Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 4

ครอบครัวแรก

ฝ่ายอาดัมได้มีเพศสัมพันธ์กับเอวาเมียของตน แล้วนางก็ตั้งท้อง คลอดลูกชายคนหนึ่งชื่อ คาอิน เธอพูดว่า “ฉันได้[a]ลูกชายแล้วจากความช่วยเหลือของพระยาห์เวห์”

ต่อมานางก็ได้คลอดน้องชายของคาอิน ชื่ออาเบล เมื่ออาเบลโตขึ้นก็เป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนคาอินก็เป็นชาวนา

การฆ่ากันครั้งแรก

อยู่มาวันหนึ่ง คาอินได้นำเอาพืชผลที่เกิดจากผืนดินมาถวายให้กับพระยาห์เวห์ ส่วนอาเบลก็เอาพวกแกะหัวปีจากฝูงของเขา โดยเฉพาะส่วนไขมัน[b] มาถวายให้กับพระยาห์เวห์

พระยาห์เวห์ยอมรับอาเบลและเครื่องบูชาของเขา แต่พระองค์ไม่ยอมรับคาอินกับเครื่องบูชาของเขา ทำให้คาอินโกรธมาก ไม่พอใจ หน้าบึ้งอยู่ พระยาห์เวห์พูดกับคาอินว่า “เจ้าโกรธทำไม เจ้าหน้าบึ้งทำไม ถ้าเจ้าทำในสิ่งที่ถูก เราก็จะยอมรับเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด ความบาปก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ที่ประตู มันอยากควบคุมเจ้า[c] แต่เจ้าจะต้องเป็นฝ่ายที่ครอบงำมัน”

คาอินบอกกับอาเบลน้องชายว่า ให้เราไปในทุ่งกันเถอะ[d] ตอนที่พวกเขาอยู่ในทุ่งนั้น คาอินก็โถมเข้าใส่อาเบลน้องชายและฆ่าเขา

พระยาห์เวห์ถามคาอินว่า “น้องชายของเจ้าอยู่ไหน”

คาอินตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้ ข้าพเจ้าเป็นคนดูแลน้องชายหรือยังไง”

10 พระยาห์เวห์จึงพูดว่า “เจ้าได้ทำอะไรลงไป เลือดของน้องชายเจ้าที่ผืนดินนั้นได้ร้องออกมาถึงเรา 11 ตอนนี้เจ้าถูกสาปแช่งจากแผ่นดินที่อ้าปากของมันดื่มกินเลือดของน้องชายเจ้าจากมือของเจ้า 12 เมื่อเจ้าทำงานบนผืนดิน มันจะไม่ให้พืชผลกับเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะกลายเป็นคนเร่ร่อนไม่มีหลักแหล่งในโลกนี้”

13 คาอินพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “โทษของข้าพเจ้าหนักเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะทนได้ 14 ดูเถิดในวันนี้พระองค์ได้ขับไล่ข้าพเจ้าออกไปจากแผ่นดิน แล้วข้าพเจ้าจะถูกซ่อนไปจากพระองค์ ข้าพเจ้าจะต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนไม่มีหลักแหล่งในโลกนี้ และใครก็ตามที่พบข้าพเจ้าจะฆ่าข้าพเจ้า”

15 พระยาห์เวห์พูดกับเขาว่า “เพราะเครื่องหมายนี้ ใครก็ตามที่ฆ่าเจ้า จะต้องถูกลงโทษเจ็ดเท่า” แล้วพระเจ้าก็ใส่เครื่องหมายบนตัวคาอิน เพื่อว่าคนที่เจอเขาจะได้ไม่ฆ่าเขา

ครอบครัวของคาอิน

16 จากนั้น คาอินจากพระยาห์เวห์ไป เขาไปอยู่ที่เมืองโนด[e] ทางทิศตะวันออกของเอเดน

17 คาอินมีเพศสัมพันธ์กับเมียของเขา นางตั้งท้องและคลอดลูกชื่อเอโนค คาอินสร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่งและเขาตั้งชื่อเมืองนั้นว่า เอโนค ตามชื่อลูกชายของเขา

18 เอโนคมีลูกชายชื่ออิราด อิราดมีลูกชายชื่อเมหุยาเอล เมหุยาเอลมีลูกชายชื่อเมธูชาเอล เมธูชาเอลมีลูกชายชื่อลาเมค

