M’Cheyne Bible Reading Plan
ประวัติของครอบครัวอาดัม
(1 พศด. 1:1-4)
5 นี่คือหนังสือประวัติครอบครัวของอาดัม[a] ในวันที่พระเจ้าสร้างมนุษย์นั้น พระเจ้าสร้างพวกเขาให้เหมือนกับพระองค์[b] 2 พระเจ้าได้สร้างชายและหญิงขึ้น ในวันที่พระองค์สร้างพวกเขานั้นพระองค์ได้อวยพรพวกเขา และเรียกพวกเขาว่ามนุษย์
3 เมื่ออาดัมมีอายุได้หนึ่งร้อยสามสิบปี เขาก็มีลูกชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายเขามาก เขาตั้งชื่อลูกว่าเสท 4 หลังจากเสทเกิดแล้ว อาดัมก็มีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยปี และเขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 5 อาดัมมีอายุถึงเก้าร้อยสามสิบปีจึงตาย
6 ส่วนเสทนั้น เมื่อมีอายุได้หนึ่งร้อยห้าปี ก็มีลูกชายชื่อเอโนช 7 หลังจากเอโนชเกิดมาแล้ว เสทก็มีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยเจ็ดปี เขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 8 เสทมีอายุถึงเก้าร้อยสิบสองปีจึงตาย
9 เมื่อเอโนชมีอายุได้เก้าสิบปี เขาก็มีลูกชายชื่อเคนัน 10 หลังจากที่เคนันเกิดมาแล้ว เอโนชมีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยสิบห้าปี เขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 11 เอโนชมีอายุถึงเก้าร้อยห้าปีจึงตาย
12 เมื่อเคนันอายุเจ็ดสิบปี ก็มีลูกชายชื่อ มาหะลาเลล 13 หลังจากมาหะลาเลลเกิดมาแล้ว เคนันมีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยสี่สิบปี เขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 14 เคนันมีอายุถึงเก้าร้อยสิบปีจึงตาย
15 เมื่อมาหะลาเลลมีอายุหกสิบห้าปี ก็มีลูกชายชื่อยาเรด 16 หลังจากที่ยาเรดเกิดมาแล้ว มาหะลาเลลมีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยสามสิบปี เขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 17 มาหะลาเลลมีอายุถึงแปดร้อยเก้าสิบห้าปีจึงตาย
18 เมื่อยาเรดมีอายุหนึ่งร้อยหกสิบสองปี ก็มีลูกชายชื่อเอโนค 19 หลังจากที่เอโนคเกิดมาแล้ว ยาเรดมีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยปี เขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 20 ยาเรดมีอายุถึงเก้าร้อยหกสิบสองปีจึงตาย
21 เมื่อเอโนคอายุได้หกสิบห้าปี ก็มีลูกชายชื่อเมธูเสลาห์ 22 หลังจากที่เมธูเสลาห์เกิดมาแล้ว เอโนคมีชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า[c]ต่อไปอีกสามร้อยปี ระหว่างนั้นเขามีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 23 เอโนคมีชีวิตอยู่จนมีอายุสามร้อยหกสิบห้าปี 24 เอโนคเดินไปกับพระเจ้า แล้วเขาก็หายตัวไปเพราะพระเจ้าเอาตัวเขาไป
