M’Cheyne Bible Reading Plan
การขลิบ
17 เมื่ออับรามมีอายุเก้าสิบเก้าปี พระยาห์เวห์ได้มาปรากฏต่ออับรามและพูดกับเขาว่า “เราคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์[a] ให้เชื่อฟังเราและทำตัวไร้ที่ติ 2 ถ้าเจ้าทำอย่างนี้ เราจะทำสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และเราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าเพิ่มทวีขึ้นอย่างมหาศาล”
3 อับรามก็ก้มกราบลงและพระองค์ก็พูดกับเขาว่า 4 “นี่เป็นส่วนของเรา ที่เราได้ทำสัญญากับเจ้า คือเจ้าจะได้เป็นบรรพบุรุษของหลายชนชาติ 5 ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่อับราม[b] อีกต่อไป แต่เจ้าจะมีชื่อใหม่ว่า อับราฮัม[c] เพราะเราได้ทำให้เจ้าเป็นพ่อของหลายชนชาติ 6 เราจะทำให้เจ้ามีลูกหลานมากมาย และเราจะทำให้มีหลายๆชนชาติเกิดมาจากเจ้า กษัตริย์ต่างๆจะมาจากเจ้า 7 เราจะทำสัญญาระหว่างเรากับเจ้าและกับลูกหลานของเจ้าและลูกหลานของพวกเขาตลอดไป นี่จะเป็นสัญญาตลอดกาล เราสัญญาว่าเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้าและลูกหลานของเจ้า 8 แผ่นดินทั้งหมดนี้ที่เป็นของชาวคานาอัน ที่เจ้ากำลังอยู่ในฐานะคนต่างด้าวนี้ เราจะยกให้กับเจ้าและลูกหลานของเจ้าตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของลูกหลานเจ้าด้วย”
9 แล้วพระเจ้าก็พูดกับอับราฮัมว่า “ส่วนเจ้า เจ้าจะต้องรักษาสัญญานี้ ทั้งเจ้าและลูกหลานของเจ้า ตลอดจนลูกหลานของเขา 10 นี่คือสัญญาของเราที่พวกเจ้าจะต้องรักษา เป็นสัญญาระหว่างเรากับเจ้าและลูกหลานของเจ้า ผู้ชายทุกคนในพวกเจ้าจะต้องขลิบ 11 พวกเจ้าจะต้องขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ นี่จะเป็นสัญลักษณ์ว่าเจ้ายอมรับคำสัญญาระหว่างเรากับพวกเจ้า 12 ตลอดชั่วลูกชั่วหลานของเจ้า เด็กผู้ชายทุกคนที่เกิดมาได้แปดวันจะต้องถูกขลิบ เด็กผู้ชายที่เกิดมาในครัวเรือนของเจ้า รวมทั้งทาสชายที่เจ้าซื้อมาจากชาวต่างชาติ ก็ต้องขลิบกันหมดทุกคน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกหลานของเจ้าก็ตาม 13 ทั้งทาสที่เกิดในครัวเรือนของเจ้าและทาสที่เจ้าเอาเงินไปซื้อมา ก็ต้องถูกขลิบกันทุกคน ด้วยวิธีนี้ สัญญาของเราก็จะติดอยู่กับเนื้อหนังของเจ้าไปตลอดกาล 14 ผู้ชายที่ไม่ได้ขลิบจะถูกตัดออกจากกลุ่ม เพราะไม่รักษาสัญญาของเรา”
อิสอัค ลูกชายที่พระเจ้าสัญญาว่าจะให้
15 พระเจ้าพูดกับอับราฮัมว่า “ซาราย[d] เมียของเจ้าจะไม่ชื่อซารายอีกต่อไป เพราะนางจะเปลี่ยนชื่อเป็นซาราห์[e] 16 เราจะอวยพรนาง และเราจะให้ลูกชายกับเจ้าผ่านทางนาง และเราจะอวยพรนางให้เป็นแม่ของหลายชนชาติ พวกกษัตริย์ของชนชาติต่างๆจะมาจากนาง”
17 อับราฮัมก้มกราบลง แต่เขาหัวเราะและพูดกับตัวเองว่า “ผู้ชายอายุร้อยปีจะมีลูกได้ยังไง หรือซาราห์ที่มีอายุเก้าสิบปีแล้วจะมีลูกได้ยังไง”
18 อับราฮัมจึงพูดกับพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าหวังว่าอิชมาเอลจะมีชีวิตที่มีความสุขอยู่ต่อหน้าพระองค์”
19 พระเจ้าพูดว่า “จะเป็นอย่างนั้น แต่ซาราห์ เมียของเจ้าเองต่างหากที่จะเป็นคนคลอดลูกชายให้กับเจ้า และเจ้าจะตั้งชื่อเด็กว่าอิสอัค[f] เราจะรักษาสัญญาของเรากับเขาและลูกหลานของเขาไว้ตลอดกาล
20 ส่วนอิชมาเอลนั้น เราได้ยินคำขอร้องของเจ้าแล้ว เราจะอวยพรเขา เราจะให้เขามีลูกหลานมากมายมหาศาล และเขาจะได้เป็นพ่อของเจ้าชายสิบสององค์ และเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ 21 แต่เราจะทำสัญญาของเรากับอิสอัค ที่ซาราห์จะคลอดให้กับเจ้าในปีหน้าเวลานี้”
22 เมื่อพระเจ้าพูดกับอับราฮัมเสร็จ พระองค์ก็ลอยขึ้นไปจากเขา 23 แล้วในวันนั้นเองอับราฮัมก็พาอิชมาเอล พวกทาสชายทุกคนที่เกิดในครัวเรือนของเขา รวมทั้งทาสที่เขาซื้อมา และผู้ชายทั้งหมดในครัวเรือนของเขา ไปขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศทุกคน ตามที่พระเจ้าได้บอกเขาไว้
24 วันที่อับราฮัมเข้าพิธีขลิบนั้น เขามีอายุเก้าสิบเก้าปี 25 ส่วนอิชมาเอลมีอายุสิบสามปีตอนเข้าพิธีขลิบ 26 ในวันนั้นทั้งอับราฮัมและลูกชายก็ได้เข้าพิธีขลิบ 27 และผู้ชายทุกคนในครัวเรือนของอับราฮัม พวกทาสที่เกิดในครัวเรือนของเขาและพวกทาสที่ซื้อมาจากคนต่างชาติ ก็เข้าพิธีขลิบพร้อมกับอับราฮัมด้วย
ผู้นำชาวยิวทดสอบพระเยซู
(มก. 8:11-13; ลก. 12:54-56)
16 พวกฟาริสีและพวกสะดูสีเรียกให้พระเยซูทำเรื่องอัศจรรย์ให้ดู เพื่อทดสอบว่าพระองค์มาจากพระเจ้าจริงหรือไม่
2 พระเยซูตอบว่า “เมื่อท้องฟ้าสีแดงในตอนเย็น คุณบอกว่าพรุ่งนี้อากาศจะดี 3 เมื่อท้องฟ้าสีแดงและมืดครึ้มในตอนเช้า คุณบอกว่าวันนี้ฝนจะตก คุณรู้จักที่จะตีความหมายของดินฟ้าอากาศ แต่กลับไม่รู้จักความหมายของสิ่งเหล่านี้ที่เราทำ 4 มีแต่คนที่ชั่วและไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ที่เรียกร้องให้ทำการอัศจรรย์ให้ดู แต่เราจะไม่ทำอะไรให้ดูนอกจากการอัศจรรย์ของโยนาห์”[a] แล้วพระเยซูก็ไปจากพวกเขา
เชื้อของพวกฟาริสีและสะดูสี
(มก. 8:14-21)
5 ขณะที่พวกศิษย์ของพระเยซูกำลังข้ามทะเลสาบไปอีกฟากหนึ่งนั้น ก็ลืมเอาขนมปังมาด้วย 6 พระเยซูได้เตือนพวกเขาว่า “ระวังเชื้อของพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดีนะ”
7 พวกศิษย์จึงพูดกันว่า “ที่อาจารย์พูดอย่างนี้ ต้องเป็นเพราะพวกเราลืมเอาขนมปังมาแน่ๆ”