19 ลาเมคมีเมียสองคนชื่ออาดาห์ กับศิลลาห์ 20 อาดาห์มีลูกชื่อยาบาล เขาเป็นบรรพบุรุษ[f] ของพวกที่อาศัยอยู่ในเต็นท์และเลี้ยงสัตว์ใช้งาน 21 น้องชายของยาบาลชื่อยูบาล เขาเป็นบรรพบุรุษของพวกคนที่เล่นพิณและเป่าขลุ่ยเก่ง 22 ศิลลาห์มีลูกชื่อ ทูบัลคาอิน เขาเป็นบรรพบุรุษของพวกช่างทำเครื่องมือทองสัมฤทธิ์และเหล็กต่างๆ[g] น้องสาวของทูบัลคาอินชื่อนาอามาห์

23 ลาเมคพูดกับเมียทั้งสองของเขาว่า

“อาดาห์กับศิลลาห์ฟังเราให้ดี
    เจ้าที่เป็นเมียของลาเมคฟังสิ่งที่เราจะพูดให้ดี
เราได้ฆ่าชายคนหนึ่งที่ทำให้เราบาดเจ็บ
    เราได้ฆ่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้มาทำร้ายเรา
24 ถ้าหากการฆ่าคาอินจะต้องรับโทษเจ็ดเท่า
    การฆ่าเราลาเมค ก็จะต้องได้รับโทษถึงเจ็ดสิบเจ็ดเท่า”

อาดัมกับเอวามีลูกชายอีกคน

25 อาดัมมีเพศสัมพันธ์กับเมียของตนอีก นางคลอดลูกชายคนหนึ่ง นางตั้งชื่อเขาว่า เสท[h] เพราะนางพูดว่า “พระยาห์เวห์ให้ลูกชายอีกคนหนึ่งกับฉันแทนอาเบล เพราะคาอินฆ่าเขาแล้ว” 26 แล้วเสทก็มีลูกชายคนหนึ่ง เขาตั้งชื่อลูกว่า เอโนช ในเวลานั้น ผู้คนเริ่มพากันมานมัสการพระยาห์เวห์[i]

มัทธิว 4

มารมาลองใจพระเยซู

(มก. 1:12-13; ลก. 4:1-13)

แล้วพระวิญญาณ ก็พาพระเยซูไปที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง เพื่อให้มารมาลองใจพระองค์ หลังจากพระเยซูอดอาหารมาเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืน พระองค์ก็หิวจัด มารจึงมายั่วยุพระองค์ว่า “ถ้าเป็นลูกพระเจ้าจริง ก็สั่งหินพวกนี้ให้กลายเป็นขนมปังสิ”

พระเยซูตอบว่า “พระคัมภีร์ เขียนไว้ว่า

‘ชีวิตที่เที่ยงแท้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนมปังเพียงอย่างเดียว
    แต่อยู่ได้ด้วยคำพูดทุกคำที่มาจากพระเจ้า’”[a]

จากนั้นมารก็นำพระองค์ไปยังเมืองเยรูซาเล็มและไปยืนกันอยู่บนจุดสูงสุดของวิหาร แล้วมารก็ท้าพระเยซูว่า “ถ้าเป็นลูกพระเจ้าจริง ก็กระโดดลงไปเลย เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

‘พระเจ้าจะสั่งให้ทูตของพระองค์คุ้มครองท่าน
    และเหล่าทูตสวรรค์ก็จะรับท่านไว้
เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระแทกหิน’”[b]

พระเยซูตอบมารว่า “แต่พระคัมภีร์ก็เขียนไว้เหมือนกันว่า ‘อย่าได้ลองดีกับองค์เจ้าชีวิต พระเจ้าของเจ้า’”[c]

อีกครั้งหนึ่ง มารนำพระเยซูไปที่ภูเขาที่สูงที่สุด เพื่อพระองค์จะได้เห็นอาณาจักรในโลกทั้งหมดและความเจริญรุ่งเรืองของพวกมัน แล้วมารก็ท้าพระเยซูว่า “ถ้ากราบไหว้บูชาเรา เราก็จะยกทั้งหมดที่เห็นนี้ให้”

10 พระเยซูจึงตอบว่า “ไปให้พ้น ไอ้ซาตาน เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

