Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 23

ซาราห์ตาย

23 ซาราห์มีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดปี นางตายที่เมืองคิริยาทอารบา (คือเมืองเฮโบรน) ในแคว้นคานาอัน อับราฮัมเศร้าโศกเสียใจมาก เขาร้องไห้ให้กับซาราห์ อับราฮัมลุกขึ้นยืนอยู่ด้านข้างของร่างเมียเขาและพูดกับชาวฮิตไทต์ว่า “ผมเป็นคนต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่กับพวกท่าน ขอให้พวกท่านแบ่งที่ดินให้กับผมบ้าง เพื่อผมจะได้ใช้ฝังร่างของเมียผม”

ชาวฮิตไทต์จึงตอบอับราฮัมว่า “ฟังเรานะท่าน ท่านเป็นเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ท่ามกลางพวกเรา เลือกที่ฝังศพที่ดีที่สุดของพวกเรา ใช้ฝังเมียท่านได้เลย ไม่มีใครหวงแหนที่ฝังศพของเขาหรือขัดขวางท่านจากการฝังศพนาง”

อับราฮัมจึงลุกขึ้นโค้งคำนับชาวฮิตไทต์ และพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าท่านยินดีที่จะให้ผมฝังศพเมียผมแล้วละก็ ช่วยไปพูดกับเอโฟรนลูกชายของโศหาร์ให้กับผมหน่อย ช่วยบอกให้เขาขายถ้ำมัคเปลาห์ที่เขาเป็นเจ้าของ ที่อยู่ตรงท้ายทุ่งของเขาให้กับผมหน่อย ขอให้เขาขายผมเต็มราคาต่อหน้าพวกท่าน เพื่อผมจะได้เป็นเจ้าของเอาไว้สำหรับฝังศพ”

10 เอโฟรนก็นั่งอยู่ที่นั่นท่ามกลางชาวฮิตไทต์ เอโฟรนชาวฮิตไทต์ได้ตอบอับราฮัมไป และชาวฮิตไทต์ที่เข้ามาอยู่ที่ประตูเมืองก็ได้ยินกันหมดทุกคน เอโฟรนพูดว่า 11 “ไม่ได้หรอกท่าน ฟังผมนะ ผมจะยกท้องทุ่งนั้นพร้อมกับถ้ำให้กับท่าน ต่อหน้าประชาชนของผม ผมยกมันให้กับท่าน เอาไปฝังศพเมียของท่านได้เลย”

12 แล้วอับราฮัมโค้งคำนับต่อชาวฮิตไทต์ 13 อับราฮัมพูดกับเอโฟรนต่อหน้าประชาชนของแผ่นดินนั้นว่า “ฟังผมหน่อย ผมจะจ่ายค่าท้องทุ่งนั้น รับมันไว้เถิด และผมจะได้ฝังศพไว้ที่นั่น”

14 เอโฟรนตอบอับราฮัมว่า 15 “ท่านครับ ฟังผมนะ ที่ดินผืนนั้นมีราคาเท่ากับเงินสี่กิโลครึ่ง[a] เท่านั้นเอง มันไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับท่านและผม เอาศพไปฝังเถิด”

16 อับราฮัมฟังเอโฟรน แล้วอับราฮัมชั่งเงินให้กับเอโฟรน ตามที่เอโฟรนได้พูดไว้ต่อหน้าชาวฮิตไทต์ เป็นเงินสี่กิโลครึ่ง ตามน้ำหนักทั่วไปที่พ่อค้าใช้กันในสมัยนั้น

17 ที่ดินของเอโฟรนในมัคเปลาห์ ทางตะวันออกของมัมเร ที่ดินและถ้ำในนั้น ต้นไม้ทั้งหมดบนที่ดินนั้น และพื้นที่รอบๆก็ได้กลายเป็นของอับราฮัม ถูกต้องตามกฎหมาย 18 ต่อหน้าชาวฮิตไทต์ ที่เข้ามาอยู่ที่ประตูเมืองทุกคน 19 หลังจากนั้นอับราฮัมจึงฝังศพซาราห์เมียของเขาในถ้ำที่อยู่บนท้องทุ่งของมัคเปลาห์ ทางตะวันออกของมัมเร (คือเฮโบรน) บนแผ่นดินคานาอัน 20 ที่ดินและถ้ำนั้นจึงกลายเป็นสมบัติของอับราฮัมตามกฏหมาย อับราฮัมซื้อมันมาจากชาวฮิตไทต์ เอาไว้เป็นที่ฝังศพ

