Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 24

การหาเมียให้อิสอัค

24 อับราฮัมก็แก่มากแล้ว และพระยาห์เวห์ได้อวยพรอับราฮัมในทุกเรื่อง อับราฮัมพูดกับคนรับใช้ที่ทำงานกับเขามานานที่สุด เขาคอยดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของอับราฮัม อับราฮัมบอกกับเขาว่า “เอามือเจ้ามาวางไว้ใต้ขาเรา[a] เราจะให้เจ้าสาบานกับเราต่อหน้าพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ว่าเจ้าจะไม่หาเมียให้ลูกชายของเรา จากหญิงชาวคานาอัน ที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ เจ้าต้องสาบานว่า เจ้าจะกลับไปยังประเทศของเรา ไปหาญาติพี่น้องของเรา และหาเมียให้อิสอัคลูกชายของเราจากที่นั่น”

แล้วคนรับใช้นั้นพูดกับอับราฮัมว่า “ถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมตามข้าพเจ้ามาในดินแดนแห่งนี้ล่ะครับท่าน ข้าพเจ้าควรจะพาลูกชายของท่านกลับไปยังประเทศที่ท่านจากมาหรือเปล่า”

อับราฮัมบอกกับเขาว่า “อย่าพาลูกชายของเรากลับไปที่นั่น พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ เป็นผู้ที่ได้พาเราออกมาจากบ้านของพ่อเรา และจากแผ่นดินของญาติๆเรา และเป็นผู้ที่พูดกับเรา และให้สัญญากับเราว่า ‘เราจะยกดินแดนนี้ให้กับลูกหลานของเจ้า’ พระองค์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์นำหน้าเจ้า และเจ้าจะได้หาเมียให้กับลูกชายของเราจากที่นั่น แต่ถ้าหญิงคนนั้นไม่ยอมตามเจ้ามา เจ้าก็จะเป็นอิสระจากคำสาบานที่เจ้าให้กับเรา แต่เจ้าจะต้องไม่พาลูกชายของเรากลับไปที่นั่นอย่างเด็ดขาด”

แล้วคนรับใช้นั้นได้วางมือของเขาไว้ใต้ขาของอับราฮัม และเขาได้สาบานกับอับราฮัมเกี่ยวกับเรื่องนี้

10 แล้วคนรับใช้นั้นได้เอาอูฐสิบตัวจากฝูงสัตว์ของเจ้านายไปด้วย พร้อมกับของขวัญหลายอย่างจากเจ้านายไปกับเขาด้วย เขาออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองนาโฮร์ ที่อยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย 11 เขาให้อูฐคุกเข่าพักอยู่ที่ข้างบ่อน้ำนอกเมือง ตอนนั้นเป็นเวลาเย็น พวกสาวๆทั้งหลายในเมืองจะออกมาตักน้ำกัน

12 แล้วเขาพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมเจ้านายของข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จในวันนี้ด้วยเถิด ขอโปรดแสดงความเมตตากับอับราฮัมเจ้านายของข้าพเจ้าด้วยเถิด 13 ดูเถิด ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ข้างบ่อน้ำนี้ และพวกสาวๆทั้งหลายในเมืองกำลังออกมาตักน้ำกัน 14 ขอให้มันเป็นไปตามนี้ด้วยเถิด คือเมื่อข้าพเจ้าพูดกับหญิงคนหนึ่งว่า ‘ขอดื่มน้ำจากเหยือกของเจ้าหน่อย’ ขอให้นางตอบว่า ‘ดื่มสิคะ ฉันจะตักน้ำให้อูฐของท่านดื่มด้วย’ ก็ขอให้นางเป็นคนนั้นที่พระองค์ได้แต่งตั้งให้กับอิสอัค ผู้รับใช้ของพระองค์ ด้วยวิธีนี้ ข้าพเจ้าจะได้รู้ว่าพระองค์ได้แสดงความเมตตากับเจ้านายของข้าพเจ้า”

15 และก่อนที่คนรับใช้จะพูดจบ เรเบคาห์ได้ปรากฏตัวออกมา นางเป็นลูกสาวของเบธูเอล เบธูเอลเป็นลูกชายของมิลคาห์เมียของนาโฮร์ นาโฮร์เป็นน้องชายของอับราฮัม เรเบคาห์แบกเหยือกน้ำอยู่บนบ่าของเธอ 16 เธอเป็นหญิงสาวที่สวยมาก และเป็นหญิงพรหมจารี ยังไม่เคยร่วมหลับนอนกับผู้ชายคนไหนเลย นางเดินลงไปที่บ่อน้ำและเติมน้ำจนเต็มเหยือก จากนั้นเดินกลับมา 17 คนรับใช้วิ่งไปหานางและพูดว่า “ขอเราดื่มน้ำจากเหยือกของเจ้าหน่อย”

18 นางตอบว่า “เชิญดื่มเลยค่ะท่าน” แล้วนางรีบเอาเหยือกน้ำลงจากบ่ามาถือไว้ในมือและให้เขาดื่ม 19 เมื่อนางให้เขาดื่มน้ำเสร็จแล้ว นางพูดว่า “ฉันจะตักน้ำให้อูฐท่านดื่มด้วย จนกว่าพวกมันจะดื่มเสร็จ” 20 แล้วนางรีบเทน้ำในเหยือกลงในรางจนหมด แล้ววิ่งกลับไปตักน้ำที่บ่อมาอีก และนางได้ตักน้ำให้อูฐทุกตัวของเขาดื่ม

