Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 2

วันที่เจ็ด วันพักผ่อน

ดังนั้น ท้องฟ้า แผ่นดิน และทุกสิ่งทุกอย่างในนั้น ถูกสร้างขึ้นมาจนเสร็จสมบูรณ์ ในวันที่เจ็ด พระเจ้าได้ทำงานที่พระองค์ทำอยู่เสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว ดังนั้นในวันที่เจ็ดพระเจ้าจึงหยุดพักจากการงานทุกอย่างที่พระองค์ทำ พระเจ้าได้อวยพรวันที่เจ็ด และทำให้มันเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ เพราะในวันที่เจ็ดนี้ พระเจ้าได้หยุดจากงานสร้างที่พระองค์ทำอยู่

การเริ่มต้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์

นี่เป็นที่มาของท้องฟ้าและแผ่นดินโลก ตอนที่พวกมันถูกสร้างขึ้นนั้น ตอนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าสร้างโลกและท้องฟ้าขึ้นนั้น ยังไม่มีพุ่มไม้ในท้องทุ่งเกิดขึ้นบนโลกนี้ และยังไม่มีพืชในท้องทุ่งแตกหน่อออกมา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้า ยังไม่ได้ทำให้มีฝนตกบนโลกนี้ และยังไม่มีมนุษย์ที่จะมาไถพรวนดินนั้น แต่มีตาน้ำไหลออกมาจากพื้นดิน และมันก็ทำให้หน้าดินชุ่มชื้น

พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ปั้นมนุษย์ผู้ชาย[a] ขึ้นจากผงดินบนพื้น พระองค์ปล่อยลมหายใจเข้าไปในจมูกของชายคนนั้น เป็นลมหายใจแห่งชีวิต และชายคนนั้นก็มีชีวิตขึ้นมา พระยาห์เวห์พระเจ้าสร้างสวนแห่งหนึ่งขึ้นในเอเดนทางทิศตะวันออก[b] พระองค์ให้ชายคนที่พระองค์สร้างขึ้นมาอยู่ที่นั่น พระยาห์เวห์พระเจ้าทำให้ต้นไม้ทุกชนิดงอกขึ้นมาจากพื้นดิน ทั้งต้นไม้ที่ให้ความสวยงาม กับต้นไม้ที่กินได้ ตรงกลางสวนนั้นมีต้นไม้แห่งชีวิต และต้นไม้แห่งการรู้จักผิดชอบชั่วดี

10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านสวนเอเดน เพื่อจะได้มีน้ำให้กับสวนนั้น จากจุดนั้น แม่น้ำสายนี้ได้แยกออกมาเป็นแม่น้ำสายเล็กๆสี่สาย 11 แม่น้ำสายที่หนึ่งมีชื่อว่า ปิโชน เป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองฮาวิลาห์[c] เมืองนี้มีทองคำ 12 เป็นทองคำเนื้อดี เมืองนี้ยังมียางไม้ครั่ง[d] และโมรา[e] ด้วย 13 แม่น้ำสายที่สองมีชื่อว่ากิโฮน เป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองคูช[f] 14 แม่น้ำสายที่สามมีชื่อว่าไทกริส[g] เป็นแม่น้ำที่ไหลไปทางทิศตะวันออกของเมืองอัสซีเรีย แม่น้ำสายที่สี่มีชื่อว่ายูเฟรติส

15 พระเจ้าเอาผู้ชายคนนั้นไปอยู่ในสวนเอเดน ให้เขาดูแลเอาใจใส่สวนนั้น 16 พระยาห์เวห์พระเจ้าสั่งชายคนนั้นว่า “เจ้าจะกินจากต้นไม้ไหนๆก็ได้ในสวนนี้ 17 แต่เจ้าต้องไม่กินจากต้นไม้แห่งการรู้จักผิดชอบชั่วดี เพราะในวันที่เจ้ากินจากต้นไม้นั้น เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน”

ผู้หญิงคนแรก

18 พระยาห์เวห์พระเจ้าพูดว่า “มันไม่ดีที่จะให้ผู้ชายคนนี้อยู่คนเดียว เราจะสร้างผู้ช่วยคนหนึ่งที่เหมือนกับเขาให้กับเขา”