25 เมื่อเมธูเสลาห์มีอายุหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดปี ก็มีลูกชายชื่อลาเมค 26 หลังจากที่ลาเมคเกิดมาแล้ว เมธูเสลาห์มีชีวิตต่อไปอีกเจ็ดร้อยแปดสิบสองปี เขามีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 27 เมธูเสลาห์ มีอายุถึงเก้าร้อยหกสิบเก้าปีจึงตาย
28 เมื่อลาเมคมีอายุหนึ่งร้อยแปดสิบสองปี ก็มีลูกชายคนหนึ่ง 29 เขาตั้งชื่อลูกว่าโนอาห์[d] เขาพูดว่า “ลูกคนนี้จะทำให้พวกเราได้หยุดพักจากการงานที่เหน็ดเหนื่อยของเรา เพราะพระเจ้าได้สาปแช่งแผ่นดินแห่งนี้ไว้”
30 หลังจากที่โนอาห์เกิดมาแล้ว ลาเมคก็มีชีวิตต่อไปอีกห้าร้อยเก้าสิบห้าปี และเขาก็มีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 31 ลาเมคมีอายุถึงเจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดปีจึงตาย
32 เมื่อโนอาห์อายุได้ห้าร้อยปี ก็มีลูกชายชื่อเชม ฮาม และยาเฟท
เกียรติที่มาจากพระเจ้า
(ลก. 6:20-23)
5 เมื่อพระเยซูเห็นผู้คนตามมาเป็นจำนวนมาก พระองค์ได้ขึ้นไปบนภูเขาและนั่งอยู่ที่นั่น พวกศิษย์เข้ามาหาพระองค์ 2 พระองค์จึงเริ่มสอนพวกเขาว่า
3 “คนที่รู้ตัวว่าต้องการพระเจ้า มีเกียรติจริงๆ
เพราะเขาได้เป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรแห่งสวรรค์
4 คนที่โศกเศร้า มีเกียรติจริงๆ
เพราะพระเจ้าจะปลอบโยนเขา
5 คนที่มีจิตใจอ่อนโยน มีเกียรติจริงๆ
เพราะพระเจ้าจะให้โลกนี้กับเขา
6 คนที่หิวกระหายที่จะทำตามใจพระเจ้า
มีเกียรติจริงๆเพราะพระเจ้าจะทำให้เขาอิ่มใจ
7 คนที่มีจิตใจเมตตา มีเกียรติจริงๆ
เพราะพระเจ้าจะเมตตาเขา
8 คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ มีเกียรติจริงๆ
เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
9 คนที่สร้างสันติ มีเกียรติจริงๆ
เพราะพระเจ้าจะเรียกเขาว่าเป็นลูก
10 คนที่โดนข่มเหงรังแกเพราะทำตามความต้องการของพระเจ้า
มีเกียรติจริงๆเพราะเขาได้เป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรแห่งสวรรค์
11 คนที่โดนดูถูก โดนข่มเหงรังแก และโดนใส่ร้ายป้ายสี
เพราะติดตามเรา มีเกียรติจริงๆ
12 ให้ดีใจและมีความสุขเถอะ เพราะพระเจ้าได้เก็บรางวัลอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับคุณแล้วที่บนสวรรค์ เพราะพวกผู้พูดแทนพระเจ้าในสมัยก่อนก็โดนข่มเหงอย่างเดียวกับคุณนี่แหละ
เกลือและแสงสว่าง
(มก. 9:50; 4:21; ลก. 14:34-35; 8:16)
13 พวกคุณเป็นเกลือ[a]ของโลกนี้ ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้ว จะทำให้เค็มอีกได้อย่างไร มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว นอกจากเอาไปทิ้งให้คนเหยียบย่ำ 14 พวกคุณเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่สร้างอยู่บนภูเขาจะเอาไปซ่อนไว้ไม่ให้คนเห็นก็ไม่ได้ 15 เหมือนกับเมื่อจุดตะเกียง ก็ไม่มีใครเอาไปไว้ใต้ถัง แต่จะเอาไปตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อจะได้ส่องสว่างให้กับทุกคนที่อยู่ในบ้าน 16 พวกคุณก็เหมือนกัน ให้ส่องสว่างออกไปเพื่อคนจะได้เห็นความดีที่คุณทำ และจะได้สรรเสริญพระบิดาของคุณที่อยู่บนสวรรค์
