M’Cheyne Bible Reading Plan
มีคายาห์เตือนกษัตริย์อาหับ
(1 พกษ. 22:1-28)
18 ในเวลานั้น เยโฮชาฟัทมีทรัพย์สมบัติมากมายและมีชื่อเสียงมาก และเขาเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์อาหับด้วยการแต่งงาน[a]กับราชวงศ์นั้น 2 อีกหลายปีต่อมา เขาลงไปเยี่ยมเยียนกษัตริย์อาหับในเมืองสะมาเรีย อาหับได้ฆ่า[b] แกะและวัวหลายตัวเพื่อเลี้ยงดูเขาและคนที่มากับเขา และได้ยุยงเขาให้โจมตีราโมทกิเลอาด 3 กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลถามกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ว่า “ท่านจะไปสู้รบกับราโมทกิเลอาดด้วยกันกับเราไหม” เยโฮชาฟัทตอบว่า “เรากับท่านก็เป็นเหมือนคนๆเดียวกัน ทหารของเราก็เป็นเหมือนกับทหารของท่าน พวกเราจะเข้าร่วมสงครามกับท่านด้วย” 4 แต่เยโฮชาฟัทยังพูดกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “แต่ก่อนอื่น ให้เราไปขอคำปรึกษาจากพระยาห์เวห์ก่อน”
5 ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงพาพวกผู้พูดแทนพระเจ้ามาสี่ร้อยคนและถามพวกเขาว่า “พวกเราควรจะไปทำสงครามกับราโมท-กิเลอาดหรือไม่ หรือว่าให้รอไว้ก่อน” พวกเขาตอบว่า “ไปเถิด เพราะพระเจ้าจะมอบมันให้อยู่ในกำมือของท่าน”
6 แต่เยโฮชาฟัทถามว่า “ยังมีคนอื่นที่เป็นผู้พูดแทนพระยาห์เวห์อยู่ที่นี่หรือเปล่า ที่เราจะสอบถามเขาได้”
7 กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลตอบเยโฮชาฟัทไปว่า “ยังมีอยู่อีกคนหนึ่ง ชื่อ มีคายาห์ เขาเป็นลูกชายของอิมลาห์ เราจะถามพระยาห์เวห์ผ่านทางเขาได้ แต่เราเกลียดเขา เพราะเมื่อเขาพูดแทนพระเจ้า เขาไม่เคยพูดอะไรดีๆเกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้ายๆ”
เยโฮชาฟัทตอบว่า “กษัตริย์ไม่ควรพูดอย่างนั้น”
8 ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเขามาและสั่งว่า “เร็วเข้า ไปนำตัว มีคายาห์ลูกชายของอิมลาห์มา”
9 กษัตริย์ของอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทของยูดาห์ใส่ชุดกษัตริย์เต็มยศ นั่งอยู่บนบัลลังก์ของพวกเขาที่ลานนวดข้าวตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย โดยมีเหล่าผู้พูดแทนพระเจ้าอยู่ต่อหน้าพวกเขา ที่กำลังอ้างว่าพูดแทนพระเจ้าอยู่ 10 ตอนนั้น เศเดคียาห์ลูกชายของเคนาอะนาห์ได้ทำเขาสัตว์เหล็กขึ้นและมาประกาศว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘พวกท่านจะได้ใช้ของเหล่านี้ทิ่มแทงพวกอารัมจนกระทั่งพวกนั้นถูกทำลายไป’”
11 พวกผู้พูดแทนพระเจ้าที่เหลือทั้งหมดต่างทำนายเหมือนกันหมด พวกเขาพูดว่า “บุกไปโจมตีราโมท-กิเลอาดเลย แล้วท่านจะได้รับชัยชนะ เพราะพระยาห์เวห์จะให้มันตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์”
12 ผู้ส่งข่าวที่ไปเรียกมีคายาห์ พูดกับเขาว่า “ดูเถิด พวกผู้พูดแทนพระเจ้าต่างทำนายถึงความสำเร็จของกษัตริย์เหมือนกันหมด ขอให้ท่านพูดเหมือนกับพวกเขาและให้พูดแต่สิ่งที่ดีด้วยเถิด”