มัทธิว 22

เรื่องคนที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยง

(ลก. 14:15-24)

22 พระเยซูเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้พวกเขาฟังอีกว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนกับกษัตริย์ ที่ได้เตรียมงานแต่งงานให้กับลูกชาย แล้วกษัตริย์ได้เชิญแขกเหรื่อมากมาย เมื่อเตรียมงานเสร็จแล้ว กษัตริย์ส่งทาสไปบอกแขกเหล่านั้นว่า มาได้แล้ว แต่กลับไม่มีใครมา กษัตริย์จึงส่งทาสคนอื่นไปอีกให้ไปบอกพวกแขกเหรื่อนั้นว่า ‘เราได้ฆ่าวัวและลูกวัวอ้วนพีไว้แล้ว ทุกอย่างพร้อมแล้ว มางานเลี้ยงได้แล้ว’

แต่ไม่มีใครสนใจ ต่างก็ไปทำธุระของตัวเอง คนหนึ่งไปทำสวน อีกคนหนึ่งไปทำการค้า คนที่เหลือก็จับพวกทาสมาทุบตีและฆ่าทิ้ง กษัตริย์โกรธแค้นมาก ก็เลยส่งกองทัพมาทำลายคนที่ฆ่าพวกทาสของเขา และเผาเมืองของพวกนั้นทิ้งไป

แล้วกษัตริย์พูดกับพวกทาสว่า ‘งานแต่งงานก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่แขกที่เราเชิญนั้นไม่เหมาะสมที่จะมางานนี้ ออกไปตามหัวถนนต่างๆเจอใครก็เชิญมาให้หมด’ 10 พวกทาสจึงออกไปตามถนนและเชิญทุกคนที่พวกเขาเจอทั้งดีและชั่ว จนมีแขกเต็มห้องโถง

11 เมื่อกษัตริย์เข้ามาดูแขกเหรื่อ ก็เห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวไม่เหมาะสมกับงาน 12 พระองค์จึงพูดว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เข้ามาได้อย่างไร ชุดใส่สำหรับงานแต่งก็ไม่มี’ ชายคนนั้นก็ไม่มีคำแก้ตัว 13 พระองค์จึงสั่งพวกทาสว่า ‘มัดมือมัดเท้ามัน แล้วโยนออกไปที่มืดข้างนอกที่มีเสียงคนร้องไห้โหยหวนอย่างเจ็บปวด’

14 มีหลายคนที่ได้รับเชิญมา แต่มีน้อยคนที่ถูกเลือกไว้”

คำถามเกี่ยวกับการเสียภาษี

(มก. 12:13-17; ลก. 20:20-26)

15 แล้วพวกฟาริสีก็ออกไปวางแผนหาทางจับผิดคำพูดของพระเยซู 16 พวกเขาจึงส่งลูกศิษย์ของตัวเอง กับพวกที่สนับสนุนกษัตริย์เฮโรดไปถามพระเยซูว่า “อาจารย์ เรารู้ว่าอาจารย์เป็นคนซื่อสัตย์และสอนความจริงที่พระเจ้าต้องการให้คนทำตาม อาจารย์ไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เพราะอาจารย์ไม่เห็นแก่หน้าใครอยู่แล้ว 17 ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกหน่อยว่า มันถูกต้องตามกฎหรือเปล่าที่จะต้องจ่ายภาษีให้กับซีซาร์”

18 แต่พระเยซูรู้ถึงเจตนาที่ชั่วร้ายของพวกเขา พระองค์ย้อนว่า “ไอ้พวกหน้าซื่อใจคด แกพยายามหาเรื่องจับผิดเราทำไม 19 เอาเหรียญที่ใช้เสียภาษีมาให้ดูหน่อย” พวกเขายื่นเหรียญเงินให้พระองค์เหรียญหนึ่ง 20 พระองค์ถามว่า “นี่รูปใคร และมีชื่อใครอยู่บนเหรียญนี้”