8 พระเยซูรู้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไร จึงพูดว่า “พวกคุณนี่ช่างมีความเชื่อน้อยจริงๆ ไปพูดกันถึงเรื่องไม่มีขนมปังทำไม 9 นี่พวกคุณยังไม่เข้าใจอีกหรือ จำไม่ได้แล้วหรือ ตอนที่เราแบ่งขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคน พวกคุณเก็บเศษที่เหลือได้กี่เข่ง 10 หรือตอนที่เราแบ่งขนมปังเจ็ดก้อนเลี้ยงคนสี่พันคน พวกคุณเก็บเศษที่เหลือได้กี่เข่ง 11 ทำไมพวกคุณถึงไม่เข้าใจนะว่า เราไม่ได้พูดถึงเรื่องขนมปัง แต่เราเตือนให้พวกคุณระวังเชื้อของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี”
12 ในที่สุดพวกศิษย์ก็เข้าใจแล้วว่า พระองค์ไม่ได้พูดถึงเชื้อที่ใส่ในขนมปัง แต่เตือนให้ระวังเรื่องคำสอนของพวกฟาริสีและสะดูสี
เปโตรพูดว่าพระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
(มก. 8:27-30; ลก. 9:18-21)
13 เมื่อพระเยซูมาถึงแคว้นซีซารียาฟีลิปปี พระองค์ถามพวกศิษย์ว่า “คนเขาพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นใครกัน”
14 พวกศิษย์ตอบว่า “บางคนว่าเป็นยอห์นคนที่ทำพิธีจุ่มน้ำ บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์ บางคนก็ว่าเป็นเยเรมียาห์หรือเป็นคนหนึ่งในพวกผู้พูดแทนพระเจ้า”
15 พระเยซูถามพวกศิษย์ว่า “แล้วพวกคุณล่ะ ว่าเราเป็นใคร”
16 ซีโมน เปโตร ตอบว่า “พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ พระบุตรของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่”
17 พระเยซูตอบว่า “ซีโมนลูกของโยนาห์ คุณนี่ได้รับเกียรติจริงๆ ในเรื่องนี้ พระบิดาของเราที่อยู่บนสวรรค์เป็นผู้เปิดเผยให้คุณรู้นะ ไม่ใช่มนุษย์หรอก 18 เราจะบอกให้รู้ว่า คุณคือเปโตร[b] และบนหินก้อนนี้ เราจะสร้างหมู่ประชุมของเราขึ้นมา และอำนาจทั้งหมดของความตาย[c] จะไม่สามารถเอาชนะหมู่ประชุมของเราได้ 19 เราจะให้กุญแจของอาณาจักรแห่งสวรรค์กับคุณ อะไรก็ตามที่คุณห้ามไม่ให้ทำบนโลกนี้ พระเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ก็จะห้ามไม่ให้ทำด้วย ส่วนอะไรก็ตามที่คุณให้ทำบนโลกนี้ พระเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ก็จะให้ทำด้วย” 20 แล้วพระเยซูได้สั่งพวกศิษย์ ห้ามไม่ให้บอกใครว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
พระเยซูทำนายว่าพระองค์ต้องตาย
(มก. 8:31-9:1; ลก. 9:22-27)
21 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระเยซูเริ่มอธิบายให้พวกศิษย์ฟังว่า พระองค์จะต้องไปเมืองเยรูซาเล็มและต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่างจากพวกผู้นำอาวุโสของชาวยิว พวกหัวหน้านักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติ พระองค์จะถูกฆ่า แต่จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม
22 เปโตรดึงพระองค์มาข้างๆและต่อว่าพระองค์ว่า “ไม่มีทางหรอกอาจารย์ มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างนั้นแน่”
23 พระองค์หันมาพูดกับเปโตรว่า “ไปให้พ้น ไอ้ซาตาน แกกำลังขัดขวางเรา เพราะแกไม่ได้คิดแบบพระเจ้า แต่คิดแบบมนุษย์”