พระเยซูสั่งสอนเกี่ยวกับกฎปฏิบัติ
17 อย่าคิดว่าเรามายกเลิกกฎปฏิบัติของโมเสส หรือมายกเลิกข้อความที่ผู้พูดแทนพระเจ้าเขียนไว้ เราไม่ได้มายกเลิกแต่มาทำให้มันสำเร็จ[b] 18 เราจะบอกให้รู้ว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังอยู่ จะไม่มีวันที่ตัวหนังสือตัวเล็กๆหรือจุดเล็กๆสักจุดเดียวจะหายไปจากกฎปฏิบัติ จนกว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นจริงตามนั้น 19 คนที่ไม่ยอมเชื่อฟังข้อเล็กๆข้อหนึ่งในกฎปฏิบัติ แล้วยังสอนให้คนอื่นไม่เชื่อฟังด้วย คนนั้นก็จะเป็นคนที่เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่คนที่เชื่อฟังกฎปฏิบัติและสอนให้คนอื่นเชื่อฟังด้วย คนๆนั้นก็จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรแห่งสวรรค์ 20 เพราะเราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าพวกคุณไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้ามากไปกว่าที่พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีเชื่อฟังพระองค์ คุณก็จะไม่มีวันได้เข้าไปในอาณาจักรแห่งสวรรค์
เรื่องความโกรธ
21 พวกคุณคงเคยได้ยินที่เขาพูดกับคนสมัยก่อนว่า ‘อย่าฆ่าคน’[c] แต่ถ้าใครทำ คนนั้นจะต้องถูกลงโทษ 22 แต่เราจะบอกให้รู้ว่า แค่คนที่โกรธพี่น้องของตัวเองก็ถูกตัดสินว่าผิดแล้ว และคนที่ว่าพี่น้องของตัวเองว่า ‘ไอ้ปัญญาอ่อน’ เขาจะต้องถูกสอบสวนในศาลสูง และใครก็ตามที่ว่าคนอื่น ‘ไอ้โง่’ เขาก็เสี่ยงต่อบึงไฟนรกแล้ว
23 ดังนั้นถ้าคุณนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชา และนึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีปัญหากับคุณในสิ่งที่คุณทำไป 24 ให้วางเครื่องบูชานั้นไว้ และกลับไปคืนดีกับพี่น้องคนนั้นก่อน แล้วค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชา
25 ถ้ามีใครฟ้องร้องคุณ ก็ให้รีบปรับความเข้าใจกับเขาในระหว่างทางที่กำลังไปศาล ไม่อย่างนั้นเขาจะส่งตัวคุณให้ผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะส่งคุณไปให้ผู้คุมเอาไปขังคุก 26 เราจะบอกให้รู้ว่า คุณจะถูกขังจนกว่าจะใช้หนี้ครบทุกบาททุกสตางค์
เรื่องการมีชู้
27 พวกคุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘อย่าเป็นชู้กับสามีภรรยาเขา’[d] 28 แต่เราจะบอกคุณว่า แค่มองผู้หญิงแล้วเกิดความใคร่ ก็ถือว่าคุณเป็นชู้ทางใจกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว 29 ดังนั้น ถ้าตาขวาของคุณทำให้คุณทำบาป ก็ให้ควักทิ้งไปเลย เพราะเสียอวัยวะไปส่วนหนึ่ง ก็ยังดีกว่าถูกโยนลงไปในนรกทั้งตัว 30 ถ้ามือขวาของคุณทำให้คุณทำบาป ก็ให้ตัดทิ้งไปเลย เพราะเสียอวัยวะไปส่วนหนึ่งก็ยังดีกว่าจะต้องตกนรกทั้งตัว
เรื่องการหย่าร้าง