19 พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ใช้ดินสร้างเป็นสัตว์ทุกชนิดในท้องทุ่งและนกทุกชนิดในอากาศ แล้วพระองค์ได้นำสัตว์พวกนี้แต่ละตัวไปมอบให้กับชายคนนี้ เพื่อดูว่าเขาจะเรียกมันว่าอะไร ชายคนนี้เรียกสิ่งมีชีวิตพวกนั้นว่าอะไร มันก็มีชื่อตามนั้น 20 ชายคนนี้ตั้งชื่อให้กับสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ พวกนกที่อยู่ในอากาศ และสัตว์ป่าทุกชนิด แต่ก็ไม่เจอผู้ช่วยที่เหมือนกับเขาเลย 21 พระยาห์เวห์พระเจ้าทำให้ชายคนนี้หลับสนิท ตอนที่เขาหลับอยู่นั้น พระองค์เอาซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วปิดแผลบนผิวหนังของเขา 22 จากนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าก็เอาซี่โครงที่มาจากชายนั้น มาสร้างเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วพระองค์ก็เอานางไปให้กับชายคนนั้น 23 ชายนั้นจึงพูดว่า

“ในที่สุด
    นี่แหละคือกระดูกจากกระดูกของเรา
    และเนื้อจากเนื้อของเรา
เธอจะถูกเรียกว่า ผู้หญิง[h]
    เพราะเธอถูกดึงออกมาจากผู้ชาย”

24 เพราะเหตุนี้ ผู้ชายจึงได้จากพ่อแม่ของเขา ไปผูกพันอยู่กับเมียของเขา และทั้งสองคนก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

25 ในเวลานั้น ทั้งผู้ชายและเมียของเขา ก็เปลือยกายอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่รู้สึกอับอาย

มัทธิว 2

พวกโหราจารย์เข้าเฝ้าพระเยซู

พระเยซู เกิดที่หมู่บ้านเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย ในสมัยของกษัตริย์เฮโรด[a] ต่อมามีพวกโหราจารย์เดินทางมาจากทิศตะวันออกเข้ามาที่เมืองเยรูซาเล็ม มาถามว่า “รู้หรือเปล่าว่าเด็กคนนั้นที่เกิดมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิวอยู่ที่ไหน พวกเราเห็นดวงดาวของพระองค์ขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออก จึงเดินทางมาเพื่อกราบไหว้บูชาพระองค์” เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินก็วุ่นวายใจมาก รวมถึงชาวเมืองเยรูซาเล็มทุกคนด้วย กษัตริย์เฮโรดจึงเรียกให้พวกหัวหน้านักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติทุกคนมาประชุมกัน และถามว่า “พระคริสต์ ควรจะเกิดที่ไหน” พวกเขาตอบว่า “ที่เบธเลเฮม ในแคว้นยูเดียครับท่าน เพราะผู้พูดแทนพระเจ้า เขียนไว้ว่า

‘หมู่บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูดาห์
    พวกเจ้าไม่ใช่แค่หมู่บ้านกระจอกๆหมู่บ้านหนึ่งในแผ่นดินยูดาห์
เพราะจะมีผู้นำคนหนึ่งออกมาจากพวกเจ้า
    เป็นผู้ที่จะมาเลี้ยงดูอิสราเอล ประชาชนของเรา’”[b]

กษัตริย์เฮโรด จึงเชิญพวกโหราจารย์มาพบอย่างลับๆและถามพวกเขาว่าได้เห็นดาวดวงนั้นครั้งแรกเมื่อไหร่ แล้วกษัตริย์เฮโรดส่งพวกโหราจารย์ไปที่หมู่บ้านเบธเลเฮม และสั่งว่า “ไปตามหาเด็กคนนั้น เจอเมื่อไหร่ให้รีบกลับมาบอก เราจะได้ไปนมัสการเด็กคนนั้นด้วย”