24 แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกศิษย์ว่า “ถ้าใครอยากจะติดตามเรา คนนั้นต้องเลิกตามใจตัวเอง และแบกกางเขนของตัวเองตามเรามา 25 คนที่อยากจะเอาตัวรอดจะไม่รอด แต่คนที่ยอมสละตัวเองเพื่อเราจะค้นพบตัวเอง 26 มันจะได้กำไรตรงไหน ถ้าได้โลกทั้งใบ แต่ตัวเองถูกทำลายไป จะเอาอะไรไปแลกเพื่อจะได้ตัวเองกลับคืนมาได้หรือ 27 เพราะบุตรมนุษย์จะกลับมาด้วยความสง่างามของพระบิดาของพระองค์ และมาพร้อมกับทูตสวรรค์ของพระองค์ แล้วบุตรมนุษย์จะมาตัดสินมนุษย์ทุกคนตามการกระทำของเขา 28 เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนในพวกคุณที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์มาในอาณาจักรของพระองค์”
ปัญหาอื่น
6 ต่อมา เมื่อมีคนไปรายงานให้สันบาลลัทและโทบีอาห์ รวมทั้งเกเชม ซึ่งเป็นชาวอาหรับ และพวกศัตรูอื่นๆของเราว่าผมได้สร้างกำแพงจนไม่มีรูโหว่เหลืออีกแล้ว (ถึงแม้ว่าในตอนนั้นผมยังไม่ได้ติดตั้งบานประตูที่กำแพงเมืองก็ตาม)
2 สันบาลลัทและเกเชม ได้ส่งสารมาให้กับผมว่า “ขอให้เรามาเจอกันที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งบนที่ราบโอโน”
แต่พวกเขากำลังวางแผนที่จะทำร้ายผม
3 ผมจึงส่งพวกคนถือสารไปหาพวกเขา บอกว่า “ผมกำลังทำงานสำคัญอยู่ ไม่สามารถลงมาหาได้ ถ้าผมทิ้งงานมาหาพวกท่าน งานก็จะหยุดชะงักไป”
4 พวกเขาส่งสารเดิมมาให้ผมถึงสี่ครั้ง และผมก็ตอบพวกเขาไปแบบเดิมทุกครั้ง
5 สันบาลลัทได้ส่งคนใช้ของเขามาหาผมอย่างเคยเป็นครั้งที่ห้า โดยถือจดหมายเปิดผนึกมา[a]
6 ในจดหมายนั้นเขียนว่า
“มีคนพูดไปทั่วชนชาติต่างๆและเกเชมเองก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ที่ว่า ท่านและพวกชาวยิวกำลังวางแผนจะก่อการกบฏ เพราะเหตุนี้ ท่านถึงได้สร้างกำแพงขึ้นมา และตามรายงานนี้แจ้งว่า ท่านกำลังจะขึ้นเป็นกษัตริย์ของพวกเขา 7 ท่านยังได้แต่งตั้งพวกผู้พูดแทนพระเจ้า เพื่อประกาศเกี่ยวกับตัวท่านในเมืองเยรูซาเล็มว่า ‘มีกษัตริย์ในยูดาห์แล้ว’
ถ้อยคำเหล่านี้จะถูกรายงานให้กษัตริย์อารทาเซอร์ซีสทราบ ดังนั้นขอให้เรามาพบกันหน่อย”
8 ผมจึงส่งสารกลับไปให้เขาว่า “ไม่มีเรื่องอย่างที่ท่านพูดมานี้เกิดขึ้นเลย ท่านกุขึ้นมาเองตามความคิดของท่าน”
9 พวกนั้นทุกคนพยายามขู่ให้เราตกใจกลัว พวกเขาคิดว่า “มือของพวกนั้นจะทิ้งงานไป งานจะได้ไม่เสร็จ”
แต่ผมอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ตอนนี้ช่วยเพิ่มพลังให้กับมือของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
10 อยู่มาวันหนึ่ง ผมไปบ้านของเชไมอาห์ ลูกชายของเดไลยาห์ ที่เป็นลูกชายของเมเหทาเบล เชไมอาห์กำลังวิตกกังวล เขาพูดว่า
“ขอให้เราไปพบกันที่วิหารของพระเจ้า
เข้าไปข้างในของวิหาร ให้เราปิดประตูวิหาร
เพราะพวกเขากำลังมาฆ่าท่าน