‘เจ้าจะต้องกราบไหว้บูชาองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้า
    และรับใช้พระองค์แต่เพียงผู้เดียว’”[d]

11 มารจึงไปจากพระองค์ และเหล่าทูตสวรรค์ก็มารับใช้พระองค์

พระเยซูเริ่มงานในแคว้นกาลิลี

(มก. 1:14-15; ลก. 4:14-15)

12 เมื่อพระเยซูได้ข่าวว่ายอห์นถูกจับขังคุก พระองค์กลับไปที่แคว้นกาลิลี 13 แล้วย้ายจากเมืองนาซาเร็ธ ไปอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม ที่อยู่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลีในเขตแดนเศบูลุนและ นัฟทาลี 14 เพื่อให้เป็นไปตามที่อิสยาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า ได้พูดว่า

15 “ดินแดนเศบูลุน และดินแดนนัฟทาลี
    ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน
    คือแคว้นกาลิลีซึ่งเป็นที่อยู่ของคนที่ไม่ใช่ยิว
16 คนที่นั่งอยู่ในความมืดได้เห็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่
    แสงสว่างก็ได้ส่องมาถึงคนที่อยู่ในดินแดนใต้เงาแห่งความตายนั้นแล้ว”[e]

พระเยซูเลือกศิษย์บางคน

(มก. 1:16-20; ลก. 5:1-11)

17 ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูได้เริ่มประกาศว่า “กลับตัวกลับใจเสียใหม่เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว”

18 วันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังเดินอยู่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์มองเห็นพี่น้องสองคนคือ ซีโมนที่คนเรียกว่า เปโตร และอันดรูว์น้องชายของเขา กำลังเหวี่ยงแหจับปลากันอยู่ เพราะพวกเขาเป็นชาวประมง 19 พระองค์พูดกับเขาว่า “ตามเรามาเถอะ เราจะสอนให้จับคนแทนจับปลา” 20 ทั้งสองคนก็ทิ้งแหและติดตามพระองค์ไปทันที

21 เมื่อพระองค์เดินต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็เห็นพี่น้องอีกสองคนคือ ยากอบ ลูกชายของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา กำลังซ่อมแซมแหกับพ่อของพวกเขาอยู่ในเรือ แล้วพระองค์เรียกพี่น้องสองคนนี้มา 22 ทั้งยากอบและยอห์นก็เลยลาพ่อและทิ้งเรือ แล้วพวกเขาตามพระองค์ไปทันที

พระเยซูสอนและรักษาประชาชน

(ลก. 6:17-19)

23 พระเยซูเดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี เพื่อสั่งสอนคนตามที่ประชุมชาวยิว และประกาศข่าวดีเกี่ยวกับอาณาจักรแห่งสวรรค์ให้ทุกคนรู้ นอกจากนี้ยังได้รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆให้กับคนในเมืองจนหายด้วย 24 ทำให้ชื่อเสียงของพระองค์เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย ผู้คนแห่กันมาหาพระเยซู เขาพาคนที่เจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานด้วยโรคต่างๆ คนถูกผีสิง คนเป็นลมบ้าหมู และคนเป็นอัมพาตมาด้วย แล้วพระองค์ได้รักษาพวกเขาจนหายหมดทุกคน 25 คนจำนวนมากพากันติดตามพระองค์ มีทั้งคนจากแคว้นกาลิลี แคว้นเดคาโปลิศ[f] เมืองเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย และดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน

เอสรา 4

ศัตรูที่ไม่ต้องการให้สร้างวิหารใหม่

1-2 เมื่อพวกศัตรูของยูดาห์และเบนยามิน ได้ยินว่าพวกเชลยที่กลับมากำลังสร้างวิหารของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลขึ้นมาใหม่ พวกเขาจึงมาพบเศรุบบาเบล และพวกหัวหน้าครอบครัว พวกศัตรูพูดว่า “ให้พวกเราช่วยท่านสร้างด้วยสิ เพราะเราก็นมัสการพระเจ้าของท่าน เหมือนกับท่าน และเราก็ได้ถวายเครื่องบูชาต่อพระองค์ ตั้งแต่วันที่กษัตริย์เอสารฮัดโดน[a] แห่งอัสซีเรีย นำพวกเรามาที่นี่”

