Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 13

อับรามกลับคานาอัน

13 อับรามกับเมียและโลทจึงเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดเดินทางจากอียิปต์ต่อไปยังเนเกบ ขณะนี้อับรามร่ำรวยมาก มีฝูงสัตว์ เครื่องเงินและทองมากมาย

อับรามเดินทางจากเนเกบกลับไปเบธเอล เมื่อเขามาถึงบริเวณที่อยู่ระหว่างเมืองเบธเอลและเมืองอัย ตรงบริเวณที่เขาเคยตั้งเต็นท์ตอนที่ผ่านมาครั้งก่อน เป็นสถานที่ที่เขาสร้างแท่นบูชาไว้ อับรามได้นมัสการพระยาห์เวห์ที่นั่น

อับรามและโลทแยกทางกัน

โลทซึ่งเดินทางมากับอับราม ก็มีฝูงแพะแกะ ฝูงวัว และเต็นท์อีกมากมาย พื้นที่ที่เคยอาศัยอยู่จึงไม่เพียงพอที่จะให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอีกต่อไป เพราะทรัพย์สมบัติและสิ่งของของพวกเขามีจำนวนมากมายมหาศาลจนไม่สามารถอยู่รวมกันได้ คนเลี้ยงแกะของอับรามทะเลาะกับคนเลี้ยงแกะของโลทหลายครั้ง (ในเวลานั้นชาวคานาอันและชาวเปริสซีได้อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นด้วย)

อับรามจึงพูดกับโลทว่า “พวกเราไม่ควรมาทะเลาะกันเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระหว่างลุงกับหลาน หรือเรื่องระหว่างคนเลี้ยงแกะของเรา เพราะเราเป็นญาติกัน แผ่นดินทั้งหมดนี้คอยอยู่ต่อหน้าหลาน พวกเราควรแยกทางกัน ถ้าหลานไปทางซ้าย ลุงก็จะไปทางขวา ถ้าหลานไปทางขวา ลุงก็จะไปทางซ้าย”

10 โลทมองไปรอบๆ เห็นที่ลุ่มในหุบเขาจอร์แดนตลอดระยะทางจนถึงเมืองโศอาร์ แผ่นดินแห่งนี้มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ (ตอนนั้นพระยาห์เวห์ยังไม่ได้ทำลายเมืองโสโดมและโกโมราห์) แผ่นดินแห่งนี้เหมือนกับสวนของพระยาห์เวห์ เหมือนกับดินแดนในประเทศอียิปต์ 11 โลทเลือกที่ลุ่มในหุบเขาจอร์แดน เขาจึงเดินทางไปทางตะวันออก ทั้งสองคนจึงแยกทางกัน 12 อับรามอาศัยอยู่ในดินแดนของคานาอัน โลทอาศัยอยู่ท่ามกลางเมืองต่างๆในหุบเขา โลทได้ย้ายเต็นท์ของเขาไปใกล้กับเมืองโสโดม 13 ชาวเมืองโสโดมเป็นคนชั่วและทำบาปต่อพระยาห์เวห์อย่างมาก

14 หลังจากที่โลทแยกไปแล้ว พระยาห์เวห์พูดกับอับรามว่า “ให้มองไปรอบๆจากจุดที่เจ้าอยู่ มองไปทางเหนือ ทางใต้ ทางตะวันออกและทางตะวันตก 15 เพราะเราจะมอบทุกที่ที่เจ้าเห็นให้เจ้าและลูกหลานของเจ้าตลอดไป 16 เราจะให้ลูกหลานของเจ้ามีจำนวนมากมายเหมือนฝุ่นบนโลก ถ้าหากมีใครสามารถนับฝุ่นบนโลกได้ ก็จะสามารถนับจำนวนลูกหลานของเจ้าได้ 17 ไปเถิด เดินทางไปให้ทั่วดินแดนนี้ เพราะเราจะให้มันกับเจ้า”

18 อับรามจึงย้ายเต็นท์ของเขาไปตั้งหลักแหล่งในที่ใหม่ บริเวณสวนต้นก่อของมัมเรในตำบลเฮโบรน และเขาสร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งที่นั่นให้กับพระยาห์เวห์

มัทธิว 12

ชาวยิวบางคนกล่าวหาพระเยซู

(มก. 2:23-28; ลก. 6:1-5)

