Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศาวดาร 5:1-6:11

เมื่อซาโลมอนทำงานสำหรับวิหาร ของพระยาห์เวห์เสร็จหมดแล้ว เขาก็นำเอาสิ่งของต่างๆที่ดาวิดผู้เป็นพ่อของเขาได้อุทิศไว้ เช่น เงิน ทองคำและเครื่องใช้ทั้งหมด เข้ามาวางไว้ในคลังสมบัติของวิหารของพระเจ้า

การแห่หีบศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่วิหาร

(1 พกษ. 8:1-11)

แล้วซาโลมอนเรียกพวกผู้อาวุโสของอิสราเอล พวกหัวหน้าทั้งหมดของเผ่าต่างๆและพวกผู้นำครอบครัวทั้งหลายของชาวอิสราเอล ให้มาชุมนุมกันที่เมืองเยรูซาเล็ม เพื่อที่จะนำหีบแห่งข้อตกลงของพระยาห์เวห์มาจากเมืองศิโยนหรือเมืองของดาวิด และชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ได้มารวมตัวกันต่อหน้ากษัตริย์ในช่วงเทศกาลของเดือนที่เจ็ด[a]

เมื่อพวกผู้อาวุโสทั้งหมดของชาวอิสราเอลมาถึง ชาวเลวีก็ได้ยกหีบขึ้น และพวกเขา[b]ได้ยกหีบ และเต็นท์นัดพบ รวมทั้งพวกข้าวของเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์ภายในเต็นท์ไปด้วย พวกนักบวชที่เป็นชาวเลวีเป็นผู้ถือของเหล่านั้น และกษัตริย์ซาโลมอนกับชาวอิสราเอลทั้งหมดที่รวมตัวกันอยู่กับเขาก็ไปอยู่ต่อหน้าหีบ ถวายเครื่องบูชาเป็นแกะและวัวมากมายจนนับไม่ถ้วน ไม่สามารถจดบันทึกลงได้ แล้วพวกนักบวชก็นำหีบข้อตกลงของพระยาห์เวห์เข้าไปวางไว้ในที่ของมัน ที่อยู่ในห้องศักดิ์สิทธิ์ ด้านในสุดของวิหารซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและวางหีบนั้นไว้ใต้ปีกของทูตสวรรค์ทั้งสององค์นั้น ทูตสวรรค์ที่มีปีกทั้งสององค์นั้นกางปีกออกเหนือที่วางหีบนั้น ปีกนั้นก็ปกคลุมอยู่เหนือหีบและคานหามของมัน คานเหล่านี้ยาวมาก จนปลายของคานที่ยื่นออกมาจากหีบนั้น สามารถมองเห็นได้จากหน้าห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น แต่ถ้าอยู่นอกห้องศักดิ์สิทธิ์ก็มองไม่เห็น และคานเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้ 10 ในหีบนั้นไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากแผ่นหินสองแผ่น[c] ที่โมเสสได้ใส่เอาไว้ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาอยู่ที่ภูเขาโฮเรบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระยาห์เวห์ได้ทำข้อตกลงกับชนชาติอิสราเอล หลังจากที่พวกเขาได้ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์แล้ว

11 แล้วพวกนักบวชก็ออกมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์[d] นักบวชทั้งหมดที่อยู่ในที่นั้นได้ทำตัวเองให้บริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าจะอยู่กลุ่มเวรไหนก็ตาม 12 ชาวเลวีทั้งหมดที่เป็นนักดนตรี เช่น อาสาฟ เฮมานและเยดูธูนรวมทั้งพวกลูกชายและญาติๆของเขา ได้ยืนอยู่ทางด้านตะวันออกของแท่นบูชาพวกเขาแต่งตัวด้วยผ้าลินินอย่างดี และเล่นฉาบ พิณใหญ่และพิณเล็กโดยมีพวกนักบวชหนึ่งร้อยยี่สิบคนเป่าแตรคลอไปด้วยกัน 13 บรรดาคนเป่าแตรและนักร้องต่างทำหน้าที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะสรรเสริญและขอบคุณพระยาห์เวห์ พวกเขาได้ประสานเสียงสรรเสริญพระยาห์เวห์ และร้องเพลง[e] คลอไปกับเสียงของแตร ฉาบ และเครื่องดนตรีทั้งหมด พวกเขาร้องว่า

“สรรเสริญพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงดี
    ความรักมั่นคงของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป”

แล้ววิหารของพระยาห์เวห์ก็เต็มไปด้วยเมฆ 14 หมอกควันเหล่านั้นทำให้พวกนักบวชไม่สามารถทำพิธีรับใช้ของพวกเขาต่อไปได้ เพราะรัศมีของพระยาห์เวห์ได้เข้ามาอยู่ในวิหารของพระเจ้าแล้ว

แล้วซาโลมอนพูดว่า “พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าพระองค์จะอาศัยอยู่ในเมฆสีดำ ข้าพเจ้าได้สร้างวิหารอันสง่างามไว้ให้กับพระองค์เพื่อเป็นสถานที่สำหรับพระองค์ได้ใช้อาศัยอยู่ตลอดไป”

คำพูดของซาโลมอน

(1 พกษ. 8:14-21)

แล้วกษัตริย์ก็หันไปหาคนอิสราเอลทั้งหมด ที่ยืนชุมนุมกันอยู่ที่นั่น และขอให้พระเจ้าอวยพรพวกเขา พระองค์พูดว่า

“ขอสรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล มือของพระองค์นั้นได้ทำให้สิ่งที่พระองค์เคยสัญญาไว้ด้วยปากของพระองค์กับดาวิดพ่อของข้าพเจ้านั้น เป็นความจริงขึ้นมา เพราะพระองค์ได้พูดว่า ‘ตั้งแต่วันที่เรานำประชาชนของเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เรายังไม่เคยเลือกเมืองหนึ่งเมืองใดจากเผ่าต่างๆของอิสราเอล เพื่อที่จะใช้สร้างวิหารเป็นเกียรติให้กับชื่อของเราเลย และเราก็ยังไม่เคยเลือกใครสักคนให้เป็นผู้นำเหนือประชาชนชาวอิสราเอลของเรา แต่ตอนนี้ เราได้เลือกเมืองเยรูซาเล็มเพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของเรา และเรายังได้เลือกดาวิดให้มาปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา’

ดาวิดพ่อของเราเคยคิดอยู่ในใจว่า เขาจะสร้างวิหาร ขึ้นหลังหนึ่ง เพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล แต่พระยาห์เวห์พูดกับดาวิดพ่อของเราว่า ‘ที่เจ้าคิดอยู่ในใจว่าจะสร้างวิหารขึ้นหลังหนึ่งเพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของเรานั้น นับเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าจะไม่ได้เป็นคนที่สร้างวิหารนั้น แต่ลูกชายของเจ้าที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าจะเป็นผู้สร้างวิหารนั้นเพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของเรา’ 10 พระยาห์เวห์ได้รักษาสัญญาที่พระองค์ได้ให้ไว้ เราได้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากดาวิดพ่อของเรา และตอนนี้เราก็นั่งอยู่บนบัลลังก์เหนือชนชาติอิสราเอล เหมือนกับที่พระยาห์เวห์ได้ให้สัญญาไว้ และเราก็ได้สร้างวิหารหลังนั้นขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลแล้ว 11 และในนั้น เราก็ได้วางหีบ[f] ใบนั้นไว้ เป็นหีบที่ใส่ข้อตกลงของพระยาห์เวห์ ที่ได้ทำไว้กับประชาชนชาวอิสราเอล”

1 ยอห์น 4

ยอห์นเตือนให้ระวังผู้สอนผิดๆ

เพื่อนๆที่รัก อย่าเชื่อวิญญาณทุกชนิดที่อ้างว่าพูดแทนพระเจ้า แต่ให้ทดสอบพวกวิญญาณเหล่านั้นเสมอว่า มาจากพระเจ้าจริงหรือไม่ เพราะมีคนมากมายที่อ้างว่าเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าได้ออกไปหลอกลวงคนในโลกนี้แล้ว พวกคุณสามารถรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้าได้ ถ้าวิญญาณดวงไหนยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ ก็แสดงว่าวิญญาณนั้นมาจากพระเจ้า วิญญาณดวงไหนที่ไม่ยอมรับพระเยซูก็ไม่ได้มาจากพระเจ้าและวิญญาณนี้แหละเป็นศัตรูกับพระคริสต์ ที่คุณได้ยินว่าศัตรูของพระคริสต์กำลังจะมา เดี๋ยวนี้ก็ได้เข้ามาในโลกแล้ว

ลูกๆเอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้ พวกคนเหล่านั้นเป็นของโลกนี้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาพูดก็มาจากโลกนี้ แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้าจะไม่ฟังเรา แบบนี้สิเราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหนเอาความจริงมาให้และวิญญาณไหนที่โกหก

ความรักมาจากพระเจ้า

เพื่อนๆที่รัก ขอให้เรารักกันและกัน เพราะความรักนั้นมาจากพระเจ้า ทุกคนที่มีความรัก ก็ได้เกิดเป็นลูกของพระเจ้า และรู้จักพระองค์ ส่วนคนที่ไม่มีความรัก ก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก นี่คือวิธีที่พระเจ้าได้แสดงความรักให้กับเรา คือพระองค์ได้ส่งพระบุตรเพียงองค์เดียวมาอยู่ในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์นั้น 10 นี่แหละคือความรักแท้ ไม่ใช่ว่าเราไปรักพระองค์ แต่พระองค์รักเราและส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชา เพื่อจัดการกับบาปของเราให้หมดไป

11 เพื่อนๆที่รัก ถ้าพระเจ้ารักเราขนาดนี้ เราก็ควรจะรักกันและกันด้วย 12 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่ถ้าเรารักกันและกัน พระเจ้าก็อยู่ในเราและความรักของพระองค์ก็ได้สำเร็จในชีวิตของเราตามเป้าหมายของพระองค์

13 แบบนี้สิเราถึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์ และพระองค์อยู่ในเรา คือพระองค์ได้ยอมให้เรามีส่วนร่วมกับพระวิญญาณของพระองค์ 14 เราได้เห็นและเราได้เป็นพยานว่า พระบิดาได้ส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นผู้ช่วยให้โลกนี้รอดพ้นจากบาป 15 คนที่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็อยู่ในคนๆนั้นและคนๆนั้นก็อยู่ในพระเจ้า 16 ดังนั้นเราจึงแน่ใจและไว้วางใจในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา พระเจ้าคือความรักและคนที่อยู่ในความรักต่อไปก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็อยู่ในคนๆนั้นด้วย 17 แบบนี้สิ ความรักของพระเจ้าถึงสำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมก็เพราะชีวิตที่เรามีในโลกนี้ เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์ 18 ในความรักนั้นไม่มีความกลัวเพราะความรักที่สำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์นั้น ได้ไล่ความกลัวออกไปหมดแล้ว ความกลัวนั้นเกี่ยวกับการถูกลงโทษ และคนที่ยังกลัวการถูกลงโทษก็เพราะความรักนั้นยังไม่สำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ในคนๆนั้น

19 ที่พวกเรามีความรักก็เพราะว่าพระเจ้ารักเราก่อน 20 ถ้าคนไหนพูดว่า “ฉันรักพระเจ้า” แต่ยังเกลียดชังพี่น้องของเขาเอง คนนั้นก็โกหก เพราะคนที่ไม่รักพี่น้องของเขาที่มองเห็นได้ ก็จะไม่สามารถรักพระเจ้าที่เขามองไม่เห็น 21 เราได้รับคำสั่งนี้จากพระคริสต์คือคนที่รักพระเจ้าต้องรักพี่น้องของตนด้วย