(มธ. 19:9; มก. 10:11-12; ลก. 16:18)
31 มีคำพูดว่า ‘ถ้าใครจะหย่ากับภรรยา ก็ให้ทำหนังสือหย่า[e] ให้กับภรรยา’ 32 แต่เราจะบอกคุณว่า ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นหย่าเพราะเรื่องการทำบาปทางเพศ ก็ทำให้ภรรยามีชู้เมื่อเธอไปแต่งงานใหม่ และผู้ชายที่มาแต่งงานกับเธอก็ถือว่ามีชู้ด้วย
เรื่องการสาบาน
33 พวกคุณคงเคยได้ยินที่เขาพูดกับคนสมัยก่อนว่า ‘อย่าผิดคำสาบาน ต้องทำตามคำสาบานที่ให้ไว้กับองค์เจ้าชีวิต[f]’ 34 แต่เราขอบอกว่าอย่าสาบานเลย ไม่ต้องอ้างถึงสวรรค์ เพราะสวรรค์นั้นเป็นที่นั่งของพระเจ้า 35 ไม่ต้องอ้างถึงโลกนี้ เพราะโลกนี้เป็นที่วางเท้าของพระเจ้า[g] ไม่ต้องอ้างถึงเมืองเยรูซาเล็ม เพราะเมืองเยรูซาเล็มเป็นเมืองของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ 36 ไม่ต้องอ้างโดยเอาหัวเป็นประกัน เพราะเส้นผมสักเส้นคุณก็ยังไม่มีปัญญาทำให้มันขาวหรือดำได้เลย 37 ถ้า ‘ใช่’ ก็บอกว่า ‘ใช่’ ถ้า ‘ไม่’ ก็บอกว่า ‘ไม่’ พูดแค่นี้พอแล้ว พูดมากกว่านี้ก็มาจากมาร
เรื่องการแก้แค้น
(ลก. 6:29-30)
38 พวกคุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’[h] 39 แต่เราขอบอกว่า อย่าคิดแก้แค้นคนที่ทำผิดต่อคุณ ถ้าใครตบแก้มขวาของคุณ ก็หันแก้มซ้ายให้เขาตบด้วย 40 ถ้าใครฟ้องร้องเอาเสื้อของคุณ ก็แถมเสื้อคลุมให้เขาไปด้วย 41 ถ้าใครบังคับให้คุณแบกของไปกับเขาหนึ่งกิโลเมตร ก็แบกไปสองกิโลเมตรเลย 42 ถ้าใครมาขออะไรจากคุณก็ให้เขาไป อย่าหันหน้าหนีไปจากคนที่มาขอยืมคุณเลย
ให้รักศัตรู
(ลก. 6:27-28, 32-36)
43 พวกคุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘รักเพื่อนบ้าน[i] และเกลียดชังศัตรู’ 44 แต่เราขอบอกคุณว่า ให้รักศัตรูของคุณ และอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงคุณ 45 เพราะถ้าทำอย่างนี้ คุณก็จะเป็นลูกที่แท้จริงของพระบิดาในสวรรค์ พระองค์ทำให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างให้ทั้งคนดีและคนชั่ว ให้ฝนตกกับทั้งคนที่ทำถูกและคนที่ทำผิดเหมือนกัน 46 ถ้าคุณรักแต่คนที่รักคุณ แล้วมันมีอะไรพิเศษตรงไหน แม้แต่คนเก็บภาษี ก็ยังรักคนที่รักเขาเหมือนกัน 47 ถ้าทักทายแต่เพื่อน คุณได้ทำอะไรพิเศษไปกว่าคนอื่นๆหรือ เพราะคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า[j] ก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน 48 ดังนั้นพระบิดาของพวกคุณบนสวรรค์ดีพร้อมขนาดไหน ก็ให้พวกคุณดีพร้อมขนาดนั้นด้วย