เมื่อกษัตริย์เฮโรดสั่งเสร็จแล้ว พวกโหราจารย์ก็ตามดาวดวงนั้นที่พวกเขาเห็นขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออกไป ดาวดวงนั้นนำพวกเขาไปหยุดอยู่เหนือที่ที่เด็กชายคนนั้นอยู่ 10 เมื่อพวกโหราจารย์เห็นอย่างนั้นก็ดีใจมาก 11 จึงพากันเข้าไปในบ้าน และพบเด็กชายกับมารีย์แม่ของเด็ก พวกเขาจึงกราบไหว้บูชาเด็กนั้น พร้อมกับเอาทองคำ กำยาน และมดยอบ[c] ออกมาให้เป็นของขวัญกับเด็กชาย 12 พระเจ้าได้มาเตือนพวกโหราจารย์ในความฝัน ไม่ให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรด พวกเขาจึงใช้เส้นทางอื่นกลับไปบ้านเมืองของตน

โยเซฟกับมารีย์พาพระเยซูหนีไปอียิปต์

13 เมื่อพวกโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตขององค์เจ้าชีวิตมาเข้าฝันโยเซฟและบอกว่า “ลุกขึ้น พาเด็กกับแม่ของเด็กหนีไปอยู่ที่อียิปต์ แล้วให้อยู่ที่นั่นจนกว่าจะบอกให้กลับมา เพราะกษัตริย์เฮโรด กำลังจะส่งคนมาตามฆ่าเด็กคนนี้”

14 โยเซฟจึงลุกขึ้น และพาเด็กพร้อมกับแม่ของเด็กออกเดินทางไปอียิปต์ในคืนนั้นเลย 15 พวกเขาอยู่ที่นั่นจนกษัตริย์เฮโรดตาย ซึ่งก็เป็นไปตามที่องค์เจ้าชีวิตเคยพูดผ่านมาทางผู้พูดแทนพระเจ้า ว่า “เราได้เรียกลูกของเราออกมาจากอียิปต์”[d]

เฮโรดฆ่าพวกเด็กชายในหมู่บ้านเบธเลเฮม

16 เมื่อกษัตริย์เฮโรด รู้ว่าโดนพวกโหราจารย์หลอก ก็โกรธมาก จึงสั่งให้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมาที่อยู่ในหมู่บ้านเบธเลเฮม และบริเวณใกล้เคียงแถวนั้น เพราะพวกโหราจารย์บอกกับกษัตริย์ว่า พวกเขาเห็นดวงดาวปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อสองปีมาแล้ว 17 ซึ่งเป็นไปตามที่องค์เจ้าชีวิตเคยพูดผ่านเยเรมียาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้าว่า

18 “ฟังเสียงในหมู่บ้านรามาห์
    เป็นเสียงร้องไห้ด้วยความเสียใจยิ่ง
คือเสียงร้องไห้ของราเชลเรื่องลูกๆของเธอ
    เธอก็ไม่ยอมให้ใครปลอบโยน เพราะลูกๆของเธอตายแล้ว”[e]

โยเซฟและมารีย์กลับจากอียิปต์

19 หลังจากกษัตริย์เฮโรดตายแล้ว ทูตขององค์เจ้าชีวิตเข้าฝันโยเซฟซึ่งอยู่ที่อียิปต์ว่า 20 “ลุกขึ้น ให้พาทั้งเด็กและแม่ของเด็กกลับไปที่แผ่นดินอิสราเอล เพราะคนที่ต้องการจะฆ่าเด็กคนนี้ ตายไปหมดแล้ว”

21 โยเซฟจึงลุกขึ้นแล้วพาเด็กและแม่ของเด็กกลับไปที่อิสราเอล 22 แต่เมื่อโยเซฟรู้ว่าอารเคลาอัส[f] ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของแคว้นยูเดียแทนกษัตริย์เฮโรดผู้เป็นพ่อ เขาก็กลัวไม่กล้ากลับไปแคว้นยูเดีย โยเซฟได้รับคำเตือนในความฝันให้เดินทางไปที่แคว้นกาลิลี 23 เขาไปอยู่ที่เมืองนาซาเร็ธ เพื่อให้เป็นจริงตามที่องค์เจ้าชีวิตเคยพูดไว้เกี่ยวกับพระคริสต์ ผ่านมาทางพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ที่ว่า “คนจะเรียกเขาว่า ชาวนาซาเร็ธ”

เอสรา 2

รายชื่อเชลยที่กลับมา

(นหม. 7:4-73)

