M’Cheyne Bible Reading Plan
คนอื่นที่เป็นเชื้อสายของอับราฮัม
(1 พศด. 1:32-33)
25 อับราฮัมแต่งงานอีก เมียคนใหม่ชื่อเคทูราห์ 2 นางได้คลอดศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบากและชูอาห์ 3 โยกชานเป็นพ่อของเชบาและเดดาน ลูกหลานของเดดานคือชาวอัสชูร[a] ชาวเลทู และชาวเลอุม 4 ลูกชายของมีเดียนคือเอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดาและเอลดาอาห์ ทั้งหมดนี้คือลูกหลานของนางเคทูราห์ 5 อับราฮัมยกทุกอย่างที่เขามีให้กับอิสอัค 6 แต่อับราฮัมก็ให้ของขวัญกับลูกชายคนอื่นๆที่เกิดจากพวกเมียน้อยของเขา และในขณะที่อับราฮัมยังมีชีวิตอยู่ เขาได้ส่งพวกนี้ไปอยู่ในดินแดนทางทิศตะวันออก[b] ส่งไปให้ไกลจากอิสอัคลูกชายของเขา
อับราฮัมตาย
7 อับราฮัมมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าปี 8 อับราฮัมหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายและตายไป เมื่อเขาแก่มากแล้ว หลังจากมีชีวิตอันยืนยาวอย่างมีความสุข เขาได้ไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของเขา 9 อิสอัคและอิชมาเอล ลูกชายของอับราฮัม ได้ฝังเขาไว้ในถ้ำมัคเปลาห์ ในท้องทุ่งของเอโฟรนลูกชายของโศหาร์ชาวฮิตไทต์ ท้องทุ่งนี้อยู่ทางทิศตะวันออกของมัมเร 10 อับราฮัมได้ซื้อท้องทุ่งนี้จากชาวฮิตไทต์ ทั้งอับราฮัมและซาราห์ถูกฝังอยู่ด้วยกันที่นั่น 11 หลังจากอับราฮัมตาย พระเจ้าได้อวยพรอิสอัคลูกชายของอับราฮัม และอิสอัคได้ตั้งรกรากอยู่ที่เบเออลาไฮรอย
ครอบครัวของอิชมาเอล
(1 พศด. 1:28-31)
12 ต่อไปนี้คือลูกหลานของอิชมาเอล ลูกชายอับราฮัมกับฮาการ์ ทาสหญิงชาวอียิปต์ของซาราห์ 13 ต่อไปนี้คือรายชื่อของลูกชายอิชมาเอลเรียงตามการเกิด คือ เนบาโยธลูกชายคนโต ต่อมาคือ เคดาร์ อัดบีเอล มิบสัม 14 มิชมา ดูมาห์ มัสสา 15 ฮาดัด เทมา เยทูร์ นาฟิชและเคเดมาห์ 16 ทั้งหมดนี้คือลูกชายของอิชมาเอล และชื่อของทั้งสิบสองคนได้กลายเป็นชื่อของหมู่บ้านและค่ายที่พวกเขาแยกย้ายไปตั้งหลักแหล่ง พวกเขากลายเป็นผู้นำของเผ่าแต่ละเผ่า ทั้งหมดสิบสองเผ่า 17 อิชมาเอลมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดปี เขาหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายและตายไปอยู่รวมกับบรรพบุรุษของเขา 18 ลูกหลานของอิชมาเอลได้ตั้งถิ่นฐานในทะเลทราย จากเมืองฮาวิลาห์จนถึงเมืองชูร์ (เมืองชูร์ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศอียิปต์ บนเส้นทางที่จะมุ่งไปอัสซีเรีย) และลูกหลานของอิชมาเอลมักจะโจมตีพวกญาติๆของเขา[c]
ครอบครัวของอิสอัค