5 ต่อมาผู้พูดแทนพระเจ้า คือ ฮักกัย[a] และเศคาริยาห์ลูกชายของอิดโด[b] ได้พูดแทนพระเจ้าต่อคนยิวที่อาศัยอยู่ในยูดาห์และในเมืองเยรูซาเล็ม ในนามของพระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้ที่อยู่เหนือพวกเขาทั้งหลาย 2 แล้วเศรุบบาเบล ลูกชายของเชอัลทิเอล และเยชูอา ลูกชายของโยซาดัก ก็เริ่มสร้างวิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่ และผู้พูดแทนพระเจ้าทั้งสองคนนี้ก็ได้อยู่และคอยสนับสนุนพวกเขา 3 ในเวลานั้น ทัทเธนัย ซึ่งเป็นเจ้าเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และเชธาร์โบเซนัย รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของพวกเขา ก็ได้มาหาเศรุบบาเบล และคนที่อยู่กับเศรุบบาเบล และได้ถามพวกเขาว่า “ใครเป็นคนอนุญาตให้เจ้าสร้างวิหารนี้ขึ้นมาใหม่และทำงานไม้พวกนี้จนเสร็จ” 4 พวกเขายังถามต่อไปอีกว่า “พวกคนงานที่สร้างตึกนี้มีชื่อว่าอะไรบ้าง”
5 แต่พระเจ้าได้สอดส่องดูแลพวกผู้อาวุโสของชาวยิวอยู่ และทัทเธนัยกับพรรคพวกไม่สามารถหยุดชาวยิวเหล่านั้นให้เลิกทำงานได้ ในช่วงที่พวกเขาส่งรายงานไปยังกษัตริย์ดาริอัส และกษัตริย์มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ตอบกลับมา
6 นี่คือสำเนาจดหมายที่ ทัทเธนัย เจ้าเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และเชธาร์โบเซนัย รวมทั้งบรรดาเพื่อนร่วมงาน ที่เป็นผู้ตรวจราชการเมือง ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ได้ส่งไปถึงกษัตริย์ดาริอัส 7 พวกเขาส่งรายงานไปให้กับกษัตริย์ และในจดหมายนั้นมีใจความว่าอย่างนี้ คือ
ถึง กษัตริย์ดาริอัส ขอให้พระองค์อยู่เย็นเป็นสุข
8 ขอให้พระองค์รู้ไว้เถิดว่า พวกเราได้ไปยังมณฑลยูดาห์เพื่อไปยังวิหารของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งกำลังถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยหินก้อนใหญ่ ส่วนท่อนไม้ก็กำลังติดตั้งบนฝาผนัง งานนี้กำลังดำเนินไปอย่างขยันขันแข็งและก้าวหน้าเป็นอย่างดี ในกำมือของพวกเขา
9 แต่เมื่อพวกเราไต่ถามพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นว่า “ใครเป็นคนอนุญาตให้สร้างวิหารนี้ขึ้นใหม่ และใครสั่งให้ทำงานไม้พวกนี้จนเสร็จ” 10 เราได้ถามชื่อคนงานเหล่านั้นด้วย เพื่อพวกเราจะได้แจ้งให้พระองค์ทราบ เพื่อว่าเราจะได้จดรายชื่อของพวกคนเหล่านั้นที่เป็นหัวหน้าของพวกเขาไว้ 11 พวกเขาตอบพวกเรามาอย่างนี้ว่า
“พวกเราคือผู้รับใช้ของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และพวกเรากำลังสร้างวิหารขึ้นมาใหม่ ซึ่งเคยสร้างมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน โดยกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิสราเอล 12 แต่เป็นเพราะบรรพบุรุษของเรา ได้ทำให้พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์โกรธ พระองค์จึงมอบพวกเขาให้ตกไปอยู่ในกำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์[c] แห่งบาบิโลนชาวเคลเดีย และกษัตริย์ก็ได้ทำลายวิหารแห่งนี้ลง และจับตัวประชาชนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน 13 แต่ในปีแรกของรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งบาบิโลน