M’Cheyne Bible Reading Plan
แขกสามคนมาเยี่ยมเยียน
18 พระยาห์เวห์ได้มาปรากฏตัวต่ออับราฮัม ที่สวนต้นก่อของมัมเร ในขณะที่อับราฮัมกำลังนั่งอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ของเขา ภายใต้แสงแดดอันร้อนแรงของวันนั้น 2 เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นชายสามคนยืนอยู่ข้างหน้าเขา เมื่อเขาเห็นคนเหล่านั้น เขาก็รีบวิ่งไปจากหน้าเต็นท์ ไปหาคนพวกนั้น และเมื่อไปถึงก็ก้มกราบถึงพื้นดิน 3 และพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่ชอบใจในสายตาของพวกท่าน ขออย่าได้เดินผ่านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านไปเลย 4 ขอให้ข้าพเจ้าได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้ท่านสักนิด และเชิญมาพักผ่อนใต้ต้นไม้สักพักหนึ่ง 5 ข้าพเจ้าจะได้เอาขนมปังมาให้ท่านกินสักหน่อยหนึ่ง เพื่อท่านจะรู้สึกสดชื่นขึ้น หลังจากนั้นท่านถึงค่อยเดินทางต่อ ขอให้ข้าพเจ้าได้ทำสิ่งเหล่านี้เถิด ไหนๆท่านก็ได้มาหาข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของท่านแล้ว”
แล้วพวกเขาก็พูดว่า “ทำตามที่เจ้าพูดเถิด”
6 อับราฮัมจึงรีบไปที่เต็นท์ของเขาหาซาราห์ และพูดกับนางว่า “เร็วๆเข้า ไปตวงแป้งอย่างดีมายี่สิบสองลิตร เอามานวดแล้วอบเป็นขนมปัง” 7 แล้วอับราฮัมก็วิ่งไปที่ฝูงสัตว์ และเลือกลูกวัวตัวที่ดีและอ่อนนุ่มที่สุด แล้วเอาไปให้คนรับใช้ของเขา และคนรับใช้ก็รีบเอาไปทำอาหาร
8 อับราฮัมได้นำเอานมข้นเปรี้ยว น้ำนมและเนื้อลูกวัวที่ทำเสร็จแล้ว ไปวางต่อหน้าแขกทั้งสามนั้น ในขณะที่พวกเขากำลังกินกันอยู่ อับราฮัมก็ยืนคอยอยู่ข้างๆพวกเขาใต้ต้นไม้นั้น
9 แล้วพวกเขาก็ถามอับราฮัมว่า “ซาราห์ เมียของเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ”
อับราฮัมตอบว่า “อยู่ในเต็นท์นั้นครับท่าน”
10 แล้วชายคนหนึ่งในพวกเขาก็พูดว่า “ในปีหน้าเวลานี้ เราจะกลับมาหาเจ้าอีกอย่างแน่นอน และซาราห์เมียของเจ้าจะมีลูกชายคนหนึ่ง”
ซาราห์กำลังฟังอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ข้างหลังเขา 11 ทั้งอับราฮัมและซาราห์ก็แก่มากแล้ว และซาราห์ก็หมดประจำเดือนแล้วด้วย 12 ซาราห์จึงหัวเราะอยู่คนเดียวและพูดว่า “ฉันแก่มากจนใช้การไม่ได้แล้ว ผัวฉันก็แก่มากแล้วเหมือนกัน ฉันยังจะมีความต้องการทางเพศอีกหรือ”
13 แล้วพระยาห์เวห์ได้พูดกับอับราฮัมว่า “ทำไมนางซาราห์ถึงได้หัวเราะและพูดว่า ‘เมื่อฉันแก่ขนาดนี้แล้วจะมีลูกได้อีกหรือ’ 14 มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระยาห์เวห์หรือ ในปีหน้าเวลานี้เราจะกลับมาหาเจ้า มันจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ และซาราห์จะมีลูกชายคนหนึ่ง”
15 แต่ซาราห์ปฏิเสธว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้หัวเราะ” เพราะนางกลัว
แต่พระองค์บอกว่า “ไม่จริง เจ้าหัวเราะแน่ๆ”
16 แล้วชายทั้งสามคนก็ไปจากที่นั่น พวกเขามองไปที่เมืองโสโดม อับราฮัมเดินไปกับพวกเขา เพื่อไปส่ง
อับราฮัมต่อรองกับพระยาห์เวห์เพื่อเมืองโสโดม
