Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 22

พระยาห์เวห์ลองใจอับราฮัม

22 หลังจากเหตุการณ์พวกนี้ พระเจ้าได้ลองใจอับราฮัมดู พระองค์พูดกับเขาว่า “อับราฮัม”

อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่”

พระองค์พูดอีกว่า “ให้เอาอิสอัคลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของเจ้า พาเขาไปที่แผ่นดินของแคว้นโมริยาห์ เอาเขาไปถวายเป็นเครื่องเผาบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งที่เราจะบอกกับเจ้า”

อับราฮัมจึงตื่นแต่เช้าตรู่ เขาผูกอานบนหลังลาของเขา และพาคนรับใช้หนุ่มสองคนไปด้วย พร้อมกับอิสอัค อับราฮัมตัดฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา และเขาออกเดินทางไปยังสถานที่ที่พระเจ้าบอกเขา ในวันที่สาม อับราฮัมมองขึ้นไป เห็นสถานที่นั้นแต่ไกล แล้วอับราฮัมบอกกับคนรับใช้ของเขาว่า “พวกเจ้าคอยอยู่ที่นี่กับลานะ เด็กกับข้าจะขึ้นไปที่นั่น พวกเราจะไปนมัสการพระเจ้า แล้วพวกเราจะกลับมาหาเจ้า”

อับราฮัมจึงเอาฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา แล้ววางบนไหล่ของอิสอัค ส่วนเขาถือไฟและมีด แล้วทั้งสองก็เดินขึ้นไปด้วยกัน อิสอัคพูดกับอับราฮัมพ่อของเขาว่า “พ่อครับ”

อับราฮัมตอบว่า “ว่าไงลูก”

อิสอัคพูดว่า “ทั้งไฟและฟืนก็มีอยู่ที่นี่แล้ว แต่แกะที่จะเอาไปเผาเป็นเครื่องบูชาอยู่ที่ไหนล่ะครับ”

อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าเองจะจัดหาแกะที่จะใช้เผาเป็นเครื่องบูชา” และทั้งสองคนได้เดินทางต่อไปด้วยกัน

เรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขา

แล้วพวกเขาได้มาถึงสถานที่ที่พระเจ้าบอกกับเขา อับราฮัมสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่น และเขาจัดฟืนบนแท่นบูชา จากนั้นเขาได้มัดอิสอัคลูกชายของเขาและจับเขานอนบนแท่นบูชาบนกองฟืนนั้น 10 จากนั้นอับราฮัมได้ยื่นมือไปหยิบมีด เพื่อจะฆ่าลูกชายของเขา

11 แต่ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้เรียกอับราฮัมจากสวรรค์ และพูดว่า “อับราฮัม อับราฮัม” อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”

12 ทูตสวรรค์พูดว่า “หยุดเถิด อย่าได้ลงมือของเจ้าบนเด็กนั้น อย่าได้ทำอะไรเขาเลย เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าเจ้าเคารพยำเกรงพระเจ้า เจ้าไม่ได้หวงแหนลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าจากเรา[a]

13 และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น เขาเห็นแกะตัวผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่กับพุ่มไม้ อับราฮัมจึงเดินไปจับแกะตัวนั้นมาฆ่าถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนลูกชายของเขา 14 จากนั้นอับราฮัมตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า “พระยาห์เวห์จัดหาให้”[b] เหมือนกับที่คนพูดกันจนถึงทุกวันนี้ว่า “บนภูเขาของพระยาห์เวห์ พระองค์จัดหาให้”

15 แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ ได้เรียกอับราฮัมเป็นครั้งที่สองจากสวรรค์ 16 พระองค์พูดว่า “พระยาห์เวห์สัญญากับตัวพระองค์เองว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้ และไม่ได้หวงแหนลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้า 17 เราสัญญาว่าเราจะอวยพรเจ้าอย่างแน่นอน และเราจะให้เจ้ามีลูกหลานมากมาย เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า และเหมือนเม็ดทรายที่ชายฝั่งทะเล และลูกหลานของเจ้าจะชนะศัตรู และยึดเมืองต่างๆของพวกเขาไว้ 18 และเราสัญญาว่า ทุกชนชาติบนโลกนี้จะได้รับพรเพราะลูกหลานของเจ้า เพราะเจ้าเชื่อฟังเรา”

19 จากนั้นอับราฮัมก็กลับไปหาพวกคนใช้หนุ่มของเขา และพวกเขาทั้งหมดลุกขึ้น พากันกลับไปยังเบเออร์เชบา และอับราฮัมได้อาศัยอยู่ในเบเออร์เชบาต่อไป