ต่อไปนี้คือรายชื่อของคนที่อยู่ในมณฑลยูดาห์ หลังจากที่กลับมาจากการถูกจับไปเป็นเชลย ก่อนหน้านี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ได้จับครอบครัวพวกเขาไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ตอนนี้พวกเขาได้กลับมาที่เมืองเยรูซาเล็มและยูดาห์ และต่างคนต่างก็กลับไปยังบ้านเมืองของตน พวกเขาทั้งหลายกลับมาพร้อมกับเศรุบบาเบล[a] เยชูอา เนหะมียาห์ เสไรอาห์ เรเอไลยาห์ โมรเดคัย บิลชาน มิสปาร์ บิกวัย เรฮูม และบาอานาห์

ต่อไปนี้คือจำนวนชายอิสราเอลของแต่ละตระกูลที่ได้กลับมา

ผู้สืบตระกูลปาโรช สองพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน

ผู้สืบตระกูลเชฟาทิยาห์ สามร้อยเจ็ดสิบสองคน

ผู้สืบตระกูลอาราห์ เจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าคน

ผู้สืบตระกูลปาหัทโมอับ คือ ตระกูลของเยชูอา และโยอาบ สองพันแปดร้อยสิบสองคน

ผู้สืบตระกูลเอลาม หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน

ผู้สืบตระกูลศัทธู เก้าร้อยสี่สิบห้าคน

ผู้สืบตระกูลศักคัย เจ็ดร้อยหกสิบคน

10 ผู้สืบตระกูลบานี หกร้อยสี่สิบสองคน

11 ผู้สืบตระกูลเบบัย หกร้อยยี่สิบสามคน

12 ผู้สืบตระกูลอัสกาด หนึ่งพันสองร้อยยี่สิบสองคน

13 ผู้สืบตระกูลอาโดนีคัม หกร้อยหกสิบหกคน

14 ผู้สืบตระกูลบิกวัย สองพันห้าสิบหกคน

15 ผู้สืบตระกูลอาดีน สี่ร้อยห้าสิบสี่คน

16 ผู้สืบตระกูลอาเทอร์ คือเฮเซคียาห์ เก้าสิบแปดคน

17 ผู้สืบตระกูลเบไซ สามร้อยยี่สิบสามคน

18 ผู้สืบตระกูลโยราห์ หนึ่งร้อยสิบสองคน

19 ผู้สืบตระกูลฮาชูม สองร้อยยี่สิบสามคน

20 ผู้สืบตระกูลกิบบาร์ เก้าสิบห้าคน

21 ชายจากเมืองเบธเลเฮม หนึ่งร้อยยี่สิบสามคน

22 ชายจากเมืองเนโทฟาห์ ห้าสิบหกคน

23 ชายจากเมืองอานาโธท หนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน

24 ชายจากเมืองอัสมาเวท สี่สิบสองคน

25 ชายจากเมืองคิริยาทอาริม เคฟีราห์ และ เบเอโรท เจ็ดร้อยสี่สิบสามคน

26 ชายจากเมืองรามาห์ และเกบา หกร้อยยี่สิบเอ็ดคน

27 ชายจากเมืองมิคมาส หนึ่งร้อยยี่สิบสองคน

28 ชายจากเมืองเบธเอล และอัย สองร้อยยี่สิบสามคน

29 ชายจากเมืองเนโบ ห้าสิบสองคน

30 ชายจากเมืองมักบิช หนึ่งร้อยห้าสิบหกคน

31 ชายจากเมืองเอลาม หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน

32 ชายจากเมืองฮาริม สามร้อยยี่สิบคน

33 ชายจากเมืองโลด ฮาดิด และโอโน เจ็ดร้อยยี่สิบห้าคน

34 ชายจากเมืองเยริโค สามร้อยสี่สิบห้าคน

35 ชายจากเมืองเสนาอาห์ สามพันหกร้อยสามสิบคน

36 ต่อไปนี้คือพวกนักบวช

ผู้สืบตระกูลเยดายาห์ คือครอบครัวของเยชูอา เก้าร้อยเจ็ดสิบสามคน

37 ผู้สืบตระกูลอิมเมอร์ หนึ่งพันห้าสิบสองคน