17 แล้วพระยาห์เวห์พูดกับตัวเองว่า “เราควรจะปิดบังอับราฮัมเรื่องที่เรากำลังจะทำนี้หรือ 18 เขาจะกลายเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และเป็นมหาอำนาจ และชนชาติทั้งหมดก็จะได้รับพระพรผ่านทางเขา 19 เราจะไม่ปิดบังเรื่องนี้จากเขา เพราะเราได้เลือกเขามา เพื่อเขาจะได้สั่งลูกหลานของเขา และคนในครัวเรือนของเขา ให้ใช้ชีวิตตามแนวทางที่พระยาห์เวห์ต้องการให้พวกเขาเป็น คือทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เพื่อเราจะให้สิ่งที่เราได้สัญญาไว้กับอับราฮัม”
20 แล้วพระยาห์เวห์พูดว่า “มีเสียงบ่นต่อว่าเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์เยอะมาก และบาปของพวกเขาก็หนักหนาสาหัส 21 เราจะลงไปดูสิว่า พวกเขาได้ทำอย่างที่เราได้ยินมาหรือเปล่า และถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเราจะได้รู้”
22 แล้วชายพวกนั้นก็บ่ายหน้าไปจากที่นั่น แล้วมุ่งตรงไปเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังคงยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ 23 อับราฮัมเข้ามาใกล้พระองค์และพูดว่า “พระองค์จะทำลายคนดีไปพร้อมๆกับคนชั่วจริงๆหรือ 24 แล้วถ้าเกิดมีคนดีสักห้าสิบคนในเมืองนั้นล่ะ พระองค์จะทำลายเมืองนั้นอีกหรือ พระองค์จะไม่ยกโทษให้กับเมืองนั้น เพราะเห็นแก่คนดีห้าสิบคนหรือ 25 พระองค์คงจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ ที่จะฆ่าคนดีๆไปพร้อมกับคนชั่ว
ถ้าเป็นอย่างนั้นคนดีกับคนชั่วก็ไม่ต่างกันเลย พระองค์คงไม่ทำอย่างนั้นแน่ ข้าพเจ้ารู้ว่า พระองค์ผู้เป็นผู้พิพากษาโลกนี้ จะทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างแน่นอน”
26 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดว่า “ถ้าเราเจอคนดีในเมืองโสโดมห้าสิบคน เราก็จะไว้ชีวิตคนในเมืองนั้นเพราะเห็นแก่ห้าสิบคนนั้น”
27 แล้วอับราฮัมก็พูดว่า “ดูเถอะ ข้าพเจ้านี่ช่างบังอาจนักที่พูดกับเจ้านายของข้าพเจ้าอย่างนี้ ทั้งๆที่ข้าพเจ้าเป็นแค่ฝุ่นและขี้เถ้า 28 แล้วถ้าเกิดคนดีห้าสิบคนนั้น ขาดไปสักห้าคนล่ะครับ พระองค์ยังจะทำลายเมืองทั้งเมือง เพราะขาดไปแค่ห้าคนไหมครับท่าน”
แล้วพระองค์พูดว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น ถ้าเราเจอคนดีสี่สิบห้าคนที่นั่น”
29 แล้วอับราฮัมก็พูดกับพระองค์อีกว่า “แล้วถ้าเจอแค่สี่สิบคนที่นั่นล่ะครับท่าน”
พระองค์ตอบว่า “เราก็จะไม่ทำลายมันเพราะเห็นแก่สี่สิบคนนั้น”
30 แล้วอับราฮัมพูดต่อไปว่า “ขอพระองค์อย่าได้โกรธข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าขอถามอีกคำ แล้วถ้าเจอแค่สามสิบคนที่นั่นล่ะครับท่าน”
พระองค์ตอบว่า “เราก็จะไม่ทำลายมัน ถ้าเราเจอคนดีสามสิบคนที่นั่น”
31 แล้วอับราฮัมก็พูดว่า “ดูเถอะ ข้าพเจ้านี่ช่างบังอาจจริง ที่พูดกับเจ้านายของข้าพเจ้าอย่างนี้ แล้วถ้าเกิดเจอแค่ยี่สิบคนที่นั่นล่ะครับท่าน”
พระองค์ตอบว่า “เราก็จะไม่ทำลายมัน เพราะเห็นแก่ยี่สิบคนนั้น”
32 แล้วอับราฮัมพูดว่า “ขอพระองค์อย่าได้โกรธข้าพเจ้าเลย ขอถามอีกแค่ครั้งเดียว แล้วถ้าเกิดเจอแค่สิบคนที่นั่นล่ะครับท่าน”
พระองค์ตอบว่า “เราก็จะไม่ทำลายมัน เพราะเห็นแก่สิบคนนั้น”
33 เมื่อพระองค์พูดกับอับราฮัมเสร็จแล้ว พระองค์ก็จากไป แล้วอับราฮัมก็กลับไปที่อยู่ของเขา
