Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 29

ยาโคบพบนางราเชล

29 แล้วยาโคบก็เดินทางต่อ จนมาถึงแผ่นดินของคนทางฝั่งตะวันออก เขามองดูไปรอบๆและเห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่งในท้องทุ่ง มีแกะอยู่สามฝูงที่กำลังนอนอยู่ข้างบ่อน้ำนั้น เพราะฝูงแกะดื่มน้ำจากบ่อน้ำนั้น มีหินก้อนใหญ่ปิดปากบ่อน้ำอยู่ เมื่อฝูงแกะทั้งหลายมาอยู่รวมกันที่นั่น คนเลี้ยงแกะก็จะกลิ้งหินนั้นออกจากปากบ่อน้ำ และตักน้ำให้ฝูงแกะกินกัน แล้วพวกเขาก็จะกลิ้งหินปิดปากบ่อน้ำเหมือนเดิม

ยาโคบพูดกับพวกเขาว่า “พวกพี่ มาจากที่ไหนกัน”

พวกเขาตอบว่า “พวกเรามาจากเมืองฮาราน”

ยาโคบก็ตอบพวกเขาว่า “แล้วรู้จักลาบัน ลูกชายของนาโฮร์ไหมครับ”

พวกเขาตอบว่า “รู้จักสิ”

ยาโคบจึงถามต่อว่า “เขาสบายดีไหมครับ”

พวกเขาตอบว่า “เขาสบายดี นั่นไง ราเชลลูกสาวของเขากำลังมาพร้อมกับฝูงแกะ” ยาโคบจึงพูดว่า “นี่ก็ยังกลางวันอยู่เลย ยังไม่ถึงเวลาที่จะรวบรวมฝูงสัตว์ตอนเย็นเลย ให้น้ำกับแกะและเอามันกลับไปกินหญ้าเถอะ”

พวกคนเลี้ยงแกะตอบว่า “พวกเราทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก จนกว่าแกะทุกฝูงจะมารวมกันอยู่ที่นี่ แล้วพวกเราถึงจะกลิ้งหินออกจากปากบ่อ แล้วเอาน้ำให้แกะดื่มได้”

ในขณะที่ยาโคบยังคุยอยู่กับพวกเขานั้น ราเชลก็มาถึงพร้อมกับแกะของพ่อนาง เพราะนางเป็นคนเลี้ยงแกะ 10 เมื่อยาโคบเห็นราเชล ลูกสาวของลาบันพี่ชายของแม่เขาและฝูงแกะของลาบัน ยาโคบจึงเข้าไปใกล้และกลิ้งหินจากปากบ่อ และเอาน้ำให้ฝูงแกะของลาบันพี่ชายของแม่เขาดื่ม 11 แล้วยาโคบก็จูบราเชลและเริ่มร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง 12 แล้วยาโคบก็บอกราเชลว่า พ่อของนางเป็นญาติกับเขา และเขาเองเป็นลูกของนางเรเบคาห์ นางก็วิ่งไปบอกพ่อของนาง

13 เมื่อลาบันได้ยินเรื่องยาโคบลูกของน้องสาวเขา เขาวิ่งออกไปหายาโคบ แล้วกอดจูบยาโคบ และพายาโคบไปที่บ้านของเขาแล้วยาโคบก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ลาบันฟัง

14 ลาบันจึงพูดกับเขาว่า “อันที่จริงแล้ว หลานก็เป็นกระดูกและเนื้อของลุง” แล้วยาโคบก็อยู่กับเขาทั้งเดือน

ลาบันหลอกลวงยาโคบ

15 แล้วลาบันก็พูดกับยาโคบว่า “หลานต้องทำงานกับลุงฟรีๆเพราะเป็นญาติหรือยังไง บอกลุงมาสิว่าจะเอาอะไรเป็นค่าจ้างดี”

16 ลาบันมีลูกสาวสองคน คนโตชื่อเลอาห์ คนเล็กชื่อราเชล

17 ดวงตาของนางเลอาห์น่ารัก[a] แต่ราเชลนั้นมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามไปหมด 18 ยาโคบรักราเชล เขาจึงพูดว่า “ผมจะทำงานให้กับลุงเจ็ดปี เพื่อแลกกับราเชลลูกสาวคนเล็กของลุง”