แต่เศรุบบาเบล เยชูอา รวมทั้งพวกหัวหน้าครอบครัวที่เหลือในอิสราเอล พูดกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องมาช่วยพวกเราสร้างวิหารให้กับพระเจ้าของเราหรอก เพราะพวกเราจะสร้างวิหารให้พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลเอง ตามที่กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียสั่งพวกเราไว้”

เพราะอย่างนี้ ประชาชนที่อยู่ในแผ่นดินนั้น จึงได้พยายามทำให้คนยูดาห์หมดกำลังใจ และกลัวที่จะสร้างวิหาร คนเหล่านั้นยังได้ติดสินบนพวกเจ้าหน้าที่ของเปอร์เซีย ให้ขัดขวางพวกคนยิวมาตลอดตั้งแต่สมัยของกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ไปจนถึงสมัยของกษัตริย์ดาริอัสแห่งเปอร์เซีย เพื่อไม่ให้คนยิวทำตามแผนของพวกเขาที่จะสร้างวิหาร ในรัชกาลของกษัตริย์เซอร์ซีส[b] ในช่วงต้นรัชกาลของพระองค์ พวกศัตรูของคนยิว ได้เขียนคำฟ้องร้องพวกชาวยิว ที่อาศัยอยู่ในยูดาห์และเยรูซาเล็ม

ศัตรูต่อต้านการสร้างเยรูซาเล็มใหม่

เรื่องแบบนี้ต่อมาก็เกิดขึ้นอีกในรัชกาลของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส[c] เมื่อ บิชลาม มิทเรดาท และทาเบเอล รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของพวกเขา ได้เขียนคำร้องต่อกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสแห่งเปอร์เซีย ข้อความนั้นเขียนเป็นภาษาอารเมค และได้รับการแปลออกมา (เรื่องราวต่อไปนี้เขียนเป็นภาษาอารเมค[d])

[e] เรฮูม ผู้เป็นเจ้าเมือง[f] และชิมชัยผู้เป็นเลขาธิการ ได้เขียนจดหมายเพื่อต่อต้านเมืองเยรูซาเล็ม ส่งไปให้กับกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส มีใจความว่า

จากเรฮูม ผู้เป็นเจ้าเมือง และชิมชัย ผู้เป็นเลขาธิการ รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของพวกเขา พวกผู้พิพากษา พวกทูตทั้งหลาย พวกเจ้าหน้าที่ พวกชาวเปอร์เซีย ชาวเอเรก ชาวบาบิโลน ชาวสุสาซึ่งก็คือชาวเอลาม 10 และจากพวกที่เหลืออยู่ คือพวกที่อาเชอร์บานิปอล[g] ผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงได้ขับไล่ออกจากประเทศของพวกเขา อาเชอร์บานิปอลให้คนพวกนี้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองต่างๆของสะมาเรีย และในส่วนอื่นๆที่เหลือของแม่น้ำยูเฟรติสฝั่งตะวันตก

11 (นี่คือสำเนาจดหมาย ที่พวกเขาส่งไปให้กษัตริย์อารทาเซอร์ซีส)

ถึง กษัตริย์อารทาเซอร์ซีส

จาก พวกผู้รับใช้ของพระองค์ ประชาชนที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส

12 ขอเรียนให้กษัตริย์ทราบว่า พวกชาวยิวที่มาจากพระองค์ที่ได้มาหาพวกเรานั้น ตอนนี้พวกเขาได้ขึ้นไปที่เมืองเยรูซาเล็มและกำลังก่อสร้างเมืองชั่วร้ายนั้นขึ้นมาใหม่ เป็นเมืองที่ชอบก่อการกบฏ พวกเขากำลังสร้างกำแพงให้แล้วเสร็จ และกำลังซ่อมแซมพวกฐานรากอยู่

13 ขอเรียนให้กษัตริย์ทราบว่า ถ้าเมืองนั้นถูกสร้างขึ้นใหม่ และกำแพงเมืองถูกสร้างจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว พวกเขาจะไม่ยอมส่งเครื่องบรรณาการ ภาษี และส่วย และในที่สุดคลังหลวงก็จะขาดรายได้ไป