13 แต่มีคายาห์กลับพูดว่า “พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า พระเจ้าของผมพูดอะไร ผมก็จะพูดอย่างนั้น”
14 เมื่อเขามาถึง กษัตริย์อาหับถามเขาว่า “มีคายาห์ พวกเราควรจะออกไปสู้รบกับราโมท-กิเลอาด หรือจะหยุดอยู่ก่อนดี” เขาตอบกษัตริย์ไปว่า “บุกไปเถิดและท่านจะได้รับชัยชนะ เพราะพวกนั้นจะตกอยู่ในกำมือของท่าน”
15 กษัตริย์อาหับพูดกับเขาว่า “เราให้เจ้าสาบานไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ว่าให้เจ้าพูดแต่ความจริงกับเรา ในนามของพระยาห์เวห์”
16 แล้วมีคายาห์ก็ตอบไปว่า “เราได้เห็นชนชาติอิสราเอลทั้งหมดต้องกระจัดกระจายไปตามแถบเนินเขา เหมือนกับแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง และพระยาห์เวห์ได้พูดว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีเจ้านาย ให้พวกเขาทุกคนกลับบ้านไปอย่างสันติเถิด’”
17 กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลจึงพูดกับเยโฮชาฟัทว่า “เห็นไหม เราบอกท่านแล้ว ว่าเขาไม่เคยพูดสิ่งดีๆเกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้ายๆ”
18 มีคายาห์พูดอีกว่า “ฟังคำพูดของพระยาห์เวห์ให้ดี เราเห็นพระยาห์เวห์นั่งอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ พร้อมกับกองทัพสวรรค์ทั้งหมดยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของพระองค์ 19 และพระยาห์เวห์พูดว่า ‘ใครจะเป็นผู้ล่อลวงกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลให้ไปบุกราโมท-กิเลอาดและไปตายอยู่ที่นั่น’ ทูตสวรรค์ผู้หนึ่งแนะนำวิธีหนึ่ง และอีกผู้หนึ่งก็แนะนำอีกวิธีหนึ่ง 20 ในที่สุด วิญญาณท่านหนึ่งก็ก้าวออกมายืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์และพูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปล่อลวงเขาเอง’ พระยาห์เวห์จึงถามเขาว่า ‘เจ้าจะใช้วิธีอะไรหรือ’ 21 วิญญาณท่านนั้นตอบไปว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปเป็นวิญญาณที่โกหกอยู่ที่ปากของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าของเขาทุกคน’ พระยาห์เวห์จึงพูดว่า ‘เจ้าจะล่อลวงเขาได้สำเร็จแน่ ไปลงมือเถิด’
22 ดังนั้น ในเวลานี้ พระยาห์เวห์ได้วางวิญญาณโกหกไว้ที่ปากของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าเหล่านั้นของท่าน พระยาห์เวห์ได้ออกคำสั่งให้ความหายนะมาสู่ท่านแล้ว”
23 แล้วเศเดคียาห์ลูกชายของเคนาอะนาห์ก็ขึ้นไปตบหน้าของมีคายาห์ เขาถามว่า “ถ้าอย่างนั้น พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปทางไหน เมื่อพระองค์ออกจากเราเพื่อที่จะไปพูดกับเจ้า” 24 มีคายาห์ตอบว่า “ท่านจะรู้เองในวันที่ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องด้านในสุด”
