Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 26

อิสอัคโกหกอาบีเมเลค

26 ในขณะนั้นเกิดภาวะฝนแล้งอดอยากกันไปทั่วแผ่นดิน เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมัยของอับราฮัม อิสอัคจึงได้เดินทางไปเมืองเกราร์ ไปหากษัตริย์อาบีเมเลคของชาวฟีลิสเตีย พระยาห์เวห์ได้ปรากฏตัวต่ออิสอัคและพูดว่า “อย่าได้ลงไปที่อียิปต์ ให้อาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เราจะบอกให้เจ้าไปอยู่ ให้อยู่ในแผ่นดินนั้นในฐานะคนต่างชาติ และเราจะอยู่กับเจ้าและจะอวยพรเจ้า เพราะเราจะยกแผ่นดินทั้งหมดนี้ให้กับเจ้าและลูกหลานของเจ้า และเราจะทำตามสัญญาที่เราได้ให้ไว้กับอับราฮัมพ่อของเจ้า เราจะทำให้เจ้ามีลูกหลานมากมายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า และจะให้แผ่นดินทั้งหมดนี้กับลูกหลานของเจ้า และชนชาติทั้งหมดบนโลกนี้จะได้รับพรผ่านทางลูกหลาน[a] ของเจ้า เพราะอับราฮัมเชื่อฟังเรา และทำตามที่เราสั่ง เขาเชื่อฟังคำสั่ง กฎระเบียบและคำสอนต่างๆของเรา”

อิสอัคจึงได้อาศัยอยู่ในเมืองเกราร์ พวกผู้ชายในเมืองนั้นถามเขาเกี่ยวกับเมียของเขา เขาบอกว่า “นางเป็นน้องสาวของผม” เพราะอิสอัคกลัวที่จะบอกว่า “นางเป็นเมียของผม” อิสอัคคิดว่า “ไม่อย่างนั้น ผู้ชายในเมืองนี้จะฆ่าผม เพื่อชิงเรเบคาห์ เพราะนางเป็นผู้หญิงที่สวยมาก”

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนั้นเป็นเวลานาน กษัตริย์อาบีเมเลคแห่งฟีลิสเตียมองลงมาจากหน้าต่าง และเห็นอิสอัคกำลังเล้าโลมเรเบคาห์เมียของเขา อาบีเมเลคจึงเรียกอิสอัคมาและพูดว่า “ที่แท้หญิงคนนั้นก็เป็นเมียของเจ้า แล้วทำไมเจ้าถึงบอกว่า ‘นางเป็นน้องสาว’”

อิสอัคบอกว่า “เพราะข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าอาจจะตายเพราะนาง”

10 แล้วอาบีเมเลคก็พูดว่า “เจ้ารู้ไหมว่ากำลังทำอะไรลงไป ถ้ามีคนของเราไปนอนกับเมียเจ้าขึ้นมา แล้วเจ้าก็จะเป็นเหตุทำให้พวกเราทำผิดบาปอันยิ่งใหญ่”

11 แล้วอาบีเมเลคจึงออกคำสั่งกับทุกคนว่า “ใครก็ตามที่ทำร้ายชายคนนี้หรือเมียของเขา จะถูกลงโทษถึงตาย”

อิสอัคร่ำรวยขึ้น

12 อิสอัคได้หว่านเมล็ดพืชในแผ่นดินนั้น และในปีนั้นเองเขาก็ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตถึงหนึ่งร้อยเท่า และพระยาห์เวห์ได้อวยพรเขา 13 แล้วอิสอัคก็กลายเป็นคนร่ำรวย แล้วเขาก็รวยขึ้น รวยขึ้น จนร่ำรวยมหาศาล 14 เขามีทั้งฝูงวัว ฝูงแกะและข้าทาสบริวารมากมาย จนทำให้ชาวฟีลิสเตียอิจฉา 15 (พวกชาวฟีลิสเตียได้เอาของสกปรกไปถมในบ่อน้ำต่างๆจนเต็ม ใช้ไม่ได้อีก พวกทาสของอับราฮัม พ่อของอิสอัคได้ขุดบ่อน้ำพวกนี้ไว้ในสมัยของพ่อเขา) 16 กษัตริย์อาบีเมเลคพูดกับอิสอัคว่า “ไปจากพวกเราเสียเถิด เพราะเจ้ากลายเป็นผู้ที่เข้มแข็งกว่าพวกเรามาก”