21 คนรับใช้เฝ้ามองดูนางอยู่เงียบๆเพื่อจะได้รู้ว่า พระยาห์เวห์จะทำให้การเดินทางของเขาประสบความสำเร็จหรือไม่ 22 เมื่ออูฐทุกตัวดื่มน้ำจนเสร็จแล้ว คนรับใช้ได้เอาห่วงทองคำสำหรับใส่จมูก หนักห้ากรัมครึ่ง และกำไลข้อมือทองคำหนึ่งคู่ หนักข้างละห้าสิบห้ากรัม รวมเป็นหนึ่งร้อยสิบกรัมให้กับนาง 23 และพูดว่า “ช่วยบอกเราหน่อยว่าเจ้าเป็นลูกสาวของใคร แล้วที่บ้านพ่อเจ้าพอจะมีห้องว่างให้พวกเราพักค้างคืนได้หรือเปล่า”

24 เรเบคาห์ตอบเขาว่า “ฉันเป็นลูกสาวของเบธูเอล ลูกชายของมิลคาห์กับนาโฮร์” 25 เรเบคาห์พูดต่อไปว่า “เรามีทั้งฟางและหญ้าแห้งอย่างเหลือเฟือ และมีที่ว่างให้ท่านพักค้างคืนด้วย”

26 แล้วคนรับใช้ได้ก้มกราบนมัสการพระยาห์เวห์ 27 เขาพูดว่า “สรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมเจ้านายของข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ที่เมตตาและซื่อสัตย์ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ได้นำทางข้าพเจ้ามาจนถึงบ้านญาติๆของเจ้านายของข้าพเจ้า”

28 แล้วหญิงสาวได้วิ่งไปบอกคนในครัวเรือนของแม่นางเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด 29-30 เรเบคาห์มีพี่ชายหนึ่งคนชื่อลาบัน เรเบคาห์ได้เล่าเรื่องต่างๆที่ชายคนนั้นได้บอกกับนาง เมื่อลาบันได้ฟังและเห็นห่วงที่ใส่จมูกและกำไลบนข้อมือของน้องสาว เขาก็วิ่งไปหาชายคนนั้นที่บ่อน้ำ และพบชายคนนั้นยืนอยู่กับอูฐของเขาข้างๆบ่อน้ำ 31 ลาบันจึงพูดว่า “เชิญเข้ามาสิครับ ท่านผู้ที่พระยาห์เวห์อวยพร ท่านยืนอยู่ข้างนอกนี้ทำไม ผมได้เตรียมบ้านและสถานที่สำหรับอูฐของท่านไว้แล้ว”

32 แล้วชายคนนั้นได้เข้าไปในบ้าน แล้วลาบันให้คนขนของลงจากหลังอูฐเหล่านั้น แล้วเอาฟางมาเลี้ยงอูฐ จากนั้นเอาน้ำมาให้ชายคนนั้นและพวกชายที่มากับเขาล้างเท้ากัน 33 แล้วพวกเขาได้เอาอาหารมาวางไว้ตรงหน้าให้เขากิน แต่คนใช้ของอับราฮัมพูดว่า “ผมจะไม่กินจนกว่าจะได้พูดในสิ่งที่ผมต้องพูด” ลาบันพูดว่า “พูดมาสิ”

34 ชายคนนั้นจึงพูดว่า “ผมเป็นผู้รับใช้ของอับราฮัม 35 พระยาห์เวห์ได้อวยพรเจ้านายของผมมาก จนท่านกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ให้พวกฝูงแกะ ฝูงวัว เงิน ทอง ทาสชายหญิง ฝูงอูฐ และฝูงลา กับท่าน 36 แล้วซาราห์เมียของนายผมได้คลอดลูกชายให้กับเจ้านายผม ตอนที่นางแก่มากแล้ว และอับราฮัมได้ยกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีให้กับลูกชายของเขา 37 เจ้านายผมให้ผมสาบานกับท่าน และท่านบอกว่า ‘อย่าได้หาเมียให้กับลูกชายของเราจากลูกสาวของชาวคานาอัน ที่เรากำลังอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพวกเขานี้ 38 แต่เจ้าต้องไปที่บ้านของพ่อเรา และไปหาญาติๆของเรา และหาเมียให้ลูกของเราจากที่นั่น’ 39 แล้วผมพูดกับนายว่า ‘บางทีผู้หญิงอาจจะไม่ยอมตามผมมาก็ได้’ 40 แล้วเจ้านายบอกผมว่า ‘พระยาห์เวห์ ที่เราเชื่อฟังอยู่เสมอ จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ไปกับเจ้า พระองค์จะทำให้การเดินทางของเจ้าประสบความสำเร็จ และเจ้าจะหาเมียให้กับลูกชายเราจากญาติพี่น้องของเรา และจากครอบครัวของพ่อเรา 41 แค่เจ้าไปหาญาติพี่น้องของเรา เจ้าก็จะเป็นอิสระจากคำสาบานนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมยกลูกสาวให้มากับเจ้าก็ตาม เจ้าก็เป็นอิสระจากคำสาบานของเรา’

42 ในวันนี้ เมื่อผมมาถึงบ่อน้ำ ผมพูดว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมเจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าพระองค์จะทำให้การเดินทางของข้าพเจ้าประสบความสำเร็จล่ะก็ 43 ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ที่ข้างๆบ่อน้ำ ข้าพเจ้าจะพูดกับหญิงสาวที่ออกมาตักน้ำว่า “ขอดื่มน้ำจากเหยือกของเจ้าหน่อย” 44 และคนที่ตอบกับข้าพเจ้าว่า “เชิญสิคะ และฉันจะตักน้ำให้อูฐของท่านดื่มด้วย” ก็ขอให้นางเป็นผู้หญิงคนนั้นที่พระยาห์เวห์ได้เลือกไว้สำหรับลูกชายของเจ้านายของข้าพเจ้าด้วยเถิด’

