Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 30

30 เมื่อราเชลเห็นว่านางไม่สามารถมีลูกให้กับยาโคบได้ ราเชลก็เริ่มอิจฉาพี่สาว นางจึงพูดกับยาโคบว่า “ให้ฉันมีลูกบ้างสิ ไม่อย่างนั้นฉันขอตายดีกว่า”

ยาโคบจึงโกรธราเชล แล้วพูดว่า “พี่ไม่ใช่พระเจ้า พระองค์ต่างหากที่ทำให้น้องไม่มีลูก”

แล้วนางพูดว่า “นี่สาวใช้ของฉัน บิลฮาห์ พี่เข้าไปนอนกับนางก็แล้วกัน เพื่อว่านางจะได้มีลูกให้กับฉัน และฉันจะได้สร้างครอบครัวของฉันผ่านทางนาง”

แล้วนางราเชลจึงยกบิลฮาห์สาวใช้ของนางให้เป็นเมียของยาโคบ แล้วยาโคบเข้าไปร่วมหลับนอนกับนาง บิลฮาห์ก็ตั้งท้องและคลอดลูกชายให้กับยาโคบ

ราเชลพูดว่า “พระเจ้าตัดสินเข้าข้างฉัน และพระองค์ก็ได้ยินเสียงฉันด้วย พระองค์ได้ให้ลูกชายกับฉันหนึ่งคน” นางจึงตั้งชื่อเด็กว่าดาน[a]

แล้วบิลฮาห์สาวใช้ของราเชลก็ตั้งท้องอีก และคลอดลูกชายคนที่สองให้กับยาโคบ ราเชลพูดว่า “ฉันได้ต่อสู้อย่างหนักกับพี่สาวของฉัน และฉันก็ชนะ” นางจึงตั้งชื่อเด็กว่านัฟทาลี[b]

เมื่อเลอาห์เห็นว่านางไม่มีลูกแล้ว นางจึงยกสาวใช้ของนาง ชื่อศิลปาห์ให้เป็นเมียยาโคบ 10 แล้วศิลปาห์สาวใช้ของเลอาห์ ได้คลอดลูกชายให้กับยาโคบ 11 เลอาห์พูดว่า “โชคดีจริงๆ” นางจึงตั้งชื่อเด็กว่ากาด[c] 12 แล้วศิลปาห์สาวใช้ของเลอาห์ก็คลอดลูกชายคนที่สองให้กับยาโคบ 13 เลอาห์พูดว่า “ฉันได้รับเกียรติจริงๆ” เพราะพวกผู้หญิงจะต้องพูดว่า “ฉันมีเกียรติ” แล้วนางจึงตั้งชื่อเด็กว่าอาเชอร์[d]

14 ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี รูเบนได้ออกไปในทุ่งนาและเจอต้นแมนเดร็ก[e] เขาจึงเอาพวกมันกลับมาให้เลอาห์แม่ของเขา แล้วราเชลก็พูดกับเลอาห์ว่า “ขอแบ่งต้นแมนเดร็กของลูกชายพี่ให้กับฉันบ้างสิ”

15 แต่เลอาห์ตอบราเชลว่า “เธอแย่งสามีฉันไป นี่ยังจะมาเอาต้นแมนเดร็กของลูกชายฉันไปอีกหรือ”

แล้วราเชลพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะให้เขามานอนกับพี่คืนนี้ เพื่อแลกกับต้นแมนเดร็กของลูกพี่”

16 เมื่อยาโคบกลับมาจากท้องทุ่งในตอนเย็น เลอาห์ออกไปพบเขาแล้วพูดว่า “คืนนี้พี่ต้องมานอนกับฉัน เพราะฉันได้จ่ายค่าจ้างให้กับพี่แล้วด้วยต้นแมนเดร็กของลูกชายฉัน” ยาโคบจึงไปร่วมหลับนอนกับนางในคืนนั้น

17 พระยาห์เวห์ได้ตอบคำอธิษฐานของเลอาห์ นางจึงตั้งท้องอีก และคลอดลูกชายคนที่ห้า 18 นางพูดว่า “พระเจ้าได้ให้บำเหน็จกับฉัน เพราะฉันได้ยกสาวใช้ของฉันให้กับสามีฉัน” แล้วนางจึงตั้งชื่อเด็กว่าอิสสาคาร์[f]