17 อิสอัคจึงไปจากที่นั่น แล้วมาตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขาเกราร์ และเขาได้ตั้งรกรากอยู่ที่นั่น 18 อิสอัคได้กลับไปขุดพวกบ่อน้ำเก่าๆที่เคยขุดไว้แล้วในสมัยของอับราฮัมพ่อของเขา แต่ถูกชาวฟีลิสเตียกลบทิ้งหลังจากที่อับราฮัมเสียชีวิต อิสอัคได้ใช้ชื่อเดิมๆของบ่อน้ำเหล่านั้น ซึ่งเป็นชื่อที่พ่อของเขาได้ตั้งไว้ 19 พวกทาสของอิสอัคได้ขุดบ่อน้ำแห่งหนึ่งขึ้นในที่หุบเขา พวกเขาได้พบบ่อน้ำพุที่มีน้ำบริสุทธิ์ 20 แต่คนเลี้ยงแกะของเกราร์ได้ทะเลาะกันกับคนเลี้ยงแกะของอิสอัคและอ้างว่า “น้ำนี่เป็นของพวกเรา” อิสอัคจึงตั้งชื่อบ่อน้ำนั้นว่า “เอเสก”[b] เพราะพวกนั้นได้โต้เถียงกับเขา

21 แล้วคนรับใช้ของอิสอัคก็ไปขุดอีกบ่อหนึ่ง แต่ชาวเกราร์ก็ยังคงมาโต้เถียงและอ้างเป็นเจ้าของอีก อิสอัคจึงตั้งชื่อบ่อนี้ว่า “สิตนาห์”[c]

22 อิสอัคจึงย้ายไปจากที่นั่น และไปขุดอีกบ่อหนึ่ง และคนพวกนั้นไม่ได้ตามมาโต้เถียงแย่งมันอีก อิสอัคจึงตั้งชื่อบ่อน้ำแห่งนี้ว่า “เรโหโบท”[d] และพูดว่า “ตอนนี้พระยาห์เวห์ได้ให้ที่ว่างกับพวกเราแล้ว และเราจะเจริญเติบโตขึ้นในแผ่นดินนี้”

23 อิสอัคออกจากสถานที่นั้นขึ้นไปถึงเบเออร์เชบา 24 พระยาห์เวห์ได้ปรากฏตัวให้เขาเห็นในคืนนั้นและพูดว่า “เราคือพระเจ้าของอับราฮัมพ่อของเจ้า ไม่ต้องกลัว เพราะเราอยู่กับเจ้า เราจะอวยพรเจ้า และเราจะเพิ่มจำนวนลูกหลานของเจ้า เพราะเห็นแก่อับราฮัมผู้รับใช้ของเรา” 25 อิสอัคจึงได้สร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่น และเขาได้นมัสการพระยาห์เวห์ เขาได้ตั้งเต็นท์ขึ้นในบริเวณนั้น และให้พวกทาสของเขาขุดบ่อน้ำขึ้นบ่อหนึ่ง

26 กษัตริย์อาบีเมเลคเดินทางมาหาอิสอัคจากเมืองเกราร์ เขามาพร้อมกับอาหุสซัทที่ปรึกษา และฟีโคล์ผู้บัญชาการกองทัพของเขา

27 อิสอัคพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านมาหาข้าพเจ้าอีกทำไม ในเมื่อท่านเกลียดข้าพเจ้าและได้ขับไล่ข้าพเจ้าออกมาจากพวกท่าน”

28 แล้วพวกเขาตอบว่า “ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระยาห์เวห์อยู่กับเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงคิดจะมาขอร่วมสาบานระหว่างเจ้ากับเรา และให้เราทำข้อตกลงกับเจ้า 29 ว่าเจ้าจะไม่ทำอันตรายพวกเรา เหมือนกับที่พวกเราไม่เคยทำร้ายเจ้า พวกเราดีต่อเจ้าเสมอมา และได้ส่งเจ้าจากไปอย่างสันติ และตอนนี้เจ้าก็ได้รับพระพรจากพระยาห์เวห์”

30 ดังนั้นอิสอัคจึงจัดงานเลี้ยงให้กับพวกเขา พวกเขากินและดื่มร่วมกัน 31 ในตอนเช้าพวกเขาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และได้สาบาน[e] กัน หลังจากนั้นอิสอัคก็ได้ส่งพวกเขากลับไป และพวกเขาก็กลับไปอย่างสันติ