12 พระเยซูเดินผ่านทุ่งข้าวสาลี ซึ่งเป็นวันหยุดทางศาสนาพอดี พวกศิษย์ของพระองค์หิวจัด ก็เลยเด็ดยอดรวงข้าวสาลีมาขยี้เปลือกออกแล้วกินกัน เมื่อพวกฟาริสี เห็นก็บอกพระเยซูว่า “ดูนั่นสิ พวกศิษย์ของคุณกำลังทำผิดกฎวันหยุด”

พระองค์ตอบว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านหรือว่าดาวิดทำอะไร ตอนที่เขาและลูกน้องของเขาหิวโหย ดาวิดได้เข้าไปในบ้านของพระเจ้า แล้วไปเอาขนมปังศักดิ์สิทธิ์มากินกันกับลูกน้อง ซึ่งตามกฎแล้วมีแต่พวกนักบวชเท่านั้นที่กินได้ แล้วพวกคุณไม่เคยอ่านกฎของโมเสสหรือว่า พวกนักบวชที่ทำงานอยู่ในวิหาร บางครั้งก็ทำงานตรงกับวันหยุดทางศาสนา ซึ่งถือว่าผิดกฎ แต่พวกเขาก็ไม่มีความผิด เราจะบอกให้รู้ว่า มีคนหนึ่ง[a] ที่อยู่ที่นี่ ยิ่งใหญ่กว่าวิหารเสียอีก ถ้าคุณเข้าใจความหมายของข้อพระคัมภีร์ที่ว่า เราอยากเห็นความเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา[b] คุณคงจะไม่ประณามคนเหล่านี้ที่ไม่มีความผิดแน่

เพราะ ‘บุตรมนุษย์เป็นนายเหนือวันหยุดทางศาสนา’”

พระเยซูรักษาชายที่มือลีบ

(มก. 3:1-6; ลก. 6:6-11)

พระเยซูออกมาจากที่นั่น และเข้าไปในที่ประชุมชาวยิว 10 มีชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น พวกยิวบางคนพยายามที่จะหาเรื่องใส่ร้ายพระองค์ จึงถามพระองค์ว่า “มันผิดกฎหรือเปล่า ถ้าจะรักษาคนในวันหยุดทางศาสนา”

11 พระองค์ตอบว่า “ถ้าพวกคุณมีแกะอยู่ตัวหนึ่ง แล้วมันตกลงไปในบ่อในวันหยุดทางศาสนา คุณจะไม่ช่วยดึงมันขึ้นมาจากบ่อหรือ 12 มนุษย์นั้นมีค่ามากกว่าแกะเสียอีก ดังนั้นการทำดีในวันหยุดทางศาสนาจึงไม่ผิดกฎ”

13 แล้วพระเยซูสั่งกับคนมือลีบว่า “ยืดมือออกมา” เขาก็ทำตาม แล้วมือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนกับมืออีกข้างหนึ่ง 14 พวกฟาริสีจึงออกไปวางแผนฆ่าพระเยซู

พระเยซูคือผู้รับใช้ที่พระเจ้าเลือก

15 แต่พระเยซูรู้ตัวเสียก่อนจึงไปจากที่นั่น มีคนเป็นจำนวนมากตามพระองค์ไป และพระองค์รักษาพวกเขาให้หายป่วยทุกคน 16 พระองค์สั่งพวกนั้นว่า ห้ามบอกคนอื่นว่าพระองค์เป็นใคร 17 เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริงตามที่อิสยาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า ได้พูดว่า

18 “นี่คือผู้รับใช้ที่เราได้เลือกไว้ เรารักเขาและภูมิใจเขามาก
    เราจะให้วิญญาณของเรากับเขา
    เขาจะประกาศความยุติธรรมต่อชนทุกชาติ
19 เขาจะไม่ทะเลาะวิวาท และไม่มีปากมีเสียง
    ไม่มีใครจะได้ยินเสียงของเขาตามท้องถนน
20 ต้นอ้อที่ช้ำแล้ว เขาก็จะไม่หักทิ้ง
    ไส้ตะเกียงที่ใกล้มอด เขาก็จะไม่ดับ
    จนกว่าเขาจะนำความยุติธรรมมาและทำให้มันเกิดขึ้นจริง
21 เขาจะเป็นความหวังของคนทุกชาติ”[c][d]