19 ต่อไปนี้คือลูกหลานของอิสอัคลูกชายของอับราฮัม อับราฮัมเป็นพ่อของอิสอัค 20 ตอนที่อิสอัครับเอาเรเบคาห์มาเป็นเมียนั้น เขามีอายุสี่สิบปี เรเบคาห์เป็นลูกสาวของเบธูเอลคนอารัม ชาวปัดดาน อารัม[d] นางเป็นน้องสาวของลาบันคนอารัม 21 อิสอัคอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ให้กับเมียของเขาเพราะนางเป็นหมัน แล้วพระยาห์เวห์ก็ให้ตามคำอธิษฐานของเขา เรเบคาห์เมียของเขาได้ตั้งท้องขึ้น
เรเบคาห์ไปหาคำตอบจากพระเจ้า
22 เด็กดิ้นเบียดกันอยู่ในท้องของนาง นางจึงพูดว่า “ถ้าฉันจะต้องเป็นอย่างนี้ ฉันจะอยู่ไปทำไมกัน” นางจึงไปหาคำตอบจากพระยาห์เวห์ 23 พระยาห์เวห์ตอบนางว่า
“จะมีสองชาติแยกออกมาจากท้องของเจ้า
คนหนึ่งจะเข้มแข็งกว่าอีกคนหนึ่ง
และคนพี่จะรับใช้คนน้อง”
24 และเมื่อถึงวันคลอด ก็มีเด็กแฝดในท้องของนางจริงๆ 25 คนแรกผิวสีแดงเต็มไปด้วยขน เขาจึงมีชื่อว่าเอซาว[e] 26 หลังจากนั้นน้องของเขาได้คลอดออกมา และมือของเขาจับอยู่ที่ส้นเท้าของเอซาว เขาจึงมีชื่อว่ายาโคบ[f] ตอนที่สองคนนี้เกิดนั้น อิสอัคมีอายุหกสิบปี
27 เด็กทั้งสองเติบโตขึ้น เอซาวก็เป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกล้าและชอบใช้ชีวิตตามท้องทุ่ง แต่ยาโคบเป็นผู้ชายเงียบๆและชอบอยู่กับเต็นท์ 28 อิสอัครักเอซาว เพราะเขาชอบกินเนื้อสัตว์ที่เอซาวล่ามาได้ แต่เรเบคาห์รักยาโคบ
29 ครั้งหนึ่ง เมื่อยาโคบต้มซุปอยู่ เอซาวกลับจากท้องทุ่งและอ่อนเพลียเพราะความหิว 30 เอซาวพูดกับยาโคบว่า “ขอพี่กินไอ้แดงๆนั่นหน่อย ไอ้แดงๆที่อยู่ที่นั่นน่ะ พี่หิวจะตายอยู่แล้ว” เพราะอย่างนี้ เอซาวถึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าเอโดม[g]
31 แต่ยาโคบพูดว่า “ขายสิทธิพี่ชายคนโตให้น้องก่อน”[h]
32 เอซาวตอบว่า “พี่จะตายอยู่แล้ว สิทธิพี่คนโตจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า”
33 แต่ยาโคบพูดว่า “พี่ต้องสาบานกับน้องก่อน” เอซาวจึงสาบานกับเขา และขายสิทธิพี่ชายคนโตให้กับยาโคบไป 34 ยาโคบจึงเอาขนมปังกับซุปถั่วแดงมาให้เอซาวกิน เขากินและดื่ม แล้วก็ลุกจากไป ด้วยวิธีนี้ เอซาวแสดงให้เห็นว่าเขาแทบจะไม่สนใจสิทธิพี่ชายคนโตของเขาเลย
การทำลายวิหารและการกลับมาของบุตรมนุษย์
(มก. 13:1-31; ลก. 17:24-37; 21:5-33)
24 เมื่อพระเยซูกำลังเดินออกจากวิหาร พวกศิษย์มาชี้ให้พระองค์ดูตึกต่างๆของวิหาร 2 พระองค์จึงพูดกับพวกเขาว่า “เห็นตึกพวกนี้ไหม เราจะบอกให้รู้ว่า ตึกพวกนี้จะถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ซากหินเรียงซ้อนทับกันอีกเลย”
3 ในขณะที่พระเยซูกำลังนั่งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ พวกศิษย์มาหาพระองค์เป็นการส่วนตัว และพูดว่า “ช่วยบอกหน่อยครับว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้ววันที่อาจารย์จะกลับมาและวันสิ้นยุคนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วจะมีอะไรบอกเหตุให้รู้ก่อนไหมครับว่ามันจะเกิดขึ้นแล้ว”