14 เนื่องจากเราไม่เคยลืมข้าวแดงแกงร้อนที่พระองค์เลี้ยงดูเรามา[h] เราจึงเห็นว่าเป็นการไม่สมควรที่จะให้เกียรติของพระองค์ต้องเสื่อมเสียไป ด้วยเหตุนี้เราจึงส่งสารนี้มาถึงพระองค์

15 เพื่อพระองค์จะได้ค้นดูสมุดบันทึกของบรรพบุรุษของพระองค์ ในสมุดบันทึกนี้พระองค์จะได้ค้นพบและเรียนรู้ว่า เมืองเยรูซาเล็มนั้น เป็นเมืองที่ชอบก่อการกบฏ ที่สร้างความเสียหายให้กับพวกกษัตริย์และประเทศต่างๆและมีการปลุกระดมให้ก่อการกบฏภายในเมืองนั้นมาเป็นเวลาช้านานแล้ว นั่นเป็นเหตุที่เมืองเยรูซาเล็มถึงได้ถูกทำลายไป

16 เราขอรายงานให้พระองค์รู้ว่า ถ้าเมืองนั้นถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และกำแพงเมืองถูกสร้างจนเสร็จแล้ว พระองค์จะไม่ได้ครอบครองมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติสอีกต่อไป

17 กษัตริย์จึงส่งสารตอบกลับมาว่า

“ถึงเรฮูม ผู้เป็นเจ้าเมือง และชิมชัย ผู้เป็นเลขาธิการ รวมทั้งเพื่อนร่วมงานทั้งหลายของท่านที่อยู่ในสะมาเรีย และส่วนอื่นๆของอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติส

ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข

18 ตอนนี้ จดหมายที่ท่านส่งมาถึงพวกเรา ได้แปลและอ่านให้เราฟังแล้ว 19 เราได้สั่งให้ทำการตรวจสอบ และพวกเขาก็พบว่า เมืองเยรูซาเล็มนั้นเคยลุกขึ้นต่อต้านพวกกษัตริย์มาช้านานแล้ว และเคยมีการกบฏรวมทั้งมีการก่อการจลาจลในเมืองนั้นด้วย 20 แต่เคยมีกษัตริย์ผู้เรืองอำนาจบางองค์ซึ่งปกครองเมืองเยรูซาเล็ม และควบคุมเมืองทั้งหมดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ กษัตริย์เหล่านี้ได้รับเครื่องบรรณาการ ภาษี และส่วย

21 ตอนนี้ ให้ท่านทั้งหลายออกคำสั่งให้คนยิวพวกนั้นหยุดทำงานนี้ เพื่อไม่ให้เมืองนั้นถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จนกว่าเราจะออกคำสั่งให้สร้างได้ 22 ระวังให้ดี อย่าได้เพิกเฉยกับเรื่องนี้ เพื่อกษัตริย์จะได้ไม่ขาดรายได้อีกต่อไป”

23 พอได้อ่านสำเนาจดหมายของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส ให้กับเรฮูมและชิมชัย ผู้เป็นเลขาธิการ รวมทั้งพวกเพื่อนร่วมงานของพวกเขาฟังแล้ว พวกเขาก็รีบไปหาพวกยิวที่เยรูซาเล็มทันที[i]

พวกเขาระงับการสร้างวิหาร

24 แล้วพวกเขาก็ใช้กำลังบีบบังคับให้พวกยิวหยุดทำงาน แล้วการสร้างวิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็มก็ถูกระงับลง และก็ไม่ได้สร้างต่ออีกเลย จนกระทั่งถึงปีที่สอง[j] ของกษัตริย์ดาริอัสแห่งเปอร์เซีย