อำนาจของพระเยซูมาจากพระเจ้า

(มก. 3:20-30; ลก. 11:14-23; 12:10)

22 มีคนพาชายที่ถูกผีสิงที่ตาบอดและพูดไม่ได้มาหาพระเยซู พระองค์รักษาเขาจนมองเห็นและพูดได้ 23 ทำให้คนทั้งหมดประหลาดใจมาก และถามกันว่า “เป็นไปได้ไหม ที่เขาจะเป็นบุตรของดาวิด”

24 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินก็พูดว่า “ที่คนนี้ไล่ผีออกได้ ก็เพราะใช้ฤทธิ์อำนาจของเบเอลเซบูล หัวหน้าผี”

25 พระเยซูรู้ถึงความคิดนั้น จึงตอบไปว่า “อาณาจักรที่แตกแยกจะถูกทำลาย เมืองไหนหรือครัวเรือนไหนที่แตกแยก ก็คงจะไปไม่รอด 26 ดังนั้นถ้าซาตาน ขับไล่ซาตาน มันก็ต่อสู้กับตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร 27 และถ้าเราใช้ฤทธิ์อำนาจของเบเอลเซบูลขับไล่พวกผีชั่วนั้น แล้วพวกของคุณใช้ฤทธิ์อำนาจของใครขับไล่พวกผีชั่วนั้นล่ะ ดังนั้น พวกศิษย์ของคุณเองจะพิสูจน์ว่า สิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับเรานั้นผิด 28 แต่ถ้าเราขับไล่ผีชั่วออกด้วยฤทธิ์อำนาจพระวิญญาณของพระเจ้า ก็แสดงว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพวกคุณแล้ว

29 จริงๆแล้ว ใครจะบุกเข้าไปปล้นบ้านของคนที่แข็งแรงได้ นอกจากจะมัดเจ้าของบ้านที่แข็งแรงนั้นไว้ก่อน จึงจะปล้นข้าวของในบ้านได้ 30 ถ้าใครไม่ได้อยู่ฝ่ายเรา ก็เป็นศัตรูกับเรา ใครไม่ได้ช่วยเรารวบรวม ก็ทำให้คนเหล่านั้นกระจัดกระจายไป 31 ดังนั้นเราจะบอกคุณว่า พระเจ้าจะยกโทษให้กับความบาปทุกชนิด และคำหมิ่นประมาททุกอย่าง แต่พระเจ้าจะไม่ยกโทษให้กับคนที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ 32 พระเจ้าจะยกโทษให้กับคนที่ใส่ร้ายบุตรมนุษย์ แต่พระเจ้าจะไม่ยกโทษให้คนที่ใส่ร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งเดี๋ยวนี้และตลอดไป”[e]

เป็นคนอย่างไรก็ให้ดูจากคำพูด

(ลก. 6:43-45)

33 “ถ้าอยากรู้ชนิดของต้นไม้ ก็ให้ดูที่ผลของมัน ถ้าต้นดีผลก็จะออกมาดี ถ้าต้นเลวผลก็จะออกมาเลว 34 ไอ้ชาติอสรพิษ คำพูดดีๆและถูกต้องจะมาจากปากคนชั่วๆอย่างพวกเจ้าได้อย่างไรกัน ในเมื่อใจเต็มไปด้วยอะไร ปากก็จะพูดสิ่งนั้น 35 คนดีก็จะพูดแต่สิ่งดีๆที่อยู่ในใจของเขา แต่คนชั่วก็จะพูดแต่สิ่งชั่วๆที่อยู่ในใจของเขาเหมือนกัน 36 เราจะบอกให้รู้ว่า ในวันตัดสินโทษนั้น เจ้าจะต้องรับผิดชอบในคำพูดที่ไร้สาระทุกคำที่ได้พูดออกมา 37 คำพูดของเจ้านี่แหละ ที่จะชี้ว่าเจ้าถูกหรือผิด”

ชาวยิวเรียกให้พระเยซูทำอัศจรรย์

(มก. 8:11-12; ลก. 11:29-32)

38 พวกฟาริสีและครูสอนกฎปฏิบัติบางคนบอกพระเยซูว่า “อาจารย์ ทำเรื่องอัศจรรย์ให้ดูหน่อย พวกเราจะได้เชื่อว่าพระเจ้าอยู่กับอาจารย์”