4 พระเยซูตอบว่า “ระวังอย่าให้ใครหลอกได้ล่ะ 5 เพราะจะมีหลายคนมาแอบอ้างชื่อของเรา เขาจะบอกว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์ และทำให้หลายคนหลงเชื่อ 6 เมื่อคุณได้ยินเสียงสงครามเกิดขึ้นใกล้ๆและได้ข่าวว่ามีสงครามที่อื่น ไม่ต้องตกใจ เพราะมันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่นั่นยังไม่ใช่วันสุดท้ายของโลก 7 ชนชาติหนึ่งจะลุกฮือขึ้นต่อสู้กับอีกชนชาติหนึ่ง อาณาจักรนี้จะลุกฮือขึ้นต่อสู้กับอาณาจักรโน้น จะเกิดการกันดารอาหาร และเกิดแผ่นดินไหวหลายแห่ง 8 แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของปัญหาเหมือนเจ็บท้องเตือนก่อนคลอดลูก
9 พวกคุณจะถูกจับไปทรมานและถูกฆ่า คนทุกประเทศจะเกลียดคุณ เพราะพวกคุณเป็นศิษย์ของเรา 10 เมื่อถึงเวลานั้น จะมีหลายคนทิ้งความเชื่อไป มีการหักหลังกันและเกลียดชังกัน 11 จะมีคนมากมายมาปลอมตัวเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า และมาหลอกลวงคนจำนวนมาก 12 ความชั่วที่แพร่ไป จะทำให้ความรักของหลายคนมอดไป 13 แต่คนที่ทนได้จนถึงที่สุดจะได้รับความรอด 14 ข่าวดีเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกป่าวประกาศไปทั่วโลก เพื่อทุกชาติจะได้ยินเกี่ยวกับข่าวดีนี้ แล้วในที่สุดก็จะถึงวันสิ้นยุค
15 ‘สิ่งที่น่าขยะแขยง’[a] ที่ทำลายวิหารจนราบเรียบเป็นหน้ากลอง ตามที่ดาเนียลผู้พูดแทนพระเจ้าได้บอกไว้นั้น คุณจะได้เห็นตั้งอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” (คนอ่านต้องทำความเข้าใจกับสิ่งนี้ให้ดี) 16 “เมื่อถึงเวลานั้น ให้คนที่อยู่ในแคว้นยูเดียวิ่งหนีไปที่ภูเขา 17 อย่าให้คนที่อยู่บนดาดฟ้ากลับเข้าไปเก็บของในบ้าน 18 อย่าให้คนที่อยู่ในไร่นา กลับไปเอาเสื้อคลุม 19 ในวันนั้นจะน่ากลัวมากสำหรับผู้หญิงท้องและแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูก 20 อธิษฐานขอให้เวลาที่จะต้องหนีนั้นไม่ใช่หน้าหนาวหรือวันหยุดทางศาสนา[b] 21 เพราะในเวลานั้นจะเกิดความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่โลกได้เกิดขึ้นจนถึงเดี๋ยวนี้ และจะไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกแล้วในอนาคต 22 ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพระเจ้าไม่ทำให้วันเวลาเหล่านั้นสั้นลง ก็จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย แต่เพราะพระองค์เห็นแก่คนที่พระองค์ได้เลือกไว้ พระองค์จึงทำให้วันเวลาเหล่านั้นสั้นลง 23 ในเวลานั้นถ้ามีใครมาบอกว่า ‘ดูสิ นี่ไงพระคริสต์’ หรือ ‘โน่นไงพระองค์’ ก็อย่าไปหลงเชื่อ 24 เพราะจะมีพวกพระคริสต์จอมปลอมและพวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอมเกิดขึ้น และพวกเขาก็จะทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์กัน ถ้าเป็นไปได้พวกเขาก็จะหลอกแม้กระทั่งคนที่พระเจ้าได้เลือกไว้แล้ว 25 จำไว้นะ เราได้เตือนพวกคุณไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