20 หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มีคนมาบอกกับอับราฮัมว่า “มิลคาห์ได้คลอดลูกชายหลายคนให้กับนาโฮร์น้องชายของท่านเหมือนกัน 21 ลูกชายคนโตชื่ออูส คนที่สองชื่อบูส คนที่สามชื่อเคมูเอล (เคมูเอลเป็นพ่อของชาวอารัม) 22 และยังมีเคเสด ฮาโซ ปิลดาช ยิดลาฟ และเบธูเอล” 23 เบธูเอลเป็นพ่อของนางเรเบคาห์ มิลคาห์ได้คลอดลูกชายแปดคนให้กับนาโฮร์น้องชายของอับราฮัม 24 เมียน้อยของนาโฮร์ชื่อเรอูมาห์ ก็มีลูกชายให้กับเขาหลายคนเหมือนกัน ชื่อว่า ทีบาร์ กาฮัม ทาหาช และมาอาคาห์

มัทธิว 21

พระเยซูเข้าเมืองเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์

(มก. 11:1-11; ลก. 19:28-38; ยน. 12:12-19)

21 เมื่อพระเยซูและพวกศิษย์ใกล้ถึงเมืองเยรูซาเล็ม พวกเขามาหยุดอยู่ที่หมู่บ้านเบธฟายีที่ภูเขามะกอกเทศ พระเยซูส่งศิษย์สองคนไปก่อนล่วงหน้า สั่งว่า “เข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้านั้น ทันทีที่คุณไปถึง คุณจะเห็นแม่ลาผูกอยู่กับลูกของมัน ให้แก้มัดลาทั้งสองตัวแล้วจูงมาให้เรา ถ้ามีใครถามว่า จะเอาลาไปไหน ให้ตอบว่า องค์เจ้าชีวิตต้องการใช้ เขาก็จะให้คุณมาทันที”

สิ่งนี้เกิดขึ้น เพื่อให้เป็นจริงตามที่ผู้พูดแทนพระเจ้าได้พูดไว้ว่า

“บอกชาวเมืองศิโยนว่า
    ดูนั่นสิ กษัตริย์ของพวกคุณกำลังมาหา
พระองค์สุภาพอ่อนโยนและนั่งอยู่บนหลังลา
    นั่งอยู่บนลูกลาน้อยตัวผู้ตัวหนึ่ง”[a]

ศิษย์สองคนนั้นเข้าไปในหมู่บ้าน และทำตามที่พระเยซูสั่ง พวกเขาจูงแม่ลาและลูกลามาให้พระองค์ แล้วเอาเสื้อคลุมของเขาปูบนหลังลาให้พระเยซูนั่ง ฝูงชนเป็นจำนวนมากพากันเอาเสื้อคลุมของตนปูบนถนน บางคนก็ตัดกิ่งไม้มาปูตามท้องถนนให้พระองค์ผ่าน ฝูงชนที่เดินนำหน้าและที่เดินตามหลังพระองค์ ต่างก็พากันโห่ร้องว่า

“ไชโย[b] สำหรับบุตรของดาวิด
    ขอพระเจ้าอวยพรคนที่มาในนามขององค์เจ้าชีวิต[c]

ไชโย แด่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดในสวรรค์”

10 เมื่อพระองค์เข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม คนทั้งเมืองต่างแตกตื่นถามกันว่า “ใครกันนี่”

11 ฝูงชนก็ตอบว่า “เยซูไง ผู้พูดแทนพระเจ้า คนนั้นที่มาจากหมู่บ้านนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี”

พระเยซูไปวิหาร

(มก. 11:15-19; ลก. 19:45-48; ยน. 2:13-22)

12 พระเยซูเข้าไปในเขตวิหาร และไล่คนที่กำลังซื้อและขายข้าวของกันอยู่ที่นั่นออกไปจนหมด พระองค์คว่ำโต๊ะของคนรับแลกเงิน และที่นั่งของคนขายนกพิราบ 13 พระองค์ร้องบอกกับทุกคนที่อยู่ในที่นั่นว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘บ้านของเรามีชื่อว่าเป็นบ้านสำหรับอธิษฐาน’[d] แต่พวกเจ้ากลับทำให้มันเป็นรังโจร”[e]

14 มีคนตาบอดและคนง่อยเข้ามาหาพระองค์ในวิหาร พระองค์รักษาพวกเขาจนหาย 15 เมื่อพวกหัวหน้านักบวชและครูสอนกฎปฏิบัติ เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆที่พระเยซูทำ และได้ยินเสียงเด็กๆโห่ร้องกันในวิหารว่า “ไชโย สำหรับบุตรของดาวิด” พวกเขาก็โกรธแค้นพระเยซูมาก