45 ในขณะที่ผมอธิษฐานอยู่ในใจยังไม่ทันเสร็จ เรเบคาห์ก็ออกมา มีเหยือกน้ำอยู่บนบ่า นางได้เดินลงไปที่บ่อน้ำและตักน้ำ แล้วผมได้พูดกับนางว่า ‘ขอน้ำให้ผมดื่มหน่อย’ 46 นางก็รีบเอาเหยือกน้ำลงจากบ่าและพูดว่า ‘เชิญดื่มเถิด และฉันจะเอาน้ำให้กับพวกอูฐของท่านด้วย’ แล้วผมก็ดื่ม และนางก็เอาน้ำให้พวกอูฐดื่มด้วย 47 แล้วผมได้ถามนางว่า ‘เจ้าเป็นลูกสาวของใคร’ นางตอบว่า ‘ฉันเป็นลูกสาวของเบธูเอล เบธูเอลเป็นลูกชายของนาโฮร์ และมิลคาห์’ ผมจึงเอาห่วงใส่ที่จมูกของนางและเอากำไลใส่ที่แขนทั้งสองของนาง 48 แล้วผมได้ก้มกราบนมัสการพระยาห์เวห์และสรรเสริญพระองค์ พระเจ้าของอับราฮัมเจ้านายของผม พระองค์นำผมมาถูกทาง เพื่อจะได้ลูกสาวของญาติพี่น้องของเจ้านายของผม ไปให้กับลูกชายของท่าน 49 ตอนนี้ช่วยบอกผมด้วยเถอะว่า ท่านจะเอายังไง จะตกลงกับเจ้านายผมอย่างตรงไปตรงมาและสัตย์ซื่อ หรือว่าไม่ตกลง ช่วยบอกผมด้วย ผมจะได้รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป”

50 ลาบันและเบธูเอลตอบว่า “มันไม่ใช่เราหรอกที่จะบอกว่าตกลงหรือไม่ตกลง เพราะสิ่งนี้มาจากพระยาห์เวห์ 51 นี่ไง เรเบคาห์อยู่ต่อหน้าท่านแล้ว เอานางไปเถิด ให้นางไปเป็นเมียของลูกชายของนายท่าน ตามที่พระยาห์เวห์ได้พูดไว้”

52 เมื่อผู้รับใช้ของอับราฮัมได้ยินพวกเขาพูดอย่างนั้น เขาก็กราบลงกับพื้นดินต่อหน้าพระยาห์เวห์ 53 แล้วเขาก็เอาเงิน ทองคำ เสื้อผ้าทั้งหมดมอบให้กับเรเบคาห์ และยังให้ของขวัญมีราคาแพงให้กับพี่ชายและแม่ของนางด้วย 54 แล้วตัวเขาและพวกผู้ชายที่ติดตามเขามาก็กินและดื่มกัน และพักค้างคืนที่นั่น เมื่อพวกเขาลุกขึ้นในตอนเช้า เขาพูดว่า “ให้ผมกลับไปหาเจ้านายของผมด้วยเถิด”

55 แต่พี่ชายและแม่ของเรเบคาห์พูดว่า “ขอให้นางอยู่กับพวกเราอีกสักสิบวันเถิด หลังจากนั้นค่อยให้นางไป”

56 แต่ชายคนนั้นพูดกับพวกเขาว่า “อย่าให้ผมต้องคอยเลย พระยาห์เวห์ได้ทำให้การเดินทางของผมประสบความสำเร็จแล้ว ให้ผมกลับไปเถอะ ผมจะได้ไปหาเจ้านายผม”

57 พี่ชายและแม่ของเรเบคาห์จึงพูดว่า “พวกเราจะเรียกนางมาถามดูว่านางจะเอาอย่างไร” 58 แล้วพวกเขาก็เรียกเรเบคาห์และพูดกับนางว่า “เธอจะไปกับชายคนนี้หรือเปล่า”

นางตอบว่า “ฉันจะไป”

59 พวกเขาจึงส่งเรเบคาห์น้องสาวของพวกเขา และพี่เลี้ยงของนางไปกับผู้รับใช้ของอับราฮัมและคนของเขา 60 และครอบครัวของเรเบคาห์อวยพรนางว่า

“น้องสาวของพวกเรา ขอให้เธอเป็นแม่ของประชาชนล้านๆคน
    ขอให้ลูกหลานของเธอได้ยึดครองเมืองต่างๆของพวกศัตรูเขา”

61 แล้วเรเบคาห์และพวกหญิงรับใช้ของนางก็ลุกขึ้น และขึ้นขี่อูฐตามชายคนนั้นไป คนรับใช้อับราฮัมได้พาเรเบคาห์จากไป

62 ขณะนั้นอิสอัคได้เดินทางมาจากเบเออลาไฮรอย และมาอยู่อาศัยที่เนเกบ 63 อิสอัคออกไปเดินเล่น[b] ในท้องทุ่งตอนเย็น เขาเงยหน้าขึ้นมา เห็นอูฐกำลังเดินมา

64 เรเบคาห์เงยหน้าขึ้นเห็นอิสอัค นางจึงลงจากอูฐ 65 นางพูดกับคนใช้ว่า “ชายที่กำลังเดินมาจากท้องทุ่งตรงมาหาพวกเราเป็นใครกัน”

คนใช้ตอบว่า “เขาคือเจ้านายของผมเอง” นางจึงเอาผ้าคลุมหน้าไว้

66 คนใช้ได้เล่าให้อิสอัคฟังถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น 67 อิสอัคจึงพานางเข้าไปในเต็นท์ที่ซาราห์แม่ของเขาเคยอยู่ก่อนตาย แล้วเขาได้รับเอาเรเบคาห์มาเป็นเมีย เรเบคาห์ก็กลายเป็นเมียของเขา อิสอัครักนางมาก อิสอัคก็ได้รับการปลอบโยนหลังจากที่แม่ของเขาตาย

