีวิตใหม่ที่พระวิญญาณนำ ไม่ใช่ชีวิตเก่าที่นำโดยกฎที่เขียนขึ้น

สิ่งที่กฎทำไม่ได้

แล้วจะว่ายังไงดี กฎนั้นบาปหรือ ไม่มีทาง อันที่จริงถ้าไม่มีกฎ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าบาปคืออะไร เพราะถ้าไม่มีกฎเขียนไว้ว่า “อย่าโลภ”[a] ผมไม่มีทางรู้ว่าความโลภเป็นอย่างไร แต่บาปได้ฉวยโอกาสเอากฎนั้นมาทำให้ผมเกิดความโลภทุกชนิด ถ้าไม่มีกฎ บาปก็หมดฤทธิ์เดชไปแล้ว ครั้งหนึ่งผมเคยมีชีวิตอยู่โดยไม่มีกฎ แต่พอมีกฎขึ้นมาบาปก็ฟื้นคืนชีพ 10 แต่ผมกลับต้องตาย ปรากฏว่ากฎอันนี้เองที่เคยมีไว้เพื่อนำชีวิตมาให้ กลับมาทำให้ผมต้องตาย 11 เพราะบาปได้ฉวยโอกาสใช้กฎนั้นมาล่อลวงผมและฆ่าผม 12 ดังนั้นสรุปได้ว่ากฎนั้นศักดิ์สิทธิ์ และบัญญัตินั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ ยุติธรรมและดีด้วย 13 เอ้า แสดงว่าสิ่งที่ดีๆนำความตายมาให้ผมอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง แต่เป็นบาปต่างหาก บาปได้ใช้สิ่งที่ดีๆนี้มาฆ่าผม ผมจะได้รู้ธาตุแท้ของบาปว่าเป็นอย่างไร และบัญญัติจะทำให้เรารู้ว่าบาปนั้นมันชั่วร้ายขนาดไหน

14 เรารู้ว่ากฎนั้นมาจากพระวิญญาณ แต่ผมเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆที่ถูกขายไปเป็นทาสอยู่ใต้อำนาจของบาป 15 ผมไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมผมถึงทำในสิ่งที่ผมทำ เพราะสิ่งที่ผมอยากทำผมก็ไม่ได้ทำ แต่ผมกลับไปทำในสิ่งที่ผมเกลียด 16 ถ้าผมทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำ นั่นแสดงว่าผมเห็นด้วยกับกฎและยอมรับว่ากฎนั้นดี 17 ความจริงแล้ว ไม่ใช่ตัวผมหรอกที่ทำสิ่งนี้ แต่บาปที่อยู่ในตัวผมต่างหากที่ทำ 18 ใช่ ผมรู้ว่าสิ่งที่ดีนั้นไม่ได้อยู่ในตัวผมหรอก (คือในสันดานของผมที่เป็นมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังนี้) ผมอยากจะทำดีแต่ก็ทำไม่ได้ 19 สิ่งดีๆที่ผมอยากทำนั้น ผมไม่ได้ทำ แต่กลับไปทำในสิ่งที่ชั่วร้ายที่ผมไม่อยากทำ 20 เพราะฉะนั้นถ้าผมทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำ ก็แสดงว่าไม่ใช่ผมที่เป็นคนทำ แต่เป็นบาปที่อยู่ในผมต่างหากที่ทำ

21 ผมเลยค้นพบกฎข้อหนึ่งว่า เมื่อไรก็ตามที่ผมอยากจะทำดี ความชั่วจะอยู่ที่นั่นกับผมเสมอ 22 ในใจผมเห็นด้วยกับกฎของพระเจ้า 23 แต่ผมก็เห็นอีกกฎหนึ่งที่ทำงานอยู่ในตัวผม มันต่อสู้กับกฎของพระเจ้าที่จิตใจของผมยอมรับอยู่ แล้วมันก็ทำให้ผมเป็นนักโทษของกฎแห่งบาปที่ทำงานอยู่ในตัวผมนี้ 24 ผมนี่น่าสมเพชจริงๆใครจะช่วยชีวิตผมให้พ้นจากร่างกายนี้ที่นำความตายมาให้กับผมได้บ้าง 25 ขอบคุณพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ใจของผมนั้นเป็นทาสของกฎของพระเจ้า แต่สันดานของผมนั้นเป็นทาสของกฎแห่งบาป

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International