16 พวกเขาถามพระองค์ว่า “ได้ยินที่เด็กๆพวกนั้นโห่ร้องกันอยู่หรือเปล่า” พระเยซูตอบว่า “ได้ยินสิ พวกคุณไม่เคยอ่านในพระคัมภีร์หรือที่ว่า ‘พระเจ้าได้สอนเด็กๆและทารกให้ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์’”[f]

17 แล้วพระเยซูก็ออกจากเมืองไปพักค้างคืนอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี

พระเยซูแสดงพลังแห่งความเชื่อ

(มก. 11:12-14, 20-24)

18 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ในระหว่างทางที่พระเยซูกำลังเดินกลับเข้าเมือง พระองค์รู้สึกหิว 19 พระองค์มองเห็นต้นมะเดื่ออยู่ริมทาง จึงเดินเข้าไปใกล้แต่ไม่เห็นมีลูก มีแต่ใบเท่านั้น พระองค์พูดกับต้นมะเดื่อว่า “อย่าได้ออกลูกอีกเลย” และต้นมะเดื่อนั้นก็เหี่ยวแห้งตายทันที

20 เมื่อพวกศิษย์เห็นก็แปลกใจ จึงถามพระองค์ว่า “ทำไมมันถึงเหี่ยวแห้งตายเร็วจังครับ”

21 พระเยซูตอบว่า “เราจะบอกให้รู้ ถ้าคุณเชื่อโดยไม่สงสัยเลย คุณก็จะทำอย่างนั้นได้เหมือนกัน และจะทำได้มากกว่านั้นด้วย แม้แต่สั่งให้ภูเขาลูกนี้ลอยลงไปในทะเล มันก็จะเป็นไปตามนั้น 22 ถ้าคุณเชื่อ คุณจะได้ทุกอย่างที่คุณอธิษฐานขอ”

ผู้นำชาวยิวสงสัยเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซู

(มก. 11:27-33; ลก. 20:1-8)

23 พระเยซูเข้าไปในวิหาร เมื่อพระองค์กำลังสอนอยู่นั้น พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโส เข้ามาถามพระองค์ว่า “แกมีสิทธิ์อะไรไปไล่พวกพ่อค้านั้น ใครให้สิทธิ์นี้กับแก”

24 พระเยซูตอบว่า “เราขอถามคุณเรื่องหนึ่งเหมือนกัน ถ้าคุณตอบเรา แล้วเราจะบอกว่าเราใช้สิทธิ์ของใครทำอย่างนี้ 25 ตอบหน่อยสิว่า พิธีจุ่มน้ำของยอห์นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์” พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสต่างก็ปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ มันก็จะย้อนถามเราว่า ‘แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่เชื่อยอห์นละ’ 26 แต่ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ เราก็กลัวฝูงชนจะโกรธ เพราะพวกนั้นต่างก็เชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า”

27 พวกเขาจึงตอบพระเยซูว่า “ไม่รู้สิ” พระเยซูก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็จะไม่บอกเหมือนกัน ว่าเราใช้สิทธิ์ของใครในการทำสิ่งเหล่านี้”

เรื่องลูกชายสองคน

28 “บอกหน่อยว่า คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายคนหนึ่งมีลูกสองคน เขาบอกลูกชายคนโตว่า ‘ลูกพ่อ วันนี้ไปทำงานในไร่องุ่นของพ่อนะ’

29 เขาตอบว่า ‘ไม่ได้ครับ’ แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนใจ แล้วไปทำงานในไร่องุ่น

30 จากนั้นพ่อไปบอกลูกชายอีกคนว่า ‘ลูกพ่อ วันนี้ไปทำงานในไร่องุ่นของพ่อนะ’ เขาตอบว่า ‘ครับพ่อ ผมจะไป’ แต่เขาก็ไม่ได้ไป”

31 “ลูกสองคนนี้ คนไหนที่เชื่อฟังพ่อของเขา” พวกหัวหน้าชาวยิวตอบว่า “ลูกคนแรก” พระเยซูจึงบอกพวกเขาว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนเก็บภาษีและโสเภณีกำลังเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าก่อนพวกคุณเสียอีก 32 ยอห์นได้มาชี้ให้เห็นว่า จะใช้ชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้อย่างไร พวกคุณก็ไม่ยอมเชื่อเขา แต่คนเก็บภาษีและโสเภณีกลับเชื่อยอห์น ถึงแม้คุณเห็นพวกเขาทำอย่างนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมกลับตัวกลับใจมาเชื่อยอห์นเลย

เรื่องเปรียบเทียบเกี่ยวกับชาวสวนชั่ว

(มก. 12:1-12; ลก. 20:9-19)