21 พวกเขาตอบว่า “ซีซาร์” พระองค์บอกพวกเขาว่า “ของๆซีซาร์ก็ให้กับซีซาร์ ของๆพระเจ้าก็ให้กับพระเจ้า”

22 เมื่อได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็ตะลึงอึ้งไปเลย แล้วพากันจากไป

พวกสะดูสีจับผิดพระเยซู

(มก. 12:18-27; ลก. 20:27-40)

23 ในวันเดียวกันนั้น พวกสะดูสีซึ่งเป็นพวกที่เชื่อว่าคนตายแล้วจะไม่ฟื้น ได้มาถามพระเยซูว่า 24 “อาจารย์ โมเสสบอกพวกเราว่า ‘ถ้าชายคนไหนตายและยังไม่มีลูก น้องชายของเขาต้องแต่งกับหญิงม่ายคนนั้น จะได้มีลูกไว้สืบสกุลให้กับพี่ชายของเขา’ 25 ครั้งหนึ่ง มีพี่น้องอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงานแล้วตายไป แต่ยังไม่มีลูก เขาได้ทิ้งภรรยาของเขาไว้ให้กับน้องชาย 26 แล้วน้องชายคนที่สองก็ตายและไม่มีลูก น้องชายคนที่สามก็เหมือนกันไปจนถึงคนที่เจ็ด 27 ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 28 ในวันที่ทุกคนฟื้นขึ้นมาจากความตาย ทีนี้เธอจะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนนั้นก็เคยเป็นสามีของเธอ”

29 พระเยซูตอบว่า “พวกคุณนี่ผิดถนัดเลย นี่เป็นเพราะพวกคุณไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และไม่รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้า 30 เมื่อคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ก็จะไม่มีการแต่งงาน หรือยกให้เป็นผัวเมียกันอีกแล้ว แต่พวกเขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ 31 ในเรื่องการฟื้นขึ้นจากความตายนั้น พวกคุณไม่เคยอ่านเลยหรือ ที่พระเจ้าพูดว่า 32 ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[a] ดังนั้นพระเจ้าเป็นพระเจ้าของคนที่มีชีวิต ไม่ใช่ของคนตาย”

33 เมื่อฝูงชนได้ยินอย่างนี้ ต่างก็ทึ่งในคำสอนของพระองค์

กฎข้อไหนสำคัญที่สุด

(มก. 12:28-34; ลก. 10:25-28)

34 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูทำให้พวกสะดูสีถึงกับอึ้งไปเลย พวกเขาก็มาชุมนุมกัน 35 คนหนึ่งในพวกเขาที่คล่องกฎของโมเสสมาก ได้มาทดสอบพระเยซูว่า 36 “อาจารย์ ในกฎของโมเสส คำสั่งข้อไหนสำคัญที่สุดครับ”

37 พระเยซูจึงตอบว่า “‘รักองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของคุณอย่างสุดใจ สุดจิต และสิ้นสุดความคิด’[b] 38 นี่คือคำสั่งข้อแรกและข้อสำคัญที่สุด 39 ส่วนคำสั่งข้อสองที่สำคัญรองลงมาคือ ‘รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง’[c] 40 กฎปฏิบัติทั้งหมดและสิ่งที่ผู้พูดแทนพระเจ้า เขียนไว้ ก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งสองข้อนี้”

พระเยซูถามว่าพระคริสต์เป็นใคร

(มก. 12:35-37; ลก. 20:41-44)

41 ขณะที่พวกฟาริสียังชุมนุมกันอยู่ที่นั่น พระเยซูได้ถามพวกเขาว่า 42 “คิดอย่างไรเกี่ยวกับพระคริสต์ เขาเป็นลูกของใคร” พวกฟาริสีตอบว่า “เป็นลูกของดาวิด”

43 พระเยซูจึงถามต่อว่า “แล้วทำไมดาวิด ซึ่งพูดโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงเรียกเขาว่า ‘องค์เจ้าชีวิต’ และพูดว่า