นาฮูม 3

ข่าวร้ายสำหรับเมืองนีนะเวห์

นี่ เจ้า เมืองที่เต็มไปด้วยเลือด
    เมืองที่เต็มไปด้วยการโกหก
เมืองที่เต็มไปด้วยของที่ปล้นมา
    เมืองที่เต็มไปด้วยคนที่ตกเป็นเหยื่อของเจ้า
นั่นไง เสียงหวดของแส้ เสียงของล้อดังเอี๊ยดๆ
    เสียงของม้าที่พุ่งทะยานและเสียงรถรบที่เต้นตามไป
ทหารม้าก็บุกเข้าประจัญบาน
    ดาบส่องประกายแวววับ หอกก็ทอแสงแวววาว
มีคนถูกฆ่าตายเกลื่อนกลาด
    ซากศพกองพะเนิน มากมายเกลื่อนกลาดจนนับไม่ถ้วน
    ผู้คนเดินสะดุดซากศพ
4-5 พระยาห์เวห์ ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น พูดว่า
    “เราต่อต้านเจ้า เพราะเจ้านีนะเวห์เป็นเหมือนโสเภณีที่ยั่วยวนชนชาติต่างๆให้หลงใหล ตกเป็นทาสของเจ้า
เจ้าเป็นแม่มดที่สวยงามมีเสน่ห์ที่ใช้มนตร์สะกดคนทั้งหลาย
    เราจะยกกระโปรงเจ้าขึ้นปิดหน้าเจ้า
เราจะให้ชนชาติต่างๆเห็นร่างอันเปลือยเปล่าของเจ้า
    และเราจะให้อาณาจักรต่างๆเห็นความน่าอับอายของเจ้า
เราจะโยนขยะเน่าเหม็นใส่เจ้า
    เราจะดูถูกเจ้า จะเอาเจ้ามาประจานให้คนดู
เมื่อคนเห็นเจ้า จะรีบเผ่นหนีไปจากเจ้า
    ทุกคนจะพูดว่า ‘นีนะเวห์ถูกทำลายแล้ว
จะมีใครเสียใจให้กับนางบ้าง
    จะไปหาใครที่ไหนมาปลอบโยนนางได้’”

นีนะเวห์ เจ้าคิดว่าเจ้าวิเศษกว่าเมืองเธเบส[a] หรือ
    เมืองเธเบสที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำไนล์
มีน้ำล้อมรอบ
    มีแม่น้ำเป็นที่กำบัง
    มีน้ำเป็นกำแพง
และมีกำลังอย่างไม่จำกัด
    เพราะเอธิโอเปียและอียิปต์เสริมกำลังให้
    แล้วยังเป็นพันธมิตรกับพูตและลิเบียด้วย
10 แต่ถึงขนาดนั้น เธเบสก็ยังถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย
    ตามหัวถนนทุกแห่ง พวกเด็กทารกของเธอถูกเหวี่ยงทิ้งพื้นแหลกเป็นชิ้นๆ
พวกเขาจับสลากแบ่งพวกผู้ดีของเมืองนั้นไปเป็นทาส
    และจับคนใหญ่คนโตของเมืองนั้นล่ามโซ่ไว้

11 ดังนั้นนีนะเวห์ เจ้าก็เหมือนกัน จะเป็นเหมือนคนเมาที่มึนงง
    และพยายามหาที่หลบภัยจากศัตรู
12 พวกป้อมปราการทั้งหลายของเจ้าก็จะเป็นเหมือนต้นมะเดื่อที่มีลูกมะเดื่อรุ่นแรกที่สุกคาต้น
    เมื่อมีคนมาเขย่าต้นมัน ลูกมะเดื่อก็จะหล่นเข้าปากคนนั้น
13 นีนะเวห์ กองทัพของเจ้า
    เป็นเหมือนผู้หญิงที่อยู่ท่ามกลางเจ้า
ประตูเมืองทั้งหลายของเจ้าก็เปิดอ้าให้พวกศัตรู
    พวกไม้กลอนประตูเมืองของเจ้าก็ถูกไฟไหม้หมดแล้ว