39 พระองค์ตอบว่า “มีแต่คนที่ชั่วและไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ที่เรียกร้องให้ทำการอัศจรรย์ให้ดู แต่เราจะไม่ทำให้ดู นอกจากการอัศจรรย์ของโยนาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า 40 โยนาห์อยู่ในท้องปลาตัวใหญ่ถึงสามวันสามคืน บุตรมนุษย์ก็จะอยู่ในใจกลางโลกเป็นเวลาสามวันสามคืนเหมือนกัน 41 ในวันพิพากษานั้น ชาวเมืองนีนะเวห์[f] จะลุกขึ้นมาพร้อมกับพวกคุณที่อยู่ในสมัยนี้ และจะประณามพวกคุณ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับตัวกลับใจเมื่อได้ยินคำสอนของโยนาห์ แต่พวกคุณไม่ยอม ทั้งๆที่ตอนนี้คนที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่แล้ว 42 ในวันพิพากษานั้น ราชินีแห่งทิศใต้[g] ก็เหมือนกัน จะลุกขึ้นมาพร้อมกับพวกคุณที่อยู่ในสมัยนี้ และจะประณามพวกคุณ เพราะท่านอุตส่าห์เดินทางมาจากสุดปลายโลก เพื่อจะมาฟังคำสอนที่ฉลาดปราดเปรื่องของซาโลมอน และตอนนี้คนที่ยิ่งใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี่แล้ว แต่พวกคุณกลับไม่ยอมฟังเขา

คนทุกวันนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย

(ลก. 11:24-26)

43 ผีชั่วตนหนึ่ง เมื่อมันออกจากร่างของคนหนึ่งไป มันได้ร่อนเร่ไปตามที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเพื่อหาที่หยุดพัก แต่ก็หาไม่พบ 44 มันจึงพูดขึ้นว่า ‘กลับไปบ้านเก่า[h] ที่ออกมาดีกว่า’ เมื่อกลับมาถึง มันก็พบว่าบ้านเก่านั้นว่างเปล่าอยู่ เก็บกวาดสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย 45 มันจึงไปชวนผีที่ชั่วร้ายกว่ามันมาอีกเจ็ดตน เข้ามารวมกันอยู่ที่บ้านหลังนั้น สุดท้ายสภาพของคนๆนั้น ก็เลวร้ายยิ่งกว่าในตอนแรกเสียอีก คนชั่วในสมัยนี้ก็จะมีสภาพเหมือนอย่างนั้น”

ศิษย์พระเยซูคือครอบครัวของพระองค์

(มก. 3:31-35; ลก. 8:19-21)

46 เมื่อพระเยซูกำลังพูดกับฝูงชนอยู่นั้น แม่และน้องๆของพระองค์ได้มารออยู่ข้างนอก อยากที่จะพูดกับพระองค์ 47 มีคนมาบอกพระองค์ว่า “แม่และน้องๆของอาจารย์มายืนรออยู่ด้านนอก อยากจะพูดคุยกับอาจารย์ครับ”

48 พระเยซูถามเขาว่า “รู้ไหมว่า ใครคือแม่ของเราและใครคือพี่น้องของเรา” 49 แล้วพระองค์ ก็ชี้ไปที่พวกศิษย์ของพระองค์ และพูดว่า “พวกคุณนี่ไง ที่เป็นแม่และพี่น้องของเรา 50 คนที่ทำตามใจพระบิดาของเราที่อยู่บนสวรรค์ คนนั้นแหละคือพี่น้องชายหญิงและแม่ของเรา”

เนหะมียาห์ 2

กษัตริย์ส่งเนหะมียาห์ไปเยรูซาเล็ม

ในเดือนนิสาน ของปีที่ยี่สิบ[a] ในสมัยรัชกาลของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส ในช่วงทานอาหารเย็น ผมได้หยิบเหล้าองุ่นและยื่นให้กับกษัตริย์ ก่อนหน้านี้ เมื่อผมอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ผมไม่เคยโศกเศร้าเลย กษัตริย์จึงพูดกับผมว่า “ทำไมใบหน้าของเจ้าจึงเศร้าหมองนัก เจ้าคงไม่ได้ป่วยหรอกนะ นี่คงเป็นเพราะเจ้ากลุ้มใจแน่ๆ”