19 แล้วเลอาห์ก็ตั้งท้องอีก และคลอดลูกชายคนที่หกให้ยาโคบ 20 นางพูดว่า “พระองค์ได้ให้ของขวัญที่ดีกับฉัน คราวนี้สามีฉันจะต้องให้เกียรติกับฉัน เพราะฉันได้คลอดลูกชายให้กับเขาถึงหกคน” แล้วนางจึงตั้งชื่อเด็กว่าเศบูลุน[g]

21 ต่อมาเลอาห์ก็คลอดลูกสาว และตั้งชื่อเธอว่าดีนาห์

22 แล้วพระเจ้าก็ได้ระลึกถึงราเชล และตอบคำอธิษฐานของนาง และพระองค์ทำให้นางสามารถมีลูกได้[h] 23 แล้วราเชลก็ตั้งท้องและคลอดลูกชาย นางพูดว่า “พระเจ้าได้เอาความอับอายขายหน้าของฉันไปแล้ว” 24 นางจึงตั้งชื่อเด็กว่าโยเซฟ[i] นางพูดว่า “ขอพระยาห์เวห์เพิ่มลูกชายให้กับฉันอีกหนึ่งคน”

ยาโคบร่ำรวยขึ้น

25 เมื่อราเชลคลอดโยเซฟแล้ว ยาโคบพูดกับลาบันว่า “ขออนุญาตให้ผมกลับไปบ้านเกิดของผมด้วย 26 ขอพวกเมียๆและลูกๆของผมด้วย ผมได้ทำงานชดใช้ให้กับลุงแล้วสำหรับพวกเขา ขอยกพวกเขาให้กับผมเถอะ แล้วผมจะได้ไป ลุงก็รู้อยู่แล้วว่าผมได้ทำงานหนักแค่ไหนให้กับลุง”

27 แล้วลาบันจึงพูดกับยาโคบว่า “ขอให้ลุงพูดอะไรหน่อยได้ไหม ที่พระยาห์เวห์อวยพรให้ลุงร่ำรวยขึ้นมานี้[j] เป็นเพราะหลานอยู่กับลุง” 28 แล้วลาบันพูดว่า “บอกลุงมาเถอะ เจ้าจะให้จ่ายค่าแรงยังไง แล้วลุงจะจ่ายให้”

29 ยาโคบตอบว่า “ลุงก็รู้ว่า ผมทำงานหนักแค่ไหนให้กับลุง และลุงก็รู้ว่าผมเอาใจใส่ดูแลฝูงสัตว์ของลุงดีขนาดไหน 30 ก่อนผมมา ลุงมีแค่ฝูงสัตว์เล็กๆ แต่ตอนนี้มันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ไม่ว่าผมจะหันไปทางไหนก็ตามพระยาห์เวห์ก็ได้อวยพรให้กับลุง แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องทำงานสร้างครอบครัวของผมเอง”

31 ลาบันพูดว่า “แล้วลุงควรจะให้อะไรกับเจ้าดี”

ยาโคบตอบว่า “ลุงไม่ต้องให้อะไรกับผมเลย ถ้าลุงยอมทำอย่างนี้ให้กับผม ผมก็จะกลับไปดูแลฝูงสัตว์ให้กับลุงเหมือนเดิม 32 ในวันนี้ผมจะเข้าไปสำรวจฝูงสัตว์ของลุง แกะทุกตัวที่เป็นจุดเป็นด่าง มีลายตามตัว และแกะดำทุกตัว รวมทั้งแพะตัวเมียที่เป็นจุดเป็นด่าง มีลายตามตัว ผมก็จะแยกออกมาจากฝูง พวกมันจะเป็นค่าแรงของผม 33 ในอนาคต ลุงจะได้เห็นง่ายๆว่าผมซื่อสัตย์หรือเปล่า ลุงก็แค่มาตรวจดูค่าแรงของผม ถ้าเห็นแพะตัวไหนไม่เป็นจุดเป็นด่าง หรือมีลายตามตัว หรือพบแกะตัวไหนที่ไม่ใช่แกะดำ อยู่กับผม ก็ถือว่าขโมยมา”