32 และในวันนั้นเอง ทาสของอิสอัคได้มาบอกอิสอัคเกี่ยวกับบ่อน้ำที่พวกเขากำลังขุดอยู่ว่า “พวกเราพบน้ำแล้ว” 33 อิสอัคจึงเรียกบ่อน้ำแห่งนั้นว่า “ชิบาห์”[f] เพราะอย่างนี้ เมืองนั้นจึงมีชื่อว่าเมืองเบเออร์เชบา[g] มาจนถึงทุกวันนี้

พวกเมียของเอซาว

34 เมื่อเอซาวอายุได้สี่สิบปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงสองคน คือยูดิธลูกสาวของเบเออรีชาวฮิตไทต์ กับบาเสมัทลูกสาวของเอโลนชาวฮิตไทต์เหมือนกัน 35 เมียทั้งสองคนนี้ทำให้อิสอัคและเรเบคาห์ขมขื่นเป็นอย่างมาก

มัทธิว 25

เรื่องเพื่อนเจ้าสาวสิบคน

25 ในเวลานั้นอาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนกับ เพื่อนเจ้าสาวสิบคนที่ถือตะเกียงออกมารอรับเจ้าบ่าว ในพวกเขามีห้าคนเป็นหญิงโง่ และอีกห้าคนเป็นหญิงฉลาด หญิงโง่ห้าคนนั้นเอาตะเกียงไป แต่ไม่ได้เอาน้ำมันสำรองไปด้วย แต่หญิงฉลาดห้าคนนั้นเอาน้ำมันสำรองไปพร้อมกับตะเกียงด้วย เจ้าบ่าวมาช้า หญิงสาวทั้งหมดก็ง่วงและหลับไป

เมื่อถึงเที่ยงคืน ก็มีเสียงร้องเรียกว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว ออกมาต้อนรับเร็วเข้า’

เพื่อนเจ้าสาวทั้งหมดตื่นขึ้น และเตรียมตะเกียงของตนให้พร้อม แล้วหญิงโง่ก็พูดกับหญิงฉลาดว่า ‘ขอแบ่งน้ำมันของพวกเธอให้กับพวกเราบ้างสิ ตะเกียงของพวกเราใกล้จะดับอยู่แล้ว’

หญิงฉลาดตอบว่า ‘ไม่ได้หรอก เพราะน้ำมันนี้มีไม่พอสำหรับพวกเราทุกคน พวกเธอไปหาซื้อจากคนขายน้ำมันเอาเองก็แล้วกัน’

10 ขณะที่หญิงโง่ออกไปหาซื้อน้ำมัน เจ้าบ่าวก็มาถึง เพื่อนเจ้าสาวที่พร้อมอยู่แล้วก็เข้าไปในงานแต่งงานกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ถูกปิดลง

11 ต่อมาเมื่อหญิงโง่ห้าคนนั้นกลับมา ก็ร้องเรียกว่า ‘คุณคะ คุณคะ ช่วยเปิดประตูให้พวกเราหน่อยค่ะ’

12 แต่เจ้าบ่าวตอบว่า ‘จะบอกให้ ผมไม่รู้จักคุณสักหน่อย’

13 ดังนั้นให้พร้อมอยู่เสมอ เพราะพวกคุณไม่รู้ถึงวันเวลาที่เราจะกลับมา

เรื่องทาสสามคน

(ลก. 19:11-27)

14 หรือเราอาจจะเปรียบอาณาจักรนั้นเหมือนกับชายคนหนึ่งที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ จึงเรียกพวกทาสมาและฝากทรัพย์สินให้พวกเขาดูแล 15 เขาให้เงินห้าถุงกับทาสคนหนึ่ง ให้เงินสองถุงกับทาสอีกคนหนึ่ง และให้เงินหนึ่งถุง[a] กับทาสคนสุดท้าย โดยได้แบ่งให้ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วเขาก็ออกเดินทางไป 16 ทาสที่ได้รับเงินห้าถุง เอาเงินไปค้าขายทันที และได้กำไรมาอีกห้าถุง 17 ทาสที่ได้เงินสองถุง เอาเงินไปค้าขายเหมือนกัน และได้กำไรมาอีกสองถุง 18 แต่ทาสที่ได้เงินหนึ่งถุงได้ขุดหลุมซ่อนเงินของเจ้านายไว้ในพื้นดิน

19 หลังจากเวลาผ่านไปนาน เจ้านายกลับมาและเรียกพวกเขามาถามว่าเอาเงินไปทำอะไรกันบ้าง 20 ทาสที่ได้เงินไปห้าถุงได้นำเงินกำไรอีกห้าถุงมาให้นาย และบอกว่า ‘เจ้านายครับ ท่านให้ผมดูแลเงินห้าถุง และนี่ผมได้กำไรมาอีกห้าถุง’