19 ลาบันตอบว่า “ลุงจะยกนางให้กับหลาน ก็ยังดีกว่ายกให้กับชายอื่น อยู่กับลุงที่นี่แหละ”

20 ดังนั้นยาโคบจึงทำงานเจ็ดปีเพื่อราเชล แต่สำหรับยาโคบ เจ็ดปีนั้นก็ดูเหมือนไม่กี่วัน เพราะความรักที่เขามีกับนาง

21 แล้วยาโคบก็พูดกับลาบันว่า “ผมทำงานครบแล้ว ขอยกเมียให้กับผมด้วย เพื่อผมจะได้หลับนอนกับนาง”

22 ลาบันก็รวบรวมคนแถวนั้นมาทั้งหมด และจัดงานเลี้ยงให้พวกเขา 23 แต่ในคืนนั้น เขาได้เอาเลอาห์ลูกสาวของเขาไปให้กับยาโคบ ยาโคบก็ได้หลับนอนกับเลอาห์ 24 (ลาบันก็ยกสาวใช้ของตนชื่อศิลปาห์ให้เป็นสาวใช้ของเลอาห์) 25 ในตอนเช้า ยาโคบเห็นว่าเป็นเลอาห์ ดังนั้นเขาจึงถามลาบันว่า “ทำไมลุงถึงทำกับผมอย่างนี้ ที่ผมทำงานเจ็ดปี ก็เพื่อราเชลไม่ใช่หรือ ลุงหลอกลวงผมทำไม”

26 ลาบันตอบว่า “คนที่นี่เขาไม่ทำกันอย่างนั้นหรอก ที่จะให้น้องสาวแต่งงานก่อนพี่สาว 27 ขอให้ครบเจ็ดวันของงานแต่งงาน[b]กับคนพี่ก่อนนะ แล้วลุงจะยกคนน้องให้กับหลาน แล้วหลานจะทำงานตอบแทนให้กับลุงอีกเจ็ดปี”

28 ยาโคบก็ทำตาม และรอให้ครบเจ็ดวันสำหรับเลอาห์ แล้วลาบันก็ยกราเชลลูกสาวของเขาให้เป็นเมียยาโคบ 29 (ลาบันได้ยกบิลฮาห์สาวใช้ของเขาให้เป็นสาวใช้ของราเชล) 30 แล้วยาโคบก็ร่วมหลับนอนกับราเชลด้วย ยาโคบรักราเชลมากกว่าเลอาห์ แล้วยาโคบก็ทำงานให้กับลาบันอีกเจ็ดปี

ครอบครัวของยาโคบเติบโตขึ้น

31 พระยาห์เวห์เห็นว่า ยาโคบเกลียดเลอาห์ พระองค์จึงเปิดครรภ์ของเลอาห์ แต่ราเชลเป็นหมัน

32 นางเลอาห์ก็ตั้งท้องและคลอดลูกชาย นางตั้งชื่อเขาว่ารูเบน[c] เพราะนางพูดว่า “พระยาห์เวห์มองเห็นความอัปยศอดสูของฉันจริงๆ ตอนนี้สามีของฉันต้องรักฉันแน่ๆ”

33 เลอาห์ก็ตั้งท้องอีก และคลอดลูกชายอีกคนหนึ่ง นางพูดว่า “เพราะพระยาห์เวห์ได้ยินว่าฉันเป็นที่เกลียดชัง พระองค์จึงให้ลูกชายคนนี้กับฉัน” แล้วนางจึงตั้งชื่อเด็กว่าสิเมโอน[d]

34 เลอาห์ได้ตั้งท้องอีก และคลอดลูกชายอีกคน นางพูดว่า “คราวนี้สามีฉันต้องใกล้ชิดกับฉัน เพราะฉันคลอดลูกชายให้กับเขาถึงสามคน” นางจึงตั้งชื่อลูกชายคนนี้ว่าเลวี[e]

35 แล้วเลอาห์ก็ตั้งท้องอีก และคลอดลูกชายอีกคนหนึ่ง นางพูดว่า “ครั้งนี้ฉันจะสรรเสริญพระยาห์เวห์” นางจึงตั้งชื่อเด็กว่ายูดาห์ แล้วนางก็ไม่มีลูกอีก

มัทธิว 28

พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย

(มก. 16:1-8; ลก. 24:1-12; ยน. 20:1-10)