พระองค์ได้มีคำสั่งให้สร้างวิหารของพระเจ้าแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ 14 ยังมีเครื่องใช้ทองคำและเงินของวิหารของพระเจ้า ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ขนย้ายออกมาจากวิหารในเมืองเยรูซาเล็ม และเอาไปวางไว้ในวิหารของบาบิโลน กษัตริย์ไซรัสได้เคลื่อนย้ายเครื่องใช้เหล่านั้นจากวิหารของบาบิโลน ไปมอบให้ชายที่ชื่อเชชบัสซาร์ ซึ่งพระองค์ได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง
15 กษัตริย์ไซรัสได้สั่งเชชบัสซาร์ว่า
‘ให้เอาเครื่องใช้เหล่านี้ไปเก็บไว้ในวิหารในเมืองเยรูซาเล็ม และให้สร้างวิหารของพระเจ้าขึ้นมาใหม่บนสถานที่ตั้งเดิม’ 16 แล้วเชชบัสซาร์คนนั้น ก็ได้มาวางรากฐานให้วิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม และตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ วิหารก็ได้รับการก่อสร้างเรื่อยมาแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
17 ตอนนี้ ถ้าพระองค์อยากจะค้นดูบันทึกจากห้องเก็บเอกสารของวังที่อยู่ในบาบิโลน เพื่อตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ที่ กษัตริย์ไซรัสได้ออกคำสั่งให้สร้างวิหารของพระเจ้าในเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่ แล้วจากนั้นพระองค์ค่อยส่งจดหมายมาให้กับพวกเรารู้ว่า พระองค์ตัดสินใจยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้”
อานาเนียกับสัปฟีรา
5 มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินของตนผืนหนึ่ง 2 แต่เขาแอบเก็บเงินเอาไว้บางส่วน และภรรยาของเขาก็เห็นด้วย จากนั้นเขาจึงนำเงินส่วนที่เหลือมาให้กับพวกศิษย์เอก 3 เปโตรต่อว่าอานาเนียว่า “ทำไมคุณถึงยอมให้ซาตานครอบงำจิตใจคุณจนโกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเก็บเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายที่ดินเอาไว้เอง 4 ที่ดินผืนนั้นก็เป็นของคุณอยู่แล้วก่อนที่คุณจะขายไม่ใช่หรือ และหลังจากที่ขายแล้ว เงินนั้นก็ยังอยู่ในอำนาจของคุณไม่ใช่หรือ แล้วทำไมคุณถึงคิดทำอย่างนี้ คุณกำลังโกหกพระเจ้า ไม่ได้โกหกพวกเราหรอก” 5 เมื่ออานาเนียได้ยินอย่างนี้ก็ล้มลงขาดใจตาย คนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็ตกใจกลัวยิ่งนัก 6 ชายหนุ่มหลายคนมาห่อศพของอานาเนียแล้วหามออกไปฝัง 7 หลังจากนั้นอีกประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของอานาเนียซึ่งยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เดินเข้ามา 8 เปโตรถามเธอว่า “บอกหน่อยว่า คุณขายที่ดินได้เงินเท่านี้หรือ” สัปฟีราตอบว่า “ใช่แล้วค่ะ”