แล้วผมก็รู้สึกกลัวมาก ผมพูดกับกษัตริย์ว่า “ขอให้กษัตริย์มีอายุยืนยาวตลอดไป จะไม่ให้ข้าพเจ้าเศร้าโศกได้ยังไงครับท่าน ในเมื่อเมืองซึ่งเป็นที่ฝังศพของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ถูกทิ้งเป็นซากปรักหักพังอยู่ และประตูเมืองต่างๆของมันก็ถูกไฟเผาจนวอดวาย”

แล้วกษัตริย์ก็พูดกับผมว่า “แล้วเจ้าต้องการอะไร”

ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ แล้วตอบกษัตริย์ว่า “ถ้าพระองค์เต็มใจและพอใจในตัวข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ ช่วยส่งข้าพเจ้าไปยูดาห์ เมืองที่ฝังศพบรรพบุรุษของข้าพเจ้าด้วยเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไปสร้างมันขึ้นมาใหม่”

แล้วกษัตริย์ ซึ่งมีพระราชินีนั่งอยู่ข้างๆได้ถามผมว่า “เจ้าจะไปนานแค่ไหน และจะกลับมาเมื่อไหร่”

หลังจากผมบอกพระองค์ว่าจะไปนานแค่ไหน พระองค์ก็เต็มใจที่จะส่งผมไป แล้วผมจึงพูดกับกษัตริย์ว่า “ถ้าเป็นที่พอใจของพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดมอบพวกจดหมายให้ข้าพเจ้า โดยจ่าหน้าถึงพวกผู้ว่าที่อยู่ในมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เพื่อพวกเขาจะได้ยอมให้ข้าพเจ้าเดินทางไปถึงยูดาห์อย่างปลอดภัย และขอให้พระองค์มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้ข้าพเจ้า โดยจ่าหน้าถึงอาสาฟ ผู้ดูแลป่าไม้ของพระองค์ เพื่อเขาจะได้มอบไม้ให้ข้าพเจ้า สำหรับสร้างไม้คานประตูป้อมที่ติดกับวิหาร สำหรับสร้างกำแพงเมือง และสำหรับสร้างบ้านที่ข้าพเจ้าจะอยู่”

กษัตริย์ได้ให้ผมตามที่ผมขอ เพราะมือของพระเจ้าคอยช่วยเหลือผม

ดังนั้น ผมจึงไปหาพวกผู้ว่าของเมืองต่างๆที่อยู่ในมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และมอบจดหมายทั้งหลายของกษัตริย์ให้พวกเขา กษัตริย์ยังส่งพวกนายทัพนายกองและพวกทหารม้ามากับผมด้วย 10 เมื่อสันบาลลัทชาวโฮโรนาอิม และโทบีอาห์เจ้าหน้าที่ชาวอัมโมน ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาไม่พอใจมากที่มีคนมาช่วยประชาชนอิสราเอล

เนหะมียาห์ ตรวจกำแพงเมือง

11 ดังนั้น ผมได้มาที่เมืองเยรูซาเล็มและอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามวัน 12 แล้วในตอนกลางคืน ผมได้ลุกขึ้นและออกไปพร้อมกับชายไม่กี่คน ผมไม่ได้บอกใครถึงเรื่องที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในใจของผม ที่จะทำให้กับเมืองเยรูซาเล็ม ผมไม่ได้เอาสัตว์อะไรไปด้วยเลย นอกจากตัวที่ผมขี่อยู่ 13 ในคืนนั้น ผมได้ออกไป ผ่านทางประตูหุบเขา ผ่านบ่อมังกร ไปไกลถึงประตูกองขยะ ผมตรวจดูพวกกำแพงเมืองของเยรูซาเล็มที่หักพัง และพวกประตูเมืองที่ถูกไฟเผาทำลาย 14 แล้วผมไปยังประตูน้ำพุและสระน้ำของกษัตริย์ แต่ไม่มีทางพอที่จะให้สัตว์ที่ผมขี่ผ่านไปได้ 15 ดังนั้นผมจึงขึ้นไปทางหุบเขาในตอนกลางคืน และผมได้ตรวจดูกำแพงเมือง แล้วกลับมาเข้าทางประตูหุบเขา กลับมายังที่เดิม 16 พวกเจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่าผมไปไหน หรือไปทำอะไรมา เพราะผมยังไม่ได้บอกพวกชาวยิว พวกนักบวช พวกผู้นำ พวกเจ้าหน้าที่ หรือคนอื่นๆที่จะเป็นคนทำงาน