38 ผู้สืบตระกูลปาชเฮอร์ หนึ่งพันสองร้อยสี่สิบเจ็ดคน

39 ผู้สืบตระกูลฮาริม หนึ่งพันสิบเจ็ดคน

40 ต่อไปนี้คือพวกชาวเลวี

ผู้สืบตระกูลเยชูอา และขัดมีเอล คือครอบครัวโฮดาวิยาห์ เจ็ดสิบสี่คน

41 ต่อไปนี้คือพวกนักร้อง

ผู้สืบตระกูลอาสาฟ หนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน

42 ต่อไปนี้คือพวกตระกูลของคนเฝ้าประตูวิหารได้แก่

ผู้สืบตระกูลชัลลูม อาเทอร์ ทัลโมน อักขูบ ฮาทิธา โชบัย รวมหนึ่งร้อยสามสิบเก้าคน

43 ต่อไปนี้คือพวกตระกูลของคนรับใช้ประจำวิหารได้แก่

ผู้สืบตระกูลศีหะ ฮาสูฟา ทับบาโอท

44 ตระกูลเคโรส สีอาฮา พาโดน

45 ตระกูลเลบานาห์ ฮากาบาห์ อักขูบ

46 ตระกูลฮากาบ ชัมลัย ฮานัน

47 ตระกูลกิดเดล กาฮาร์ เรอายาห์

48 ตระกูลเรซีน เนโคดา กัสซาม

49 ตระกูลอุสซาห์ ปาเสอาห์ เบสัย

50 ตระกูลอัสนาห์ เมอูนิม เนฟิสิม

51 ตระกูลบัคบูค ฮาคูฟา ฮารฮูร

52 ตระกูลบัสลูท เมหิดา ฮารชา

53 ตระกูลบารโขส สิเสรา เทมาห์

54 ตระกูลเนซิยาห์ ฮาทิฟา

55 ต่อไปนี้คือผู้สืบตระกูลจากข้าราชการของซาโลมอน

ตระกูลโสทัย หัสโสเฟเรท เปรุดา

56 ตระกูลยาอาลาห์ ดารโคน กิดเดล

57 ตระกูลเชฟาทิยาห์ ฮัทธิล โปเคเรทหัสซาบาอิม อามี

58 ผู้สืบตระกูลของคนรับใช้ของวิหารทุกคน และผู้สืบตระกูลข้าราชการของซาโลมอน รวมทั้งหมด สามร้อยเก้าสิบสองคน

59 คนต่อไปนี้มาจากเมืองเทลเมลาห์ เมืองเทลหารชา เมืองเครูบ เมืองอัดดาน และเมืองอิมเมอร์ แต่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ว่า บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นชาวอิสราเอล

60 ผู้สืบตระกูลเดไลยาห์ โทบีอาห์ เนโคดา รวมหกร้อยห้าสิบสองคน

61 ผู้สืบตระกูลของพวกนักบวช คือ

ตระกูลของฮาบายาห์ ฮักโขส และบารซิลลัย (บารซิลลัยคนนี้ได้แต่งงานกับ ลูกสาวของบารซิลลัยชาวกิเลอาด แล้วใช้ชื่อของพ่อตา)

62 คนพวกนี้เมื่อค้นหาประวัติครอบครัวในสำมะโนครัวที่เป็นทางการ แต่หาไม่พบ ก็เลยถือว่าเป็นคนธรรมดา และชื่อของพวกเขาถูกตัดออกจากกลุ่มของพวกนักบวช

63 ผู้ว่าราชการเมืองบอกกับพวกเขาว่า จะต้องไม่กินอาหารที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด จนกว่าจะมีนักบวชที่สามารถจะปรึกษากับ อูริมและทูมมิมว่าพวกนี้เป็นนักบวชจริงหรือไม่

64-65 ชุมชนทั้งหมดรวมกันมีสี่หมื่นสองพันสามร้อยหกสิบคน ไม่นับทาสชายหญิงของพวกเขา ที่มีจำนวนเจ็ดพันสามร้อยสามสิบเจ็ดคน นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังมีนักร้องทั้งหญิงและชายอีกสองร้อยคน 66-67 พวกเขามีม้ารวมเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว มีล่อสองร้อยสี่สิบห้าตัว มีอูฐสี่ร้อยสามสิบห้าตัว และมีลาหกพันเจ็ดร้อยยี่สิบตัว