14 ไปตักน้ำมาตุนไว้สำหรับตัวเองจะได้ใช้มันเมื่อเมืองถูกล้อม
    ทำให้ป้อมปราการของเจ้าแข็งแรงขึ้น
ลงไปในโคลน เหยียบย่ำดินเหนียวให้เข้ากัน
    แล้วเอามาใส่เบ้าทำอิฐ
15 ในการสู้รบนั้น ไฟจะเผาผลาญเจ้าและดาบจะฟาดฟันเจ้า
    ไฟนั้นจะเผาผลาญเจ้าเหมือนตั๊กแตนกินหญ้า
ให้เพิ่มจำนวนคนของเจ้าให้มีมากเหมือนตั๊กแตน
    ให้คนของเจ้าทวีคูณเหมือนฝูงตั๊กแตน
16 ถึงพวกพ่อค้าของเจ้ามีมากมายมหาศาลเหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้า
    แต่พวกเขาก็จะเป็นเหมือนฝูงตั๊กแตนที่ลอกคราบแล้วบินไป
17 เจ้าหน้าที่ที่เจ้าแต่งตั้งขึ้นมาก็เป็นเหมือนตั๊กแตน
    และพวกเสมียนก็เป็นเหมือนฝูงตั๊กแตนที่เกาะอยู่ตามกำแพงที่อบอุ่นในวันที่อากาศหนาวเย็น
แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น พวกมันก็บินหนีไป
    และไม่มีใครรู้ด้วยว่ามันบินไปไหน
18 กษัตริย์อัสซีเรีย พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของเจ้า[b] ก็ล่วงลับไปแล้ว
    พวกผู้นำของเจ้าก็ไปเป็นสุขๆแล้ว
คนของเจ้าก็กระจัดกระจายไปตามเนินเขาต่างๆและไม่เหลือผู้นำอีกแล้วที่จะไปรวบรวมพวกเขากลับมา
19 ไม่มีการซ่อมแซมส่วนที่หักร้าวในตัวเจ้า
    บาดแผลของเจ้านั้นเกินกว่าที่จะเยียวยารักษาได้
ทุกคนที่ได้ยินข่าวเรื่องเจ้า ต่างก็พากันตบมือดีใจเพราะพวกเขาทุกคนเคยถูกเจ้าทรมานครั้งแล้วครั้งเล่า

ลูกา 19

ศักเคียสคนเก็บภาษีอยากเห็นพระเยซู

19 พระเยซูเดินเข้าไปในเมืองเยริโค มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี[a] ที่ร่ำรวยมาก เขาอยากจะดูว่าพระเยซูเป็นใคร แต่เขามองไม่เห็น เพราะตัวเตี้ยและคนแน่นมาก เขาจึงวิ่งไปข้างหน้าพระเยซู แล้วปีนขึ้นไปดักคอยพระองค์อยู่บนต้นมะเดื่อ เมื่อพระเยซูเดินมาถึง พระองค์ก็เงยขึ้นไปพูดกับศักเคียสว่า “ศักเคียส รีบลงมาเร็ว เราต้องไปพักที่บ้านคุณวันนี้”

เขารีบลงมา และพาพระองค์ไปบ้านของเขาด้วยความดีใจ ทุกคนที่เห็นอย่างนั้น ก็บ่นกันว่า “เขาไปเป็นแขกในบ้านของคนบาปได้ยังไง”

ในวันนั้นศักเคียสลุกขึ้นบอกองค์เจ้าชีวิตว่า “อาจารย์ ผมจะบริจาคทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของผมให้กับคนจน และถ้าผมได้โกงใครมา ผมยินดีจะคืนให้เขาถึงสี่เท่า”

พระเยซูจึงพูดถึงเขาว่า “วันนี้ความรอดมาถึงครอบครัวนี้แล้ว เพราะเขาก็เป็นลูกหลานของอับราฮัมด้วยเหมือนกัน 10 บุตรมนุษย์ มาก็เพื่อเรื่องนี้แหละคือเพื่อค้นหาและช่วยคนที่หลงหายให้รอด”

กษัตริย์กับทาสสิบคน

(มธ. 25:14-30)