25 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลสั่งไปว่า “จับตัวมีคายาห์ส่งกลับไปให้กับอาโมนเจ้าเมืองและโยอาชลูกชายของเรา 26 และบอกกับพวกเขาว่า ‘กษัตริย์สั่งว่า ให้เอาตัวเจ้าหมอนี่ไปขังไว้ในคุก อย่าให้อะไรกับมัน นอกจากขนมปังและน้ำ จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย’”
27 มีคายาห์ประกาศไปว่า “ประชาชนทั้งหลาย ฟังให้ดี ถ้าอาหับกลับมาอย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าพระยาห์เวห์ไม่ได้พูดผ่านเรา”
อาหับถูกฆ่าตายที่ราโมทกิเลอาด
(1 พกษ. 22:29-40)
28 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทของยูดาห์จึงยกขึ้นไปสู้รบกับชาวอารัมที่เมืองราโมท-กิเลอาด 29 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลพูดกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าไปรบ แต่ท่านสวมเสื้อกษัตริย์ของท่าน” กษัตริย์อาหับของอิสราเอลจึงได้ปลอมตัวเป็นทหารธรรมดาและพวกเขาเข้าไปสู้รบ
30 ในขณะนั้น กษัตริย์ของชาวอารัมสั่งพวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบของเขาว่า “อย่าได้ไล่ตามใครไป ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ยกเว้นกษัตริย์ของอิสราเอลเท่านั้น” 31 เมื่อพวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบเห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาพูดว่า “เขาต้องเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลแน่ๆ” พวกเขาจึงได้หันไปสู้กับเยโฮชาฟัท แต่เมื่อเยโฮชาฟัทร้องออกมา และพระยาห์เวห์ได้ช่วยเขา พระองค์ดึงพวกนั้นไปจากเขา 32 เพราะเมื่อพวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบรู้ว่าเขาไม่ใช่กษัตริย์ของอิสราเอล จึงหยุดไล่ตามเขาไป 33 แต่มีคนหนึ่งโก่งคันธนูของเขายิงออกไปแบบสุ่มๆไปถูกกษัตริย์ของอิสราเอลเข้าตรงช่องว่างของเสื้อเกราะ กษัตริย์บอกกับคนขับรถรบของเขาว่า “กลับรถไปและพาเราออกจากสนามรบ เราได้รับบาดเจ็บ” 34 การรบครั้งนี้ยาวนานตลอดทั้งวันและดุเดือดมาก และกษัตริย์อาหับของอิสราเอลยันตัวเองไว้กับรถรบของเขา เผชิญหน้ากับพวกอารัม จนกระทั่งถึงเย็น เมื่อดวงอาทิตย์ตกดินเขาก็ตาย
ชาวอิสราเอลหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคน
7 หลังจากนั้นผมเห็นทูตสวรรค์สี่องค์ยืนอยู่ที่สี่มุมโลก และห้ามลมทั้งสี่ทิศไว้ไม่ให้พัดบนแผ่นดินโลก บนทะเล หรือต้นไม้อีก 2 แล้วผมเห็นทูตอีกองค์หนึ่งมาจากทางทิศตะวันออก ท่านถือตราประทับของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ ท่านตะโกนด้วยเสียงอันดัง เรียกทูตทั้งสี่องค์ ที่ได้รับอำนาจจากพระเจ้าให้ทำร้ายแผ่นดินโลกและทะเลว่า 3 “อย่าได้ทำร้ายแผ่นดินโลกหรือทะเลหรือต้นไม้ จนกว่าพวกเราจะได้ประทับตราไว้ที่หน้าผาก[a]ของผู้รับใช้ของพระเจ้าเสียก่อน” 4 จากนั้นผมก็ได้ยินจำนวนของผู้ที่ได้รับการประทับตรา พวกเขามาจากทุกเผ่าของอิสราเอลรวมทั้งหมดหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคน
5 จากเผ่ายูดาห์ | 12,000 คน |
จากเผ่ารูเบ็น | 12,000 คน |