68 หัวหน้าครอบครัวบางคน มาถึงวิหารของพระยาห์เวห์ในเมืองเยรูซาเล็ม พวกเขาได้ถวายของด้วยความสมัครใจ ให้กับวิหารของพระเจ้า เพื่อเอาไปสร้างวิหารขึ้นมาใหม่บนสถานที่ตั้งเดิม 69 พวกเขาได้ถวายตามกำลังความสามารถ พวกเขาได้ถวายเพื่อใช้ในงานนี้ให้กับกองคลัง เป็นทองคำประมาณห้าร้อยกิโลกรัม เงินประมาณสามพันสี่ร้อยกิโลกรัม

70 พวกนักบวช พวกชาวเลวี ประชาชนส่วนหนึ่ง พวกนักร้อง คนเฝ้าประตู และคนรับใช้ของวิหาร ได้ย้ายเข้ามาอยู่ตามเมืองของตน และชาวอิสราเอลที่เหลือทั้งหมด ก็ย้ายเข้ามาอยู่ตามเมืองของตนเหมือนกัน

กิจการ 2

พระวิญญาณบริสุทธิ์มาด้วยฤทธิ์เดช

เมื่อถึงวันเพ็นเทคอสต์ พวกศิษย์ของพระเยซูก็มารวมตัวกันในที่แห่งหนึ่ง จู่ๆก็มีเสียงจากท้องฟ้าคล้ายกับเสียงพายุพัดอย่างแรง ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบ้านที่พวกเขากำลังนั่งกันอยู่ จากนั้นพวกเขาก็เห็นบางอย่างคล้ายเปลวไฟที่มีรูปร่างเหมือนลิ้นได้กระจายออกไปอยู่เหนือพวกเขาแต่ละคน แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้เข้าไปอยู่ในตัวพวกเขาอย่างบริบูรณ์ แล้วพวกเขาทุกคนก็เริ่มพูดภาษาต่างๆตามแต่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้เขาพูดได้

ชาวยิวที่นับถือพระเจ้าจากชาติต่างๆทั่วโลก มาอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเวลานั้น เมื่อได้ยินเสียงอื้ออึง ก็มามุงดูกัน และต่างก็รู้สึกงุนงงสงสัยที่พวกเขาต่างก็ได้ยินศิษย์ของพระเยซูพวกนี้พูดภาษาของพวกเขา พวกเขาทึ่งมากถึงกับพูดว่า “คนพวกนี้เป็นชาวกาลิลีทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรือ แล้วทำไมพวกเราถึงได้ยินเขาพูดภาษาบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเราล่ะ ซึ่งมีทั้งมาจาก ปารเธีย มีเดีย เอลาม เมโสโปเตเมีย ยูเดีย คัปปาโดเซีย ปอนทัส เอเชีย 10 ฟรีเจียและปัมฟีเลีย อียิปต์และบางส่วนของลิเบียใกล้กับเมืองไซรีน แขกที่มาเยือนจากกรุงโรม 11 (มีทั้งยิวโดยกำเนิด กับคนที่เปลี่ยนมาถือแบบยิว) เกาะครีต และอาระเบีย แล้วเราทั้งหมดต่างก็ได้ยินคนพวกนี้พูดถึงสิ่งยอดเยี่ยมต่างๆที่พระเจ้าได้ทำเป็นภาษาบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเราเอง” 12 ผู้คนทั้งหมดรู้สึกสับสนอลหม่าน ถามไถ่กันว่า “นี่มันอะไรกัน” 13 บางคนหัวเราะเยาะศิษย์ของพระเยซู โดยพูดว่า “พวกนี้เมาเหล้าองุ่น”