9 แล้วเปโตรก็ต่อว่าเธอว่า “ทำไมคุณสองคนถึงได้สมคบกันลองดีกับพระวิญญาณขององค์เจ้าชีวิต ดูนั่นสิ คนพวกนั้นที่ไปฝังศพสามีคุณ ได้มาอยู่ที่หน้าประตูแล้ว และพวกเขาจะหามศพของคุณออกไปด้วยเหมือนกัน” 10 สัปฟีราก็ล้มลงตรงเท้าของเปโตร แล้วขาดใจตายทันที เมื่อชายหนุ่มพวกนั้นเดินเข้ามา ก็เห็นว่าเธอตายแล้ว พวกเขาจึงหามศพของเธอออกไปฝังไว้ข้างๆสามีของเธอ 11 ทั้งหมู่ประชุมของพระเจ้า และทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ ต่างก็เกิดความเกรงกลัวยิ่งนัก
ศิษย์เอกทำการอัศจรรย์
12 พวกศิษย์เอกได้ทำการอัศจรรย์ และปาฏิหาริย์หลายอย่างในหมู่ประชาชน และพวกคนที่เชื่อก็มาประชุมกันที่ระเบียงซาโลมอนอยู่เรื่อยๆ 13 คนอื่นๆไม่กล้าที่จะไปรวมกลุ่มกับพวกเขา แต่ก็เคารพนับถือพวกเขามาก 14 พระเจ้าได้เพิ่มจำนวนคนที่เชื่อมากขึ้นเรื่อยๆทั้งชายและหญิง ให้มาเป็นคนขององค์เจ้าชีวิต 15 ดังนั้นประชาชนต่างก็นำคนเจ็บป่วยมาวางบนแคร่หรือเสื่อแล้วนำไปไว้ข้างถนน เพื่อว่าเวลาที่เปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านอาจจะได้ทอดลงมาบนตัวของพวกเขาบ้าง 16 มีฝูงชนที่มาจากชานเมืองรอบๆเมืองเยรูซาเล็มด้วย พวกเขาต่างก็พาคนป่วยและคนที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากผีร้ายเข้าสิงมา ซึ่งพวกนี้ก็ได้รับการรักษาให้หายทุกคน
ผู้นำชาวยิวขัดขวางพวกศิษย์เอก
17 หัวหน้านักบวชสูงสุดและพรรคพวกของเขาทุกคน ซึ่งเป็นกลุ่มสะดูสี ก็โกรธแค้น และอิจฉา 18 พวกเขาจึงจับกุมพวกศิษย์เอกไปขังไว้ในคุก 19 แต่ในคืนนั้นเอง ทูตสวรรค์ขององค์เจ้าชีวิตได้มาเปิดประตูคุก แล้วพาพวกศิษย์เอกออกไป ทูตสวรรค์สั่งว่า 20 “ให้ไปยืนอยู่ในวิหาร พูดกับประชาชนถึงเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับชีวิตใหม่นี้” 21 เมื่อพวกศิษย์เอกได้ยินอย่างนั้น พอรุ่งเช้าพวกเขาก็เข้าไปในวิหาร และเริ่มสั่งสอนประชาชน เมื่อหัวหน้านักบวชสูงสุดและพรรคพวกของเขามาถึงวิหาร ก็เรียกประชุมสมาชิกสภา รวมทั้งสมาชิกผู้นำอาวุโสของอิสราเอลทั้งหมด และใช้เจ้าหน้าที่ไปคุมตัวพวกศิษย์เอกออกมาจากคุก 22 แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงคุก กลับไม่พบพวกศิษย์เอกอยู่ในนั้น พวกเขากลับมารายงานว่า 23 “พวกเราเห็นคุกปิดใส่กุญแจแน่นหนา และยามก็ยังเฝ้าอยู่ที่ประตู แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในนั้นเลย” 24 เมื่อหัวหน้ายามที่เฝ้าวิหาร และพวกหัวหน้านักบวชได้ยิน ก็งุนงงและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น 25 จากนั้นมีคนเข้ามารายงานว่า “พวกคนที่ท่านจับไปขังไว้ในคุกนั้น ตอนนี้กำลังยืนสั่งสอนประชาชนอยู่ในวิหาร” 26 จากนั้นหัวหน้ายามกับเจ้าหน้าที่ก็ออกไปนำตัวพวกศิษย์เอกกลับมา แต่ไม่ได้ใช้กำลังบังคับ เพราะกลัวประชาชนจะเอาหินขว้างพวกเขา