26 ดังนั้น ถ้ามีใครมาบอกว่า ‘นั่นไงพระคริสต์ อยู่ในที่เปล่าเปลี่ยว’ ก็อย่าออกไป หรือถ้าคนบอกว่า ‘พระคริสต์อยู่นี่ไง ในห้องข้างในนั้น’ ก็อย่าไปหลงเชื่อ 27 เพราะเมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาปรากฏตัว จะเหมือนกับฟ้าแลบทางทิศตะวันออก ที่สามารถมองเห็นได้ในทางทิศตะวันตก 28 และก็เหมือนกับที่ซากศพอยู่ที่ไหน ก็จะเห็นฝูงแร้งอยู่ที่นั่น
29 ‘ทันทีที่วันแห่งความทุกข์ยากนั้นสิ้นสุดลง
ดวงอาทิตย์จะมืดมิด ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
ดวงดาวจะร่วงหล่นจากท้องฟ้า
พวกผู้มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะถูกสั่นคลอน’[c]
30 ในเวลานั้นจะมีสัญญาณบนท้องฟ้าบอกให้รู้ว่าบุตรมนุษย์กำลังจะเสด็จมา ประชาชนทั้งหมดบนโลกจะร้องไห้คร่ำครวญ และจะมองเห็นบุตรมนุษย์มาบนเมฆในท้องฟ้า มีฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่และบารมีอันเจิดจ้า 31 แล้วพระองค์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ออกไปด้วยเสียงแตรอันดัง พวกทูตสวรรค์จะรวบรวมคนที่พระองค์เลือกไว้แล้ว จากทั่วทุกทิศ จากขอบฟ้าด้านหนึ่งไปสุดขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง
32 ให้เรียนรู้จากต้นมะเดื่อกันเถอะ เมื่อต้นมะเดื่อเริ่มแตกกิ่งก้านและใบอ่อน พวกคุณก็ว่าใกล้ถึงหน้าร้อนแล้ว 33 เช่นเดียวกันเมื่อพวกคุณเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้น พวกคุณก็รู้ว่าเวลานั้นใกล้มาถึงแล้ว อยู่ที่หน้าประตูนี่เอง 34 เราจะบอกให้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเกิดขึ้นก่อนที่คนในรุ่นนี้จะตาย 35 สวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคำของเราจะไม่มีวันสูญหาย
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่
(มก. 13:32-37; ลก. 17:26-30, 34-36)
36 แต่ไม่มีใครรู้วันเวลานั้นเลย แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ มีแต่พระบิดาเท่านั้นที่รู้ 37 เมื่อบุตรมนุษย์จะมา ก็จะเหมือนกับในสมัยของโนอาห์ 38 ในสมัยนั้นก่อนที่น้ำจะท่วม ผู้คนได้กินและดื่มกัน แต่งงานกัน และยกลูกให้แต่งงานกัน จนกระทั่งวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ 39 คนพวกนี้ไม่รู้ตัวเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งน้ำท่วมและพัดพาคนพวกนี้ไปหมด เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน 40 ในเวลานั้น เมื่อชายสองคนกำลังทำไร่อยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ 41 เมื่อผู้หญิงสองคนกำลังโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป และอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้