มัทธิว 23

พระเยซูเตือนให้รู้เกี่ยวกับผู้นำศาสนา

(มก. 12:38-40; ลก. 11:37-52; 20:45-47)

23 พระเยซูพูดกับฝูงชน และพวกศิษย์ของพระองค์ว่า “พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีมีอำนาจในการสอนพวกคุณเรื่องกฎของโมเสส ให้เชื่อฟังและทำตามสิ่งที่เขาสอนนั้น แต่อย่าไปทำตามสิ่งที่เขาทำเลย เพราะเขาสอนอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง เขาสร้างกฎที่เป็นภาระหนักอึ้งให้คนอื่นแบกไว้ แต่ตัวเขาเองไม่ช่วยยกแม้แต่นิ้วเดียว

เขาทำทุกอย่างเพื่ออวดคนเท่านั้น เขาทำกล่องใส่ข้อพระคัมภีร์[a] อันใหญ่กว่าธรรมดามาผูกที่หน้าผากและข้อมือ และเอาพวกพู่ห้อยที่ยาวกว่าธรรมดามาแขวนที่ชายเสื้อคลุม เขาชอบนั่งอยู่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง และนั่งในที่สำคัญที่สุดในที่ประชุม พวกเขาชอบให้คนทำความเคารพเขาที่กลางตลาด และชอบให้คนเรียกว่า ‘อาจารย์’

อย่ายอมให้ใครเรียกคุณว่า ‘อาจารย์’ เพราะคุณมีอาจารย์เพียงคนเดียว และพวกคุณก็เป็นพี่น้องกันหมด อย่าเรียกใครบนโลกนี้ว่า ‘บิดา’ เพราะคุณมีพระบิดาเพียงองค์เดียวอยู่บนสวรรค์ 10 และอย่าให้ใครมาเรียกคุณว่า ‘ครู’ เพราะคุณมีครูเพียงคนเดียวคือพระคริสต์ 11 คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พวกคุณต้องเป็นผู้รับใช้ 12 คนที่ยกตัวเองให้ใหญ่กว่าคนอื่น จะถูกกดให้ต่ำต้อยลง คนที่ถ่อมตัวลง จะถูกเชิดชูให้ยิ่งใหญ่ขึ้น

13 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด[b] เจ้าปิดหนทางคนอื่นไม่ให้ไปถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์ ตัวเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป แล้วยังไปขัดขวางไม่ให้คนอื่นที่เขาพยายามเข้าไปอีกด้วย 14 [c]

15 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อจะหาคนมานับถือศาสนาอย่างเจ้า แต่พอเจ้าได้เขามาแล้ว เจ้ากลับทำให้เขาสมควรที่จะตกนรกมากกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า

16 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นคนนำทางตาบอด พวกเจ้าสอนว่า ‘ถ้าใครสาบานต่อวิหาร ก็ไม่มีผลอะไรเลย แต่ถ้าใครสาบานต่อทองคำในวิหารนั้น เขาจะต้องทำตามคำสาบานนั้น’ 17 เจ้าคนโง่ตาบอด อันไหนสำคัญกว่ากัน ระหว่างทองคำกับวิหารที่ทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์ 18 พวกเจ้ายังพูดอีกว่า ‘ถ้าใครสาบานต่อแท่นบูชา มันไม่มีผลอะไรเลย แต่ถ้าใครสาบานต่อเครื่องเซ่นไหว้บนแท่นบูชานั้น เขาต้องทำตามคำสาบานนั้น’ 19 เจ้ามันตาบอดจริงๆ อะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างของเซ่นไหว้กับแท่นบูชาที่ทำให้ของนั้นศักดิ์สิทธิ์ 20 ด้วยเหตุนี้ คนที่สาบานต่อแท่นบูชา ก็สาบานต่อแท่นบูชารวมถึงทุกสิ่งที่อยู่บนแท่นบูชานั้นด้วย 21 คนที่สาบานต่อวิหาร ก็สาบานต่อวิหารรวมถึงพระองค์ผู้ที่อยู่ในวิหารนั้นด้วย 22 คนที่ได้สาบานต่อสวรรค์ ก็สาบานต่อบัลลังก์ของพระเจ้ารวมถึงพระองค์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นด้วย

23 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้ให้หนึ่งในสิบส่วนของทุกอย่างที่เจ้ามีกับพระเจ้า แม้แต่สะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า เจ้าก็ให้ แต่พวกเจ้ากลับมองข้ามเรื่องที่สำคัญกว่าในกฎปฏิบัตินั้น คือความยุติธรรม ความเมตตา และความซื่อสัตย์ การให้หนึ่งในสิบส่วนนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ควรทิ้งคำสอนที่สำคัญกว่านี้ด้วยเหมือนกัน 24 เจ้าคนนำทางตาบอด พวกเจ้ากรองแมลงออกจากน้ำดื่ม แต่กลับกลืนอูฐเข้าไปทั้งตัว[d]

25 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้ล้างถ้วยล้างจานแต่เพียงภายนอก แต่ภายในมีแต่ความโลภและกิเลสเต็มไปหมด 26 เจ้าฟาริสีตาบอด ทำความสะอาดภายในถ้วยชามเสียก่อน แล้วภายนอกก็จะสะอาดไปเอง

27 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าเหมือนกับอุโมงค์ฝังศพที่ทาสีขาว ข้างนอกดูสวยงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสิ่งสกปรกสารพัด 28 เหมือนกับพวกเจ้า ที่ภายนอกคนเห็นว่าเป็นคนที่ทำตามใจพระเจ้า แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความชั่วร้าย