กิจการ 4

เปโตรและยอห์นอยู่ต่อหน้าสภายิว

ขณะที่เปโตรและยอห์นกำลังพูดกับคนทั้งหลายอยู่นั้น พวกนักบวช หัวหน้าผู้ดูแลความปลอดภัยของวิหาร และพวกสะดูสี ก็เดินเข้ามาหา พวกเขาโกรธมากที่เปโตรและยอห์นกำลังประกาศสั่งสอนว่า ผู้คนจะฟื้นขึ้นจากความตายเหมือนกับพระเยซู พวกเขาจึงจับทั้งสองคนไปขังคุกไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น เพราะตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว แต่มีคนเป็นจำนวนมากที่ได้ยินพระคำของพระเจ้าแล้วเชื่อ ถึงตอนนี้ รวมศิษย์ที่เป็นผู้ชายได้ประมาณห้าพันคนแล้ว วันรุ่งขึ้นพวกผู้นำชาวยิว พวกผู้อาวุโส และพวกครูสอนกฎปฏิบัติ ได้มาประชุมกันที่เมืองเยรูซาเล็ม นอกจากนี้ยังมี อันนาส[a] ซึ่งเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด คายาฟาส[b] ยอห์น อเล็กซานเดอร์ และคนอื่นๆที่เป็นญาติของหัวหน้านักบวชสูงสุดด้วย พวกเขาจับเปโตรและยอห์นมายืนอยู่ตรงหน้า แล้วถามว่า “พวกแกทำสิ่งนี้ด้วยฤทธิ์เดชอะไร พวกแกใช้อำนาจของใคร” แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจเปโตรให้พูดกับพวกเขาว่า “ท่านผู้นำประชาชนและท่านผู้อาวุโส ถ้าท่านจะมาไต่สวนเราวันนี้ในเรื่องความดีที่ได้ทำกับคนง่อยคนนี้ว่าเขาหายได้อย่างไร 10 ก็ให้พวกท่านทั้งหมดและประชาชนชาวอิสราเอลทุกคนรู้เอาไว้เถอะว่า สิ่งนั้นเกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ คนที่พวกท่านได้ตรึงที่กางเขน คนที่พระเจ้าทำให้ฟื้นขึ้นจากความตาย พระเยซูคนนี้แหละที่ทำให้ชายคนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกท่าน หายเป็นปกติ 11 พระเยซูเป็น

‘หิน[c] ที่พวกคุณคนก่อสร้างเห็นว่าไร้ค่า
    แต่กลับกลายมาเป็นหินก้อนที่สำคัญที่สุด’[d]

12 นอกจากพระเยซูแล้ว ไม่มีใครที่จะให้ความรอดกับเราได้ ไม่มีชื่ออื่นภายใต้ฟ้านี้ ที่จะทำให้มนุษย์รอดได้”

13 เมื่อพวกผู้นำชาวยิวเห็นถึงความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และเห็นว่าทั้งสองเป็นแค่คนธรรมดาๆที่ไม่ได้รับการศึกษาหรือฝึกฝนอะไรมาเป็นพิเศษ พวกเขาก็ยิ่งแปลกใจ พวกเขาต่างก็นึกขึ้นมาได้ว่า เปโตรและยอห์นเคยอยู่กับพระเยซูมาก่อน 14 ยิ่งพวกเขาได้เห็นชายง่อยซึ่งได้รับการรักษาจนหายดีแล้วยืนอยู่ข้างๆเปโตรและยอห์น พวกเขาก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก 15 ผู้นำชาวยิวก็สั่งให้เปโตรและยอห์นออกไปจากที่ประชุม แล้วก็ปรึกษากันว่า 16 “พวกเราจะเอาอย่างไรดีกับสองคนนี้ เพราะทุกคนที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มก็รู้ว่า สองคนนี้ได้ทำเรื่องปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่เห็นชัดแจ้งและพวกเราก็ปฏิเสธไม่ได้ 17 แต่เพื่อไม่ให้เรื่องนี้แพร่กระจายต่อไปในหมู่คนทั้งหลาย เราต้องขู่พวกเขาไม่ให้พูดถึงชื่อเยซูกับใครอีก”

18 จากนั้นเขาก็เรียกเปโตร และยอห์นเข้ามาเพื่อสั่งห้ามคนทั้งสอง ไม่ให้พูดหรือสั่งสอนอะไรเกี่ยวกับพระเยซู หรือแม้แต่จะอ้างชื่อของพระองค์อีก 19 แต่เปโตรและยอห์นตอบว่า “ท่านคิดดูเอาเองว่า มันถูกหรือเปล่า ที่จะให้เราเชื่อฟังท่าน แทนที่จะเชื่อฟังพระเจ้า 20 เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เราเลิกพูดในสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยิน” 21 หลังจากที่ได้ขู่เปโตรและยอห์นแล้ว พวกเขาก็ปล่อยตัวทั้งสองคนไป เพราะไม่รู้ว่าจะลงโทษอย่างไร เพราะทุกคนต่างพากันสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น 22 อีกทั้งชายที่ได้รับการรักษา ด้วยการอัศจรรย์จนหายเป็นปกตินี้ มีอายุมากกว่าสี่สิบปีแล้ว