พวกเขาจะมาฆ่าท่านในตอนกลางคืน”
11 แต่ผมตอบว่า “คนอย่างผมควรจะหนีหรือ แล้วถ้าคนที่ไม่ใช่นักบวชอย่างผมเข้าไปในวิหาร แล้วจะรอดชีวิตได้หรือ ผมจะไม่เข้าไปเด็ดขาด”
12 ทันใดนั้น ผมก็รู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ส่งเชไมอาห์มาหรอก แต่เขาแกล้งพูดแทนพระเจ้าเพื่อทำร้ายผม เพราะโทบีอาห์ และสันบาลลัทได้จ้างเขา
13 ที่พวกนั้นว่าจ้างเชไมอาห์ เพื่อจะทำให้ผมกลัว และทำตามที่เขาแนะนำ เพื่อผมจะได้ทำบาป พวกเขาตั้งใจที่จะทำลายชื่อเสียงของผม และทำให้ผมอับอายขายหน้า
14 “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดลงโทษโทบีอาห์และสันบาลลัท สำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป และโปรดลงโทษโนอัดยาห์ ผู้หญิงที่อ้างว่าพูดแทนพระเจ้า รวมทั้งคนอื่นๆที่อ้างว่าพูดแทนพระเจ้า ที่พยายามขู่ให้ข้าพเจ้าตกใจกลัวด้วยเถิด”
กำแพงสร้างเสร็จ
15 ในที่สุดกำแพงก็ถูกสร้างจนเสร็จในวันที่ยี่สิบห้า ของเดือนเอลูล[b] ใช้เวลาในการสร้างทั้งสิ้นห้าสิบสองวัน
16 เมื่อศัตรูทุกคนของเราได้ยิน และชนชาติทั้งหมดที่อยู่รอบข้างเราได้เห็น พวกเขาก็หมดความทะนงตัวไป พวกเขารู้ว่างานนี้เป็นผลงานของพระเจ้าของเรา
17 ในช่วงนั้นหลังจากสร้างกำแพงเสร็จ พวกบุคคลสำคัญๆของยูดาห์กำลังส่งจดหมายไปให้โทบีอาห์หลายฉบับ และโทบีอาห์กำลังส่งจดหมายตอบพวกเขามา 18 เพราะมีหลายคนที่ยูดาห์ ได้สาบานที่จะจงรักภักดีต่อโทบีอาห์ เพราะเขาเป็นลูกเขยของเชคานิยาห์ ที่เป็นลูกชายของอาราห์ และเยโฮฮานันลูกชายของโทบีอาห์ ได้แต่งงานกับลูกสาวของเมชุลลาม ที่เป็นลูกชายของเบเรคิยาห์
19 พวกเขาได้แต่พูดเรื่องความดีของโทบีอาห์ให้ผมฟัง และพอผมทำอะไรไป พวกเขาก็ไปรายงานให้โทบีอาห์รู้ โทบีอาห์จึงส่งจดหมายต่างๆมาให้ผม เพื่อขู่ให้ผมตกใจกลัว
ทิโมธีทำงานร่วมกับเปาโลและสิลาส
16 เปาโลไปเมืองเดอร์บีและเมืองลิสตราด้วย ที่นั่นมีศิษย์คนหนึ่งของพระเยซู ชื่อทิโมธี เป็นลูกชายของหญิงชาวยิวที่เชื่อถือในพระเยซู แต่พ่อของเขาเป็นชาวกรีก 2 ทิโมธีเป็นที่ยกย่องของพี่น้องในเมืองลิสตราและเมืองอีโคนียูม 3 เปาโลอยากได้ทิโมธีเดินทางไปด้วย จึงได้พาทิโมธีไปทำพิธีขลิบ เพราะเห็นแก่คนยิวที่อยู่ที่นั่น เพราะพวกเขาทุกคนรู้ว่าพ่อของทิโมธีเป็นคนกรีก 4 เมื่อพวกเขาผ่านไปตามเมืองต่างๆก็ได้บอกให้พวกที่นับถือพระเยซู รู้ถึงกฎต่างๆที่พวกศิษย์เอกของพระเยซูและพวกผู้นำอาวุโสในเมืองเยรูซาเล็มได้ตกลงกันไว้ 5 จึงทำให้หมู่ประชุมของพระเจ้าทั้งหลายมีความเชื่อมากยิ่งขึ้น และมีคนมาเชื่อพระเยซูเพิ่มขึ้นทุกๆวัน
พระเจ้าเรียกเปาโลไปมาซิโดเนีย