29 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้สร้างอุโมงค์ฝังศพให้กับพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และตกแต่งอนุสาวรีย์ให้กับคนเหล่านั้นที่ทำตามใจพระเจ้า 30 แล้วเจ้าก็พูดว่า ‘ถ้าเราอยู่ในสมัยบรรพบุรุษของเรานั้น เราจะไม่ยอมร่วมมือกับเขาในการฆ่าพวกผู้พูดแทนพระเจ้าพวกนี้แน่’ 31 นี่แสดงให้เห็นว่า พวกเจ้ายอมรับว่า ตัวเองเป็นลูกหลานของคนพวกนั้นที่ฆ่าผู้พูดแทนพระเจ้า 32 ดังนั้นไปทำความบาปที่บรรพบุรุษเจ้าได้เริ่มไว้ให้เสร็จเสียสิ

33 เจ้าพวกงูร้าย พวกอสรพิษ พวกเจ้าจะหนีนรกไปพ้นได้อย่างไร 34 เราส่งพวกผู้พูดแทนพระเจ้า คนที่มีปัญญา และครูมาหาเจ้า แล้วพวกเจ้าก็จับพวกเขาไปฆ่าบ้าง ไปตรึงบนไม้กางเขนบ้าง ไปเฆี่ยนในที่ประชุมบ้าง และไล่ล่าพวกเขาหนีจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งบ้าง 35 ดังนั้นเลือดของคนที่ทำตามใจพระเจ้าที่หลั่งไหลลงบนโลกนี้จะตกลงบนพวกเจ้า ตั้งแต่เลือดของอาเบลจนถึงเลือดของเศคาริยาห์[e] ลูกของเบเรคิยาห์ที่โดนพวกเจ้าฆ่าตายระหว่างวิหารกับแท่นบูชา 36 เราจะบอกให้รู้ว่า ผลกรรมเหล่านั้นจะตกอยู่กับคนในสมัยนี้อย่างแน่นอน

พระเยซูเตือนคนในเมืองเยรูซาเล็ม

(ลก. 13:34-35)

37 เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าได้ฆ่าพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และเอาหินขว้างคนที่พระเจ้าส่งมาหาเจ้าจนตาย มีหลายครั้งที่เราอยากจะโอบลูกๆของเจ้าเข้ามาเหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าก็ไม่ยอม 38 ตอนนี้บ้านของพวกเจ้าจะถูกทิ้งให้รกร้าง 39 จากนี้ไป พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีกจนกว่าพวกเจ้าจะพูดว่า ‘ขอให้พระเจ้าอวยพรผู้ที่มาในนามขององค์เจ้าชีวิต’[f]

เนหะมียาห์ 13

คำสั่งสุดท้ายของเนหะมียาห์

13 ในวันนั้นพวกเขาอ่านหนังสือของโมเสสให้ประชาชนฟัง พวกเขาพบข้อความซึ่งเขียนไว้ว่า ไม่ควรให้ชาวอัมโมนหรือชาวโมอับเข้าในที่ประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้า เพราะชาวอัมโมนและชาวโมอับไม่ได้ให้ขนมปังและน้ำกับชาวอิสราเอล แต่กลับจ้างบาลาอัมมาสาปแช่งพวกอิสราเอล แต่พระเจ้าได้เปลี่ยนคำสาปแช่งเป็นคำอวยพร[a] เมื่อประชาชนได้ยินกฎบัญญัติ พวกเขาก็แยกคนต่างชาติออกจากคนอิสราเอล

ก่อนหน้านี้ เอลียาชีบผู้เป็นนักบวช มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลห้องต่างๆในวิหารของพระเจ้า เขาได้แต่งงานกับญาติของโทบีอาห์ชาวอัมโมน เอลียาชีบได้ยกห้องใหญ่ห้องหนึ่งให้กับโทบีอาห์ ซึ่งเป็นห้องที่มีไว้เพื่อเก็บเครื่องถวายจากเมล็ดพืช เครื่องหอม เครื่องใช้ต่างๆของวิหาร และใช้เก็บสิบเปอร์เซ็นต์ของเมล็ดพืช ของเหล้าองุ่นใหม่ และของน้ำมัน สำหรับพวกชาวเลวี พวกนักร้อง และพวกยามเฝ้าประตู และเอาไว้เก็บของที่คนนำมาถวายให้กับพวกนักบวชด้วย ตามที่บัญญัติของโมเสสสั่งไว้

ตอนที่เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้อยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม เนื่องจากผมได้กลับไปหากษัตริย์อารทาเซอร์ซีสแห่งบาบิโลน ซึ่งตรงกับปีที่สามสิบสองที่พระองค์ขึ้นครองราชย์[b] แต่ต่อมา ผมได้ขออนุญาตกษัตริย์ และกลับมายังเมืองเยรูซาเล็ม ผมได้รู้ถึงสิ่งที่เอลียาชีบผู้ชั่วร้ายได้ทำให้โทบีอาห์ นั่นคือเขาได้ยกห้องๆหนึ่งในวิหารของพระเจ้าให้กับโทบีอาห์ ผมถือว่ามันเป็นเรื่องชั่วร้ายมาก ดังนั้น ผมจึงโยนข้าวของของโทบีอาห์ออกไปนอกห้อง แล้วผมสั่งให้ชำระห้องให้บริสุทธิ์ และเอาเครื่องใช้ต่างๆของวิหารของพระเจ้า รวมทั้งเครื่องบูชาจากเมล็ดพืช และเครื่องหอม กลับไปไว้ในห้องนั้นอย่างเดิม