42 พวกคุณ ระวังตัวไว้ให้ดี เพราะไม่รู้ว่าองค์เจ้าชีวิตจะมาเมื่อไหร่ 43 อย่าลืมว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ตัวว่า ขโมยจะขึ้นบ้านตอนไหนในเวลากลางคืน เขาก็จะคอยระวัง ไม่ปล่อยให้ขโมยงัดเข้ามาในบ้านแน่ 44 พวกคุณก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วย เพราะบุตรมนุษย์ จะมาในเวลาที่พวกคุณคาดไม่ถึง
ทาสซื่อสัตย์กับทาสชั่วช้า
(ลก. 12:41-48)
45 ใครเป็นทาสที่ซื่อสัตย์และฉลาด ที่เจ้านายมอบหมายให้ดูแลพวกทาสคนอื่นๆในบ้านเรือนของเขา และให้จัดหาอาหารให้ทาสพวกนั้นกินตามเวลา 46 เมื่อนายกลับมาเห็นทาสคนนั้นทำงานอย่างดี ทาสคนนั้นก็จะได้รับเกียรติจริงๆ 47 เราจะบอกให้รู้ว่า เจ้านายจะแต่งตั้งให้เขาดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา 48 แต่ถ้าทาสคนนั้นชั่วช้า และคิดว่า ‘นายของข้ายังไม่กลับมาหรอก’ 49 แล้วเขาเริ่มทุบตีพวกทาสคนอื่นๆและกินดื่มกับพวกขี้เมา 50 นายของเขาจะกลับมาในวันเวลาที่เขาไม่คาดคิดและไม่ทันรู้ตัว 51 นายของเขาจะตัดเขาออกเป็นชิ้นๆและไล่ให้ไปอยู่กับพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่เสียงร้องไห้โหยหวนอย่างเจ็บปวด
ราชินีวัชทีไม่เชื่อฟังคำสั่งกษัตริย์
1 เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาหสุเอรัส[a] พระองค์เป็นคนเดียวกับอาหสุเอรัสที่ครอบครองหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑล ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงคูช[b] 2 ในเวลานั้นกษัตริย์อาหสุเอรัสนั่งอยู่บนบัลลังก์ในเขตวังของเมืองสุสา
3 ในปีที่สามที่พระองค์ครองราชย์อยู่นั้น พระองค์ได้จัดงานเลี้ยงขึ้นให้กับเจ้าหน้าที่และพวกผู้นำทุกคนของพระองค์ รวมทั้งพวกแม่ทัพทั้งหลายของเปอร์เซียและมีเดีย ตลอดจนบรรดาขุนนางและพวกเจ้าหน้าที่ประจำมณฑลต่างๆ 4 งานเลี้ยงนี้ได้จัดขึ้นหนึ่งร้อยแปดสิบวัน พระองค์ได้โอ้อวดถึงความร่ำรวยอันมหาศาลของอาณาจักรของพระองค์ และสง่าราศีและบารมีอันมีค่าอย่างยิ่งยวดของพระองค์ 5 หลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยงนี้แล้ว พระองค์ก็ได้จัดงานเลี้ยงอีกงานหนึ่งขึ้นเป็นเวลาเจ็ดวัน งานนี้จัดขึ้นในสวนภายในเขตวังของพระองค์ พระองค์ได้เชิญทุกคนที่อยู่ในเขตวังของเมืองสุสา ตั้งแต่คนที่มีหน้ามีตาที่สุดไปจนถึงคนที่กระจอกงอกง่อยที่สุด 6 ภายในสวนนั้นตกแต่งด้วยเชือกที่ทำจากลินินอย่างดีและขนแกะสีม่วง