33 ฟังเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้ดี เจ้าของที่แปลงหนึ่งได้ทำสวนองุ่นไว้ ล้อมรั้วไว้รอบ ขุดบ่อย่ำองุ่น[g] และสร้างหอคอย แล้วให้ชาวสวนมาเช่าสวนองุ่นนั้น ส่วนตัวเขาเดินทางไปต่างประเทศ 34 เมื่อถึงฤดูเก็บองุ่น เจ้าของสวนส่งพวกทาสของเขามารับส่วนแบ่งองุ่นจากพวกคนเช่า

35 แต่พวกคนเช่าจับทาสของเขาไว้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง แล้วเอาหินขว้างอีกคนหนึ่ง 36 เจ้าของสวนจึงส่งพวกทาสมามากกว่าครั้งแรก แต่ก็ถูกพวกคนเช่าสวน ทำเหมือนเดิม 37 สุดท้าย เจ้าของสวนจึงส่งลูกชายของเขามาเอง เขาว่า ‘พวกนั้นจะต้องเคารพยำเกรงลูกชายของเราแน่ๆ’

38 แต่เมื่อพวกคนเช่าเห็นลูกชายของเขามา ก็พูดกันว่า ‘นี่ไง ผู้รับมรดก เร็วเข้าพวกเรา ฆ่ามันซะ สวนนี้จะได้ตกเป็นของพวกเรา’ 39 พวกคนเช่าสวนจึงจับตัวลูกชายเจ้าของสวนโยนออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเขา 40 เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าพวกนี้”

41 พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสตอบว่า “เขาจะต้องฆ่าคนชั่วพวกนั้นอย่างโหดเหี้ยม และให้ชาวสวนคนอื่นที่ยอมแบ่งองุ่นให้กับเขาเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวมาเช่าต่อ”

42 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้หรือที่ว่า

‘หินก้อนนี้ที่ช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว กลับกลายมาเป็นหินก้อนที่สำคัญที่สุด
    องค์เจ้าชีวิตทำให้เป็นอย่างนั้น สำหรับเราแล้วนี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ’[h]

43 เราจะบอกให้รู้ว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะถูกริบเอาไปจากคุณ และยกไปให้กับคนที่ทำตามความต้องการของพระเจ้า 44 คนที่ล้มทับหินนี้ ร่างกายก็จะหักเป็นชิ้นๆ แต่ถ้าถูกหินนี้ล้มทับ คนนั้นก็จะแหลกละเอียด”[i]

45 เมื่อพวกหัวหน้านักบวชและพวกฟาริสีได้ยินเรื่องเปรียบเทียบนี้ ก็รู้ทันทีว่าพระองค์กำลังว่าพวกเขาเป็นคนเช่าชั่วร้ายพวกนั้น 46 พวกเขาจึงหาทางที่จะจับพระเยซู แต่ก็กลัวฝูงชน เพราะพวกนี้เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้พูดแทนพระเจ้า

เนหะมียาห์ 11

คนใหม่ย้ายไปอยู่เยรูซาเล็ม

11 พวกผู้นำของประชาชน พากันเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ส่วนประชาชนที่เหลือก็จับสลากกัน เพื่อเลือกเอาสิบเปอร์เซ็นต์ของประชาชนมาอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ ส่วนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็ให้ไปอยู่ตามเมืองอื่นๆ ประชาชนต่างพากันอวยพรคนเหล่านั้นที่สมัครใจมาอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

คนเหล่านี้คือพวกผู้นำของมณฑลที่มาอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม (พวกอิสราเอลบางคน พวกนักบวช พวกคนเลวี พวกคนรับใช้ในวิหาร และพวกลูกหลานของคนรับใช้ของกษัตริย์ซาโลมอน ต่างก็พากันอาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆของแคว้นยูดาห์ พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ดินของตนในเมืองของตน มีบางคนจากครอบครัวของยูดาห์ และของเบนยามิน อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม)

พวกลูกหลานของยูดาห์ที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

มีดังต่อไปนี้คือ อาธายาห์ ลูกชายของอุสซียาห์ ที่เป็นลูกชายของเศคาริยาห์ ที่เป็นลูกชายของอามาริยาห์ ที่เป็นลูกชายของเชฟาทิยาห์ ที่เป็นลูกชายของมาหะลาเลล ที่เป็นคนหนึ่งในพวกลูกหลานของเปเรศ และมาอาเสอาห์ ลูกชายของบารุค ที่เป็นลูกชายของคลโฮเซห์ ที่เป็นลูกชายของฮาซายาห์ ที่เป็นลูกชายของอาดายาห์ ที่เป็นลูกชายของโยยาริบ ที่เป็นลูกชายของเศคาริยาห์ ที่เป็นลูกหลานคนหนึ่งของชิโลห์ พวกลูกหลานของเปเรศ ที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม มีทั้งหมดสี่ร้อยหกสิบแปดคน ล้วนแต่เป็นผู้กล้าหาญ