10 ผมยังได้รับรู้อีกว่า พวกชาวเลวีไม่ได้รับส่วนแบ่งของพวกเขา ดังนั้นพวกชาวเลวีและพวกนักร้องที่ทำหน้าที่รับใช้อยู่ในวิหาร จึงกลับไปยังไร่นาของตน 11 ผมต่อว่าพวกเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมวิหารของพระเจ้าถึงได้ถูกละเลยอย่างนี้” แล้วผมจึงรวบรวมพวกชาวเลวี และพวกนักร้องกลับไปยืนอยู่ประจำที่ของพวกเขา 12 จากนั้นพวกคนยูดาห์ทั้งหมดจึงนำสิบเปอร์เซ็นต์ของเมล็ดพืช สิบเปอร์เซ็นต์ของเหล้าองุ่นใหม่ และสิบเปอร์เซ็นต์ของน้ำมัน มาไว้ยังพวกห้องเก็บของของวิหาร

13 แล้วผมได้แต่งตั้งคนขึ้นมาดูแลห้องเก็บของเหล่านั้น คือ เชเลมิยาห์ที่เป็นนักบวช ศาโดกที่เป็นอาจารย์ และเปดายาห์ที่เป็นชาวเลวี รวมทั้งแต่งตั้งฮานัน ลูกชายศักเกอร์ ที่เป็นลูกของมัทธานิยาห์ ให้เป็นผู้ช่วยพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ ดังนั้นพวกเขาจึงมีหน้าที่แจกจ่ายส่วนแบ่งให้กับเพื่อนร่วมงานของพวกเขา

14 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า

ขอโปรดระลึกถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำให้กับพระองค์

ขอพระองค์อย่าได้ลืมการดี

ที่ข้าพเจ้าได้ทำไปอย่างสัตย์ซื่อ

เพื่อวิหารของพระเจ้าของข้าพเจ้า

และเพื่อการรับใช้ทั้งหลายในวิหารนั้น

15 ในครั้งนั้น ผมเห็นประชาชนในยูดาห์ ได้เหยียบย่ำองุ่นอยู่ในบ่อ ทั้งๆที่เป็นวันหยุดทางศาสนา แถมยังเอาเมล็ดข้าวมากมายใส่ไว้บนหลังลา รวมทั้งเหล้าองุ่น ผลองุ่น มะเดื่อ และสัมภาระอื่นๆอีกหลายอย่าง แล้วพวกเขาก็นำของทั้งหมดนี้ไปยังเมืองเยรูซาเล็มในวันหยุดทางศาสนา ผมได้เตือนพวกเขาไม่ให้ขายอาหารในวันหยุดทางศาสนา

16 พวกชาวไทระที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ได้นำปลาและของหลายอย่างมาขาย และพวกเขากำลังขายให้กับคนยูดาห์และคนที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มในวันหยุดทางศาสนา 17 ผมเถียงกับพวกขุนนางของยูดาห์ และพูดกับพวกเขาว่า “รู้ไหมว่าพวกเจ้ากำลังทำสิ่งชั่วร้ายอะไรอยู่ พวกเจ้ากำลังละเมิดความศักดิ์สิทธิ์ของวันหยุดทางศาสนา” 18 บรรพบุรุษของพวกเจ้าก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน พระเจ้าของเราถึงได้นำความหายนะมาสู่พวกเราและเมืองนี้ พวกเจ้ากำลังละเมิดความศักดิ์สิทธิ์ของวันหยุดทางศาสนา พวกเจ้ากำลังนำโทษมาสู่อิสราเอลมากขึ้น

19 ผมก็เลยทำอย่างนี้คือ ในวันก่อนวันหยุดทางศาสนา เมื่อเริ่มมืด ผมได้สั่งให้ปิดประตูเมืองเยรูซาเล็มทั้งหมด และสั่งไม่ให้เปิดจนกว่าจะเลยวันหยุดทางศาสนาไป ผมให้คนรับใช้ของผมเฝ้าเวรที่ประตู เพื่อไม่ให้มีการขนของเข้ามาในเมืองในวันหยุดทางศาสนา

20 มีครั้งหรือสองครั้งที่พวกพ่อค้าและคนขายสินค้าต่างๆมานอนค้างคืนอยู่นอกกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม 21 ผมเตือนพวกเขาว่า

“พวกเจ้ามานอนค้างคืนอยู่หน้ากำแพงเมืองทำไม ถ้าพวกเจ้าทำอย่างนี้อีก เราจะใช้กำลังกับพวกเจ้า”

หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่กลับมาในวันหยุดทางศาสนาอีกเลย

22 หลังจากนั้น ผมบอกกับพวกชาวเลวีให้ชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ และให้ไปเฝ้าระวังประตูเมือง เพื่อรักษาวันหยุดทางศาสนาให้ศักดิ์สิทธิ์

ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า

ขอโปรดระลึกถึงสิ่งนี้ที่ข้าพเจ้าได้ทำให้กับพระองค์

ขอเมตตาข้าพเจ้าด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์

23 ในครั้งนั้นผมเห็นชายชาวยูดาห์ แต่งงานกับหญิงชาวอัชโดด ชาวอัมโมน และชาวโมอับ 24 ครึ่งหนึ่งของลูกๆพวกเขา พูดภาษาอัชโดด หรือภาษาของชนชาติอื่น พวกเด็กๆเหล่านั้นพูดภาษายูดาห์ไม่เป็น 25 ผมจึงบอกคนเหล่านั้นว่าพวกเขาทำผิด และสาปแช่งพวกเขา และผมได้ทุบตีพวกเขาบางคนและดึงผมของพวกเขา และทำให้พวกเขาสาบานในนามของพระเจ้า ผมพูดว่า “พวกเจ้าจะต้องไม่ยกลูกสาวให้เป็นเมียลูกชายของคนพวกนั้น และเจ้าเองก็ต้องไม่รับเอาลูกสาวของพวกเขามาเป็นเมียลูกชายของเจ้า หรือเป็นเมียเจ้าเอง 26 ที่กษัตริย์ซาโลมอน[c]แห่งอิสราเอลได้ทำบาปนั้นเป็นเพราะพวกผู้หญิงอย่างพวกนี้ไม่ใช่หรือ ในพวกประเทศทั้งหลาย ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนที่เป็นเหมือนกับกษัตริย์ซาโลมอน ที่พระเจ้าของพระองค์ได้รักพระองค์มากขนาดนั้น พระเจ้าทำให้ซาโลมอนเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งหมด แต่เมียต่างชาติพวกนั้นทำให้พระองค์ทำบาป