เปโตรอธิบายให้คนฟัง

14 แล้วเปโตรก็ยืนขึ้นพร้อมกับศิษย์เอกอีกสิบเอ็ดคน เขาตะเบ็งเสียงดังต่อหน้าคนพวกนั้นว่า “เพื่อนๆชาวยิวและทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ตั้งใจฟังให้ดีในเรื่องที่ผมจะเล่านี้ 15 คนพวกนี้ไม่ได้เมาอย่างที่พวกคุณคิดหรอกนะ ตอนนี้เพิ่งจะเก้าโมงเช้าเอง 16 แต่สิ่งที่คุณเห็นนี้ เป็นสิ่งที่โยเอลผู้พูดแทนพระเจ้า ได้พูดไว้ว่า

17 ‘พระเจ้าพูดว่า ในช่วงสุดท้ายนั้น
เราจะเทพระวิญญาณของเราลงบนมนุษย์ทุกคน
    ทั้งบุตรชายและบุตรสาวของพวกเจ้าจะพูดแทนเรา
    คนหนุ่มจะเห็นภาพนิมิต
    คนแก่จะมีความฝันพิเศษ
18 ในช่วงนั้น เราจะเทพระวิญญาณของเราลงบนทาสของเราทั้งชายและหญิง
    และเขาเหล่านั้นจะพูดแทนเรา
19 เราจะแสดงสิ่งมหัศจรรย์ในท้องฟ้าเบื้องบนและสิ่งอัศจรรย์ในโลกเบื้องล่าง
    ได้แก่เลือด ไฟและหมอกควันหนาทึบ
20 ดวงอาทิตย์จะมืดมิด ส่วนดวงจันทร์จะเป็นสีเลือด
    ก่อนจะถึงวันอันยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์ขององค์เจ้าชีวิต
21 แล้วทุกคนที่ร้องขอความช่วยเหลือจากองค์เจ้าชีวิต ก็จะได้รับความรอด’”[a]

22 “ฟังให้ดีชาวอิสราเอลทั้งหลาย พระเจ้าได้แสดงให้พวกคุณเห็นชัดว่า พระเยซูชาวนาซาเร็ธเป็นคนพิเศษ เพราะพระเจ้าได้ให้อำนาจกับพระองค์ที่จะทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ และการอัศจรรย์มากมายท่ามกลางพวกคุณ อย่างที่พวกคุณรู้กันอยู่แล้ว 23 พระเจ้าได้วางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ที่จะมอบพระเยซูให้กับพวกคุณ พวกคุณได้ฆ่าพระองค์ด้วยความช่วยเหลือของพวกคนชั่วนอกกฎหมาย คือได้ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขน 24 แต่พระเจ้าได้ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นมาใหม่ และทำให้พระองค์เป็นอิสระจากความตาย เพราะความตายไม่สามารถที่จะยึดพระเยซูไว้ได้

25 กษัตริย์ดาวิดได้พูดถึงพระองค์ว่า

‘เราเห็นองค์เจ้าชีวิตอยู่ต่อหน้าเราเสมอ
    เราจะไม่หวั่นกลัวเพราะพระองค์อยู่ที่ขวามือของเรา
26 เพราะอย่างนี้นี่เอง หัวใจของเราถึงเบิกบาน
    และคำพูดของเราก็ชื่นชมยินดี
    แม้แต่ร่างกายของเราก็เต็มไปด้วยความหวัง
27 เพราะพระองค์จะไม่ทิ้งเราไว้ในแดนคนตาย
    พระองค์จะไม่ยอมให้องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์นั้นเน่าเปื่อย
28 พระองค์ทำให้เรารู้จักทางที่นำไปสู่ชีวิต
    และจะทำให้เรามีความสุขอย่างเต็มที่เมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์’[b]

29 พี่น้องทั้งหลาย ผมมั่นใจว่าดาวิดผู้เป็นบรรพบุรุษของเรา ไม่ได้พูดถึงตัวเองเพราะเขาได้ตายไปแล้ว และหลุมฝังศพของเขาก็อยู่ในเมืองนี้จนถึงทุกวันนี้ 30 แต่ดาวิดเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า และเขาก็รู้ว่าพระเจ้าได้ให้คำมั่นสัญญาว่าลูกหลานของดาวิดคนหนึ่งจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์เหมือนเขา 31 ดาวิดก็รู้เหตุการณ์นี้ล่วงหน้า เขาพูดถึงการฟื้นคืนชีพของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์นั้นว่า

‘เขาไม่ได้ถูกทิ้งอยู่ในแดนคนตาย
    และร่างกายของเขาก็ไม่เน่าเปื่อย’[c]