28 หลังจากวันหยุดทางศาสนาผ่านไป ตอนเช้าตรู่วันอาทิตย์ มารีย์ชาวเมืองมักดาลา และมารีย์อีกคนหนึ่งได้มาที่อุโมงค์ฝังศพ

ในขณะนั้นเอง เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เพราะทูตขององค์เจ้าชีวิตองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านไปที่อุโมงค์ฝังศพกลิ้งหินที่ปิดปากอุโมงค์ออกและนั่งบนหินก้อนนั้น ตัวของทูตสวรรค์สว่างจ้าเหมือนสายฟ้าแลบ เสื้อผ้าขาวเหมือนหิมะ เมื่อพวกทหารยามเห็นทูตสวรรค์ ก็กลัวจนตัวสั่นและล้มลงเหมือนคนตาย

ทูตสวรรค์ขององค์เจ้าชีวิตพูดกับหญิงสองคนนั้นว่า “ไม่ต้องกลัวหรอก ผมรู้ว่าพวกคุณมาหาพระเยซูที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะพระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายแล้วเหมือนกับที่พระองค์ได้พูดไว้ มาดูที่ที่เขาเคยวางร่างของพระองค์สิ รีบไปบอกพวกศิษย์ของพระองค์ว่า ‘พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว และพระองค์ล่วงหน้าไปที่แคว้นกาลิลีก่อนแล้ว พวกคุณจะพบพระองค์ที่นั่น’ นี่เป็นเรื่องที่เราเอามาบอกพวกคุณ”

ผู้หญิงทั้งสองคนรีบออกไปจากอุโมงค์ พวกเธอรู้สึกทั้งหวาดกลัวและดีใจ เขารีบวิ่งไปบอกศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้นพระเยซูก็มายืนอยู่ข้างหน้าหญิงสองคนนี้ พระองค์ทักว่า “สวัสดี” ทั้งสองคนจึงเข้ามากอดเท้าของพระองค์ไว้และก้มกราบพระองค์ 10 พระเยซูพูดกับหญิงทั้งสองคนว่า “ไม่ต้องกลัว ไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปที่แคว้นกาลิลีเถอะ พวกเขาจะพบเราที่นั่น”

ทหารยามรายงานพวกหัวหน้านักบวช

11 ขณะที่หญิงทั้งสองคนกำลังเดินทางไปนั้น ทหารยามบางส่วนเข้ามาในเมือง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พวกหัวหน้านักบวชฟัง 12 พวกหัวหน้านักบวชไปพบพวกผู้นำอาวุโสแล้ววางแผนกัน พวกเขาให้เงินพวกทหารยามจำนวนมาก 13 เขาสั่งว่า “พวกเจ้าจะต้องพูดว่า พวกศิษย์ของพระเยซูแอบมาตอนกลางคืน และขโมยศพพระเยซูไปตอนที่ทหารยามกำลังหลับอยู่ 14 ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเจ้าเมือง พวกข้าจะพูดกับเขาเอง เพื่อไม่ให้พวกเจ้าเดือดร้อน” 15 พวกทหารรับเงินไป และทำตามที่พวกเขาสั่ง ดังนั้นจึงมีข่าวลือเรื่องนี้ในหมู่ชาวยิวจนถึงทุกวันนี้

พระเยซูพูดกับศิษย์ของพระองค์

(มก. 16:14-18; ลก. 24:36-49; ยน. 20:19-23; กจ. 1:6-8)

16 พวกศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนเดินทางไปแคว้นกาลิลีเพื่อไปยังภูเขาที่พระเยซูบอกให้ไป 17 เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ก็ก้มลงกราบ แต่มีบางคนที่ยังสงสัยอยู่ 18 พระเยซูเข้ามาหาพวกเขา และพูดว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมด ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ได้มอบไว้กับเราแล้ว 19 ดังนั้นให้ออกไปทำให้คนทุกชาติมาเป็นศิษย์ของเรา ให้เขาเข้าพิธีจุ่มน้ำ เพื่อจะได้กลายเป็นของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนพวกเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราได้สั่งไว้ จำไว้ว่า เราจะอยู่กับพวกคุณเสมอ จนกว่าจะสิ้นยุค”