พระเยซูกับโมเสสและเอลียาห์
(มก. 9:2-13; ลก. 9:28-36)
17 หกวันต่อมาพระเยซูพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องของยากอบ ขึ้นไปบนภูเขาสูงกันตามลำพัง 2 แล้วลักษณะของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา ใบหน้าของพระองค์ส่องสว่างจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ เสื้อผ้าของพระองค์กลายเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววับ 3 แล้วพวกเขาก็เห็นโมเสสกับเอลียาห์[a] กำลังพูดคุยอยู่กับพระเยซู
4 เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “องค์เจ้าชีวิต ดีมากเลยที่พวกเราได้มาอยู่ที่นี่ ถ้าท่านต้องการ ผมจะสร้างเพิงขึ้นมาสามหลัง ให้ท่านหลังหนึ่ง โมเสสหลังหนึ่ง และเอลียาห์หลังหนึ่ง”
5 ขณะที่เปโตรยังพูดอยู่นั้น ก็มีเมฆสว่างไสวมาปกคลุมพวกเขาไว้ และมีเสียงพูดออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกรักของเรา เราภูมิใจในตัวท่านมาก ให้เชื่อฟังท่าน”
6 เมื่อพวกศิษย์ได้ยิน ก็ก้มหน้ากราบลงกับพื้นด้วยความตกใจกลัวยิ่งนัก 7 แต่พระเยซูเดินมาแตะตัวพวกเขาและพูดว่า “ลุกขึ้น ไม่ต้องกลัว” 8 เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็ไม่เห็นใครอีกนอกจากพระเยซูเท่านั้น
9 ขณะที่พวกเขากำลังเดินลงมาจากภูเขา พระองค์สั่งพวกเขาว่า “อย่าบอกใครว่าพวกคุณได้เห็นอะไร จนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย”
10 พวกศิษย์ถามพระเยซูว่า “ทำไมพวกครูสอนกฎปฏิบัติถึงพูดว่า เอลียาห์จะต้องมาก่อนพระคริสต์ล่ะครับ”
11 พระเยซูตอบว่า “เอลียาห์จะต้องมาก่อนเพื่อมาเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย 12 แต่เราจะบอกให้รู้ว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นเอลียาห์ จึงทำกับเขาตามใจชอบ และพวกเขาก็จะทรมานบุตรมนุษย์อย่างนั้นเหมือนกัน” 13 พวกศิษย์ถึงรู้ว่า พระเยซูกำลังพูดถึงยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ
พระเยซูรักษาเด็กชายที่ป่วย
(มก. 9:14-29; ลก. 9:37-43)
14 เมื่อพระเยซูกับพวกศิษย์ลงมาถึงที่ๆฝูงชนอยู่กัน มีชายคนหนึ่งมาคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ 15 และพูดว่า “อาจารย์ ได้โปรดสงสารลูกชายของผมด้วยเถิด เขาเป็นโรคลมบ้าหมู ต้องทนทุกข์ทรมานมาก ตกลงในไฟหรือตกน้ำอยู่บ่อยๆ 16 ผมพาเขามาหาพวกศิษย์ของอาจารย์ แต่พวกเขาก็รักษาไม่ได้”
17 พระเยซูตอบเขาว่า “พวกขาดความเชื่อ หัวดื้อ เราจะต้องอยู่กับพวกคุณไปอีกนานแค่ไหน เราจะต้องอดทนกับพวกคุณไปถึงไหน พาเด็กคนนั้นมาหาเราซิ” 18 แล้วพระเยซูตวาดไล่มารร้ายตนนั้นให้ออกไป มันก็ออกไปจากเด็กคนนั้นทันที แล้วเด็กคนนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง
19 พวกศิษย์เข้ามาหาพระองค์ตามลำพัง และถามว่า “ทำไมพวกเราถึงไล่ผีชั่วตนนั้นไม่ได้ล่ะครับ” 20 พระเยซูตอบว่า “เพราะพวกคุณมีความเชื่อน้อยเกินไป เราจะบอกให้รู้นะว่า แค่คุณมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด คุณสั่งภูเขาลูกนี้ให้เคลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น มันก็เคลื่อนไปแล้ว จะไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้เลย” 21 [b]