พวกลูกหลานของเบนยามินที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

มีดังต่อไปนี้ คือ สัลลู ลูกชายของเมชุลลาม ที่เป็นลูกชายของโยเอด ที่เป็นลูกชายของเปดายาห์ ที่เป็นลูกชายของโคลายาห์ ที่เป็นลูกชายของมาอาเสอาห์ ที่เป็นลูกชายของอิธีเอล ที่เป็นลูกชายของเยชายาห์ และต่อจากเขาไปมีกับบัย และสัลลัย รวมกันทั้งหมดมีเก้าร้อยยี่สิบแปดคน โยเอล ลูกชายของศิครี ได้รับการแต่งตั้งให้ปกครองพวกเขา ส่วนยูดาห์ ลูกชายของหัสเสนูอาห์ เป็นรองผู้บัญชาการของเมือง

10 พวกนักบวชที่มาอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

มีดังต่อไปนี้คือ เยดายาห์ลูกชายของโยยาริบยาคีน 11 และเสไรอาห์ผู้ควบคุมดูแลวิหารของพระเจ้า เขาเป็นลูกชายฮิลคียาห์ ที่เป็นลูกชายเมชุลลาม ที่เป็นลูกชายศาโดก ที่เป็นลูกชายเมราโยท ที่เป็นลูกชายอาหิทูบ 12 รวมทั้งเพื่อนร่วมงานทั้งหมดของพวกเขาที่ทำงานอยู่ในวิหาร มีจำนวนแปดร้อยยี่สิบสองคน นอกจากนั้นยังมีอาดายาห์ ลูกชายเยโรฮัม ที่เป็นลูกชายเปไลยาห์ ที่เป็นลูกชายอัมซี ที่เป็นลูกชายเศคาริยาห์ ที่เป็นลูกชายปาชเฮอร์ ที่เป็นลูกชายมัลคิยาห์ 13 รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของเขา ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว มีสองร้อยสี่สิบสองคน และยังมีอามาชสัยลูกชายของอาซาเรล ที่เป็นลูกชายอัคซัย ที่เป็นลูกชายเมชิลเลโมท ที่เป็นลูกชายอิมเมอร์ 14 รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของเขา ที่เป็นนักรบเก่งกล้า มีหนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน มีเจ้าหน้าที่ปกครองเหนือพวกเขาคือศับดีเอล ลูกชายของฮักเกโดลิม

15 พวกชาวเลวีที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

มีดังนี้ คือ เชไมอาห์ ลูกชายของหัสชูบ ที่เป็นลูกชายอัสรีคัม ที่เป็นลูกชายฮาชาบิยาห์ ที่เป็นลูกชายบุนนี 16 รวมทั้งชับเบธัยกับโยซาบาด ผู้นำสองคนของชาวเลวี สองคนนี้ดูแลงานด้านนอกของวิหารของพระเจ้า 17 มัทธานิยาห์ ผู้เป็นหัวหน้านำการร้องเพลงขอบคุณในช่วงเวลาอธิษฐาน เขาเป็นลูกชายมีคา ที่เป็นลูกชายศับดี ที่เป็นลูกชายอาสาฟ และมีบัคบูคิยาห์ เป็นรองหัวหน้าในหมู่เพื่อนร่วมงานของเขา และอับดา ลูกชายของชัมมุอา ที่เป็นลูกชายของกาลาล ที่เป็นลูกชายของเยดูธูน 18 ดังนั้น มีพวกชาวเลวีที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้นสองร้อยแปดสิบสี่คน

19 พวกคนเฝ้าประตู ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

มีดังต่อไปนี้คือ อักขูบ ทัลโมน และเพื่อนร่วมงานที่เฝ้าประตูของพวกเขา มีจำนวนหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน

20 ส่วนชาวอิสราเอลที่เหลือ พวกนักบวชที่เหลือ และพวกชาวเลวีที่เหลือนั้น ก็ได้ไปอาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆของแคว้นยูดาห์ พวกเขาต่างก็ไปอยู่ในที่ดินของบรรพบุรุษของตน 21 พวกคนรับใช้ในวิหาร อาศัยอยู่บนเนินเขาโอเฟล โดยมีศีหะและกิชปาเป็นผู้ดูแลพวกคนรับใช้ในวิหารเหล่านั้น