17 แต่ในที่สุดผมก็พูดกับพวกเขาว่า “ท่านก็เห็นแล้วถึงความยากลำบากที่เรามีอยู่นี้ ที่เมืองเยรูซาเล็มตกอยู่ในสภาพซากปรักหักพัง และพวกประตูเมืองถูกเผาไป มาเถอะ มาช่วยกันสร้างกำแพงเมืองเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ เพื่อเราจะได้ไม่ต้องอับอายขายหน้าอีกต่อไป”

18 ผมบอกพวกเขาว่า มือของพระเจ้าของผมได้คอยช่วยเหลือผมอย่างไร และบอกสิ่งที่กษัตริย์ได้พูดกับผม แล้วพวกเขาจึงพูดว่า “ให้เราลุกขึ้นมาสร้างกำแพงกันเถอะ” แล้วพวกเขาก็เตรียมตัวลงมือทำงานที่ดีนี้ 19 เมื่อสันบาลลัทชาวโฮโรนาอิม และโทบีอาห์เจ้าหน้าที่ชาวอัมโมน และเกเชมชาวอาหรับได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาต่างหัวเราะเยาะและดูถูกเหยียดหยามพวกเรา พวกเขาพูดว่า “พวกแกกำลังทำอะไรกันนี่ พวกแกกำลังกบฏต่อกษัตริย์หรือยังไง”

20 ผมตอบพวกเขาว่า “พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทำให้เราสำเร็จ พวกเรา ผู้รับใช้ของพระองค์ จะลุกขึ้นมาสร้างมันขึ้นมาใหม่ แต่พวกเจ้าไม่มีที่ดินสักแปลงในนี้ ไม่มีอำนาจทางกฎหมายในเมืองนี้ และบรรพบุรุษของเจ้าก็ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองเยรูซาเล็มนี้”

กิจการ 12

กษัตริย์เฮโรดข่มเหงศิษย์พระคริสต์

12 ในช่วงเวลานั้นกษัตริย์เฮโรด[a]ได้ข่มเหงทำร้ายหมู่ประชุมของพระเจ้า พระองค์สั่งให้ตัดหัวยากอบพี่ชายของยอห์น เมื่อเฮโรดเห็นว่าชาวยิวชอบใจการกระทำครั้งนี้ พระองค์จึงให้จับเปโตรไปด้วย (ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ) หลังจากเฮโรดจับเปโตรแล้ว ก็เอาไปขังไว้ในคุก เฮโรดให้ทหารสี่หมู่ หมู่ละสี่คนเฝ้าเปโตรไว้ เฮโรดตั้งใจว่าจะนำตัวเปโตรออกไปตัดสินต่อหน้าประชาชนหลังจากพิธีฉลองเทศกาลวันปลดปล่อยเสร็จสิ้นลง เปโตรจึงถูกขังไว้ในคุก และหมู่ประชุมของพระเจ้าต่างพากันอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงจังเพื่อเปโตร

เปโตรออกจากคุก

คืนก่อนที่เฮโรดจะนำเปโตรออกมาจากคุกเพื่อตัดสินลงโทษ เปโตรกำลังนอนหลับอยู่โดยมีทหารสองคนขนาบข้าง มีโซ่สองเส้นล่ามเขาไว้ และมีทหารยามเฝ้าอยู่หน้าประตูคุก ทันใดนั้นทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์เจ้าชีวิตก็มายืนอยู่ตรงนั้น และมีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้องขัง ทูตสวรรค์กระทุ้งสีข้างของเปโตรให้ตื่นและพูดว่า “ลุกขึ้นเร็ว” ทันใดนั้นโซ่ก็หลุดออกจากมือของเปโตร ทูตสวรรค์พูดกับเขาว่า “แต่งตัวและสวมรองเท้าสิ” เปโตรทำตาม จากนั้นทูตสวรรค์พูดอีกว่า “สวมเสื้อคลุม แล้วตามเรามา” เปโตรจึงตามทูตสวรรค์ออกไป โดยไม่รู้ว่า ที่ทูตสวรรค์กำลังทำนั้นเป็นความจริง เพราะเขาคิดว่าเห็นนิมิตอยู่ 10 ทั้งสองเดินผ่านยามชั้นที่หนึ่งและยามชั้นที่สอง จนมาถึงประตูเหล็กที่นำเข้าไปในเมือง ประตูนั้นก็เปิดออกเองให้ทั้งสองออกไป ทั้งสองเดินไปตามถนนสายหนึ่ง แล้วทูตสวรรค์ก็หายไปทันที