44 ‘พระเจ้าพูดกับองค์เจ้าชีวิตของผมผู้เป็นพระคริสต์ว่า
“นั่งลงทางขวามือของเรา
    จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านถูกเหยียบอยู่ใต้เท้าของท่าน”’[d]

45 ถ้าดาวิดเรียกพระคริสต์ว่า ‘องค์เจ้าชีวิต’ แล้วเขาจะเป็นลูกของดาวิดได้อย่างไร”

46 ไม่มีใครตอบพระเยซูได้สักคน นับตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรพระองค์อีกเลย

เนหะมียาห์ 12

พวกนักบวชและพวกชาวเลวี

12 พวกนักบวช และพวกชาวเลวี ที่มาเมืองเยรูซาเล็ม พร้อมกับเศรุบบาเบลลูกชายของเชอัลทิเอล กับเยชูอาคือ เสไรอาห์ เยเรมียาห์ เอสรา อามาริยาห์ มัลลูค ฮัทธัช เชคานิยาห์ เรฮูม เมเรโมท อิดโด กินเนธอย อาบียาห์ มิยามิน มาอาดียาห์ บิลกาห์ เชไมอาห์ โยยาริบ เยดายาห์ สัลลู อาโมค ฮิลคียาห์ และเยดายาห์ คนเหล่านี้คือพวกหัวหน้านักบวช และพี่น้องของพวกเขาในสมัยของเยชูอา

พวกชาวเลวี ก็มี เยชูอา บินนุย ขัดมีเอล เชเรบิยาห์ ยูดาห์ และมัทธานิยาห์ มัทธานิยาห์และเพื่อนร่วมงานของเขา มีหน้าที่จัดการเรื่องเพลงขอบคุณพระเจ้า เพื่อนร่วมงานของพวกเขาคือ บัคบูคิยาห์ และอุนโน สองคนนี้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพวกเขา ในช่วงที่รับใช้ด้วยเสียงเพลงอยู่นั้น 10 เยชูอาเป็นพ่อของโยยาคิม โยยาคิมเป็นพ่อของเอลียาชีบ เอลียาชีบเป็นพ่อของโยยาดา 11 และโยยาดาเป็นพ่อของโยนาธาน โยนาธานเป็นพ่อของยาดดูวา

12 ในสมัยของโยยาคิม ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของหัวหน้าครอบครัวนักบวช คือ