พระเยซูพูดถึงความตายของพระองค์
(มก. 9:30-32; ลก. 9:43-45)
22 เมื่อพวกเขามาชุมนุมกันที่แคว้นกาลิลี พระเยซูบอกกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะต้องถูกจับส่งไปอยู่ในมือของมนุษย์ 23 และเขาจะถูกฆ่า แต่เขาจะฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สาม” พวกศิษย์จึงเศร้าเสียใจมาก
พระเยซูสอนเรื่องการจ่ายภาษี
24 เมื่อพระเยซูกับพวกศิษย์มาถึงเมืองคาเปอรนาอุม คนเก็บภาษีวิหาร[c] มาถามเปโตรว่า “อาจารย์ของคุณไม่เสียภาษีวิหารหรืออย่างไร”
25 เปโตรตอบว่า “เสียสิ” เมื่อเปโตรเข้าไปหาพระเยซูในบ้าน พระเยซูก็พูดขึ้นก่อนว่า “ซีโมน คุณคิดอย่างไร กษัตริย์ในโลกนี้เก็บภาษีจากลูกๆของพระองค์ หรือจากคนอื่นๆ”
26 เปโตรตอบว่า “เก็บจากคนอื่นๆครับ” พระเยซูบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นลูกๆก็ไม่ต้องเสียภาษีนะสิ 27 แต่เพื่อไม่ให้คนเก็บภาษีโกรธ คุณไปตกเบ็ดที่ทะเลสาบ เมื่อจับได้ปลาตัวแรก ให้ง้างปากมัน แล้วคุณจะพบเหรียญหนึ่งเหรียญ[d] ให้เอาเงินนั้นไปเสียภาษีของเราสองคน”
7 เมื่อสร้างกำแพงขึ้นมาใหม่แล้ว ผมได้ติดตั้งพวกบานประตูเข้าไปในที่ของมัน และได้มีการแต่งตั้งพวกคนเฝ้าประตู พวกนักร้องและพวกชาวเลวีขึ้น 2 หลังจากนั้น ผมได้ตั้งให้ฮานานี พี่น้องของผมคอยดูแลเมืองเยรูซาเล็มร่วมกับฮานันยาห์ ผู้บังคับบัญชาป้อมปราการของวิหารเพราะฮานานีเป็นคนซื่อสัตย์ และเคารพยำเกรงพระเจ้ามากกว่าคนส่วนใหญ่
3 ผมพูดกับพวกเขาว่า “ประตูเมืองของเมืองเยรูซาเล็มจะต้องไม่เปิดจนกว่าแดดร้อน และในขณะที่มียามเฝ้าประตูอยู่ ก็ต้องปิดประตูและใส่กลอนไว้ ควรแต่งตั้งประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ให้ผลัดกันทำหน้าที่ยาม ให้จัดยามไว้ตามจุดต่างๆรวมทั้งหน้าบ้านของพวกเขาด้วย”
รายชื่อพวกเชลยที่กลับมา
(อสร. 2:1-70)
4 เยรูซาเล็ม เป็นเมืองที่กว้างขวางใหญ่โต แต่มีผู้คนอาศัยอยู่น้อย และยังมีบ้านที่สร้างขึ้นมาใหม่ไม่มากนัก 5 ดังนั้นพระเจ้าจึงดลใจผม ให้รวบรวมพวกบุคคลสำคัญๆ เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย และประชาชนทั่วไป ให้มาจดทะเบียนสำมะโนครัวเป็นครอบครัวๆไป ผมพบหนังสือสำมะโนครัวของเชลยพวกแรกที่กลับมา ผมเห็นมันเขียนไว้อย่างนี้ว่า
6 ต่อไปนี้คือ ประชาชนของมณฑลที่มาจากการเป็นเชลย ในครั้งที่ถูกกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลนจับตัวไป พวกเขาได้กลับมายังเมืองเยรูซาเล็มและยูดาห์ และต่างก็แยกย้ายกันกลับไปยังบ้านเมืองของตน 7 พวกเขากลับมากับเศรุบบาเบล เยชูอา เนหะมียาห์ อาซาริยาห์ ราอามิยาห์ นาหะมานี โมรเดคัย บิลชาน มิสเปเรท บิกวัย เนฮูม และ บาอานาห์
จำนวนคนอิสราเอลมีดังนี้
8 ผู้สืบเชื้อสายจากปาโรช รวมสองพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน
9 ผู้สืบเชื้อสายจากเชฟาทิยาห์ รวมสามร้อยเจ็ดสิบสองคน
10 ผู้สืบเชื้อสายจากอาราห์ รวมหกร้อยห้าสิบสองคน
11 ผู้สืบเชื้อสายจากปาหัทโมอับ คือ ผู้สืบเชื้อสายจากเยชูอาและโยอาบ รวมสองพันแปดร้อยสิบแปดคน
12 ผู้สืบเชื้อสายจากเอลาม รวมหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน
13 ผู้สืบเชื้อสายจากศัทธู รวมแปดร้อยสี่สิบห้าคน
14 ผู้สืบเชื้อสายจากศักคัย รวมเจ็ดร้อยหกสิบคน
15 ผู้สืบเชื้อสายจากบินนุย รวมหกร้อยสี่สิบแปดคน
16 ผู้สืบเชื้อสายจากบาบัย รวมหกร้อยยี่สิบแปดคน
17 ผู้สืบเชื้อสายจากอัสกาด รวมสองพันสามร้อยยี่สิบสองคน
18 ผู้สืบเชื้อสายจากอาโดนีคัม รวมหกร้อยหกสิบเจ็ดคน
19 ผู้สืบเชื้อสายจากบิกวัย รวมสองพันหกสิบเจ็ดคน
20 ผู้สืบเชื้อสายจากอาดีน รวมหกร้อยห้าสิบห้าคน
21 ผู้สืบเชื้อสายจากอาเทอร์ คือเฮเซคียาห์ รวมเก้าสิบแปดคน[a]
22 ผู้สืบเชื้อสายจากฮาชูม รวมสามร้อยยี่สิบแปดคน
23 ผู้สืบเชื้อสายจากเบไซ รวมสามร้อยยี่สิบสี่คน
24 ผู้สืบเชื้อสายจากฮาริฟ รวมหนึ่งร้อยสิบสองคน
25 ผู้สืบเชื้อสายจากกิเบโอน รวมเก้าสิบห้าคน
26 คนจากเมืองเบธเลเฮม และเมืองเนโทฟาห์ รวมหนึ่งร้อยแปดสิบแปดคน
27 คนจากเมืองอานาโธท รวมหนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน
28 คนจากเมืองเบธอัสมาเวท รวมสี่สิบสองคน
29 คนจากเมืองคิริยาทเยอาริม เมืองเคฟีราห์ และเมืองเบเอโรท รวมเจ็ดร้อยสี่สิบสามคน
30 คนจากเมืองรามาห์ และเมืองเกบา รวมหกร้อยยี่สิบเอ็ดคน
31 คนจากเมืองมิคมาส รวมหนึ่งร้อยยี่สิบสองคน
32 คนจากเมืองเบธเอล และเมืองอัย รวมหนึ่งร้อยยี่สิบสามคน
33 คนจากเมืองเนโบอีกแห่งหนึ่ง รวมห้าสิบสองคน
34 คนจากเมืองเอลามอีกแห่งหนึ่ง รวมหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน
35 คนจากเมืองฮาริม รวมสามร้อยยี่สิบคน
36 คนจากเมืองเยริโค รวมสามร้อยสี่สิบห้าคน
37 คนจากเมืองโลด เมืองฮาดิด และเมืองโอโน รวมเจ็ดร้อยยี่สิบเอ็ดคน 38 คนจากเมืองเสนาอาห์ รวมสามพันเก้าร้อยสามสิบคน
39 จำนวนพวกนักบวชมีดังนี้คือ
มีผู้สืบเชื้อสายจากเยดายาห์ ซึ่งก็คือครอบครัวของเยชูอา รวมเก้าร้อยเจ็ดสิบสามคน
40 ผู้สืบเชื้อสายจากอิมเมอร์ รวมหนึ่งพันห้าสิบสองคน
41 ผู้สืบเชื้อสายจากปาชเฮอร์ รวมหนึ่งพันสองร้อยสี่สิบเจ็ดคน
42 ผู้สืบเชื้อสายจากฮาริม รวมหนึ่งพันสิบเจ็ดคน
43 จำนวนชาวเลวีมีดังนี้คือ
ผู้สืบเชื้อสายจากเยชูอา คือ ผ่านมาทางขัดมีเอล ที่มาจากครอบครัวของโฮดีอาห์[b] รวมเจ็ดสิบสี่คน
44 จำนวนพวกนักร้องมีดังนี้คือ
ผู้สืบเชื้อสายจากอาสาฟ รวมหนึ่งร้อยสี่สิบแปดคน
45 จำนวนของคนเฝ้าประตูมีดังนี้คือ
ผู้สืบเชื้อสายจากชัลลูม ผู้สืบเชื้อสายจากอาเทอร์ ผู้สืบเชื้อสายจากทัลโมน ผู้สืบเชื้อสายจากอักขูบ ผู้สืบเชื้อสายจากฮาทิธา ผู้สืบเชื้อสายจากโชบัย รวมหนึ่งร้อยสามสิบแปดคน
46 จำนวนของคนรับใช้ประจำวิหารมีดังนี้คือ
ผู้สืบเชื้อสายจากศีหะ ผู้สืบเชื้อสายจากฮาสูฟา ผู้สืบเชื้อสายจากทับบาโอท 47 ผู้สืบเชื้อสายจาก เคโรส ผู้สืบเชื้อสายจากสีอา ผู้สืบเชื้อสายจากพาโดน 48 ผู้สืบเชื้อสายจาก เลบานา ผู้สืบเชื้อสายจากฮากาบา ผู้สืบเชื้อสายจากชัลมัย
49 ผู้สืบเชื้อสายจาก ฮานัน ผู้สืบเชื้อสายจากกิดเดล ผู้สืบเชื้อสายจากกาฮาร์
50 ผู้สืบเชื้อสายจาก เรอายาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากเรซีน ผู้สืบเชื้อสายจากเนโคดา
51 ผู้สืบเชื้อสายจากกัสซาม ผู้สืบเชื้อสายจากอุสซาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากปาเสอาห์