11 เปโตรรู้สึกตัวและพูดว่า “ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันเป็นความจริง องค์เจ้าชีวิตได้ส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยชีวิตผมให้รอดพ้นจากอำนาจของเฮโรด และจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวยิวกำลังคาดหวังจะให้เกิดขึ้นกับผม”

12 เมื่อเปโตรคิดได้แล้ว เขาก็ไปที่บ้านของมารีย์แม่ของยอห์น หรือที่คนเรียกว่า มาระโก ที่นั่นมีคนจำนวนมากชุมนุมและอธิษฐานกันอยู่ 13 เปโตรมาเคาะประตู มีหญิงคนใช้ชื่อว่า โรดา เดินมาถามว่าใครมา 14 เมื่อเธอจำได้ว่าเป็นเสียงของเปโตร ก็วิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความดีใจโดยไม่ได้เปิดประตูให้เขาก่อน เธอไปบอกกับทุกๆคนว่าเปโตรกำลังยืนอยู่ที่ประตู 15 คนเหล่านั้นย้อนเธอว่า “จะบ้าหรือ” แต่เธอยืนยันว่าเป็นความจริง พวกเขาจึงว่า “น่าจะเป็นทูตสวรรค์ของเปโตร”

16 ส่วนเปโตรยังคงเคาะประตูอยู่ เมื่อพวกเขาเปิดประตูและเห็นเปโตรก็พากันประหลาดใจมาก 17 เปโตรโบกมือให้เงียบ แล้วก็เล่าให้พวกเขาฟังว่า องค์เจ้าชีวิตช่วยเขาออกมาจากคุกได้อย่างไร แล้วเปโตรพูดอีกว่า “ไปเล่าเรื่องนี้ให้ยากอบกับพวกพี่น้องรู้ด้วย” จากนั้นเปโตรก็จากไปที่อื่น

18 พอรุ่งเช้าพวกทหารต่างสับสนอลหม่าน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปโตร 19 หลังจากเฮโรดค้นหาเปโตร แต่หาไม่พบ พระองค์จึงไต่สวนพวกทหารยามและสั่งให้นำทหารยามไปฆ่า

กษัตริย์เฮโรดตาย

หลังจากนั้นเฮโรดได้เดินทางจากแคว้นยูเดียไปพักอยู่ที่เมืองซีซารียาชั่วคราว 20 กษัตริย์เฮโรดโกรธประชาชนชาวไทระและชาวเมืองไซดอนมาก พวกชาวเมืองจึงได้ไปเกลี้ยกล่อมบลัสตัสคนใช้ส่วนตัวของกษัตริย์เฮโรดให้เข้าข้างพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาจึงส่งกลุ่มตัวแทนมาขอคืนดีกับเฮโรด เพราะว่าต้องพึ่งอาหารจากดินแดนของเฮโรด

21 เมื่อถึงวันนัดหมาย เฮโรดแต่งตัวชุดกษัตริย์เต็มยศ นั่งอยู่บนบัลลังก์ และพูดกับประชาชน 22 ผู้คนต่างพากันตะโกนเสียงดังว่า “นี่คือเสียงของพระเจ้า ไม่ใช่เสียงของมนุษย์” 23 แต่เฮโรดไม่ได้ให้เกียรติกับพระเจ้า ทูตสวรรค์ขององค์เจ้าชีวิตก็เลยทำให้เฮโรดล้มป่วยทันที แล้วสุดท้ายร่างของเฮโรดก็ถูกพยาธิกัดกินจนตาย

24 แต่พระคำขององค์เจ้าชีวิตได้แพร่กระจายไปมากขึ้นๆ

25 เมื่อบารนาบัสและเซาโลทำงานในเมืองเยรูซาเล็มเสร็จแล้ว ก็เดินทางกลับไปเมืองอันทิโอก แล้วพายอห์น ซึ่งคนเรียกว่ามาระโกไปด้วย

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International