11 ขณะที่พวกเขากำลังฟังเรื่องต่างๆนี้ พระเยซูก็เล่าเรื่องเปรียบเทียบอีกเรื่องหนึ่งให้ฟัง เพราะเกือบจะถึงเมืองเยรูซาเล็มแล้วและพวกชาวบ้านคิดว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะปรากฏให้เห็นในเร็วๆนี้ 12 พระองค์เล่าว่า “มีเชื้อพระวงศ์องค์หนึ่งกำลังจะเดินทางไปแดนไกลเพื่อไปรับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ แล้วเขาจะกลับมา 13 ก่อนไป เขาก็เรียกทาสมาสิบคน มอบเงินให้สิบมินา[b] และสั่งว่า ‘เอาไปทำการค้าจนกว่าเราจะกลับมา’ 14 แต่คนเมืองนั้นเกลียดเขา จึงส่งตัวแทนตามหลังเขาไปเพื่อบอกว่า ‘เราไม่อยากได้คนนี้มาเป็นกษัตริย์ของพวกเรา’

15 แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ และได้เดินทางกลับมา เขาเรียกพวกทาสที่เขาฝากเงินมาพบ เพราะอยากรู้ว่าพวกเขาทำกำไรได้เท่าไหร่ 16 คนแรกมาถึงและบอกว่า ‘เจ้านายครับ เงินหนึ่งมินาของท่าน ผมเอาไปทำกำไร ได้สิบมินาครับ’ 17 เจ้านายชมเขาว่า ‘เยี่ยมมาก เจ้าเป็นทาสที่ดี ไว้ใจได้แม้แต่เรื่องเล็กๆเราจะให้เจ้าดูแลเมืองสิบเมือง’ 18 ทาสคนที่สองก็เข้ามาหาและบอกว่า ‘เจ้านายครับ เงินหนึ่งมินาของท่าน ผมเอาไปทำกำไรได้ห้ามินา’ 19 เขาก็บอกทาสคนนั้นว่า ‘เราจะให้เจ้าดูแลห้าเมือง’ 20 แล้วทาสอีกคนหนึ่งก็เข้ามาพบและบอกว่า ‘เจ้านายครับ นี่เงินหนึ่งมินาของท่าน ผมได้เอาผ้าห่อเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย 21 เพราะกลัวที่ท่านเป็นคนที่โหดร้ายทารุณ ชอบยึดเอาของคนอื่นมาเป็นของตนเอง และชอบเอาเปรียบคนอื่นโดยเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ตนเองไม่ได้หว่าน’ 22 นายผู้นั้นจึงด่าว่า ‘ไอ้ทาสชาติชั่ว เราจะลงโทษเจ้า ตามคำพูดของเจ้า ถ้าเจ้ารู้ว่า เราเป็นคนเข้มงวด ชอบยึดของของคนอื่นและชอบเอาเปรียบ 23 แล้วทำไมถึงไม่เอาเงินไปฝากธนาคาร เมื่อเรากลับมาจะได้รับทั้งเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย’ 24 แล้วเขาก็สั่งพวกทาสที่ยืนอยู่ตรงนั้นว่า ‘เอาเงินที่เขามี ไปให้คนที่มีสิบมินานั่น’ 25 พวกเขาจึงพูดว่า ‘เจ้านาย เขามีตั้งสิบมินาแล้วนะ’ 26 เจ้านายตอบว่า ‘เราจะบอกให้รู้ว่า “คนที่ทำประโยชน์จากสิ่งที่เขามีอยู่ก็จะได้รับเพิ่มมากขึ้น แต่คนที่ไม่ได้ทำประโยชน์จากสิ่งที่เขามีอยู่ ทุกสิ่งที่เขามีก็จะถูกริบไปจนหมดด้วย” 27 แล้วไปจับพวกที่เป็นศัตรูของเราที่ไม่อยากให้เราเป็นกษัตริย์มาฆ่าต่อหน้าเราที่นี่’”

พระเยซูเข้าเมืองเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์

(มธ. 21:1-11; มก. 11:1-11; ยน. 12:12-19)

28 หลังจากที่เล่าเรื่องเสร็จแล้ว พระองค์เดินนำหน้าพวกเขาไปเมืองเยรูซาเล็ม 29 เมื่อพระองค์เดินทางมาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและหมู่บ้านเบธานีใกล้ภูเขามะกอกเทศ พระองค์ก็ได้ส่งศิษย์สองคนไปก่อนล่วงหน้า 30 พระองค์สั่งเขาว่า “ให้เข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้านั้น เมื่อไปถึง คุณจะเห็นลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ยังไม่เคยมีใครขี่มันมาก่อน ให้แก้มัดมันแล้วจูงมาที่นี่ 31 ถ้ามีใครถามว่า ‘แก้มัดมันทำไม’ ให้ตอบเขาว่า ‘องค์เจ้าชีวิตต้องการใช้’”