จากเผ่ากาด | 12,000 คน |
6 จากเผ่าอาเชอร์ | 12,000 คน |
จากเผ่านัฟทาลี | 12,000 คน |
จากเผ่ามนัสเสห์ | 12,000 คน |
7 จากเผ่าสิเมโอน | 12,000 คน |
จากเผ่าเลวี | 12,000 คน |
จากเผ่าอิสสาคาร์ | 12,000 คน |
8 จากเผ่าเศบูลุน | 12,000 คน |
จากเผ่าโยเซฟ | 12,000 คน |
จากเผ่าเบนยามิน | 12,000 คน |
ผู้คนจากทุกประชาชาติ
9 หลังจากนั้นผมเห็นคนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่มาจากทุกชนชาติ ทุกเผ่า ทุกเชื้อชาติ และทุกภาษา ยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์และต่อหน้าลูกแกะ พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีขาวและในมือถือกิ่งปาล์ม 10 พวกเขาตะโกนเสียงดังว่า “ชัยชนะเป็นของพระเจ้าผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ และเป็นของลูกแกะ” 11 ทูตสวรรค์ทั้งหมดที่ยืนล้อมรอบบัลลังก์ และล้อมรอบพวกผู้อาวุโสและสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้นได้ก้มหน้าลงกราบอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ และนมัสการพระเจ้า 12 พวกเขาพูดว่า “อาเมน คำสรรเสริญ ความรุ่งโรจน์ สติปัญญา คำขอบคุณ เกียรติยศ ฤทธิ์อำนาจและพละกำลัง จงเป็นของพระเจ้าของเราตลอดไป อาเมน”
13 จากนั้นผู้อาวุโสองค์หนึ่งได้ถามผมว่า “พวกที่สวมเสื้อคลุมสีขาวนี้เป็นใครกัน พวกเขามาจากที่ไหนกัน”
14 ผมตอบว่า “ท่านครับ ท่านย่อมรู้ดีว่าพวกเขาเป็นใคร” ผู้อาวุโสจึงบอกว่า “คนพวกนี้คือคนที่มาจากความทุกข์ยากลำบากครั้งยิ่งใหญ่ พวกเขาซักเสื้อคลุม[b]ของเขาด้วยเลือดของลูกแกะจนมันขาวสะอาด 15 พวกเขาถึงได้มาอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และรับใช้พระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืนในพระวิหารของพระองค์ และพระองค์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์จะอยู่คุ้มครองดูแลพวกเขา 16 พวกเขาจะไม่หิวหรือกระหายอีก ความร้อนจากแสงแดดจะไม่แผดเผาพวกเขาเลย 17 ลูกแกะซึ่งอยู่ตรงกลางใกล้กับบัลลังก์จะดูแลเอาใจใส่พวกเขาเหมือนกับผู้เลี้ยงแกะ และจะนำพวกเขาไปยังน้ำพุที่ให้ชีวิต และพระเจ้าจะเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา”
นิมิตที่สี่: เรื่องนักบวชสูงสุด
3 ทูตสวรรค์ทำให้ผมเห็นโยชูวานักบวชสูงสุดยืนอยู่ต่อหน้าทูตของพระยาห์เวห์ และซาตาน[a] ก็ยืนอยู่ทางขวามือของโยชูวา กำลังกล่าวหาท่านอยู่ 2 ทูตของพระยาห์เวห์บอกกับซาตานว่า “ขอให้พระยาห์เวห์ประณามเจ้า ไอ้ซาตาน ขอให้พระยาห์เวห์ ผู้ที่เลือกเมืองเยรูซาเล็มมาเป็นสถานที่พิเศษสำหรับพระองค์ ประณามเจ้า โยชูวาคนนี้เป็นเหมือนท่อนฟืนที่ถูกดึงออกมาจากกองไฟ ไม่ใช่หรือ”
3 โยชูวาใส่เสื้อผ้าสกปรกเลอะเทอะยืนอยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ 4 ทูตสวรรค์องค์นั้นบอกกับพวกทูตสวรรค์เหล่านั้นที่ยืนอยู่ตรงหน้าว่า “ถอดเสื้อผ้าที่สกปรกเลอะเทอะพวกนั้นให้เขา” ทูตสวรรค์องค์นั้นพูดกับโยชูวาว่า “เห็นไหม เราทำให้ความผิดบาปของเจ้าหมดไปจากเจ้าแล้ว และเราก็จะสวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงามของนักบวชให้กับเจ้า”