32 พระเจ้าทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย พวกเราทั้งหมดต่างก็เห็นเป็นพยานในเรื่องนี้ 33 พระเยซูถูกรับขึ้นไปนั่งอยู่ทางขวามือของพระเจ้า พระเจ้าก็มอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับพระเยซูตามที่สัญญาไว้ และพระเยซูก็เทพระวิญญาณนี้ลงบนพวกเรา อย่างที่พวกคุณได้เห็นและได้ยินอยู่ตอนนี้ 34 ดังนั้นดาวิดเองไม่ได้ถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ แต่ตัวดาวิดเองได้พูดว่า

‘พระเจ้า องค์เจ้าชีวิต ได้พูดกับพระคริสต์ องค์เจ้าชีวิตของเราว่า
นั่งลงทางขวามือของเรา
35     จนกว่าเราจะปราบศัตรูของท่านให้สยบลงเป็นที่วางเท้าของท่าน’[d][e]

36 ดังนั้นขอให้ชาวอิสราเอลทั้งหลายรู้แน่นอนว่า พระเจ้าได้ตั้งพระเยซูคนที่พวกคุณตรึงไว้ที่กางเขน ให้เป็นทั้งองค์เจ้าชีวิตและพระคริสต์”

37 เมื่อคนพวกนั้นได้ยินอย่างนี้ ก็รู้สึกเหมือนถูกแทงทะลุใจ พวกเขาจึงพูดกับเปโตรและศิษย์เอกคนอื่นๆว่า “พี่ๆน้องๆ พวกเราจะทำอย่างไรดี”

38 เปโตรพูดกับพวกเขาว่า “กลับตัวกลับใจเสียใหม่ และเข้าพิธีจุ่มน้ำในนามของพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์ เพื่อพระเจ้าจะได้ยกโทษความผิดบาปของคุณ แล้วคุณก็จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของขวัญ 39 เพราะนี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้กับพวกคุณ ลูกหลานของคุณ และทุกคนที่อยู่ห่างไกล คำสัญญานี้มีไว้สำหรับทุกคนที่องค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเราจะเรียกมา” 40 แล้วเปโตรได้เตือนพวกเขาอีกหลายเรื่องด้วยกัน และได้ขอร้องเขาว่า “ให้เอาตัวรอดจากโทษที่จะเกิดขึ้นกับสังคมที่ชั่วร้ายของยุคนี้” 41 คนทั้งหลายที่ยอมรับสิ่งที่เปโตรพูดได้เข้าพิธีจุ่มน้ำ และในวันนั้นจำนวนศิษย์ของพระเยซู จึงได้เพิ่มขึ้นอีกราวสามพันคน 42 พวกเขาได้ทุ่มเทเวลาในการฟังคำสั่งสอนของพวกศิษย์เอก ในการมาร่วมประชุมกัน ในการหักขนมปังกัน[f] และในการอธิษฐานกัน

การแบ่งปันในหมู่ผู้ศรัทธา

43 ทุกคนเกิดความเกรงกลัว เพราะพวกศิษย์เอกทำสิ่งมหัศจรรย์และการอัศจรรย์หลายอย่าง 44 พวกศิษย์ของพระเยซูได้พบกันอย่างสม่ำเสมอ และเอาข้าวของทั้งหมดที่ตนเองมีอยู่ออกมาแบ่งปันกัน 45 พวกเขาเอาที่ดินและข้าวของต่างๆไปขาย แล้วนำเงินมาแบ่งให้กับคนที่มีความจำเป็นต้องใช้ 46 พวกศิษย์เหล่านี้จะไปประชุมร่วมกันในวิหารทุกๆวัน พวกเขาจะหักขนมปังกันตามบ้านของตน และแบ่งปันอาหารกันกินด้วยความยินดีและเต็มใจ 47 พวกเขาสรรเสริญพระเจ้า และทุกคนก็ชื่นชอบพวกเขา แล้วองค์เจ้าชีวิตก็เพิ่มจำนวนคนที่พระองค์ได้ช่วยให้รอดเข้ามาในกลุ่มของศิษย์พวกนี้ทุกๆวัน

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International