32 พวกเขาก็ไปและพบทุกอย่างตามที่พระเยซูบอกไว้ 33 ขณะที่แก้มัดลูกลาอยู่นั้น เจ้าของลาก็ถามว่า “แก้มัดมันทำไม”

34 พวกเขาจึงตอบว่า “องค์เจ้าชีวิตต้องการใช้มัน”

35 แล้วพวกศิษย์ก็จูงลามาให้พระเยซู พวกเขาจัดแจงเอาเสื้อคลุมของตนปูบนหลังลา และช่วยพระเยซูขึ้นขี่ลานั้น 36 ระหว่างทางที่พระเยซูขี่ลาผ่านไป ชาวบ้านมากมายเอาเสื้อคลุมมาปูตามท้องถนน

37 เมื่อพระเยซูมาถึงสุดทางที่จะนำลงมาจากภูเขามะกอกเทศ พวกศิษย์จำนวนมากต่างก็พากันโห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าด้วยความยินดีในสิ่งมหัศจรรย์ที่พวกเขาได้เห็นมา

38 พวกเขาโห่ร้องว่า “‘ขอพระเจ้าอวยพรกษัตริย์ผู้มาในนามขององค์เจ้าชีวิต’[c]

สรรเสริญพระเจ้าในสวรรค์ที่ให้สันติสุขกับเรา”

39 ส่วนพวกฟาริสีบางคนในฝูงชนก็พูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ห้ามลูกศิษย์ด้วย อย่าให้เขาพูดอย่างนั้น”

40 พระองค์ตอบว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า ถึงแม้พวกเขาจะหยุดร้อง หินพวกนี้ก็จะโห่ร้องออกมาแทน”

พระเยซูร้องไห้ให้กับเมืองเยรูซาเล็ม

41 เมื่อพระเยซูมาใกล้และมองเห็นเมืองเยรูซาเล็ม พระองค์ก็ร้องไห้ให้กับเมืองนั้น 42 แล้วพูดว่า “เราเคยหวังเหลือเกินว่า วันนี้เจ้าจะรู้ว่าอะไรจะนำสันติสุขมาให้กับเจ้า แต่ตอนนี้สิ่งนั้นถูกปิดซ่อนไปจากเจ้าแล้ว 43 อีกไม่ช้าศัตรูของเจ้าจะสร้างเนินดินบุกขึ้นกำแพงของเจ้า เจ้าจะถูกล้อมไว้ทุกด้าน 44 เจ้าและคนของเจ้าจะถูกบุกทำลายลงอย่างราบคาบ ไม่เหลือแม้แต่ซากหินซ้อนทับกันให้เห็นอีกเลย เพราะเจ้ายังไม่รู้ตัวเลยว่า พระเจ้าได้มาช่วยเจ้าแล้ว”

พระเยซูเข้าไปที่วิหาร

(มธ. 21:12-17; มก. 11:15-19; ยน. 2:13-22)

45 พระเยซูเข้าไปในบริเวณวิหาร และเริ่มขับไล่คนที่ขายของกันอยู่ที่นั่น 46 พระองค์พูดว่า “พระคัมภีร์ เขียนไว้ว่า ‘บ้านของเราจะเป็นบ้านสำหรับอธิษฐาน[d] แต่พวกเจ้าเปลี่ยนให้มันเป็นรังโจร’”[e]

47 พระเยซูสั่งสอนอยู่ในบริเวณวิหารทุกวัน พวกหัวหน้านักบวช พวกครูสอนกฎปฏิบัติ กับพวกผู้นำชาวยิวพยายามหาทางที่จะฆ่าพระองค์ 48 แต่ยังหาโอกาสไม่ได้ เพราะประชาชนทุกคนต่างติดอกติดใจในถ้อยคำของพระองค์เป็นอย่างมาก

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International