เมรายาห์ เป็นหัวหน้าครอบครัวเสไรอาห์

ฮานันยาห์ เป็นหัวหน้าครอบครัวเยเรมียาห์

13 เมชุลลามเป็นหัวหน้าครอบครัวเอสรา

เยโฮฮานันเป็นหัวหน้าครอบครัวอามาริยาห์

14 โยนาธาน เป็นหัวหน้าครอบครัวมัลลูคี

โยเซฟ เป็นหัวหน้าครอบครัวเชบานิยาห์

15 อัดนา เป็นหัวหน้าครอบครัวฮาริม

เฮลคาย เป็นหัวหน้าครอบครัวเมราโยท

16 เศคาริยาห์ เป็นหัวหน้าครอบครัวอิดโด

เมชุลลาม เป็นหัวหน้าครอบครัวกินเนโธน

17 ศิครี เป็นหัวหน้าครอบครัวอาบียาห์[a] เป็นหัวหน้าครอบครัวมินยามิน

ปิลทัยเป็นหัวหน้าครอบครัวโมอัดยาห์

18 ชัมมุอา เป็นหัวหน้าครอบครัวบิลกาห์

เยโฮนาธัน เป็นหัวหน้าครอบครัวเชไมอาห์

19 มัทเธนัย เป็นหัวหน้าครอบครัวโยยาริบ

อุสซีเป็นหัวหน้าครอบครัวเยดายาห์

20 คาลลัย เป็นหัวหน้าครอบครัวสัลลัย

เอเบอร์ เป็นหัวหน้าครอบครัวอาโมค

21 ฮาชาบิยาห์ เป็นหัวหน้าครอบครัวฮิลคียาห์ เนธันเอลเป็นหัวหน้าครอบครัวเยดายาห์

22 ในสมัยของเอลียาชีบ โยยาดา โยฮานัน และยาดดูวาได้มีการบันทึกรายชื่อของพวกหัวหน้าครอบครัวชาวเลวี ในสมัยของกษัตริย์ดาริอัส[b]แห่งเปอร์เซีย ได้มีการจดรายชื่อของพวกนักบวช 23 รายชื่อของพวกหัวหน้าครอบครัวชาวเลวี ได้จดบันทึกไว้ในหนังสือมาจนถึงสมัยของโยฮานัน ลูกชายของเอลียาชีบ 24 พวกหัวหน้าของพวกชาวเลวีได้แก่ ฮาชาบิยาห์ เชเรบิยาห์ เยชูอา

บินนุย ขัดมีเอล และเพื่อนร่วมงานของพวกเขาที่ยืนอยู่ตรงข้ามพวกเขาที่ร้องสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า ตามคำสั่งของดาวิดคนของพระเจ้า และมีอีกกลุ่มหนึ่งร้องตอบกลับมาจากฝั่งตรงข้าม

25 มัทธานิยาห์ บัคบูคิยาห์ โอบาดีห์ เมชุลลาม ทัลโมน และอักขูบ เป็นยามเฝ้าประตู ยืนเฝ้าอยู่ตามประตูทั้งหลายข้างๆพวกห้องเก็บของ 26 คนเหล่านี้รับใช้อยู่ในสมัยของโยยาคิม ลูกชายเยชูอาที่เป็นลูกโยซาดัก และในสมัยที่เนหะมียาห์เป็นเจ้าเมือง และเอสราเป็นนักบวชและอาจารย์

พิธีมอบถวายกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม

27 เมื่อถึงเวลามอบถวายกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม พวกเขาพากันค้นหาพวกชาวเลวีจากทั่วทุกหนแห่ง และพาพวกเขามาที่เมืองเยรูซาเล็ม เพื่อเฉลิมฉลองพิธีมอบถวายกำแพงด้วยความยินดี มีคณะนักร้องขับร้องเพลงขอบคุณพระเจ้า และมีการร้องเพลง ด้วยฉาบ พิณใหญ่ และพิณเล็ก

28 พวกเขาได้ไปรวบรวมพวกนักร้องมาจากมณฑลรอบๆเมืองเยรูซาเล็ม และจากหมู่บ้านต่างๆของเมืองเนโทฟาห์ 29 เมืองเบธกิลกาล และจากทุ่งนาเกบา และอัสมาเวท เนื่องจากพวกนักร้อง ได้สร้างหมู่บ้านของตนขึ้นล้อมรอบเมืองเยรูซาเล็ม

30 บรรดานักบวชและพวกชาวเลวี ต่างชำระตนให้บริสุทธิ์ และชำระประชาชน รวมทั้งประตูและกำแพงเมืองให้บริสุทธิ์

31 จากนั้น ผมจึงนำพวกหัวหน้าของยูดาห์ ขึ้นไปบนกำแพงเมือง และแต่งตั้งคณะนักร้องใหญ่ขึ้นสองกลุ่ม ไว้ร้องเพลงขอบคุณพระเจ้า นักร้องกลุ่มแรกไปทางขวาของกำแพงไปจนถึงประตูกองขยะ 32 ถัดจากพวกเขาไปคือโฮชายาห์ และพวกหัวหน้ายูดาห์ ครึ่งหนึ่ง 33 รวมทั้งอาซาริยาห์ เอสรา เมชุลลาม 34 ยูดาห์ เบนยามิน เชไมอาห์ และเยเรมียาห์ 35 และมีพวกนักบวชบางคนที่มีแตร รวมทั้งมีเศคาริยาห์ ลูกชายโยนาธาน ที่เป็นลูกชายเชไมอาห์ ที่เป็นลูกชายมัทธานิยาห์ ที่เป็นลูกชายมีคายาห์ ที่เป็นลูกชายศักเกอร์ ที่เป็นลูกชายอาสาฟ 36 รวมทั้งพวกญาติพี่น้องของเขาคือ เชไมอาห์ อาซาเรล มิลาลัย กิลาลัย มาอัย เนธันเอล ยูดาห์ และฮานานี พร้อมกับเครื่องดนตรีของดาวิดคนของพระเจ้า เอสราผู้เป็นอาจารย์ เดินนำหน้าพวกเขา 37 พวกเขาเดินไปจนถึงประตูน้ำพุ แล้วพวกเขาเดินตรงขึ้นบันไดของเมืองดาวิด[c] ผ่านทางบันไดที่ขึ้นไปบนกำแพงเมือง ผ่านวังของดาวิด ไปถึงประตูน้ำที่อยู่ทางทิศตะวันออก