5 ผมพูดว่า “ให้พวกเขาเอาผ้าโพกหัวที่สะอาดมาโพกหัวให้กับเขาด้วยสิ” พวกเขาจึงเอาผ้าที่สะอาดมาโพกหัวของโยชูวา และเอาเสื้อผ้าใหม่นั้นมาสวมใส่ให้กับโยชูวาด้วย และทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ก็ยืนอยู่ที่นั่น 6 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์กำชับโยชูวาว่า
7 “พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า
ถ้าเจ้าจะเดินในทางต่างๆของเราและเชื่อฟังข้อเรียกร้องต่างๆของเรา
เจ้าก็จะได้เป็นคนจัดการอยู่ในวิหารของเรา
เจ้าจะได้ดูแลบริเวณลานวิหาร
และเราจะให้เจ้าเข้ามาหาเราอย่างอิสระ
เหมือนทูตสวรรค์ที่ยืนอยู่ที่นี่
8 ฟังให้ดี โยชูวา นักบวชสูงสุด เจ้าและเพื่อนนักบวชที่นั่งอยู่ตรงหน้าเจ้า
พวกเจ้าเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้า
เพราะเรากำลังจะนำผู้รับใช้ของเรามา
เขามีชื่อว่า ‘กิ่ง’
9 ดูหินที่เราวางไว้ตรงหน้าโยชูวาสิ
บนหินก้อนเดียวนี้มีเจ็ดด้าน[b]
ดูสิ เรากำลังจะสลักข้อความลงบนมัน
และเราจะกำจัดความผิดของแผ่นดินนี้ให้หมดสิ้นไปในวันเดียว”
10 พระยาห์เวห์พูดว่า
“ในวันนั้นพวกเจ้าจะเชื้อเชิญเพื่อนบ้านของตน
มานั่งกันอยู่ใต้ต้นองุ่นและใต้ต้นมะเดื่อของเจ้า”
พระเยซูเลี้ยงคนกว่าห้าพัน
(มธ. 14:13-21; มก. 6:30-44; ลก. 9:10-17)
6 หลังจากนั้นพระเยซูข้ามไปอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบกาลิลี (หรือทะเลสาบทิเบเรียส) 2 มีคนมากมายติดตามพระองค์ไป เพราะพวกเขาเห็นพระองค์ทำสิ่งอัศจรรย์ตอนรักษาคนป่วย 3 พระเยซูขึ้นไปบนภูเขา แล้วนั่งอยู่กับพวกศิษย์ของพระองค์ 4 ตอนนั้นใกล้จะถึงเทศกาลวันปลดปล่อยของชาวยิวแล้ว
5 เมื่อพระองค์เงยหน้าขึ้นก็เห็นคนมากมายพากันมาหาพระองค์ พระองค์พูดกับฟีลิปว่า “พวกเราจะไปซื้ออาหารที่ไหนถึงจะพอเลี้ยงคนทั้งหมดนี้” 6 (พระเยซูถามเพื่อลองใจฟีลิป เพราะพระองค์รู้อยู่แล้วว่าจะทำอย่างไร)
7 ฟีลิปตอบว่า “เงินค่าแรงเกือบแปดเดือน[a] ก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้คนพวกนี้กินกันคนละนิดคนละหน่อยได้เลยครับ”
8 ศิษย์อีกคนหนึ่งของพระเยซู ชื่ออันดรูว์ น้องชายของซีโมนเปโตรบอกพระองค์ว่า 9 “มีเด็กชายคนหนึ่งที่นี่ มีขนมปังบาร์เลย์อยู่ห้าก้อน กับปลาอีกสองตัวครับ แต่แค่นี้จะไปพออะไรกับคนตั้งมากมายขนาดนี้”
10 พระเยซูบอกพวกศิษย์ว่า “บอกให้พวกเขานั่งลง” (ที่นั่นมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด) แล้วทุกคนก็นั่งลง (มีผู้ชายประมาณห้าพันคนในฝูงชนนั้น) 11 พระเยซูเอาขนมปังของเด็กน้อยคนนั้นมา เมื่อขอบคุณพระเจ้าเสร็จแล้ว ก็แบ่งขนมปังแจกให้กับทุกๆคนที่นั่งอยู่ที่พื้นนั้นอย่างไม่อั้น และพระองค์ก็หยิบปลามาทำอย่างเดียวกัน