6 เปาโลและคนอื่นๆที่ไปด้วย เดินทางผ่านแคว้นฟรีเจียและกาลาเทีย พระวิญญาณบริสุทธิ์ ห้ามพวกเขาไม่ให้เข้าไปประกาศพระคำขององค์เจ้าชีวิตในแคว้นเอเชีย 7 เมื่อพวกเขามาถึงชายแดนของแคว้นมิเซียแล้ว พวกเขาพยายามจะเข้าไปในแคว้นบิธีเนีย แต่พระวิญญาณของพระเยซูก็ห้ามไว้อีก 8 ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางผ่านแคว้นมิเซีย ไปที่เมืองโตรอัส 9 ในตอนกลางคืนเปาโลเห็นนิมิตว่า มีชายคนหนึ่งจากมาซิโดเนียได้มายืนอ้อนวอนเปาโลว่า “มาช่วยพวกเราที่แคว้นมาซิโดเนียด้วยเถิด” 10 หลังจากที่เปาโลเห็นนิมิตแล้ว พวกเรา[a] ก็ตัดสินใจไปที่แคว้นมาซิโดเนียทันที โดยสรุปว่า พระเจ้าเรียกพวกเราให้ไปประกาศข่าวดีกับชาวมาซิโดเนีย
ลิเดียมาเป็นลูกศิษย์ขององค์เจ้าชีวิต
11 จากเมืองโตรอัส พวกเรานั่งเรือตรงไปที่เกาะสาโมธรัส พอวันถัดมาพวกเราก็นั่งเรือต่อไปที่เมืองเนอาโปลิส 12 จากที่นั่นพวกเราเดินทางไปที่เมืองฟีลิปปี ซึ่งเป็นเมืองสำคัญอันดับหนึ่งในแถบนั้นของแคว้นมาซิโดเนีย และเป็นเมืองขึ้นของโรม พวกเราใช้เวลาอยู่ในเมืองนี้หลายวัน
13 เมื่อถึงวันหยุดทางศาสนา พวกเราออกนอกประตูเมืองไปที่แม่น้ำ เราคิดว่าที่นั่นคงมีที่สำหรับอธิษฐาน พวกเรานั่งลงพูดคุยกับพวกผู้หญิงที่มาชุมนุมกันอยู่ที่นั่น 14 มีผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่น ชื่อลิเดีย เป็นคนขายผ้าสีม่วง เธอมาจากเมืองธิยาทิรา เธอเป็นคนที่นับถือพระเจ้า เมื่อเธอกำลังฟังพวกเราอยู่นั้น องค์เจ้าชีวิตก็ได้เปิดใจของเธอให้ตั้งใจฟังในสิ่งที่เปาโลกำลังพูด 15 หลังจากที่เธอและคนในบ้านทั้งหมดเข้าพิธีจุ่มน้ำแล้ว เธอขอร้องพวกเราว่า “ถ้าพวกท่านถือว่า ดิฉันมีความเชื่อในองค์เจ้าชีวิตจริง ก็ขอให้มาพักที่บ้านของดิฉันด้วยเถิด” แล้วเธอคะยั้นคะยอให้พวกเราไป
เปาโลและสิลาสอยู่ในคุก
16 วันหนึ่งเมื่อพวกเรากำลังจะไปสถานที่อธิษฐาน ทาสสาวคนหนึ่งพบกับพวกเรา เธอมีผีหมอดูสิงอยู่ ทำให้เธอสามารถทำนายอนาคตได้ เธอหาเงินให้กับพวกเจ้านายของเธอเป็นจำนวนมากด้วยการทำนายโชคชะตา 17 เธอเดินตามเปาโลกับพวกเรา และร้องตะโกนว่า “คนพวกนี้เป็นทาสของพระเจ้าสูงสุด พวกเขามาประกาศหนทางที่จะหลุดพ้นจากบาปให้กับพวกคุณรู้” 18 เธอทำอย่างนี้อยู่หลายวัน จนเปาโลทนไม่ไหว จึงหันไปพูดกับวิญญาณที่สิงเธออยู่ว่า “ในนามของพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์ เราขอสั่งให้เจ้าออกมาจากร่างของเธอเดี๋ยวนี้” แล้ววิญญาณตนนั้นก็ออกจากร่างของเธอทันที
19 เมื่อพวกเจ้านายของเธอเห็นว่าโอกาสที่จะหาเงินนั้นหลุดลอยไปแล้ว พวกเขาจึงคว้าตัวเปาโลและสิลาส แล้วลากตัวไปหาเจ้าหน้าที่ที่ตลาด 20 เมื่อพวกเขานำเปาโลและสิลาสไปหาคณะผู้พิพากษาแล้ว พวกเขาก็พูดว่า “ไอ้พวกนี้เป็นชาวยิวที่เข้ามาก่อกวนในบ้านเมืองของเรา 21 พวกมันมาโฆษณาชวนเชื่อถึงประเพณีต่างๆที่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ที่พวกเราชาวโรมันไม่สามารถจะรับหรือทำตามได้”