34 แล้วลาบันก็พูดว่า “ตกลงตามที่หลานพูด” 35 แต่ในวันนั้นลาบันได้แอบคัดเอาแพะตัวผู้และตัวเมียที่เป็นจุดเป็นด่าง และมีลายตามตัว ทุกตัวที่มีจุดขาว และลูกแกะดำทุกตัว เขาแอบแยกพวกมันออกมา แล้วเอาไปให้พวกลูกชายของเขาเลี้ยง 36 แล้วลาบันก็เอาสัตว์พวกนี้ไปเลี้ยงอีกที่หนึ่ง ที่ต้องเดินทางไปสามวัน เพื่อให้ห่างจากยาโคบ แต่ยาโคบก็เฝ้าดูแลฝูงสัตว์ของลาบันที่เหลืออยู่

37 แล้วยาโคบตัดกิ่งไม้สดของต้นไค้[k] ต้นอัลมอนต์[l] และพวกต้นเปลน[m] แล้วเขาก็ลอกเอาเปลือกไม้ออก เพื่อให้เห็นเนื้อไม้สีขาวด้านใน 38 และเขาก็เอากิ่งไม้พวกนั้นที่ลอกเปลือกออกแล้ว ไปวางไว้ในรางน้ำต่างๆตรงหน้าฝูงสัตว์ ตรงบริเวณที่มีน้ำที่ฝูงสัตว์จะมาดื่มน้ำกัน และฝูงสัตว์ก็ผสมพันธุ์กัน ตอนที่พวกมันมาดื่มน้ำ 39 เมื่อฝูงแพะผสมพันธุ์กันตรงหน้ากิ่งไม้นั้น มันก็ออกลูกมาเป็นลาย เป็นจุดเป็นด่างกัน

40 ยาโคบก็แยกแกะออกมาไว้ต่างหาก เขาทำให้ฝูงแกะหันไปทางกิ่งที่มีลายดำๆ ทำให้แกะเกิดออกมาสีดำทุกตัวในฝูงของลาบัน ยาโคบก็เลยแยกฝูงสัตว์ออกมาเป็นของเขาเอง ไม่ได้รวมอยู่กับของลาบัน 41 เมื่อไหร่ก็ตามที่สัตว์ตัวที่แข็งแรงผสมพันธุ์กัน ยาโคบก็จะวางกิ่งไม้พวกนั้นในรางน้ำ ตรงหน้าพวกมัน เพื่อว่าพวกสัตว์จะได้ผสมพันธุ์กันตรงหน้ากิ่งไม้พวกนั้น 42 แต่เวลาสัตว์ที่อ่อนแอผสมพันธุ์กัน ยาโคบก็ไม่ได้เอากิ่งไม้มาวาง ดังนั้นสัตว์ตัวที่อ่อนแอที่เกิดมาก็เป็นของลาบัน ส่วนตัวที่แข็งแรงก็เป็นของยาโคบ 43 แล้วยาโคบก็กลายเป็นคนที่ร่ำรวยมหาศาล เขามีฝูงสัตว์ที่ใหญ่มาก มีพวกทาสชายหญิง มีทั้งฝูงอูฐ และฝูงลา

มาระโก 1

คำเทศนาของยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ

(มธ. 3:1-12; ลก. 3:1-9, 15-17; ยน. 1:19-28)

นี่คือจุดเริ่มต้นของข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นบุตรของพระเจ้า เรื่องนี้ เป็นไปตามที่อิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้าได้เขียนไว้ว่า

“ดูสิ เราจะส่งผู้ส่งข่าวของเรานำหน้าท่านไปก่อน
    เขาจะไปเตรียมหนทางให้กับท่าน”[a]

“มีเสียงร้องตะโกนของคนหนึ่งในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งว่า
ให้เตรียมทางสำหรับองค์เจ้าชีวิต
    และทำทางเดินนั้นให้ตรงสำหรับพระองค์”[b]

แล้วยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ มาปรากฏตัวในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง และสั่งสอนว่า “ให้กลับตัวกลับใจเสียใหม่และรับพิธีจุ่มน้ำ แล้วพระเจ้าจะยกโทษความผิดบาปของพวกคุณ” คนทั่วแคว้นยูเดียและคนจากเมืองเยรูซาเล็มได้มาหายอห์นและสารภาพความบาปทั้งหลายของพวกเขา ยอห์นจึงทำพิธีจุ่มน้ำให้กับพวกเขาในแม่น้ำจอร์แดน ยอห์นใส่เสื้อผ้าที่ทำจากขนอูฐ ใช้หนังสัตว์คาดเอว กินตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่าเป็นอาหาร ยอห์นประกาศว่า “จะมีคนหนึ่งมาทีหลังผม เขาจะยิ่งใหญ่กว่าผมมาก แม้แต่เชือกรองเท้าของเขา ผมยังไม่มีค่าพอที่จะก้มลงไปแก้ให้ ผมทำพิธีจุ่มให้พวกคุณด้วยน้ำ แต่เขาคนนั้นจะจุ่มพวกคุณด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