22 หัวหน้าของพวกชาวเลวีในเยรูซาเล็ม คืออุสซี ลูกชายบานี ที่เป็นลูกของฮาชาบิยาห์ ที่เป็นลูกชายมัทธานิยาห์ ที่เป็นลูกชายมีคา ที่เป็นคนหนึ่งในพวกลูกหลานของอาสาฟ ที่เป็นพวกนักร้อง ที่มีหน้าที่ร้องเพลงรับใช้อยู่ในวิหารของพระเจ้า 23 พวกนักร้องนี้ รับคำสั่งจากกษัตริย์ กษัตริย์จะบอกพวกเขาว่าให้ทำอะไรบ้างในแต่ละวัน 24 เปธาหิยาห์ เป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับประชาชน เขาเป็นลูกชายเมเชซาเบล ที่เป็นลูกหลานคนหนึ่งของเศราห์ ที่เป็นลูกชายของยูดาห์

หมู่บ้านรอบเมืองเยรูซาเล็ม

25 คนยูดาห์บางคนไปอาศัยอยู่ตามหมู่บ้านและไร่นาต่างๆเหล่านี้ คือเมืองคิริยาทอารบา และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองนั้น เมืองดีโบนและหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองนั้น และเมืองเยขับเซเอลและหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองนั้น 26 และเมืองเยชูอา ในเมืองโมลาดาห์ และในเมืองเบธเปเลต 27 ในเมืองฮาซารชูอาล ในเมืองเบเออร์เชบา และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองเหล่านั้น 28 ในเมืองศิกลาก ในเมืองเมโคนาห์ และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองเหล่านั้น 29 ในเมืองเอนริมโมน ในเมืองโศราห์ ในเมืองยารมูท 30 ในเมืองศาโนอาห์ ในเมืองอดุลลัม และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองเหล่านั้น ในเมืองลาคีชและตามไร่นาของเมืองนั้น ในเมืองอาเซคาห์ และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองนั้น พวกเขาพากันตั้งถิ่นฐาน ตั้งแต่เมืองเบเออร์เชบา ไปจนถึงหุบเขาฮินโนม

31 คนเบนยามิน บางคนก็ไปตั้งถิ่นฐานในเมืองเกบา ในเมืองมิคมาช ในเมืองอัยยา ในเมืองเบธเอล และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองเหล่านั้น 32 ในเมืองอานาโธท ในเมืองโนบ ในเมืองอานานิยาห์ 33 ในเมืองฮาโซร์ ในเมืองรามา ในเมืองกิททาอิม 34 ในเมืองฮาดิด ในเมืองเศโบอิม ในเมืองเนบัลลัท 35 ในเมืองโลด และในเมืองโอโน และในหุบเขาของบรรดาช่างฝีมือ 36 บางกลุ่มของครอบครัวเลวีที่อยู่ในแคว้นยูดาห์ ได้รับมอบหมายให้ย้ายไปอยู่กับเผ่าเบนยามิน

กิจการ 21

เปาโลไปเมืองเยรูซาเล็ม

21 หลังจากแยกกันแล้ว พวกเราแล่นเรือตรงไปที่เกาะโคส และมาถึงเกาะโรดส์ในวันรุ่งขึ้น จากที่นั่นเราแล่นเรือต่อไปถึงเมืองปาทารา และพบเรือลำหนึ่งที่จะไปเมืองฟีนีเซีย พวกเราจึงขึ้นเรือลำนั้นแล่นต่อไป เรามองเห็นเกาะไซปรัส และแล่นผ่านทางขวาของเกาะไปแคว้นซีเรีย เรือไปจอดที่เมืองไทระเพื่อถ่ายสินค้าขึ้นท่า พวกเราพบพวกศิษย์ของพระเยซูที่นั่นด้วย จึงพักอยู่กับพวกเขาเจ็ดวัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจพวกเขาให้บอกกับเปาโลว่าอย่าไปเมืองเยรูซาเล็ม เมื่อถึงเวลาที่พวกเราจะต้องเดินทางต่อแล้ว พวกเขาทั้งหมดพร้อมทั้งลูกเมีย ออกมาส่งพวกเราที่นอกเมือง เมื่อมาถึงชายหาดพวกเราคุกเข่าลงอธิษฐาน แล้วร่ำลากัน จากนั้นพวกเราก็ลงเรือ ส่วนพวกเขากลับบ้านไป