22 แล้วฝูงชนก็เข้ามารุมทำร้ายเปาโลกับสิลาส คณะผู้พิพากษาเข้ามาฉีกเสื้อผ้าของเปาโลและสิลาสออก แล้วสั่งให้เฆี่ยนตี 23 หลังจากเฆี่ยนตีไปหลายครั้งแล้ว ได้เอาตัวไปขังไว้ในคุก แล้วสั่งให้นายคุกเฝ้าควบคุมไว้อย่างแน่นหนา 24 เมื่อนายคุกได้รับคำสั่งแล้ว เขาก็ได้คุมตัวคนทั้งสองไปขังไว้ที่ห้องขังชั้นใน และใส่ขื่อที่เท้าของพวกเขาอย่างแน่นหนา
25 ประมาณเที่ยงคืน ในขณะที่เปาโลและสิลาสกำลังอธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า โดยมีนักโทษคนอื่นๆกำลังฟังอยู่นั้น 26 ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จนรากฐานของคุกสั่นสะเทือน แล้วประตูคุกทุกบานก็เปิดออกทันที โซ่ที่ล่ามนักโทษทุกคนหลุด 27 นายคุกก็ตื่น และเมื่อเขาเห็นประตูคุกเปิดก็คิดว่านักโทษหนีออกไปหมดแล้ว เขาจึงชักดาบออกมาเพื่อจะฆ่าตัวตาย 28 แต่เปาโลตะโกนเสียงดังว่า “อย่าทำร้ายตัวเองเลย พวกเรายังอยู่ที่นี่ครบทุกคน”
29 ผู้คุมจึงร้องขอคบไฟ แล้วเขาก็วิ่งเข้าไปข้างในตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เขาหมอบลงต่อหน้าเปาโลและสิลาส 30 แล้วนำคนทั้งสองออกมาจากคุกและถามว่า “ท่านครับ ผมต้องทำอย่างไร ถึงจะรอดได้”
31 พวกเขาตอบว่า “ให้ไว้วางใจในพระเยซูผู้เป็นองค์เจ้าชีวิต แล้วท่านจะได้หลุดพ้นจากบาป รวมทั้งคนในครัวเรือนของท่านด้วย” 32 แล้วพวกเขาประกาศพระคำของพระเจ้า ให้นายคุกรวมทั้งทุกคนที่อยู่ในครัวเรือนของเขาฟัง 33 ในคืนนั้นเอง นายคุกพาเปาโลและสิลาสไปล้างแผล แล้วเขาและทุกคนในครัวเรือนของเขาก็เข้าพิธีจุ่มน้ำในทันที 34 หลังจากนั้นนายคุกก็พาคนทั้งสองไปที่บ้าน และหาอาหารมาให้กิน เขาและทุกคนในครัวเรือนต่างก็พากันดีใจ เพราะได้ไว้วางใจในพระเจ้าแล้ว
35 พอถึงวันรุ่งขึ้น คณะผู้พิพากษาส่งเจ้าหน้าที่มาบอกว่า “ปล่อยตัวสองคนนั้นไปได้แล้ว”
36 นายคุกจึงไปบอกกับเปาโลว่า “ผู้พิพากษาส่งคนมาบอกให้ปล่อยตัวพวกท่านแล้ว ออกมาเถอะ ขอให้ไปเป็นสุขนะ”
37 แต่เปาโลพูดกับพวกเจ้าหน้าที่ว่า “พวกเขาเฆี่ยนตีเราในที่สาธารณะ ทั้งๆที่ไม่มีความผิด มิหนำซ้ำเราก็เป็นคนสัญชาติโรมันด้วย แล้วยังโยนเราเข้าคุกอีกด้วย และตอนนี้จะมาแอบปล่อยเราไปอย่างลับๆได้อย่างไร ยอมไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาเองควรจะมาพาพวกเราออกไป”
38 พวกเจ้าหน้าที่ จึงได้ไปรายงานเรื่องนี้ต่อคณะผู้พิพากษา เมื่อคณะผู้พิพากษาได้ยินว่าเปาโลและสิลาสเป็นคนสัญชาติโรมัน พวกเขาต่างก็พากันตกใจ 39 จึงมาขอโทษคนทั้งสอง แล้วพาพวกเขาออกมาจากคุก และขอร้องให้พวกเขาออกไปจากเมือง 40 เมื่อเปาโลและสิลาสออกจากคุกแล้ว ก็ตรงไปที่บ้านของลิเดียเพื่อพบกับพวกพี่น้องที่นั่น เปาโลและสิลาสให้กำลังใจพวกเขาแล้วก็จากไป
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International