21 นายจึงพูดกับเขาว่า ‘เยี่ยมมาก เจ้าเป็นทาสที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าได้ซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กๆน้อยๆเราจะตั้งให้เจ้าดูแลของจำนวนมาก มาร่วมฉลองกับเรา’

22 แล้วทาสที่ได้รับเงินสองถุงก็มา และพูดว่า ‘เจ้านายครับ ท่านให้ผมดูแลเงินสองถุง ดูสิครับ ผมได้กำไรมาอีกสองถุง’

23 นายพูดกับเขาว่า ‘เจ้าทำดีมาก เจ้าเป็นทาสที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ เราจะตั้งให้เจ้าดูแลของจำนวนมาก มาร่วมฉลองกับเรา’

24 แล้วทาสที่ได้รับเงินถุงเดียวก็มา และพูดว่า ‘เจ้านายครับ ผมรู้ว่าท่านเป็นคนที่โหดร้ายทารุณ ท่านเก็บเกี่ยวในที่ดินซึ่งท่านไม่ได้ปลูก และเก็บพืชผลที่ท่านไม่ได้หว่าน 25 ผมกลัวท่าน ก็เลยเอาถุงเงินไปฝังดินซ่อนไว้ นี่ไงถุงเงินของท่าน’

26 นายจึงด่าเขาว่า ‘ไอ้ทาสชาติชั่วจอมขี้เกียจ ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ดินซึ่งข้าไม่ได้ปลูก และเก็บพืชผลที่ข้าไม่ได้หว่าน 27 ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็น่าจะเอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เพื่อว่าเมื่อข้ากลับมา ข้าก็จะได้เงินกลับมาพร้อมทั้งดอกเบี้ยด้วย’

28 แล้วเจ้านายก็บอกให้เอาถุงเงินจากเขาไปให้คนที่มีถุงเงินสิบถุง 29 เพราะคนที่ทำประโยชน์จากสิ่งที่เขามีอยู่ ก็จะได้รับเพิ่มมากขึ้นจนเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่ได้ทำประโยชน์จากสิ่งที่เขามีอยู่ ทุกสิ่งที่เขามีจะถูกริบไปจนหมดด้วย 30 จากนั้นเขาก็สั่งให้เอาตัวทาสที่ไร้ประโยชน์นี้โยนออกไปที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้โหยหวนด้วยความเจ็บปวด

บุตรมนุษย์จะพิพากษาทุกคน

31 เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาอย่างสง่างามพร้อมเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ พระองค์จะนั่งบนบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 32 คนทุกเชื้อชาติจะมารวมกันต่อหน้าบุตรมนุษย์ พระองค์จะแยกพวกเขาออกจากกัน เหมือนกับคนเลี้ยงแกะที่แยกแกะออกจากแพะ 33 พระองค์จะแยกแกะไว้ทางขวามือ และแยกแพะไว้ทางซ้ายมือ

34 กษัตริย์จะพูดกับพวกที่อยู่ทางขวามือว่า ‘พวกเจ้าที่ได้รับพรจากพระบิดาของเรา มารับอาณาจักรที่ได้เตรียมไว้สำหรับพวกเจ้าตั้งแต่เริ่มสร้างโลก 35 เพราะเมื่อเราหิว พวกเจ้าก็เลี้ยงเรา เรากระหายน้ำ เจ้าก็ให้น้ำเราดื่ม เราเป็นคนแปลกหน้า เจ้าก็ต้อนรับเราเข้าไปในบ้าน 36 เราไม่มีเสื้อผ้าใส่ เจ้าก็หาเสื้อผ้ามาให้ เราไม่สบาย เจ้าก็ดูแล เราติดคุก เจ้าก็มาเยี่ยม’

37 แล้วพวกที่ทำตามใจพระเจ้าจะตอบว่า ‘องค์เจ้าชีวิต พวกเราเคยเห็นท่านหิวและเลี้ยงท่านตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเห็นท่านกระหายน้ำ แล้วให้น้ำท่านดื่มตั้งแต่เมื่อไหร่ 38 แล้วพวกเราเคยเห็นท่านเป็นคนแปลกหน้า แล้วเชิญท่านเข้ามาในบ้าน หรือเห็นท่านไม่มีเสื้อผ้าใส่ แล้วหาเสื้อผ้ามาให้ใส่ตั้งแต่เมื่อไหร่ 39 แล้วพวกเราเห็นท่านป่วย หรืออยู่ในคุก แล้วไปเยี่ยมตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับท่าน’