52 ผู้สืบเชื้อสายจากเบสัย ผู้สืบเชื้อสายจากเมอูนิม ผู้สืบเชื้อสายจากเนฟิสิม
53 ผู้สืบเชื้อสายจากบัคบูค ผู้สืบเชื้อสายจากฮาคูฟา ผู้สืบเชื้อสายจากฮารฮูร
54 ผู้สืบเชื้อสายจากบัสลีท ผู้สืบเชื้อสายจากเมหิดา ผู้สืบเชื้อสายจากฮารชา
55 ผู้สืบเชื้อสายจากบารโขส ผู้สืบเชื้อสายจากสิเสรา ผู้สืบเชื้อสายจากเทมาห์
56 ผู้สืบเชื้อสายจากเนซิยาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากฮาทิฟา
57 จำนวนผู้สืบเชื้อสายของคนรับใช้ของกษัตริย์ซาโลมอนมีดังนี้คือ
ผู้สืบเชื้อสายจากโสทัย ผู้สืบเชื้อสายจากโสเฟเรท ผู้สืบเชื้อสายจากเปรีดา 58 ผู้สืบเชื้อสายจากยาอาลา ผู้สืบเชื้อสายจากดารโคน ผู้สืบเชื้อสายจากกิดเดล
59 ผู้สืบเชื้อสายจากเชฟาทิยาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากฮัทธิล ผู้สืบเชื้อสายจาก โปเคเรทหัสซาบาอิม และผู้สืบเชื้อสายจากอาโมน
60 คนรับใช้ประจำวิหาร และผู้สืบเชื้อสายคนรับใช้ของซาโลมอน มีจำนวนรวมสามร้อยเก้าสิบสองคน
61 ต่อไปนี้จะเป็นจำนวนคนที่ขึ้นมาเมืองเยรูซาเล็มจากเมืองเทลเมลาห์ เมืองเทลหารชา เมืองเครูบ เมืองอัดโดน และเมืองอิมเมอร์ แต่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากชาวอิสราเอล
62 ผู้สืบเชื้อสายจากเดไลยาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากโทบีอาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากเนโคดา รวมหกร้อยสี่สิบสองคน
63 จำนวนนักบวชทั้งหลายมีดังนี้คือ
ผู้สืบเชื้อสายจากโฮบายาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากฮักโขส และผู้สืบเชื้อสายจากบารซิลลัย (บารซิลลัยคนนี้ได้แต่งงานกับลูกสาวคนหนึ่งของบารซิลลัย ซึ่งเป็นชาวกิเลอาด ดังนั้นเขาจึงใช้ชื่อเรียกตามชื่อพ่อตาเขา)
64 พวกเขาตรวจดูรายชื่อในทะเบียนสำมะโนครัว แต่ไม่พบชื่อของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงถูกตัดชื่อออกจากพวกนักบวช เพราะถือว่าไม่บริสุทธิ์ 65 เจ้าเมืองบอกพวกเขาว่า ในช่วงนี้อย่าเพิ่งกินอาหารที่บริสุทธิ์ที่สุดก่อน จนกว่านักบวชสูงสุด จะใช้อูริมและทูมมิมปรึกษาหาคำตอบจากพระเจ้าเสียก่อน
66 รวมคนทั้งหมดที่พูดมาได้สี่หมื่นสองพันสามร้อยหกสิบคน 67 ไม่นับพวกทาสชายหญิงของพวกเขาอีกเจ็ดพันสามร้อยสามสิบเจ็ดคน นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังมีนักร้องชายหญิงอีกสองร้อยคน 68 พวกเขายังมีม้าทั้งหมดเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว และล่อสองร้อยสี่สิบห้าตัว[c] 69 อูฐสี่ร้อยสามสิบห้าตัว และมีลารวมหกพันเจ็ดร้อยยี่สิบตัว
70 บรรดาหัวหน้าครอบครัวบางคน ให้สิ่งของต่างๆเพื่อสนับสนุนงานนี้ เจ้าเมืองได้ถวายสิ่งต่างๆเหล่านี้เข้ากองคลัง คือทองคำจำนวนแปดกิโลกรัมครึ่ง[d] ชามประพรมห้าสิบใบ และเสื้อผ้าสำหรับนักบวชห้าร้อยสามสิบชุด 71 หัวหน้าครอบครัวบางคน ถวายทองคำหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกิโลกรัม[e] และเงินหนึ่งพันสองร้อยกิโลกรัม[f] เข้ากองคลังสำหรับงาน 72 ประชาชนที่เหลือถวายทองคำหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกิโลกรัม เงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยกิโลกรัม และเสื้อผ้าหกสิบเจ็ดชุดให้กับพวกนักบวช