27 แล้วอย่างนี้พวกเราควรฟังเจ้าหรือ และทำความชั่วที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ และทรยศต่อพระเจ้าของเราโดยแต่งงานกับพวกหญิงต่างชาติอย่างนั้นหรือ”

28 เอลียาชีบผู้เป็นนักบวชสูงสุดมีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่าเยโฮยาดา ที่เป็นลูกเขยของสันบาลลัทชาวโฮโรนาอิม ผมได้ไล่เยโฮยาดาให้ไปอยู่ห่างไกลจากผม

29 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า

ขอโปรดระลึกถึงสิ่งที่พวกเขาทำต่อพระองค์

และลงโทษพวกเขาด้วยเถิด

เพราะพวกเขาได้ทำให้ความเป็นนักบวชเสื่อมไป

พวกเขาได้ทำให้ข้อตกลงที่พระองค์ได้ทำไว้กับพวกนักบวชและพวกชาวเลวีเสื่อมไป

30 ดังนั้นผมจึงชำระพวกนักบวชและพวกชาวเลวีให้บริสุทธิ์จากวิถีทางทั้งหมดของคนต่างชาติ แล้วให้พวกเขากลับไปทำหน้าที่ที่พวกเขาต้องรับผิดชอบ 31 ผมยังได้จัดการเรื่องการหาไม้ฟืนสำหรับแท่นบูชามาตามเวลาที่ได้กำหนดไว้ และยังจัดการเรื่องการถวายผลแรกของปี

ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า

ขอโปรดระลึกถึงสิ่งนี้ที่ข้าพเจ้าได้ทำให้กับพระองค์

และขอโปรดอวยพรข้าพเจ้าด้วยเถิด

กิจการ 23

23 เปาโลจ้องมองไปที่พวกสมาชิกสภา แล้วพูดว่า “พี่น้องทั้งหลาย ผมได้ใช้ชีวิตต่อหน้าพระเจ้า โดยมีจิตใจที่บริสุทธิ์ทุกเรื่องมาตลอดจนถึงทุกวันนี้” อานาเนีย[a] ซึ่งเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด สั่งให้คนที่ยืนอยู่ใกล้กับเปาโลตบปากเปาโล แล้วเปาโลก็พูดกับอานาเนียว่า “พระเจ้าจะตบแกเหมือนกัน แกเป็นเหมือนกำแพงผุพังที่ทาสีขาว แกนั่งอยู่ตรงนั้นตัดสินผมตามกฎของโมเสส แต่แกกลับทำผิดกฎเสียเอง ด้วยการสั่งตบผมอย่างนั้นหรือ”

คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆเปาโลพูดว่า “แกกล้าดูถูกหัวหน้านักบวชสูงสุดของพระเจ้าเชียวรึ” เปาโลพูดว่า “พี่น้องครับ ผมไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด ถ้ารู้ก็คงไม่พูดอย่างนี้ เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘เจ้าจะต้องไม่แช่งด่าผู้นำประชาชนของเจ้า’”[b] พอเปาโลรู้ว่าที่ประชุมสภานี้ มีทั้งพวกสะดูสี และพวกฟารีสี เขาก็ประกาศก้องในที่ประชุมสภาว่า “พี่น้องทั้งหลาย ผมเป็นฟารีสี และเป็นลูกหลานของฟารีสีด้วย ที่ผมถูกสอบสวนนี้ก็เพราะผมเชื่อว่าคนตายจะฟื้นขึ้นมาอีก”

เมื่อเปาโลพูดอย่างนี้ พวกฟารีสีกับพวกสะดูสีก็เริ่มเถียงกัน ที่ประชุมจึงแบ่งออกเป็นสองพวก (พวกสะดูสีไม่เชื่อเรื่องทูตสวรรค์ วิญญาณ หรือการฟื้นขึ้นมาจากความตาย ส่วนพวกฟารีสีนั้นเชื่อในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด) เกิดความโกลาหลวุ่นวาย มีครูสอนกฎปฏิบัติบางคนที่เป็นฟารีสีได้ยืนขึ้นเถียงคอเป็นเอ็นว่า “พวกเราไม่เห็นว่าชายคนนี้ทำผิดอะไรเลย ไม่แน่อาจจะเป็นวิญญาณหรือทูตสวรรค์พูดกับเขาจริงๆก็ได้”

10 การโต้เถียงดุเดือดรุนแรงมากขึ้น จนผู้พันกองทัพทหารโรมันกลัวว่าเปาโลจะถูกพวกเขาฉีกออกเป็นชิ้นๆเขาจึงสั่งให้ทหารลงไปดึงตัวเปาโลให้ห่างออกมาจากคนพวกนั้น แล้วพากลับไปที่ค่ายทหาร

11 ในคืนต่อมา องค์เจ้าชีวิตได้มายืนอยู่ข้างๆเปาโลและพูดว่า “กล้าหาญไว้ เจ้าบอกเรื่องของเราที่เมืองเยรูซาเล็มยังไง เจ้าก็จะต้องทำอย่างนั้นที่กรุงโรมเหมือนกัน”