พวกเราแล่นจากเมืองไทระมาจอดที่เมืองทอเลเมอิส เราได้ไปเยี่ยมเยียนพี่น้องที่นั่น และพักอยู่กับพวกเขาหนึ่งวัน วันต่อมาเราเดินทางต่อจนมาถึงเมืองซีซารียา และแวะไปที่บ้านของฟีลิปและพักอยู่กับเขา เขาเป็นคนประกาศข่าวดีของพระเจ้าและเป็นหนึ่งในเจ็ดคน (ที่ถูกเลือกให้มาช่วยแจกอาหารในเมืองเยรูซาเล็ม)[a] ฟีลิปมีลูกสาวสี่คนที่ยังเป็นโสดอยู่ และเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าด้วย 10 หลังจากที่พักอยู่ที่นั่นหลายวันก็มีผู้พูดแทนพระเจ้า ชื่ออากาบัส มาจากแคว้นยูเดีย 11 เขาเข้ามาหาพวกเรา และเอาเข็มขัดของเปาโลมามัดมือมัดเท้าของเขาเอง แล้วพูดว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์บอกว่า ‘ชาวยิวในเยรูซาเล็มจะมัดคนที่เป็นเจ้าของเข็มขัดนี้แบบนี้แหละ แล้วจะส่งชายคนนี้ให้กับคนที่ไม่ใช่ยิว’” 12 เมื่อได้ยินอย่างนั้น พวกเรากับคนที่อยู่ที่นั่นต่างอ้อนวอนเปาโลไม่ให้ขึ้นไปที่เมืองเยรูซาเล็ม 13 แต่เปาโลตอบว่า “ร้องไห้ทำไม มันทำให้ผมเศร้าใจรู้หรือเปล่า ผมพร้อมที่จะถูกมัด และยังพร้อมที่จะตายในเมืองเยรูซาเล็มเพื่อพระเยซูเจ้าด้วย”

14 เมื่ออ้อนวอนเปาโลไม่สำเร็จ พวกเราจึงหยุดและพูดว่า “ขอให้เป็นไปตามความต้องการขององค์เจ้าชีวิตก็แล้วกัน” 15 หลังจากนั้นพวกเราก็เตรียมตัว แล้วเดินทางขึ้นไปเมืองเยรูซาเล็ม 16 ศิษย์ของพระเยซูบางคนจากเมืองซีซารียาไปกับพวกเราด้วย พวกเขาพาเราไปที่บ้านของมนาสัน คนที่เราจะไปพักอยู่ด้วย เขาเป็นชาวเกาะไซปรัส และเป็นศิษย์รุ่นแรกๆด้วย

เปาโลไปเยี่ยมยากอบ

17 เมื่อมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม พี่น้องต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น 18 วันรุ่งขึ้น เปาโลกับพวกเราได้ไปเยี่ยมยากอบ และเจอกับพวกผู้นำอาวุโสของหมู่ประชุมของพระเจ้าที่นั่นด้วย 19 เปาโลทักทายพวกเขา และรายงานถึงเรื่องต่างๆที่พระเจ้าได้ใช้ให้เขาไปทำกับคนที่ไม่ใช่ยิว 20 เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้น ก็พากันสรรเสริญพระเจ้าและพูดกับเปาโลว่า “พี่ชาย ท่านก็เห็นว่ามีชาวยิวหลายหมื่นคนที่ไว้วางใจในพระเยซู และยังคงรักษากฎของโมเสสอย่างเคร่งครัด 21 มีคนบอกเรื่องท่านให้พวกเขาฟังว่า ท่านสอนพวกคนยิวที่อยู่กับพวกคนที่ไม่ใช่ยิว ให้ทิ้งคำสั่งสอนของโมเสส โดยไม่ต้องทำพิธีขลิบให้กับลูกชายของพวกเขา หรือทำตามประเพณีของพวกเรา 22 แล้วทีนี้จะทำอย่างไรกันดี พวกเขาจะต้องรู้ว่าท่านมาที่นี่แน่ๆ 23 เอาอย่างนี้นะ มีสี่คนที่อยู่กับเราที่นี่ ที่ได้สาบานตัวไว้กับพระเจ้า[b] 24 พาคนพวกนี้ไป แล้วท่านก็เข้าร่วมพิธีชำระล้าง[c] ด้วยกันกับพวกเขา แล้วจ่ายค่าโกนหัว[d] ให้กับพวกนี้ด้วย ทุกคนจะได้รู้ว่า ข่าวลือที่พวกเขาได้ยินมาเกี่ยวกับท่านนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะตัวท่านเองได้ทำตามกฎของโมเสส

25 ส่วนพวกคนที่ไม่ใช่ยิวที่ไว้วางใจในพระเจ้านั้น เราได้ส่งจดหมายเสนอไปแล้วว่า

อย่ากินอาหารที่เอาไปเซ่นไหว้รูปเคารพ

อย่ากินเลือดหรือสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย

และอย่าทำความผิดบาปทางเพศ[e]