73 พวกนักบวช บรรดาชาวเลวี คนเฝ้าประตู พวกนักร้อง และประชาชนบางคน รวมทั้งพวกคนรับใช้ประจำวิหาร และชาวอิสราเอลทั้งหมด ก็อาศัยอยู่ตามบ้านเมืองของตน
เอสราอ่านกฎบัญญัติให้ประชาชนฟัง
เมื่อเดือนที่เจ็ด[g]มาถึง ประชาชนชาวอิสราเอลที่ได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆของตน
เปาโลและสิลาสในเธสะโลนิกา
17 หลังจากเดินทางผ่านเมืองอัมฟีบุรี และเมืองอปอลโลเนียแล้ว พวกเขาก็มาถึงเมืองเธสะโลนิกา ซึ่งมีที่ประชุมของชาวยิวอยู่ด้วย 2 เปาโลไปประชุมอย่างเคย และยังได้พูดโต้ตอบเรื่องพระคัมภีร์กับพวกเขาในวันหยุดทางศาสนาทุกอาทิตย์ติดต่อกันถึงสามวันหยุด 3 เปาโลอธิบาย และใช้พระคัมภีร์พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานและฟื้นขึ้นจากความตาย เปาโลพูดต่อว่า “พระเยซู ที่ผมได้ประกาศให้กับพวกคุณองค์นี้แหละ คือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่” 4 บางคนในกลุ่มนั้นก็เชื่อเปาโล จึงเข้าร่วมกับเปาโลและสิลาส นอกจากนี้ยังมีชาวกรีกที่นับถือพระเจ้าเป็นจำนวนมากเข้าร่วมกับพวกเขา และยังมีผู้หญิงคนสำคัญอีกจำนวนไม่น้อยด้วย
5 แต่พวกยิวกลับอิจฉา เขาได้รวบรวมพวกอันธพาลตามท้องถนน ก่อการจลาจลทั่วเมือง พวกเขาบุกเข้าไปในบ้านของยาโสน และพยายามที่จะหาตัวเปาโลและสิลาส เพื่อจะลากพวกเขาออกไปที่ฝูงชน 6 แต่พอหาไม่เจอ พวกเขาก็ลากยาโสนกับพี่น้องบางคนออกไปหาเจ้าหน้าที่บ้านเมือง พร้อมกับตะโกนว่า “ไอ้พวกนั้นที่ก่อความวุ่นวายไปทั่วโลก ตอนนี้ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว 7 ยาโสนก็ได้ต้อนรับไอ้พวกนั้นไว้ในบ้าน และพวกมันทุกคนได้ทำผิดกฎของซีซาร์เพราะพวกมันบอกว่ามีกษัตริย์อีกองค์ชื่อเยซู”
8 เมื่อฝูงชนและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้ยินอย่างนั้น ก็ไม่พอใจ 9 จึงสั่งให้ยาโสนและพวกที่เหลือจ่ายค่าประกันตัว แล้วจึงปล่อยตัวไป
เปาโลและสิลาสไปที่เมืองเบโรอา
10 ในคืนนั้นเอง พวกพี่น้องรีบส่งเปาโลและสิลาสไปเมืองเบโรอา เมื่อสองคนไปถึงที่นั่นก็เข้าไปในที่ประชุม 11 คนยิวที่นี่มีใจกว้างกว่าคนยิวในเมืองเธสะโลนิกา พวกเขารับพระคำอย่างเต็มใจ และศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียดทุกวัน เพื่อจะได้รู้ว่าสิ่งที่เปาโลสอนนั้นจริงหรือไม่ 12 ด้วยเหตุนี้ จึงมีชาวยิวหลายคนมาเชื่อ รวมถึงผู้หญิงคนสำคัญที่เป็นชาวกรีก และผู้ชายกรีกอีกหลายคน 13 เมื่อชาวยิวในเมืองเธสะโลนิการู้ว่าเปาโลได้มาประกาศพระคำของพระเจ้าที่เมืองเบโรอาด้วย พวกเขาก็พากันมาที่นั่น แล้วเริ่มก่อกวนและยุยงฝูงชน 14 พวกพี่น้องจึงรีบส่งเปาโลออกเดินทางไปที่ชายฝั่งทะเล แต่สิลาสและทิโมธียังคงอยู่ที่เมืองเบโรอา 15 คนที่ไปเป็นเพื่อนเปาโล ก็นั่งเรือไปส่งเปาโลถึงเมืองเอเธนส์ เปาโลฝากให้พวกนั้นมาบอกสิลาสและทิโมธีด้วยว่าให้รีบมาหาเขาเร็วๆพวกนั้นก็กลับไปเมืองเบโรอา
เปาโลอยู่ในเมืองเอเธนส์
16 ขณะที่เปาโลกำลังรอคอยสิลาสและทิโมธีอยู่ที่เมืองเอเธนส์นั้น เปาโลกลุ้มอกกลุ้มใจมาก เพราะเขาเห็นรูปเคารพเต็มบ้านเต็มเมือง