พระเยซูเข้าพิธีจุ่มน้ำ

(มธ. 3:13-17; ลก. 3:21-22)

ในเวลานั้น พระเยซูเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลีไปให้ยอห์นทำพิธีจุ่มน้ำให้ในแม่น้ำจอร์แดน 10 ทันทีที่พระองค์โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ก็เห็นท้องฟ้าแหวกออก และเห็นพระวิญญาณที่เหมือนนกพิราบลงมาสถิตอยู่กับพระองค์ 11 มีเสียงจากสวรรค์ว่า “ลูกเป็นลูกที่รักของพ่อ พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก”

พระเยซูถูกมารทดลอง

(มธ. 4:1-11; ลก. 4:1-13)

12 เมื่อเสียงนั้นเงียบลง พระวิญญาณส่งพระเยซูเข้าไปอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง 13 ถึงสี่สิบวัน พระองค์อยู่ที่นั่นกับสัตว์ป่า ซาตานมาลองใจพระองค์ หลังจากนั้นพวกทูตสวรรค์ได้มาดูแลพระองค์

พระเยซูเริ่มงานของพระองค์

(มธ. 4:12-17; ลก. 4:14-15)

14 หลังจากที่ยอห์นถูกจับขังคุก พระเยซูไปที่แคว้นกาลิลีและเริ่มประกาศข่าวดีของพระเจ้า 15 พระองค์ประกาศว่า “ถึงเวลาแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว[c] กลับตัวกลับใจเสียใหม่และเชื่อในข่าวดีนี้สิ”

พระเยซูเลือกลูกศิษย์

(มธ. 4:18-22; ลก. 5:1-11)

16 ขณะที่พระเยซูเดินอยู่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์เห็นเปโตร[d] กับอันดรูว์น้องชายของเขากำลังเหวี่ยงแหจับปลากันอยู่ เพราะพวกเขาเป็นชาวประมง 17 พระองค์พูดกับพวกเขาว่า “ตามเรามาเถอะ แล้วเราจะสอนให้จับคนแทนจับปลา” 18 พวกเขาจึงทิ้งแหและตามพระเยซูไปทันที

19 พระองค์เดินต่อไปอีกนิดหนึ่ง ก็เห็นยากอบลูกชายของเศเบดีกับยอห์นน้องชายของเขากำลังซ่อมแซมแหอยู่ 20 ทันใดนั้นพระองค์เรียกพวกเขา ทั้งสองได้ปล่อยให้พ่อของเขาอยู่ในเรือกับพวกลูกจ้าง แล้วตามพระองค์ไป

พระเยซูไล่ผีชั่ว

(ลก. 4:31-37)

21 พระเยซูกับพวกศิษย์เข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม เมื่อถึงวันหยุดทางศาสนา พระเยซูเข้าไปในที่ประชุมชาวยิว และเริ่มสั่งสอน 22 ผู้คนทึ่งในคำสอนของพระองค์มาก เพราะพระองค์สอนอย่างคนที่มีสิทธิอำนาจ ซึ่งไม่เหมือนกับพวกครูสอนกฎปฏิบัติคนอื่นๆ 23 แล้วจู่ๆก็มีชายคนหนึ่งในที่ประชุมที่มีผีชั่วสิงอยู่ร้องตะโกนขึ้นมาว่า 24 “เยซูชาวนาซาเร็ธ มายุ่งกับพวกเราทำไม จะมาทำลายพวกเราเหรอ เรารู้นะว่าท่านเป็นใคร ท่านเป็นองค์พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”

25 พระเยซูด่ามันว่า “หุบปาก แล้วออกมาซะ” 26 เจ้าผีชั่วจึงทำให้ชายที่มันสิงอยู่ ชักดิ้นชักงอและกรีดร้องเสียงดัง แล้วก็ออกจากร่างเขาไป