40 กษัตริย์จะตอบพวกเขาว่า ‘เราจะบอกให้รู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเจ้าทำอะไรให้กับคนที่ต่ำต้อยที่สุดคนหนึ่งในหมู่พี่น้องของเรา เจ้าก็ได้ทำให้กับเราด้วย’

41 แล้วกษัตริย์หันไปตวาดใส่พวกที่อยู่ทางซ้ายมือว่า ‘ไปให้พ้น พวกที่ถูกสาปแช่ง ไปตกในกองไฟที่ไม่มีวันดับ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารและพวกผู้ช่วยของมัน 42 เพราะเมื่อเราหิว เจ้าก็ไม่ได้ให้อะไรเรากิน เรากระหายน้ำ เจ้าก็ไม่ได้ให้อะไรเราดื่ม 43 เราเป็นคนแปลกหน้า เจ้าก็ไม่ได้เชิญเราเข้าไปในบ้าน เราไม่มีเสื้อผ้าใส่ เจ้าก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเราใส่ เราไม่สบายและอยู่ในคุก เจ้าก็ไม่เคยมาดูแลเรา’

44 แล้วพวกเขาก็จะตอบว่า ‘องค์เจ้าชีวิต ตอนไหนกันที่พวกเราเห็นท่านหิวหรือกระหายน้ำ หรือเป็นคนแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้าใส่ หรือไม่สบาย หรือติดคุก แล้วพวกเราไม่ได้ช่วยเหลือท่าน’ 45 กษัตริย์จะตอบว่า ‘เราขอบอกให้รู้ว่าอะไรก็ตามที่พวกเจ้าไม่ได้ทำให้กับคนที่ต่ำต้อยที่สุดคนหนึ่งในพวกนี้ เจ้าก็ไม่ได้ทำกับเรา’

46 แล้วพวกเขาก็จะต้องไปรับโทษตลอดไป แต่คนที่ทำตามใจพระเจ้าจะเข้าสู่ชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป”

เอสเธอร์ 2

เอสเธอร์ได้ขึ้นเป็นราชินี

หลังจากนั้น เมื่อกษัตริย์อาหสุเอรัสหายโกรธแล้ว พระองค์ก็คิดถึงพระนางวัชที และสิ่งที่พระนางได้ทำไป รวมทั้งคำสั่งที่พระองค์ได้ออกมาเกี่ยวกับพระนาง พวกคนรับใช้พระองค์ได้เสนอกับกษัตริย์ว่า “น่าจะให้มีการค้นหาสาวแรกรุ่นที่บริสุทธิ์ทั้งหลายมาให้กับกษัตริย์ ขอให้พระองค์แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทุกมณฑลในอาณาจักรของพระองค์ ให้ออกไปรวบรวมสาวแรกรุ่นที่บริสุทธิ์ทั้งหลาย แล้วนำมาที่เขตวังในเมืองสุสา ให้ส่งพวกนางไปอยู่กับพวกผู้หญิงของกษัตริย์ และให้เฮกัยขันทีของกษัตริย์ ทำหน้าที่ดูแลสาวงามเหล่านี้ ให้เขาบำรุงผิวให้กับสาวงามเหล่านี้ สาวงามคนใดที่พระองค์ถูกใจ ก็จะได้เป็นราชินีแทนพระนางวัชที” กษัตริย์ชอบข้อเสนอนี้ พระองค์จึงทำตามนั้น

มีชาวยิวคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเขตวังในเมืองสุสา เขามีชื่อว่าโมรเดคัยเป็นลูกชายของยาอีร์ ที่เป็นลูกชายของชิเมอี ที่เป็นลูกชายของคีช ชาวเบนยามิน กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ของบาบิโลนได้กวาดต้อนคีช บรรพบุรุษของโมรเดคัยไปเป็นเชลยจากเมืองเยรูซาเล็ม พวกนั้นอยู่ในกลุ่มที่ถูกกวาดต้อนไปพร้อมกับเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์[a] โมรเดคัยได้ดูแลฮาดาชาห์ หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า เอสเธอร์ ซึ่งเป็นลูกสาวของลุงเขา โมรเดคัยรับเอสเธอร์มาเป็นลูก เมื่อพ่อแม่ของเธอตาย เอสเธอร์มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามมาก

เมื่อคำสั่งของกษัตริย์ถูกประกาศออกไป ก็มีหญิงแรกรุ่นเป็นจำนวนมากถูกรวบรวมมาที่เขตวังในเมืองสุสา มาอยู่ภายใต้การดูแลของเฮกัย เอสเธอร์ก็ถูกพามาที่วังของกษัตริย์ด้วย และอยู่ในความดูแลของเฮกัย ผู้ดูแลพวกผู้หญิงทั้งหลายของกษัตริย์ เฮกัยชอบเอสเธอร์ และเธอก็กลายเป็นคนโปรดของเขา ดังนั้นเฮกัยจึงรีบบำรุงผิวพรรณให้กับเอสเธอร์ และให้อาหารที่พิเศษกับนาง เขายังได้คัดเลือกหญิงรับใช้เจ็ดคนจากวังของกษัตริย์ เพื่อให้มารับใช้เอสเธอร์ หลังจากนั้นเขาได้ย้ายเอสเธอร์และสาวใช้ทั้งเจ็ดคนไปอยู่ในที่ที่ดีที่สุดของบริเวณที่พวกผู้หญิงของกษัตริย์อยู่กัน 10 เอสเธอร์ไม่ได้เปิดเผยความเป็นมาของเธอ หรือบรรพบุรุษของเธอว่าเป็นใคร เพราะโมรเดคัยได้สั่งห้ามเธอไว้ 11 โมรเดคัยจะเดินเล่นอยู่หน้าลานที่พักของพวกผู้หญิงเหล่านั้นทุกวัน เพื่อจะได้รู้ความเป็นอยู่ของเอสเธอร์ และดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง

12 ก่อนที่หญิงสาวเหล่านี้จะได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ พวกเธอจะต้องผ่านขั้นตอนการบำรุงผิวพรรณเป็นเวลาสิบสองเดือนเสียก่อน คือต้องอาบน้ำมันกำยานเป็นเวลาหกเดือน และอาบน้ำหอมอีกหกเดือน พร้อมกับตกแต่งด้วยเครื่องสำอางต่างๆ 13 ถึงตอนนั้น หญิงสาวที่จะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ก็มีสิทธิ์ที่จะขออะไรก็ได้จากที่พักของพวกนาง ติดตัวไปยังวังของกษัตริย์ 14 สาวงามแต่ละคนจะถูกส่งเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ในตอนเย็น และกลับออกมาในตอนเช้า นางจะได้ไปอยู่ในที่พักแห่งใหม่ ภายใต้การดูแลของชาอัชกาส ผู้เป็นขันทีของกษัตริย์ เขาดูแลพวกนางสนมของกษัตริย์ นางจะไม่ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์อีก นอกจากกษัตริย์จะถูกใจนาง และเรียกหาชื่อนางอีกครั้งหนึ่ง

15 เมื่อถึงเวลาที่เอสเธอร์จะต้องไปเข้าเฝ้า เธอไม่ได้ขออะไรติดตัวไปเลย นอกจากที่เฮกัยบอกให้เธอขอ เฮกัยเป็นขันทีของกษัตริย์ที่ดูแลพวกผู้หญิงเหล่านี้ เอสเธอร์ชนะใจทุกคนที่พบเห็นเธอ เอสเธอร์ผู้นี้คือลูกสาวของอาบีฮาอิลที่เป็นลุงของโมรเดคัย โมรเดคัยได้รับเธอไว้เป็นลูกสาว 16 เอสเธอร์ถูกนำตัวไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสในวังของพระองค์ ในเดือนที่สิบซึ่งเป็นเดือนเทเบท ตรงกับปีที่เจ็ดของรัชกาลของพระองค์

17 กษัตริย์รักเอสเธอร์มากกว่าหญิงอื่นใด เธอเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ และพระองค์ก็ได้เอ็นดูนางมากกว่าหญิงบริสุทธิ์ทุกคน ดังนั้นพระองค์จึงสวมมงกุฎบนศีรษะนาง และแต่งตั้งให้นางเป็นราชินีแทนพระนางวัชที 18 แล้วกษัตริย์ก็ได้จัดงานเลี้ยงอย่างใหญ่โตให้กับเอสเธอร์ เลี้ยงเจ้าหน้าที่และผู้นำทุกคนของพระองค์ พระองค์ประกาศให้วันนั้นเป็นวันหยุดสำหรับมณฑลทุกแห่ง และมอบของขวัญให้กับประชาชน เพราะพระองค์เป็นกษัตริย์ที่ใจดี