26 แล้วเปาโลก็พาชายทั้งสี่คนนี้ไปกับเขา ในวันรุ่งขึ้นเขาก็เข้าพิธีชำระล้างร่วมกับคนทั้งสี่นี้ จากนั้นเขาเข้าไปในวิหาร เพื่อแจ้งให้กับนักบวชรู้ว่า พิธีชำระล้างจะสิ้นสุดในวันไหน และจะนำเครื่องบูชาของพวกเขาแต่ละคนมาถวายในวันไหน 27 เมื่อทำพิธีได้เกือบครบเจ็ดวันแล้ว มีชาวยิวบางคนจากแคว้นเอเชียเห็นเปาโลในบริเวณวิหาร ก็ปลุกปั่นฝูงชนให้เข้ามารุมจับเปาโล 28 พวกเขาร้องตะโกนว่า “เพื่อนๆอิสราเอล มาช่วยกันหน่อยเร็ว ไอ้หมอนี่ไงที่เที่ยวไปสอนใครต่อใครจนทั่วให้ต่อต้านคนของเรา กฎปฏิบัติของเราและวิหารของเรา และตอนนี้มันยังพาคนที่ไม่ใช่ยิวเข้ามาในบริเวณวิหารอีกด้วย ทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่บริสุทธิ์” 29 ที่พวกเขาพูดอย่างนี้ก็เพราะเห็นโตรฟีมัสชาวเมืองเอเฟซัสอยู่กับเปาโลในเมือง จึงคาดเดาว่าเปาโลคงพาโตรฟีมัสเข้ามาในวิหารด้วย

30 คนทั้งเมืองก็ลุกฮือกันขึ้นมา เข้าไปจับตัวเปาโลลากออกไปนอกวิหาร แล้วปิดประตูวิหารทันที 31 ในเวลาเดียวกับที่พวกเขาพยายามจะฆ่าเปาโลนั้น มีคนไปรายงานเรื่องนี้กับผู้พันกองทัพทหารโรมันว่า เยรูซาเล็มทั้งเมืองกำลังวุ่นวายไปหมดแล้ว 32 ผู้พันนำทหารและนายร้อยส่วนหนึ่ง ไปยังที่ที่ฝูงชนกำลังทำร้ายเปาโลอยู่ เมื่อฝูงชนเห็นผู้พันและพวกทหารมาจึงหยุดทุบตีเปาโล 33 แล้วผู้พันก็เข้าไปหาเปาโลและจับกุมเขา สั่งให้เอาโซ่สองเส้นมาล่ามเขาไว้ จากนั้นผู้พันสอบถามฝูงชนว่าเปาโลเป็นใครและทำอะไรลงไป 34 ฝูงชนต่างส่งเสียงตะโกนบอกอย่างโน้นทีอย่างนี้ที จนผู้พันกองทัพทหารโรมันไม่สามารถรู้ความจริงเพราะสถานการณ์วุ่นวายมาก เขาจึงสั่งให้เอาตัวเปาโลเข้าไปในค่ายทหาร 35 เมื่อเปาโลเดินมาถึงตรงขั้นบันได พวกทหารต้องเข้ามาช่วยหามเขาขึ้นไปเพราะฝูงชนกำลังบ้าคลั่ง 36 ฝูงชนตามหลังมาร้องตะโกนว่า “ฆ่ามัน”

37 เมื่อเปาโลกำลังจะถูกนำตัวเข้าไปในค่ายทหาร เขาพูดกับผู้พันกองทัพทหารโรมันว่า “ผมขอพูดอะไรกับท่านหน่อยได้ไหมครับ” ผู้พันถามว่า “เจ้าพูดกรีกได้ด้วยหรือ 38 ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ใช่ชาวอียิปต์คนนั้น ที่เมื่อก่อนได้ก่อการกบฏและนำผู้ก่อการร้ายสี่พันคนหนีไปที่ทะเลทรายนะสิ” 39 เปาโลตอบว่า “ผมเป็นคนยิว มาจากเมืองทาร์ซัสในแคว้นซีลีเซีย ผมเป็นพลเมืองของเมืองที่สำคัญนั้น ขอให้ผมพูดกับฝูงชนนั่นหน่อยเถิดครับ” 40 เมื่อผู้พันกองทัพทหารโรมันอนุญาตแล้ว เปาโลยืนขึ้นตรงบันไดและโบกมือให้ทุกคนเงียบ เมื่อทุกคนเงียบแล้ว เปาโลได้พูดกับพวกเขาเป็นภาษาอารเมค[f] ว่า

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International