27 ทุกคนประหลาดใจมากถามกันอื้ออึงไปหมดว่า “เกิดอะไรขึ้น นี่ต้องเป็นคำสอนใหม่ที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชแน่ๆ ขนาดพวกผีชั่วยังเชื่อฟังเขาเลย” 28 แล้วชื่อเสียงของพระองค์ก็ดังกระฉ่อนไปทั่วแคว้นกาลิลี

พระเยซูรักษาคนมากมาย

(มธ. 8:14-17; ลก. 4:38-41)

29 ทันทีที่พระเยซูและพวกศิษย์ออกจากที่ประชุมมาแล้ว พวกเขาก็ตรงดิ่งไปที่บ้านของเปโตรกับอันดรูว์ ยากอบกับยอห์นก็ไปด้วย 30 แม่ยายของเปโตรนอนเป็นไข้อยู่ พวกเขารีบเล่าอาการของเธอให้พระองค์ฟัง 31 พระองค์เดินไปจับมือเธอพยุงขึ้นมา เธอหายไข้ทันที แล้วก็มารับใช้พระเยซูกับพวกศิษย์

32 เย็นนั้นเมื่อตะวันตกดินแล้ว ผู้คนต่างพาคนเจ็บไข้ได้ป่วย และคนที่ถูกผีสิงมาหาพระองค์ 33 คนทั้งเมืองได้มาออกันอยู่ที่หน้าประตู 34 พระองค์ได้รักษาโรคต่างๆให้กับคนมากมาย และขับไล่พวกผีชั่วออกไปหลายตนด้วย แต่พระองค์ไม่ยอมให้พวกผีชั่วเหล่านี้พูด เพราะพวกมันรู้ว่าพระองค์เป็นใคร

พระเยซูเตรียมบอกเรื่องข่าวดี

(ลก. 4:42-44)

35 วันรุ่งขึ้น พระเยซูตื่นออกจากบ้านไปแต่เช้ามืด เพื่อไปอธิษฐานในที่เงียบสงบ 36 พอสายหน่อย เปโตรและเพื่อนๆก็ออกตามหาพระองค์กัน 37 เมื่อเจอแล้วพวกเขาก็พูดว่า “ทุกคนกำลังตามหาอาจารย์กันอยู่”

38 แต่พระองค์กลับตอบว่า “ให้พวกเราไปเมืองอื่นแถวๆนี้กันเถอะ เราจะได้สั่งสอนที่นั่นด้วย ที่เรามาก็เพื่อสั่งสอนนี่แหละ” 39 พระองค์เดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี ประกาศสั่งสอนตามที่ประชุมชาวยิว และขับผีชั่วหลายตนออกไป

พระเยซูรักษาโรคผิวหนังร้ายแรง

(มธ. 8:1-4; ลก. 5:12-16)

40 มีชายคนหนึ่งเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง เขามาคุกเข่าอ้อนวอนต่อพระเยซูว่า “นายท่านถ้าท่านอยากช่วย ท่านก็ทำให้ผมหายได้”

41 พระองค์รู้สึกสงสาร พระองค์จึงยื่นมือออกไปแตะตัวเขาแล้วพูดว่า “เราอยากช่วย หายจากโรคเถิด” 42 เขาก็หาย ร่างกายสะอาดเกลี้ยงเกลาทันที

43 ก่อนที่พระเยซูจะให้เขาไป พระองค์สั่งกำชับว่า 44 “อย่าไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่ไปให้นักบวชตรวจดู และให้ถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสส[e] สั่งด้วย เพื่อคนอื่นจะได้รู้ว่าคุณหายแล้ว” 45 แต่เมื่อชายคนนี้ออกไป เขาก็ไปเล่าให้ใครต่อใครฟังจนรู้กันไปทั่ว ทำให้พระเยซูเข้าไปในเมืองอย่างเปิดเผยไม่ได้อีกต่อไป พระองค์จึงต้องอยู่นอกเมือง แต่ก็ยังมีคนมากมายจากทุกหนทุกแห่งหลั่งไหลมาหาพระองค์