โมรเดคัยล่วงรู้แผนชั่วร้าย

19 ในขณะที่พวกคนรับใช้ของกษัตริย์กำลังรวบรวมสาวแรกรุ่นที่บริสุทธิ์อีกรอบหนึ่ง โมรเดคัยก็เป็นเจ้าหน้าที่รับใช้อยู่ในวังของกษัตริย์ 20 เอสเธอร์ยังไม่ได้เปิดเผยสัญชาติหรือประวัติของครอบครัวเธอให้ใครรู้ ตามที่โมรเดคัยได้สั่งเธอไว้ เธอยังคงเชื่อฟังโมรเดคัยเหมือนกับตอนที่เธออยู่ในความดูแลของเขา

21 ในระหว่างที่โมรเดคัยทำหน้าที่อยู่ในวังนั้น บิกธาน และเทเรช ผู้เป็นขันทีสองคนของกษัตริย์ ที่เป็นยามเฝ้าทางเข้าห้องต่างๆของกษัตริย์ เกิดโกรธแค้นกษัตริย์อาหสุเอรัสขึ้นมา จึงวางแผนฆ่าพระองค์ 22 โมรเดคัยล่วงรู้แผนนั้น เขาจึงบอกกับราชินีเอสเธอร์ และพระนางก็บอกกับกษัตริย์ นางบอกกษัตริย์ด้วยว่า โมรเดคัยเป็นคนบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้ 23 เมื่อมีการสอบสวนเรื่องนี้และพบว่าเป็นความจริง ขันทีทั้งสองจึงถูกเสียบประจาน เรื่องเหล่านี้ทั้งหมดได้ถูกจดบันทึกไว้ต่อหน้ากษัตริย์ในหนังสือเหตุการณ์รายวันของพระองค์

กิจการ 25

เปาโลขอพบซีซาร์

25 สามวันหลังจากเฟสทัสได้เป็นเจ้าเมือง เขาเดินทางจากเมืองซีซารียาไปเมืองเยรูซาเล็ม พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำชาวยิวยื่นข้อกล่าวหาเปาโลต่อเฟสทัส และอ้อนวอนเฟสทัส ให้ช่วยส่งเปาโลมาให้กับพวกเขาที่เมืองเยรูซาเล็มด้วย (พวกเขาวางแผนที่จะซุ่มฆ่าเปาโลในระหว่างทาง) เฟสทัสตอบว่า “เปาโลถูกควบคุมตัวอยู่ที่เมืองซีซารียา และอีกไม่กี่วันเราก็จะเดินทางไปที่เมืองนั้นแล้ว ให้ผู้นำของท่านบางคนเดินทางลงไปกับเราสิ แล้วไปฟ้องร้องเขาที่นั่นถ้าเขาทำอะไรผิด”

หลังจากที่พักอยู่กับพวกเขาได้แปดหรือสิบวัน เฟสทัสก็เดินทางลงไปที่ซีซารียา วันรุ่งขึ้นเขานั่งบนบัลลังก์พิพากษาและสั่งให้นำเปาโลเข้ามา ทันทีที่เปาโลมาถึง พวกคนยิวที่เดินทางมาจากเยรูซาเล็มก็มายืนล้อมเขาไว้และกล่าวหาว่าเปาโลทำผิดร้ายแรงหลายอย่าง ทั้งๆที่พวกเขาพิสูจน์ไม่ได้สักอย่าง เปาโลต่อสู้คดีด้วยตัวเองว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิดต่อกฎปฏิบัติของชาวยิว ต่อวิหาร หรือต่อซีซาร์เลย” แต่เพราะเฟสทัสอยากจะเอาใจชาวยิว เขาจึงถามเปาโลว่า “เจ้าเต็มใจจะเดินทางไปเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อชำระคดีนี้ต่อหน้าเราที่นั่นไหม”

10 เปาโลตอบว่า “ตอนนี้ ผมกำลังยืนอยู่ต่อหน้าศาลของซีซาร์ ซึ่งควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านก็รู้แล้วว่า ผมไม่ได้ทำอะไรผิดต่อชาวยิว 11 ถ้าผมทำผิดจริงหรือทำอะไรที่สมควรตาย ผมก็ยอมตายไม่ขัดขืนหรอก แต่ถ้าข้อกล่าวหาที่พวกนี้เอามาฟ้องร้องผมไม่เป็นความจริง ใครก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะส่งผมไปให้กับพวกนี้ทั้งนั้น ผมขอให้ซีซาร์สอบสวนเอง”