เอสเธอร์ 5

เอสเธอร์พูดกับกษัตริย์

ในวันที่สาม เอสเธอร์แต่งชุดราชินีเต็มยศ และยืนอยู่ที่ลานชั้นในของวัง ตรงหน้าห้องโถงของกษัตริย์ ในขณะนั้นกษัตริย์กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์หันหน้าออกมายังทางเข้าห้องโถงนั้น เมื่อกษัตริย์มองเห็นราชินีเอสเธอร์ยืนอยู่ที่ลานด้านนอก ก็ดีใจมาก พระองค์จึงยื่นคทาทองคำในมือให้เอสเธอร์ นางก็เข้ามาหากษัตริย์ในห้องโถงนั้น และนางก็จับที่ปลายคทาทองคำของกษัตริย์นั้น

แล้วกษัตริย์ก็ถามพระนางว่า “ราชินีเอสเธอร์ มีอะไรในใจหรือ เธอต้องการขออะไรจากเรา ขอมาได้เลย แม้แต่ครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเรา เราก็ยังจะยกให้เลย”

เอสเธอร์ตอบว่า “ถ้าพระองค์พอใจ ขอให้พระองค์พร้อมทั้งฮามาน มางานเลี้ยงที่หม่อมฉันได้จัดเตรียมไว้แล้วสำหรับพระองค์ในวันนี้ด้วยเถิด”

กษัตริย์จึงพูดว่า “ไปตามฮามานมาเร็ว เราจะได้ทำตามสิ่งที่เอสเธอร์ขอ”

แล้วกษัตริย์และฮามานก็ไปงานเลี้ยงที่เอสเธอร์จัดให้กับพวกเขา ในระหว่างที่พวกเขากำลังดื่มเหล้าองุ่นอยู่นั้น กษัตริย์ถามเอสเธอร์ว่า “ว่ายังไง เอสเธอร์ บอกมาสิว่าเธอต้องการขออะไรจากเรา ขอมาได้เลย แม้แต่ครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเรา เราก็ยังจะยกให้เลย”

เอสเธอร์ตอบว่า “สิ่งที่หม่อมฉันจะขอ คือ ถ้าพระองค์พอใจในตัวหม่อมฉัน และเห็นดีด้วยที่จะมอบสิ่งที่หม่อมฉันจะขอนั้น ขอให้พระองค์และฮามานกลับมาอีกครั้งหนึ่งในวันพรุ่งนี้ หม่อมฉันจะจัดงานเลี้ยงให้อีก และหม่อมฉันจะบอกว่าหม่อมฉันจะขออะไร”

ฮามานโกรธโมรเดคัย

เมื่อฮามานออกจากวังมาในวันนั้น เขามีความสุขและสบายใจมาก แต่เมื่อเขาเห็นโมรเดคัยที่รับใช้อยู่ในวัง และโมรเดคัยไม่ยอมยืนขึ้นซึ่งเป็นการเคารพเขา และไม่ได้เกรงกลัวเขาจนตัวสั่นด้วย เขาก็โกรธโมรเดคัย 10 แต่เขาได้ควบคุมอารมณ์ไว้และกลับบ้านไป แล้วฮามานให้คนไปตามพวกเพื่อนๆของเขามา รวมทั้งเศเรชภรรยาของเขาด้วย 11 แล้วฮามานก็เริ่มคุยโม้โอ้อวดถึงความร่ำรวยของเขา อวดถึงจำนวนลูกชายที่เขามี รวมทั้งเกียรติยศต่างๆที่กษัตริย์มอบให้ และโอ้อวดว่ากษัตริย์ได้เลื่อนตำแหน่งให้เขาอยู่เหนือเจ้าหน้าที่ทุกคนของพระองค์ 12 ฮามานยังโม้อีกว่า “นอกจากกษัตริย์แล้ว ก็มีแต่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ราชินีเอสเธอร์ได้เชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงที่พระนางจัดขึ้นถวายกับกษัตริย์ และข้าก็ยังได้รับเชิญให้ไปกับกษัตริย์อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ 13 แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ทำให้ข้ามีความสุขหรอก ตราบใดที่ข้ายังเห็นโมรเดคัยชาวยิว ทำหน้าที่รับใช้อยู่ในวังของกษัตริย์”

14 แล้วเศเรชภรรยาของฮามาน รวมทั้งเพื่อนๆของเขา จึงแนะนำเขาว่า “ให้คนเตรียมเสาไม้สูงห้าสิบศอกขึ้นมาไว้เสียบมันสิ และพรุ่งนี้เช้า ให้ท่านขอให้กษัตริย์เสียบโมรเดคัยไว้บนไม้นั้น จากนั้นค่อยไปงานเลี้ยงกับพระองค์อย่างมีความสุข”