ยิวบางคนวางแผนที่จะฆ่าเปาโล

12 วันรุ่งขึ้น พวกยิวมาวางแผนกัน โดยสาบานกันว่าจะไม่กินหรือดื่มอะไรเลย จนกว่าจะฆ่าเปาโลเสียก่อน 13 มีมากกว่าสี่สิบคนที่สมรู้ร่วมคิดกันวางแผนนี้ 14 แล้วพวกเขาก็ไปบอกกับพวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสว่า “พวกเราสาบานกันว่าจะไม่กินอะไรจนกว่าจะได้ฆ่าเปาโลเสียก่อน 15 ตอนนี้ ขอให้พวกท่านและสมาชิกสภาไปร้องเรียนต่อผู้พันกองทัพทหารโรมันให้นำเปาโลมาให้กับพวกท่าน โดยแกล้งทำเป็นว่า พวกท่านอยากจะสืบสวนเรื่องของมันให้แน่ชัดยิ่งขึ้น แล้วพวกเราจะฆ่ามันก่อนที่จะมาถึงที่นี่”

16 แต่ลูกชายของน้องสาวเปาโลได้ยินเรื่องแผนการนี้ เขาจึงเข้าไปในค่ายทหารและเล่าเรื่องนี้ให้เปาโลฟัง 17 เปาโลจึงเรียกนายร้อยคนหนึ่งมาบอกว่า “พาเด็กหนุ่มคนนี้ไปหาผู้พัน เพราะเขามีบางอย่างจะบอกให้ผู้พันทราบ” 18 นายร้อยจึงนำเด็กหนุ่มคนนี้ไปหาผู้พันและรายงานว่า “นักโทษเปาโลเรียกผมให้พาเด็กหนุ่มคนนี้มาหาท่าน เพราะเขามีบางอย่างจะบอกให้ท่านทราบ” 19 ผู้พันจึงจูงเด็กหนุ่มไปยังที่ส่วนตัวแล้วถามว่า “เจ้ามีอะไรจะบอกเราหรือ”

20 เด็กหนุ่มตอบว่า “พวกยิวได้ตกลงกันที่จะขอให้ท่านนำเปาโลไปที่สภาในวันพรุ่งนี้ โดยแกล้งทำเป็นว่าพวกเขาอยากจะไต่สวนเปาโลให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น 21 อย่ายอมทำตามนั้นนะครับ เพราะมีพวกเขามากกว่าสี่สิบคนกำลังคอยซุ่มทำร้ายเปาโลอยู่ พวกเขาสาบานกันว่าจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าจะได้ฆ่าเปาโล และตอนนี้พวกเขาก็พร้อมแล้ว เพียงแต่รอให้ท่านตกลงเท่านั้น” 22 แล้วผู้พันก็ให้เด็กหนุ่มกลับไป พร้อมกับสั่งกำชับว่า “อย่าไปบอกให้ใครรู้นะว่าเจ้าได้บอกเรื่องนี้กับเรา”

เปาโลถูกส่งตัวไปที่เมืองซีซารียา

23 จากนั้นผู้พันเรียกนายร้อยของเขาสองคนมาสั่งว่า “ให้ไปเตรียมทหารสองร้อยนายกับทหารม้าเจ็ดสิบนาย และพลหอกเดินเท้าอีกสองร้อยนายให้พร้อมสำหรับเดินทางไปเมืองซีซารียา ในตอนสามทุ่มคืนนี้ 24 เตรียมม้าให้เปาโลขี่ด้วย และคุ้มกันเขาให้ไปถึงเจ้าเมืองเฟลิกส์อย่างปลอดภัย” 25 แล้วผู้พันเขียนจดหมายมีข้อความว่า

26 ถึง ท่านผู้ว่าเฟลิกส์[c]

จาก คลาวดิอัส ลีเซียส

27 ชายคนนี้ถูกชาวยิวจับกุมมา เกือบจะถูกพวกนั้นฆ่าด้วย แต่พอผมรู้ว่าเขาเป็นพลเมืองโรมัน ก็รีบนำทหารออกไปช่วยเขา 28 เนื่องจากผมอยากจะรู้ว่าพวกยิวกล่าวหาเขาด้วยเรื่องอะไร จึงได้นำตัวเขาไปที่สภาของพวกยิว 29 และผมพบว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อโต้แย้งทางด้านกฎปฏิบัติของพวกเขา ไม่เห็นว่าจะมีอะไรร้ายแรงถึงกับต้องตายหรือติดคุกเลย 30 พอผมรู้ว่ามีพวกยิวบางคนวางแผนจะฆ่าเขา ผมจึงรีบส่งเขามาให้ท่านทันที แล้วผมก็สั่งให้พวกนั้นที่กล่าวหาเขามาฟ้องร้องเขากับท่าน

31 พวกทหารทำตามที่นายพันสั่ง ในคืนนั้นเองพวกทหารพาเปาโลออกเดินทางไปที่เมืองอันทิปาตรีส์ 32 ในวันต่อมา พวกทหารเดินเท้าให้ทหารม้าพาเปาโลเดินทางต่อ ส่วนพวกเขากลับค่ายไป 33 เมื่อพวกทหารม้ามาถึงเมืองซีซารียา ก็ได้นำจดหมายไปให้เจ้าเมือง พร้อมกับมอบตัวเปาโลให้กับเขา 34 เจ้าเมืองอ่านจดหมาย และถามเปาโลว่ามาจากแคว้นไหน เมื่อรู้ว่ามาจากแคว้นซีลีเซีย 35 เจ้าเมืองจึงพูดว่า “เมื่อผู้กล่าวหาเจ้ามาถึง เราจะฟังคำให้การของเจ้า” และเขาสั่งให้ควบคุมตัวเปาโลไว้ในวังที่เฮโรด[d] สร้างขึ้น

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International