12 หลังจากที่เฟสทัสได้หารือกับที่ปรึกษาของเขาแล้ว ก็ตอบว่า “เจ้าขอให้ซีซาร์สอบสวน เจ้าก็จะต้องไปหาซีซาร์”

เฟสทัสถามเฮโรดอากริปปาเกี่ยวกับเปาโล

13 หลายวันต่อมา กษัตริย์อากริปปา[a] และเบอร์นิส[b] มาถึงเมืองซีซารียา เพื่อมาเยี่ยมคารวะเฟสทัส 14 หลังจากที่ทั้งสองอยู่ที่นั่นหลายวัน เฟสทัสเล่าคดีของเปาโลให้กษัตริย์ฟังว่า “มีชายคนหนึ่งที่นี่เป็นนักโทษที่เฟลิกส์ทิ้งไว้ในคุก 15 ตอนที่เราอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสชาวยิว เอาคดีของชายคนนี้มายื่นฟ้องกับเรา และขอให้เราตัดสินลงโทษให้ด้วย 16 เราบอกกับพวกเขาว่า ธรรมเนียมของชาวโรมันจะไม่ส่งมอบตัวใคร จนกว่าคนฟ้องกับคนที่ถูกฟ้องมาอยู่พร้อมหน้ากัน เพื่อให้คนที่ถูกฟ้องได้มีโอกาสแก้ข้อกล่าวหาเสียก่อน 17 เมื่อพวกเขาตามเรามาที่นี่ เราก็ไม่รอช้า วันรุ่งขึ้นเราขึ้นนั่งบนบัลลังก์พิพากษา และสั่งให้นำตัวชายคนนั้นเข้ามา 18 เมื่อพวกที่ฟ้องร้องเขายืนขึ้นกล่าวหาเขา เราก็เห็นว่าข้อกล่าวหานั้นไม่ใช่เป็นเรื่องอะไรที่ร้ายแรงอย่างที่เราคิด 19 แต่กลับเป็นการโต้เถียงกันทางด้านศาสนาของพวกเขาเอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งชื่อเยซูที่ตายไปแล้ว แต่เปาโลยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่ 20 เราไม่รู้ว่าจะสอบสวนเรื่องพวกนี้อย่างไรดี เราจึงถามเปาโลว่า เขาเต็มใจจะไปเยรูซาเล็มเพื่อชำระคดีนี้ที่นั่นหรือไม่ 21 แต่เขาร้องขอให้ซีซาร์เป็นผู้ตัดสินเขา เราจึงสั่งให้คุมขังเขาไว้ก่อนจนกว่าเราจะส่งตัวเขาไปให้ซีซาร์”

22 จากนั้นกษัตริย์อากริปปา ก็พูดกับเฟสทัสว่า “เราเองก็อยากจะฟังชายคนนี้เหมือนกัน” เฟสทัสบอกว่า “พรุ่งนี้ท่านจะได้ฟังจากเขา”

23 ในวันรุ่งขึ้น กษัตริย์อากริปปาและเบอร์นิส เดินทางมาอย่างยิ่งใหญ่อลังการและเข้าไปในห้องตัดสินคดีพร้อมกับพวกผู้บังคับบัญชากรมทหารและผู้นำคนสำคัญๆของเมือง เฟสทัสสั่งให้นำเปาโลเข้ามา 24 จากนั้นเฟสทัสก็พูดว่า “กษัตริย์อากริปปาและทุกท่านที่อยู่กับพวกเราที่นี่ ท่านเห็นชายคนนี้ไหม เขาเป็นคนที่กลุ่มคนยิวทั้งหมดทั้งในเมืองเยรูซาเล็มและที่นี่ ได้อ้อนวอนเราและได้ร้องตะโกนว่า เขาไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป 25 แต่เราไม่เห็นว่าเขาจะทำผิดอะไรถึงขั้นต้องตาย และเมื่อเขาขอให้จักรพรรดิสอบสวนเอง เราจึงตัดสินใจส่งเขาไป 26 แต่เราไม่รู้ว่าจะเขียนบอกจักรพรรดิเกี่ยวกับชายคนนี้อย่างไร เราจึงพาเขามาอยู่ต่อหน้าพวกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าท่านกษัตริย์อากริปปา เพื่อที่ว่าหลังจากการสอบสวนครั้งนี้ผ่านไปแล้ว เราอาจจะมีอะไรที่จะเขียนได้บ้าง 27 เราเห็นว่ามันจะไม่เข้าท่าเลยที่จะส่งนักโทษไปโดยไม่มีข้อกล่าวหา”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International