เอสเธอร์ 6

โมรเดคัยได้รับเกียรติ

คืนนั้น กษัตริย์อาหสุเอรัสนอนไม่หลับ พระองค์จึงสั่งให้คนใช้นำหนังสือบันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับกษัตริย์มาอ่านให้ฟัง เจ้าหน้าที่ได้อ่านให้กับกษัตริย์ฟังถึงเรื่องที่โมรเดคัยได้มาบอกให้รู้ถึงแผนการร้ายที่ บิกธานา และเทเรช ขันทีสองคนที่เฝ้าทางเข้าห้องส่วนตัวทั้งหลายของกษัตริย์ ร่วมกันวางแผนเพื่อทำร้ายกษัตริย์อาหสุเอรัส กษัตริย์จึงถามว่า “โมรเดคัยได้รับเกียรติและรางวัลอะไรบ้างจากการกระทำครั้งนั้น”

เขาตอบว่า “ไม่ได้รับอะไรเลยครับพระองค์”

ฮามานเพิ่งเข้ามาถึงลานด้านนอกของวัง เพื่อจะมาบอกให้กษัตริย์ เสียบโมรเดคัยกับเสาไม้ที่เขาได้เตรียมไว้ กษัตริย์ถามคนใช้ว่า “นั่นใครหรือที่เพิ่งเข้ามาในลานวัง” พวกเขาตอบกษัตริย์ว่า “เป็นฮามานครับพระองค์”

กษัตริย์จึงพูดว่า “ไปนำตัวเขาเข้ามาซิ”

ฮามานจึงเข้ามา กษัตริย์จึงถามเขาว่า “เราควรจะทำอย่างไรดี กับคนที่เราต้องการจะให้เกียรติ”

ฮามานคิดในใจว่า “จะมีใครเสียอีกที่กษัตริย์ต้องการจะให้เกียรติมากไปกว่าเรา”

ฮามานจึงตอบกษัตริย์ไปว่า “คนที่พระองค์ต้องการจะให้เกียรติหรือ ก็ให้พวกผู้รับใช้นำเสื้อคลุมที่พระองค์เคยสวมใส่ และเอาม้าตัวหนึ่งที่พระองค์เคยขี่ และเอามงกุฎมาใส่บนหัวม้า และให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของพระองค์ นำสิ่งของเหล่านี้ไปให้กับคนที่พระองค์ต้องการให้เกียรตินั้น ให้ขุนนางสวมเสื้อคลุมของกษัตริย์ให้กับคนๆนั้น และให้เขาขึ้นขี่บนหลังม้า จากนั้นก็ให้ขุนนางคนนั้นจูงม้าที่เขาขี่เดินไปที่ลานเมือง พร้อมกับให้ขุนนางคนนั้นร้องประกาศว่า ‘นี่คือสิ่งที่กษัตริย์ทำ สำหรับคนที่พระองค์อยากจะให้เกียรติ’”

10 กษัตริย์จึงสั่งฮามานว่า “รีบไปเร็วเข้า ไปนำเสื้อคลุมกับม้า และให้ไปทำตามทุกอย่างที่เจ้าแนะนำให้กับโมรเดคัยชาวยิวที่ทำหน้าที่รับใช้อยู่ในวัง ไปทำทุกอย่างตามที่เจ้าบอก อย่าให้ขาดตกบกพร่องเลย”

11 ดังนั้นฮามานจึงนำเสื้อคลุมและม้า แล้วเขาก็เอาเสื้อคลุมไปสวมให้กับโมรเดคัย และจูงม้าที่โมรเดคัยขี่เดินแห่ไปที่ลานเมือง และเขาก็ป่าวประกาศไปด้วยว่า “นี่คือสิ่งที่กษัตริย์ทำให้กับคนที่พระองค์อยากจะให้เกียรติ”

12 จากนั้นโมรเดคัยก็กลับไปทำหน้าที่ในวัง แต่ฮามานรีบกลับบ้านด้วยความทุกข์ใจ พร้อมกับคลุมหัวด้วยความอับอาย 13 ฮามานเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เศเรช ภรรยาของเขาและพวกเพื่อนๆฟังถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขา

เพื่อนๆที่ชาญฉลาดและเศเรชภรรยาของเขา พูดว่า “ท่านเริ่มล้มลงต่อหน้าโมรเดคัย เนื่องจากเขาเป็นชาวยิว ท่านจะไม่มีวันเอาชนะเขาได้ แต่ท่านจะต้องล้มลงต่อหน้าเขาอย่างแน่นอน”