38 คณะนักร้องกลุ่มที่สองที่ร้องขอบคุณพระเจ้า เดินไปทางซ้าย และผมกับอีกครึ่งหนึ่งของพวกผู้นำประชาชน ได้เดินตามพวกเขาไปบนกำแพง ผ่านหอคอยเตาอบ ไปจนถึงกำแพงกว้าง 39 ผ่านประตูเอฟราอิม และประตูเมืองเก่า[d] ประตูปลา หอคอยฮานันเอล หอคอยร้อยพล จนถึงประตูแกะ และมาหยุดที่ประตูยาม 40 นักร้องขอบคุณพระเจ้าทั้งสองกลุ่มยืนประจำที่ในวิหารของพระเจ้า เช่นเดียวกับผมและเจ้าหน้าที่ครึ่งหนึ่งที่อยู่กับผม 41 นักบวชที่มีแตร คือเอลียาคิม มาอาเสอาห์ มินยามิน มีคายาห์ เอลีโอเอนัย เศคาริยาห์ และฮานันยาห์ 42 และมีนักบวชชื่อ มาอาเสอาห์ เชไมอาห์ เอเลอาซาร์ อุสซี เยโฮฮานัน มัลคิยาห์ เอลาม และเอเซอร์

บรรดานักร้องต่างร้องเพลง มียิสรายาห์เป็นหัวหน้าพวกเขา 43 ในวันนั้น พวกเขาพากันถวายเครื่องบูชาอันยิ่งใหญ่ด้วยความยินดี เพราะพระเจ้าทำให้พวกเขามีความสุขสนุกสนานรื่นเริงยิ่งนัก พวกผู้หญิงและเด็กต่างก็พากันรื่นเริงด้วย เสียงรื่นเริงในเยรูซาเล็มนั้นได้ยินไปไกล

44 ในช่วงนั้น พวกเขาได้เลือกผู้ชายบางคนขึ้นมาเพื่อดูแลพวกห้องเก็บของ ที่เอาไว้เก็บของถวาย เก็บพวกผลผลิตแรกของปี เก็บของที่คนเอามาถวายจากสิบเปอร์เซ็นต์ของผลผลิตของเขา ผู้ชายพวกนี้จะต้องเก็บรวบรวมผลผลิตจากพวกไร่นาที่เป็นของเมือง ตามที่กฎของโมเสสได้กำหนดไว้ให้ประชาชนเอามาให้กับพวกนักบวช และพวกเลวี คนยูดาห์พอใจกับพวกนักบวชและพวกเลวีเหล่านั้นที่รับใช้อยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ 45 พวกนักบวชและพวกเลวี ทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าของพวกเขา และทำพิธีชำระต่างๆ ส่วนพวกนักร้อง และพวกยามเฝ้าประตูก็ทำหน้าที่ของตนตามคำสั่งของดาวิดและซาโลมอนผู้เป็นลูกชายเขา 46 นานมาแล้ว ในสมัยของดาวิด และอาสาฟ พวกเขามีคณะผู้นำนักร้อง และผู้นำสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า

47 ดังนั้นในสมัยของเศรุบบาเบล และในสมัยของเนหะมียาห์ คนอิสราเอลทั้งหมดจึงได้แบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้กับพวกนักร้องและพวกยามเฝ้าประตูตามความต้องการในแต่ละวัน พวกเขายังแบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้แก่พวกชาวเลวี และพวกชาวเลวีก็ได้แบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้แก่ผู้สืบเชื้อสายมาจากอาโรน