เปโตรและยอห์นกลับไปหาเหล่าผู้เชื่อ

23 เมื่อเขาปล่อยเปโตรและยอห์นแล้ว ทั้งสองก็กลับไปหาพรรคพวก และเล่าเรื่องทั้งหมดที่หัวหน้านักบวชสูงสุดและพวกผู้อาวุโสพูดกับพวกเขาไว้ 24 เมื่อเหล่าผู้เชื่อได้ยินอย่างนั้น ทุกคนก็เปล่งเสียงอธิษฐานต่อพระเจ้าพร้อมกันว่า “องค์เจ้าชีวิต พระองค์เป็นผู้สร้างท้องฟ้า สร้างโลก สร้างทะเลและทุกสิ่งที่มีในที่เหล่านั้น 25 พระองค์พูดไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผ่านปากผู้รับใช้พระองค์ คือดาวิดบรรพบุรุษของเราว่า

‘ทำไมชนชาติต่างๆถึงได้โกรธแค้น
    ทำไมผู้คนถึงได้วางแผนที่ไร้ประโยชน์
26 พวกกษัตริย์ในโลก ต่างเตรียมพร้อมที่จะสู้รบ
    และพวกผู้ปกครองรวมตัวกันต่อต้านองค์เจ้าชีวิต
และต่อต้านกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า’[e]

27 แล้วเหตุการณ์ตามที่ได้เขียนอยู่ในพระคัมภีร์ก็เกิดขึ้น เมื่อเฮโรด[f] และปอนทัส ปีลาต[g] รวมทั้งพวกต่างชาติ และประชาชนชาวอิสราเอล ได้รวมตัวกันในเมืองเพื่อต่อต้านพระเยซูผู้รับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ได้เจิมให้เป็นพระคริสต์ 28 แต่ความจริงแล้ว พวกนี้ก็ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ตามแผนที่พระองค์ได้วางไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วที่จะให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามฤทธิ์อำนาจ และตามความต้องการของพระองค์ 29 ตอนนี้องค์เจ้าชีวิต ขอโปรดฟังคำขู่ของพวกเขา และช่วยพวกเราผู้รับใช้ของพระองค์ให้กล้าที่จะประกาศพระคำของพระองค์ด้วยเถิด 30 ขอโปรดยื่นมือของพระองค์ออกมารักษาโรค และทำเรื่องอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ ผ่านทางชื่อของพระเยซู ผู้รับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์”

31 เมื่อพวกผู้เชื่ออธิษฐานเสร็จ ที่ที่พวกเขามารวมตัวกันก็สั่นสะเทือน จากนั้นพวกเขาทุกคนก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเริ่มประกาศพระคำของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ

ผู้เชื่อแบ่งปันสิ่งที่เขามีกัน

32 กลุ่มของผู้เชื่อทั้งหมดต่างก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และสิ่งของที่เขามีอยู่นั้น ไม่มีใครอ้างว่าเป็นของตัวเองเลย แต่พวกเขาเอาทุกอย่างที่มีมาแบ่งปันกัน 33 พวกศิษย์เอกเป็นพยานให้กับผู้คนด้วยฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่ ถึงการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซูเจ้า และพระเจ้าก็ได้อวยพรคนที่เชื่อทุกคนอย่างมากมาย 34 ในกลุ่มคนที่เชื่อ ไม่มีใครขาดแคลนเลย คนที่มีที่ดินหรือบ้าน ก็เอาของเหล่านั้นไปขาย และนำเอาเงินนั้น 35 มาให้กับพวกศิษย์เอก เพื่อเอาไปแจกจ่ายให้แต่ละคนตามความจำเป็น

36 โยเซฟ คนที่พวกศิษย์เอกเรียกว่า บารนาบัส (หมายถึง “คนที่ให้กำลังใจ”) เป็นชาวเลวีเกิดที่เกาะไซปรัส 37 โยเซฟได้ขายที่นาของเขา และนำเงินที่ได้นั้นมาให้กับพวกศิษย์เอก

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International