ฮามานเห็นด้วยกับความคิดนี้ เขาจึงเตรียมเสาไม้ไว้

กิจการ 28

เปาโลบนเกาะมอลตา

28 หลังจากทุกคนมาถึงฝั่งอย่างปลอดภัยแล้ว พวกเราถึงรู้ว่าเกาะแห่งนี้ชื่อว่ามอลตา คนพื้นเมืองที่นี่ใจดีกับพวกเราเหลือเกิน พวกเขาก่อไฟต้อนรับพวกเราทุกคน เนื่องจากฝนเพิ่งตกและอากาศหนาว เปาโลได้เก็บกิ่งไม้กองหนึ่งมาสุมไฟ มีงูพิษตัวหนึ่งเลื้อยออกมาเพราะถูกความร้อน มันกัดติดอยู่กับมือของเปาโล เมื่อพวกคนพื้นเมืองเห็นงูห้อยอยู่ที่มือของเปาโล พวกเขาก็พูดกันว่า “คนผู้นี้ต้องเป็นฆาตกรแน่ๆถึงแม้เขาจะรอดตายจากทะเล แต่เจ้าแม่แห่งความยุติธรรม[a] ไม่ยอมให้เขารอดตายไปได้” แต่เปาโลสะบัดงูตกลงไปในกองไฟ โดยที่ตัวเขาไม่เป็นอันตรายแม้แต่นิดเดียว พวกเขาคาดว่าเปาโลคงจะต้องบวม หรือไม่ก็ล้มลงขาดใจตายทันที แต่หลังจากที่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเปาโล พวกเขาก็เปลี่ยนใจและพูดว่า เปาโลเป็นเทพเจ้า

ใกล้ๆแถวนั้น มีทุ่งหญ้าของหัวหน้าเกาะที่ชื่อว่า ปูบลิอัส เขาเชิญพวกเราเข้าไปในบ้าน และเลี้ยงดูปูเสื่อพวกเราเป็นอย่างดีถึงสามวัน พ่อของปูบลิอัสนอนป่วยเป็นไข้ และเป็นโรคบิด[b] อยู่บนเตียง เปาโลจึงเดินเข้าไปหา หลังจากที่เปาโลอธิษฐานแล้วก็วางมือบนตัวเขา แล้วเขาก็หาย เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น คนป่วยคนอื่นๆที่อยู่บนเกาะนี้ ต่างก็พากันมาให้เปาโลรักษาจนหายหมดทุกคน 10 คนบนเกาะนับถือพวกเรามาก เมื่อถึงเวลาที่จะแล่นเรือต่อไป พวกเขาจัดแจงหาสิ่งของต่างๆที่จำเป็นสำหรับการเดินทางมาให้

เปาโลเดินทางไปที่กรุงโรม

11 สามเดือนหลังจากเรือแตก พวกเราได้ลงเรือที่มาแวะพักอยู่ที่เกาะนี้ในช่วงฤดูหนาว เป็นเรือที่มาจากเมืองอเล็กซานเดรีย มีรูปพระแฝด[c]แกะสลักอยู่ที่หัวเรือ 12 พวกเรามาถึงเมืองไซราคิวส์ และพักอยู่ที่นี่สามวัน 13 จากที่นั่น พวกเราแล่นเรือต่อไปที่เมืองเรอียูม ในวันรุ่งขึ้นก็มีลมพัดมาจากทางทิศใต้ วันที่สองพวกเราก็มาถึงเมืองโปทิโอลี 14 เราพบพี่น้องบางคนที่นั่น และพวกเขาชวนให้พวกเราพักอยู่ด้วยเป็นเวลาเจ็ดวัน ต่อจากนั้นพวกเราก็เดินทางไปโรม 15 เมื่อพวกพี่น้องในกรุงโรม ได้รับข่าวเรื่องพวกเรา พวกเขาอุตส่าห์เดินทางออกมาพบพวกเราถึงตลาดอัปปีอัส[d]และโรงแรมสามหลัง[e] เมื่อเปาโลเห็นพวกเขา ก็ขอบคุณพระเจ้าและมีกำลังใจมากขึ้น