14 ในระหว่างที่พวกเขายังพูดคุยอยู่กับฮามานนั้น พวกขันทีของกษัตริย์ก็มาถึง และรีบพาตัวฮามานไปยังงานเลี้ยงที่เอสเธอร์ได้จัดเตรียมไว้

โรม 1

คำทักทายจากเปาโล

จากเปาโลทาสของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเรียกผมให้มาเป็นศิษย์เอก และแต่งตั้งผมให้มาประกาศข่าวดีที่มาจากพระเจ้า พวกผู้พูดแทนพระเจ้าได้ประกาศข่าวดีนี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้วในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ข่าวดีนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผ่านทางเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด เมื่อพระองค์ฟื้นขึ้นจากความตาย พระเจ้าได้แต่งตั้งพระองค์ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นพระบุตรผู้เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ คือพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์และองค์เจ้าชีวิตของพวกเรา พวกเราได้รับสิทธิพิเศษผ่านทางพระเยซูให้มาเป็นศิษย์เอก เราได้รับสิทธิพิเศษนี้เพื่อพวกเราจะได้นำคนที่ไม่ใช่ยิวให้มาไว้วางใจและเชื่อฟังพระเจ้า พวกเราทำงานนี้เพื่อให้เกียรติกับพระเยซู พวกคุณก็รวมอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่ใช่ยิวนี้ด้วย และพระเจ้าก็เรียกคุณให้มาเป็นคนของพระเยซูคริสต์

ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงพวกคุณทุกคนที่อยู่ในเมืองโรม เป็นพวกที่พระเจ้ารักและเรียกให้มาเป็นคนของพระองค์

ขอให้พระเจ้าพระบิดาของเราและพระเยซูคริสต์เจ้าให้ความเมตตากรุณาและสันติสุขกับคุณทุกคนด้วยเถิด

เปาโลอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า

ก่อนอื่นผมขอบคุณพระเจ้าของผมผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าสำหรับคุณทุกคน เพราะคนทั่วโลกต่างก็พากันพูดถึงความเชื่อของคุณ ผมรับใช้พระเจ้าสุดหัวใจในการประกาศข่าวดีเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ พระเจ้าผู้นี้เป็นพยานให้กับผมได้ว่า ผมอธิษฐานให้คุณตลอดเวลา 10 ผมอธิษฐานขอตลอดเวลาให้พระเจ้าจะเปิดโอกาสให้กับผมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วในที่สุดผมก็จะได้มาเยี่ยมคุณตามที่ตั้งใจเอาไว้ 11 เพราะผมอยากเจอพวกคุณมาก ผมจะได้มาแบ่งปันพระพรที่มาจากพระวิญญาณกับพวกคุณ เพื่อคุณจะได้มีกำลังใจมากขึ้น 12 อันที่จริงต้องพูดว่า เราจะได้ให้กำลังใจซึ่งกันและกันผ่านทางความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย 13 พี่น้องครับ ผมอยากให้รู้ว่า ผมตั้งใจจะมาเยี่ยมคุณหลายครั้งแล้ว เพื่อเวลาที่ผมอยู่กับคุณ ผมจะได้ช่วยคุณให้เจริญขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณ เหมือนกับที่ผมได้ช่วยชนชาติอื่นๆมาแล้ว แต่ก็มีเรื่องขัดขวางมาตลอดจนถึงเดี๋ยวนี้

14 ผมมีภาระหน้าที่ที่ติดค้างอยู่กับทุกคน ทั้งคนกรีกและคนที่ไม่ใช่กรีก ทั้งคนฉลาดและคนโง่ 15 นั่นเป็นเหตุที่ผมพร้อมที่จะประกาศข่าวดีให้กับพวกคุณที่อยู่ในเมืองโรม

16 ผมไม่ละอายเกี่ยวกับข่าวดีนี้หรอก เพราะข่าวดีนี้เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่จะช่วยชีวิตทุกคนที่ไว้วางใจให้รอด ช่วยพวกยิวก่อน แล้วต่อมาก็ช่วยคนที่ไม่ใช่ยิวด้วย 17 เพราะในข่าวดีนั้น พระเจ้ากำลังเปิดเผยให้เห็นว่า พระองค์ทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ เพราะพระเจ้าแสดงความซื่อสัตย์ของพระองค์ให้เห็นก่อน คนจึงไว้วางใจในพระองค์ เหมือนกับที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า “คนที่พระเจ้ายอมรับจะใช้ชีวิตด้วยความไว้วางใจ”[a]

มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป

18 เพราะพระเจ้ากำลังแสดงความโกรธของพระองค์ให้เห็นจากสวรรค์ ต่อความชั่วช้าทุกอย่างและความผิดที่คนทำขึ้น สิ่งเหล่านี้ไปปิดบังความจริงไม่ให้คนรู้ 19 ที่พระเจ้าโกรธก็เพราะ เรื่องที่คนจะรู้เกี่ยวกับพระเจ้าได้นั้น คนก็เห็นอย่างชัดเจนแล้ว เพราะพระเจ้าได้เปิดเผยให้มันเห็นชัดเจนอยู่แล้ว 20 นับตั้งแต่วันแรกที่สร้างโลกนี้มา คุณสมบัติต่างๆของพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็น เช่นฤทธิ์อำนาจที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย หรือความเป็นพระเจ้าของพระองค์ มนุษย์เห็นได้ชัดเจนเพราะเขาสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้จากสิ่งต่างๆที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา นี่เป็นเหตุผลที่มนุษย์จึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย 21 เพราะเขารู้เรื่องพระเจ้า แต่ไม่ได้ยกย่องพระองค์เป็นพระเจ้าของเขา และไม่ขอบคุณพระองค์ด้วย แต่พวกเขากลับสนใจสิ่งต่างๆที่ไร้ค่า และจิตใจของเขาที่ขาดความเข้าใจก็มืดมนไป 22 ถึงแม้พวกเขาอ้างว่าเป็นคนฉลาด แต่กลับกลายเป็นคนโง่ไป 23 เพราะเขาได้เอาความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ไม่มีวันตายนี้ ไปแลกกับรูปปั้นที่ทำขึ้นมาเป็นรูปของมนุษย์ที่ต้องตาย หรือรูปนกต่างๆ หรือสัตว์สี่เท้า หรือสัตว์เลื้อยคลาน

24 พระเจ้าจึงปล่อยให้มนุษย์ทำสิ่งชั่วช้าลามก ตามกิเลสตัณหาที่อยู่ในใจของพวกเขา เขาจึงทำผิดทางเพศ ใช้ร่างกายของกันและกันอย่างน่าละอาย 25 พวกเขาเอาความจริงของพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ พวกเขาบูชาและรับใช้สิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา แทนที่จะบูชาและรับใช้พระเจ้าผู้สร้างสิ่งเหล่านั้น พระองค์สมควรได้รับการสรรเสริญตลอดไป อาเมน

26 ดังนั้นพระเจ้าจึงปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้กิเลสตัณหาอันน่าละอาย พวกผู้หญิงแทนที่จะมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติแต่กลับทำให้มันผิดธรรมชาติไป 27 ส่วนพวกผู้ชายก็เหมือนกัน แทนที่จะมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงตามธรรมชาติ กลับไปเผาผลาญไฟราคะด้วยกันเอง ผู้ชายกับผู้ชายทำสิ่งที่น่ารังเกียจต่อกัน นี่แหละเป็นผลกรรมที่พวกเขาได้รับเพราะทิ้งความจริงไป

28 พวกเขาเห็นว่าการรู้จักพระเจ้านั้นไร้ค่า พระเจ้าก็เลยปล่อยให้เขามีความคิดที่ไร้ค่า และทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ 29 มนุษย์จึงเต็มไปด้วยความผิดทุกอย่าง ความชั่วร้าย ความโลภ การปองร้าย ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟัน การทะเลาะวิวาท การหลอกลวง การเกลียดชัง การซุบซิบนินทา 30 การพูดส่อเสียด การเกลียดชังพระเจ้า ความหยาบคาย ความเย่อหยิ่งจองหอง การอวดตัว การคิดค้นวิธีทำชั่วแบบใหม่ๆ การไม่เชื่อฟังพ่อแม่ 31 การเป็นคนโง่ ไม่รักษาคำพูด ไม่มีความรัก และขาดความเมตตา 32 ทั้งๆที่รู้กฎเกณฑ์ของพระเจ้าว่าคนที่ทำสิ่งเหล่านี้สมควรตาย พวกเขาไม่ใช่แค่ทำเองเท่านั้น แต่ยังไปเห็นดีเห็นชอบกับคนอื่นที่ทำอย่างนั้นด้วย

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International