27 พวกเขานำตัวพวกศิษย์เอกเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าสภา แล้วหัวหน้านักบวชสูงสุดก็ถามพวกเขาว่า 28 “พวกเราสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดแล้วไม่ให้พูดถึงเยซูเวลาที่สั่งสอน แต่พวกแกก็ยังเผยแพร่คำสอนนี้ไปทั่วเมืองเยรูซาเล็ม แล้วยังโทษพวกเราว่าทำให้มันต้องตายอีกด้วย”
29 เปโตรและพวกศิษย์เอกคนอื่นๆก็ตอบว่า “พวกเราต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์ 30 พระเจ้าของบรรพบุรุษเราทำให้พระเยซู คนที่ท่านได้ตรึงที่ไม้กางเขนนั้นฟื้นขึ้นมาอีก 31 พระเจ้าได้ยกพระเยซูไว้ให้อยู่ที่ด้านขวาของพระองค์ ในฐานะเจ้าฟ้าชายและผู้ช่วยให้รอด เพื่อที่ชนชาติอิสราเอลจะได้กลับตัวกลับใจเสียใหม่ และได้รับการยกโทษจากความผิดบาปของเขาผ่านทางพระเยซู 32 พวกเราเป็นพยานในเรื่องนี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่พระเจ้ามอบให้กับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์ก็เป็นพยานด้วยเหมือนกัน”
33 เมื่อพวกสมาชิกในสภาได้ยินอย่างนั้น ก็โกรธแค้นมาก และต้องการฆ่าศิษย์เอกพวกนี้ 34 แต่มีสมาชิกสภาคนหนึ่ง เป็นฟาริสี ชื่อกามาลิเอล และเป็นครูสอนกฎปฏิบัติ เป็นคนที่ประชาชนทุกคนให้ความเคารพนับถือ ได้ลุกขึ้นยืนและสั่งให้พาพวกศิษย์เอกออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง 35 แล้วเขาก็พูดว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ระวังให้ดีในสิ่งที่คุณจะทำกับชายพวกนี้ 36 จำได้ไหม ตอนที่มีคนชื่อธุดาสโผล่มา แล้วอ้างว่าตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีคนติดตามเขาประมาณสี่ร้อยคน เมื่อเขาถูกฆ่า พวกศิษย์ของเขาก็กระจัดกระจายไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น 37 หลังจากธุดาสแล้วก็มียูดาสชาวกาลิลีโผล่มาอีก ในช่วงเวลาที่ทำสำมะโนครัว[a] เขาได้ชักจูงผู้คนให้ติดตามเขาไป แต่เขาก็ถูกฆ่าตายด้วย แล้วพวกศิษย์ของเขาก็กระจัดกระจายกันไป 38 ในครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมขอบอกให้พวกคุณอยู่ห่างจากคนพวกนี้ อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเลย เพราะถ้าแผนการหรืองานนี้ของพวกเขามาจากมนุษย์ มันก็จะล้มเหลวไปเอง 39 แต่ถ้าแผนการนี้มาจากพระเจ้าแล้วละก็ คุณไม่มีทางหยุดยั้งได้หรอก และคุณก็จะพบว่าตัวเองกำลังต่อสู้อยู่กับพระเจ้า” พวกเขาก็ยอมฟังคำแนะนำของกามาลิเอล
40 พวกเขาจึงเรียกพวกศิษย์เอกเข้ามาแล้วเฆี่ยนตี สั่งไม่ให้พูดเรื่องของพระเยซูอีก แล้วจึงปล่อยตัวไป 41 พวกศิษย์เอกออกจากสภามาด้วยความชื่นชมยินดี เพราะถือว่าการที่พวกเขาได้รับความอับอายจากการพูดเรื่องของพระเยซูนั้น เป็นเรื่องที่พระเจ้าให้เกียรติ 42 และพวกศิษย์เอกก็ไม่เคยหยุดสั่งสอนและประกาศข่าวดีว่าพระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ในวิหารและตามบ้านเรือนของผู้คนทุกๆวัน
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International