เปาโลอยู่ในกรุงโรม

16 เมื่อพวกเรามาถึงกรุงโรม เปาโลได้รับอนุญาตให้อยู่คนเดียวต่างหาก โดยมีทหารคนหนึ่งคอยเฝ้าเขาไว้ 17 หลังจากผ่านไปสามวัน เปาโลเรียกประชุมผู้นำของชาวยิว เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว เปาโลจึงพูดขึ้นว่า “พี่น้องทั้งหลาย ผมได้ถูกจับที่เมืองเยรูซาเล็มแล้วถูกส่งไปให้กับพวกโรมันเหมือนกับนักโทษ ทั้งๆที่ผมไม่ได้ต่อต้านคนของพวกเรา หรือต่อต้านประเพณีของบรรพบุรุษของพวกเราเลย 18 เมื่อพวกโรมันไต่สวนผมแล้ว ก็จะปล่อยตัวผมไป เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิดถึงกับต้องตาย 19 แต่ชาวยิวไม่ยอม ผมจึงจำเป็นต้องขอให้ซีซาร์สอบสวน ไม่ใช่เพราะผมมีเรื่องจะฟ้องร้องคนร่วมชาติของผมเอง 20 นี่เป็นเหตุที่ผมขอพบเพื่อพูดคุยกับพวกท่าน ความจริงแล้วที่ผมต้องถูกล่ามโซ่อยู่นี้ ก็เพราะเห็นแก่ความหวังของชาวอิสราเอล[f]

21 พวกผู้นำชาวยิวจึงพูดกับเปาโลว่า “พวกเรายังไม่ได้รับจดหมายอะไรเกี่ยวกับท่าน ที่มาจากแคว้นยูเดียเลย และยังไม่มีพี่น้องคนไหนที่เดินทางมาจากที่นั่น เพื่อรายงานหรือให้ร้ายเกี่ยวกับตัวท่าน 22 แต่พวกเราอยากจะได้ยินสิ่งที่ท่านคิด เพราะพวกเรารู้ว่าทุกหนแห่งต่อต้านลัทธินี้”

23 พวกเขาจึงนัดวันพบกับเปาโลอีก เมื่อถึงวันนัดพบ ก็มีคนมากกว่าเดิมมาหาเปาโลในที่พักของเขา เปาโลได้อธิบายและเป็นพยานถึงอาณาจักรของพระเจ้า พยายามชักจูงพวกนั้นให้เชื่อในพระเยซู โดยอ้างจากกฎของโมเสสและจากสิ่งที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้า เขียนไว้ เปาโลได้ทำอย่างนี้ตั้งแต่เช้าจนเย็น 24 บางคนเชื่อในสิ่งที่เขาพูด บางคนก็ไม่เชื่อ 25 เกิดการขัดแย้งกันเองในหมู่พวกเขา บางคนเริ่มเดินหนีไปหลังจากที่เปาโลพูดว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์พูดไว้ถูกต้องเลย เมื่อพูดกับบรรพบุรุษของพวกท่านผ่านทางอิสยาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้าว่า

26 ‘ให้ไปหาคนพวกนี้ และพูดกับเขาว่า
ท่านจะฟังแล้วฟังอีก
    แต่จะไม่เข้าใจ
ท่านจะมองแล้วมองอีก
    แต่จะไม่เห็นจริงๆ
27 เพราะจิตใจของคนพวกนี้ดื้อด้าน
    หูของเขาไม่เต็มใจที่จะฟัง และพวกเขาก็ปิดตาของตนเอง
ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะได้เห็นกับตา และได้ยินกับหู
    และเข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมาหาเรา
เพื่อให้เรารักษาพวกเขา’[g]

28 ดังนั้นพวกท่านควรรู้ไว้ว่า เรื่องความรอดจากพระเจ้านี้ได้ส่งไปให้คนที่ไม่ใช่ยิวแล้ว และพวกเขาจะฟัง” 29 [h]

30 เปาโลได้อยู่ในห้องที่เขาได้เช่าไว้เป็นเวลาถึงสองปีเต็ม และต้อนรับทุกคนที่มาหาเขา 31 เขาประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และสั่งสอนเกี่ยวกับองค์เจ้าชีวิตพระเยซูผู้เป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่[i] อย่างเปิดเผย โดยไม่มีใครขัดขวาง

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International