คล้องกับห่วงเงินที่ติดอยู่บนเสาหินอ่อน มีเก้าอี้นอนที่ทำจากทองคำและเงิน เก้าอี้เหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ปูด้วยกระเบื้องเคลือบสลับสี ที่ประกอบขึ้นด้วยหินสีม่วง หินอ่อนสีขาว เปลือกหอยมุข และหินอ่อนสีเข้ม 7 เครื่องดื่มต่างๆใส่อยู่ในถ้วยทองคำ และถ้วยทุกใบก็แตกต่างกัน มีเหล้าองุ่นมากมายจากกษัตริย์ เพราะพระองค์ใจดี 8 ไม่มีข้อห้ามสำหรับการดื่ม เพราะกษัตริย์ได้สั่งพวกพนักงานที่อยู่ในวังทุกคน ให้บริการเครื่องดื่มกับแต่ละคนมากเท่าที่เขาต้องการ
9 ในขณะเดียวกัน ราชินีวัชทีก็ได้จัดงานเลี้ยงให้บรรดาผู้หญิงที่อยู่ในวังของกษัตริย์อาหสุเอรัสเหมือนกัน
10 ในวันที่เจ็ดของงานเลี้ยง เมื่อกษัตริย์เริ่มมึนๆจากเหล้าองุ่นแล้ว พระองค์สั่งให้เมหุมาน บิสธา ฮารโบนา บิกธา อาบักธา เศธาร์ และคารคาส ผู้เป็นขันทีทั้งเจ็ดของพระองค์ว่า 11 ให้ไปนำตัวราชินีวัชทีมาเข้าเฝ้าพระองค์ ให้นางสวมมงกุฎมาด้วย เพื่อพระองค์จะได้อวดความงามของนางต่อประชาชนทั้งหลายและต่อบรรดาเจ้าหน้าที่ เพราะนางมีความงดงามยิ่งนัก
12 แต่ราชินีวัชทีไม่ยอมมาเข้าเฝ้าตามคำสั่งของกษัตริย์ที่สั่งผ่านมาทางพวกขันทีเหล่านั้น กษัตริย์จึงโกรธและเดือดดาลมาก
13 ดังนั้นพระองค์จึงปรึกษาพวกผู้รู้ของพระองค์ ตามปกติแล้วกษัตริย์จะปรึกษาพวกผู้รู้เหล่านี้ ในเรื่องกฎหมายและขั้นตอนทางกฎหมาย 14 ผู้รู้พวกนี้ใกล้ชิดกับกษัตริย์มาก พวกเขามีชื่อว่าคารเชนา เชธาร์ อัดมาธา ทารชิช เมเรส มารเสนา และเมมูคาน ผู้รู้ทั้งเจ็ดนี้เป็นเจ้าหน้าที่ที่สำคัญมากของเปอร์เซียและมีเดีย พวกเขาเข้าเฝ้ากษัตริย์อยู่เป็นประจำ พวกเขามีอำนาจมากในอาณาจักร 15 กษัตริย์อาหสุเอรัสถามพวกเขาว่า “ตามกฎหมายแล้ว เราควรจะทำยังไงดีกับราชินีวัชที ที่นางขัดขืนคำสั่งของกษัตริย์ที่ได้สั่งผ่านไปทางพวกขันที”
16 แล้วเมมูคานได้ตอบต่อกษัตริย์ ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ทั้งหลายว่า “ราชินีวัชทีไม่เพียงแต่ทำผิดต่อกษัตริย์เท่านั้น พระนางยังทำผิดต่อเจ้าหน้าที่ทุกคนและประชาชนทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่ในทุกมณฑลของพระองค์ด้วย 17 เพราะพวกผู้หญิงทุกคนจะได้ยินถึงสิ่งที่พระนางได้ทำไป แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะพากันดูถูกสามีของตน พวกเขาจะอ้างว่า ‘ตอนที่กษัตริย์อาหสุเอรัสสั่งให้ราชินีวัชทีเข้าเฝ้า พระนางยังไม่ยอมไปเข้าเฝ้ากษัตริย์เลย’
18 ในวันนี้ พวกภรรยาของเจ้าหน้าที่ในเปอร์เซียและมีเดีย ที่ได้ยินถึงสิ่งที่ราชินีได้ทำไป ก็จะพูดอย่างนั้นเหมือนกันกับสามีของพวกเขาที่เป็นเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ และการดูถูกและความโกรธเกรี้ยวก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