กิจการ 22

เปาโลพูดกับประชาชน

22 “ท่านผู้อาวุโสและพี่น้องทั้งหลาย โปรดฟังคำอธิบายของผมสักนิดเถอะ” เมื่อพวกเขาได้ยินเปาโลพูดเป็นภาษาอารเมค พวกเขายิ่งเงียบลง จากนั้นเปาโลพูดว่า “ผมเป็นคนยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย แต่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูในเมืองเยรูซาเล็มนี้ ผมเป็นศิษย์ของกามาลิเอล[a] และเขาได้อบรมสั่งสอนผมให้ทำตามกฎของบรรพบุรุษของพวกเราอย่างเคร่งครัด ผมเป็นคนที่เคร่งต่อพระเจ้ามาก เหมือนกับพวกท่านในตอนนี้ ผมเคยข่มเหงคนที่เดินตามแนวทางขององค์เจ้าชีวิตจนถึงตาย และจับพวกเขาทั้งชายและหญิงไปขังคุก ทั้งหัวหน้านักบวชสูงสุด และผู้นำอาวุโสทั้งหมดเป็นพยานให้กับผมได้ พวกเขาได้ออกจดหมายแนะนำตัวผมให้กับพี่น้องชาวยิวในเมืองดามัสกัส ผมจะได้ไปที่นั่นเพื่อจับคนพวกนั้นที่เดินตามทางของพระเยซู แล้วส่งกลับมาเข้าคุกที่เมืองเยรูซาเล็ม

ทำไมเปาโลถึงมาติดตามพระเยซู

เมื่อผมเดินทางใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส เป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน จู่ๆก็มีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าส่องลงมารอบตัวผม ผมก็ล้มลงบนพื้นและได้ยินเสียงพูดว่า ‘เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม’ ผมถามไปว่า ‘พระองค์เป็นใครกัน’ พระองค์ตอบว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธ คนที่เจ้าข่มเหงไง’ คนทั้งหลายที่อยู่กับผมก็เห็นแสงสว่างนั้นด้วย แต่พวกเขาไม่เข้าใจเสียงที่พูดกับผมนั้น 10 ผมถามว่า ‘แล้วข้าพเจ้าจะต้องทำอะไร องค์เจ้าชีวิต’ องค์เจ้าชีวิตก็บอกว่า ‘ลุกขึ้นและเข้าไปในเมืองดามัสกัส ที่นั่นจะมีคนบอกเองว่าเจ้าจะต้องทำอะไรบ้าง’ 11 เพราะความจ้าของแสงนั้นทำให้ผมมองอะไรไม่เห็นเลย เพื่อนร่วมทางของผมต้องมาจูงผมเข้าไปในเมืองดามัสกัส

12 มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนีย[b] เป็นคนที่ทำตามกฎของโมเสสอย่างเคร่งครัด และเป็นคนที่มีชื่อเสียงดีในหมู่คนยิวในเมืองนั้น 13 เขามาหาผม และยืนอยู่ข้างๆพูดว่า ‘น้องเซาโล ขอให้กลับเห็นได้อีก’ แล้วผมก็มองเห็นเขาทันที 14 เขาพูดว่า ‘พระเจ้าของบรรพบุรุษเรา ได้เลือกน้องให้รู้ถึงความต้องการของพระองค์ และให้น้องเห็นพระเยซูผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้า และให้น้องได้ยินเสียงของพระองค์ด้วย 15 เพื่อน้องจะได้บอกให้กับทุกคนรู้ถึงสิ่งที่น้องได้เห็นและได้ยินมาเกี่ยวกับพระองค์ 16 ตอนนี้น้องยังมัวคอยอะไรอยู่อีก ลุกขึ้นและเข้าพิธีจุ่มน้ำเพื่อล้างบาปของน้องให้หมดไป คือร้องเรียกให้องค์เจ้าชีวิตช่วย’