17 เขาจึงพูดโต้ตอบกับชาวยิวและชาวกรีกที่นับถือพระเจ้าในที่ประชุมชาวยิว และกับคนที่เขาพบตามตลาดทุกๆวัน 18 พวกนักปราชญ์เอปิคูเรียน[a] และพวกสโตอิก[b] บางคนโต้เถียงกับเขา บางคนพูดว่า “เขาพล่ามเรื่องอะไรหรือ” บางคนพูดว่า “ดูเหมือนเขาจะพูดถึงพระของคนต่างชาตินะ” ที่พวกเขาพูดอย่างนี้ก็เพราะเปาโลกำลังสอนเรื่องพระเยซู และการฟื้นขึ้นจากความตาย 19 พวกเขาจึงนำตัวเปาโลไปที่สภาอาเรโอปากัสแล้วพูดว่า “ช่วยอธิบายคำสอนใหม่ของท่านให้เรารู้หน่อย 20 เพราะท่านได้เอาสิ่งที่แปลกหูมาเล่าให้ฟัง เราจึงอยากรู้ว่ามันหมายถึงอะไร” 21 (ชาวเอเธนส์และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่นั่น วันๆไม่ทำอะไรเลย นอกจากพูดคุยและฟังแต่เรื่องใหม่ๆ)
22 เปาโลจึงยืนขึ้นต่อหน้าสภาอาเรโอปากัสแล้วพูดว่า “ชาวเอเธนส์ทั้งหลาย ผมสังเกตว่าพวกท่านเป็นคนเคร่งศาสนามาก 23 เพราะผมได้เดินไปรอบๆและสังเกตเห็นสิ่งต่างๆที่ท่านบูชา ผมเห็นแท่นบูชาแท่นหนึ่งเขียนว่า ‘แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก’ ผมกำลังประกาศถึงพระเจ้าที่ท่านบูชาโดยไม่รู้จักองค์นี้แหละ 24 พระองค์เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกและทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ พระองค์เป็นเจ้าของท้องฟ้าและแผ่นดินโลกนี้ พระองค์จึงไม่ได้อยู่ในวัดที่มือมนุษย์สร้างขึ้น 25 พระเจ้าไม่ต้องให้มนุษย์มารับใช้ หรือทำเหมือนกับว่าพระองค์ขาดอะไรอยู่ แต่เป็นพระองค์ต่างหากที่ให้ชีวิต ลมหายใจ และทุกสิ่งทุกอย่างกับมนุษย์ 26 พระองค์ได้ทำให้ชนชาติต่างๆเกิดขึ้นมาจากคนคนเดียว เพื่อพวกเขาจะได้ตั้งรกรากอยู่ทั่วโลก และพระองค์ได้กำหนดเวลาและเขตแดนให้กับพวกเขาอยู่ 27 พระองค์ประสงค์ให้พวกเขาแสวงหาพระองค์ เผื่อบางทีเขาอาจจะไขว่คว้าหาพระองค์แล้วจะได้พบพระองค์ ความจริงแล้วพระองค์ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากพวกเราแต่ละคน 28 เพราะในพระองค์ เราถึงมีชีวิตเคลื่อนไหวได้และเป็นอยู่นี้ เหมือนกับที่กวีของท่านผู้หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า
‘ด้วยว่าพวกเราคือลูกหลานของพระองค์’
29 ในเมื่อพวกเราเป็นลูกหลานของพระเจ้าแล้ว พวกเราก็ไม่ควรจะคิดว่า พระองค์เป็นเหมือนรูปปั้นที่คนได้คิดออกแบบทำขึ้นจากทองคำ เงิน หรือหิน 30 ในอดีตพระเจ้าได้มองข้ามเรื่องนี้ไป เพราะคนไม่เข้าใจพระองค์อย่างถ่องแท้ แต่ตอนนี้พระองค์ได้สั่งมนุษย์ทุกคนในทุกที่ให้กลับตัวกลับใจเสียใหม่ 31 เพราะพระองค์ได้กำหนดวันที่พระองค์จะพิพากษาโลกนี้อย่างยุติธรรม โดยชายคนหนึ่งที่พระองค์ได้แต่งตั้ง และพระองค์ก็พิสูจน์เรื่องนี้ให้ทุกคนเห็น โดยทำให้ชายคนนี้ฟื้นขึ้นจากความตาย”
32 เมื่อได้ยินเรื่องการฟื้นขึ้นจากความตาย บางคนก็หัวเราะเยาะ แต่บางคนก็พูดว่า “เราอยากฟังท่านพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” 33 แล้วเปาโลก็ไปจากสภานั้น 34 มีบางคนได้มาเข้าร่วมกับเปาโลและเชื่อ ในคนเหล่านั้นมีดิโอนิสิอัสสมาชิกของสภาอาเรโอปากัส ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อดามาริสและคนอื่นๆด้วย
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International