19 ดังนั้นถ้าพระองค์เห็นด้วย ข้าพเจ้าขอแนะนำว่า ให้พระองค์ออกคำสั่งและให้จดบันทึกไว้ในกฎหมายของเปอร์เซียและมีเดีย ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คือ ราชินีวัชทีไม่อาจเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสได้อีกต่อไป และพระองค์จะมอบตำแหน่งราชินีของพระนาง ให้กับหญิงอื่นที่ดีกว่า 20 แล้วคำสั่งนี้ของพระองค์ จะถูกประกาศไปทั่วราชอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ แล้วพวกผู้หญิงทั้งหลายจะได้ให้เกียรติสามีของตน ไม่ว่าสามีของเขาจะเป็นคนมีหน้ามีตาหรือคนต่ำต้อยก็ตาม”
21 ทั้งกษัตริย์และพวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของพระองค์ ต่างพอใจมากกับคำแนะนำนี้ ดังนั้นกษัตริย์จึงทำตามคำแนะนำของเมมูคาน 22 จดหมายได้ถูกส่งไปทั่วทุกมณฑลของพระองค์ โดยเขียนเป็นตัวอักษรของแต่ละมณฑล และเขียนถึงแต่ละชนชาติตามภาษาของพวกเขาเอง จดหมายเหล่านี้ได้เขียนประกาศว่า “ให้ผู้ชายแต่ละคนปกครองดูแลครอบครัวของตน และให้พูดภาษาของชนชาติตัวเอง”
ชาวยิวกล่าวหาเปาโล
24 ห้าวันต่อมาอานาเนียหัวหน้านักบวชสูงสุด พวกผู้นำอาวุโสบางคน และทนายแก้ต่าง ชื่อเทอร์ทูลลัส เดินทางมาถึงเมืองซีซารียาและฟ้องร้องเปาโลต่อหน้าเจ้าเมือง 2 เมื่อเปาโลถูกเรียกเข้ามา เทอร์ทูลลัสก็กล่าวหาเปาโลต่อหน้าท่านผู้ว่าเฟลิกส์ว่า “ท่านเฟลิกส์ พวกเราอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขภายใต้การดูแลของท่านมาเป็นเวลาช้านาน และประเทศชาติของเราก็ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น เพราะท่านมองการณ์ไกล 3 พวกเรารู้สึกยินดีและขอบพระคุณยิ่งนัก สำหรับสิ่งต่างๆที่ท่านได้ทำให้กับเราในทุกๆที่ 4 เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลาของท่านมากนัก ผมขอความกรุณาท่านช่วยฟังพวกเราเล่าอย่างย่อๆ 5 เนื่องจากพวกเราพบว่า ชายคนนี้เป็นพวกชอบก่อความวุ่นวาย ปลุกปั่นให้เกิดการจลาจลในหมู่คนยิวไปทั่วโลก และเขาก็เป็นหัวหน้าลัทธินาซาเร็ธ 6-8 [a] เขายังพยายามทำให้วิหารเกิดความด่างพร้อย พวกเราเลยจับเขา ลองไต่สวนเขาดูเถอะแล้วท่านจะรู้จากปากของเขาเองว่า ทุกสิ่งที่เรากล่าวหาเขานั้นเป็นความจริง” 9 คนยิวอื่นๆก็รีบเข้ามาผสมโรง ยืนยันว่าที่เทอร์ทูลลัสพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นความจริง
เปาโลแก้ต่างให้ตนเองต่อหน้าเฟลิกส์