17 เมื่อผมกลับไปเมืองเยรูซาเล็มและกำลังอธิษฐานอยู่ในวิหาร ผมก็เคลิ้มไม่รู้สึกตัวไป 18 แล้วผมก็เห็นพระเยซูพูดกับผมว่า ‘รีบออกไปจากเมืองเยรูซาเล็มเร็ว เพราะคนที่นี่จะไม่เชื่อในเรื่องของเราที่เจ้าจะบอกพวกเขา’ 19 แล้วผมก็พูดว่า ‘องค์เจ้าชีวิต คนพวกนี้รู้ว่าข้าพเจ้าเคยเข้าไปในที่ประชุมชาวยิว แห่งแล้วแห่งเล่า เพื่อจับคนพวกนั้นที่เชื่อถือพระองค์ไปขังคุกและเฆี่ยนตี 20 เมื่อสเทเฟน คนที่เป็นพยานของพระองค์ถูกฆ่า ข้าพเจ้าก็ยืนอยู่ตรงนั้นและเห็นดีด้วยกับการทำอย่างนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนเฝ้าเสื้อผ้าของคนพวกนั้นที่ฆ่าสเทเฟน’ 21 แล้วพระองค์ก็พูดกับผมว่า ‘ไปเถิด เราจะส่งเจ้าไปไกลๆไปหาคนที่ไม่ใช่ยิว’”

22 ฝูงชนฟังเปาโลพูดมาตลอด แต่พอได้ยินเปาโลพูดอย่างนี้ ก็พากันร้องตะโกนขึ้นมาว่า “กำจัดมันไปจากโลกนี้ มันสมควรตาย” 23 พวกเขาร้องตะโกนไป เหวี่ยงเสื้อผ้าทิ้งไป[c] และขว้างปาฝุ่นละอองขึ้นไปในอากาศ[d] 24 ผู้พันกองทัพทหารโรมันจึงสั่งให้นำเปาโลเข้าไปในค่ายทหาร เขาสั่งให้ไต่สวนเปาโลด้วยการเฆี่ยนตี เพื่อจะได้รู้ว่า ทำไมผู้คนถึงได้ร้องตะโกนต่อต้านเขาอย่างนั้น 25 แต่พอพวกทหารกำลังขึงเปาโลเพื่อจะเฆี่ยนตี เปาโลพูดกับนายร้อยที่ยืนอยู่ตรงนั้นว่า “ถูกกฎหมายแล้วหรือที่จะเฆี่ยนตีพลเมืองโรมันโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าทำผิดอะไร”

26 เมื่อนายร้อยได้ยินอย่างนั้น เขาจึงเดินไปพูดกับผู้พันกองทัพทหารโรมันว่า “ท่านครับ รู้หรือเปล่าว่าท่านกำลังจะทำอะไรลงไป ชายคนนี้เป็นพลเมืองโรมันนะครับ” 27 ผู้พันกองทัพทหารโรมันเดินเข้าไปถามเปาโลว่า “บอกหน่อยสิว่า แกเป็นพลเมืองโรมันหรือ” เปาโลตอบว่า “เป็นครับ” 28 ผู้พันจึงตอบว่า “เราต้องเสียเงินก้อนใหญ่ทีเดียวถึงจะได้เป็นพลเมืองโรมัน” เปาโลพูดว่า “แต่ผมเป็นตั้งแต่เกิดแล้ว”

29 คนพวกนั้นที่กำลังจะไต่สวนเปาโล ก็ผงะถอยไปทันที แม้แต่ผู้พันกองทัพทหารโรมันก็เกิดความกลัวขึ้นมา เมื่อรู้ว่าคนที่เขาสั่งให้ล่ามโซ่นั้นเป็นพลเมืองโรมัน

เปาโลพูดกับสภาแซนฮีดริน

30 วันต่อมาผู้พันกองทัพทหารโรมัน ก็ปล่อยตัวเปาโล แต่เพราะเขาอยากจะรู้ว่าทำไมเปาโลถึงถูกชาวยิวกล่าวหา เขาจึงสั่งให้พวกผู้นำนักบวชและสมาชิกสภาแซนฮีดรินทั้งหมดมาประชุมกัน และเขาพาเปาโลออกมายืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International