10 เมื่อเจ้าเมืองให้สัญญาณเปาโลพูด เขาตอบว่า “ผมรู้ว่าท่านเป็นผู้พิพากษาเหนือชนชาตินี้มาหลายปีแล้ว ผมจึงดีใจที่จะได้แก้ต่างให้ตนเองต่อหน้าท่าน 11 ท่านสามารถสอบถามได้เลยว่า ผมมาที่เมืองเยรูซาเล็มเพื่อกราบไหว้พระเจ้ายังไม่ถึงสิบสองวันเลย 12 พวกเขาก็ไม่ได้พบว่า ผมโต้เถียงกับใครในวิหาร หรือปลุกปั่นยุยงใครในที่ประชุมของชาวยิว หรือที่ไหนๆในเมือง 13 พวกเขาก็ไม่มีทางพิสูจน์ให้ท่านเห็นถึงสิ่งที่พวกเขากล่าวหาว่าผมทำ 14 ผมยอมรับต่อท่านว่า ผมได้รับใช้พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเรา ด้วยการติดตามแนวทางขององค์เจ้าชีวิตที่พวกเขาเรียกว่าเป็นลัทธินอกรีตนั้น ผมเชื่อทุกอย่างที่กฎของโมเสสและที่ผู้พูดแทนพระเจ้าเขียนขึ้น 15 และผมก็มีความหวังอย่างเดียวกับที่พวกเขามีในพระเจ้า คือความหวังที่ว่าพระเจ้าจะทำให้ทุกคนทั้งคนดีและคนชั่วฟื้นขึ้นจากความตาย 16 ผมจึงพยายามทำดีที่สุด เพื่อจะได้มีจิตสำนึกที่ถูกต้องต่อหน้าพระเจ้าและมนุษย์ทุกคน
17 หลังจากที่ผมจากเมืองเยรูซาเล็มไปหลายปี ผมได้กลับมาเพื่อเอาเงินมาช่วยเหลือคนของผมที่ยากจน และมาถวายเครื่องบูชากับพระเจ้า 18 แต่ในระหว่างที่ผมทำสิ่งเหล่านี้ในวิหาร พวกเขาพบผมตอนเพิ่งทำพิธีชำระล้าง[b] เสร็จ ไม่มีฝูงชนหรือความวุ่นวายอะไรเลย 19 มีคนยิวบางคนที่มาจากแคว้นเอเชียอยู่ที่นั่น ถ้าพวกเขามีปัญหาอะไรกับผม พวกเขาก็น่าจะมาฟ้องร้องผมต่อหน้าท่านที่นี่แล้ว 20 หรือไม่ท่านก็ให้คนพวกนี้ที่มาอยู่ที่นี่แล้ว บอกว่าผมทำผิดอะไรบ้างตอนที่ยืนอยู่ต่อหน้าที่ประชุมสภาแซนฮีดริน 21 นอกจากเรื่องนี้เรื่องเดียวคือเรื่องที่ผมได้ร้องตะโกน ตอนที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า ‘ผมถูกสอบสวนวันนี้ เพราะผมเชื่อเรื่องการตายแล้วฟื้น’”
22 แล้วเฟลิกส์ ซึ่งได้รับทราบเรื่องแนวทางขององค์เจ้าชีวิตเป็นอย่างดี ก็ได้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไป โดยพูดว่า “รอให้ผู้พันลีเซียสมาถึงก่อน เราถึงจะตัดสินคดีของเจ้า” 23 เขาสั่งนายร้อยให้เฝ้าดูแลเปาโลไว้ แต่ปล่อยให้เปาโลมีอิสระพอสมควร และให้เพื่อนๆจัดหาสิ่งที่จำเป็นมาให้ได้
เปาโลพูดกับเฟลิกส์และภรรยา
24 หลายวันต่อมา เฟลิกส์มากับดรูสิลลาภรรยาของเขาซึ่งเป็นชาวยิว เขาได้เรียกเปาโลไปพบ และฟังเปาโลพูดเกี่ยวกับความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 25 แต่เมื่อเปาโลพูดถึงการทำตามใจพระเจ้า การควบคุมตนเอง และการพิพากษาที่กำลังจะมาถึง เฟลิกส์ก็เกิดความกลัวขึ้นมา จึงตัดบทว่า “วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไปได้แล้ว ไว้เรามีเวลาแล้วจะเรียกมาใหม่” 26 ในขณะเดียวกัน เฟลิกส์ก็หวังว่าเปาโลจะให้เงินติดสินบนเขา จึงเรียกเปาโลมาพูดคุยด้วยบ่อยๆ 27 สองปีผ่านไป ปอรสิอัส เฟสทัส[c] ก็มารับตำแหน่งผู้ว่าแทนเฟลิกส์ แต่เนื่องจากเฟลิกส์อยากจะเอาใจคนยิว จึงยังคงปล่อยให้เปาโลติดอยู่ในคุก
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International