12 เมื่อผู้คนกินกันจนอิ่มแล้ว พระองค์สั่งพวกศิษย์ว่า “เก็บขนมปังที่เหลือให้หมด จะได้ไม่เสียของ” 13 พวกศิษย์ก็เก็บเศษที่เหลือจากขนมปังห้าก้อนนี้ได้สิบสองเข่งเต็มๆ
14 เมื่อคนพวกนี้เห็นสิ่งอัศจรรย์ที่พระองค์ทำ เขาเริ่มพูดกันว่า “คนนี้ต้องเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นที่ว่ากันว่าจะมาในโลกนี้แน่ๆ”
15 เมื่อพระเยซูรู้ว่าพวกเขาจะมาบีบบังคับให้พระองค์ไปเป็นกษัตริย์ของพวกเขา พระองค์ก็หลบขึ้นไปบนภูเขาเพียงคนเดียว
พระเยซูเดินบนน้ำ
(มธ. 14:22-27; มก. 6:45-52)
16 พอตกเย็นพวกศิษย์ของพระองค์ไปที่ทะเลสาบ 17 พวกเขาลงเรือและเริ่มข้ามฟากไปที่เมืองคาเปอรนาอุม ตอนนั้นมืดแล้ว แต่พระเยซูยังไม่ได้มาหาพวกเขา 18 เกิดพายุขึ้นทำให้คลื่นในทะเลสาบปั่นป่วนรุนแรงมาก 19 หลังจากที่พวกศิษย์พายเรือออกจากฝั่งมาได้ประมาณห้าถึงหกกิโลเมตร พวกเขาเห็นพระเยซูกำลังเดินอยู่บนน้ำตรงมาที่เรือ พวกเขาต่างก็ตกใจกลัว 20 แต่พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “นี่เราเอง ไม่ต้องกลัว” 21 พวกเขาก็ดีอกดีใจและรับพระองค์ขึ้นมาบนเรือ แล้วเรือก็ถึงฝั่งที่พวกเขาจะไปทันที
ผู้คนตามหาพระเยซู
22 วันต่อมาฝูงชนที่ยังคงอยู่ในบริเวณที่พระเยซูเลี้ยงอาหารนั้น ต่างก็รู้ว่าที่นั่นมีเรืออยู่แค่ลำเดียว และพวกศิษย์ลงเรือลำนั้นไปแล้ว พระเยซูไม่ได้ไปด้วย พวกเขาก็เลยตามหาพระเยซูกันเป็นการใหญ่ 23 มีเรือบางลำมาจากทิเบเรียสเข้าไปจอดที่ฝั่งใกล้ๆกับที่พวกเขาได้กินอาหารกัน คือหลังจากที่พระเยซูองค์เจ้าชีวิตได้ขอบคุณพระเจ้าแล้ว 24 เมื่อประชาชนเห็นว่าทั้งพระเยซู และพวกศิษย์ไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาก็ลงเรือไปตามหาพระองค์ที่เมืองคาเปอรนาอุม
พระเยซูคือขนมปังแห่งชีวิต
25 เมื่อพวกเขาพบพระเยซูที่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบ พวกเขาก็ถามพระองค์ว่า “อาจารย์มาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
26 พระเยซูตอบว่า “เราขอพูดตรงๆนะ ที่พวกคุณตามหาเรา ไม่ใช่เป็นเพราะเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วถึงสิ่งอัศจรรย์ที่พวกคุณได้เห็น แต่เป็นเพราะได้กินอาหารจนอิ่มหนำสำราญต่างหาก 27 อย่าทำงานเพื่อจะได้อาหารที่เน่าเสีย แต่ให้ทำงานเพื่อจะได้อาหารทิพย์ที่ให้ชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป บุตรมนุษย์จะให้อาหารทิพย์นั้นกับพวกคุณ เพราะพระเจ้าพระบิดาให้สิทธิอำนาจกับบุตรมนุษย์ที่จะทำสิ่งนี้”
28 พวกเขาถามพระองค์ว่า “แล้วพวกเราควรจะทำงานอะไรล่ะ พระเจ้าถึงจะพอใจ”
29 พระเยซูตอบว่า “งานที่จะทำให้พระเจ้าพอใจคือ การไว้วางใจคนๆนั้นที่พระเจ้าส่งมา”
30 พวกเขาถามอีกว่า “อาจารย์จะทำสิ่งอัศจรรย์อะไรให้ดูล่ะ เพื่อที่เราจะได้เชื่อว่าพระเจ้าส่งอาจารย์มา ตกลงว่าจะทำอะไรให้ดูล่ะ 31 บรรพบุรุษของพวกเราเคยกินมานาในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘เขาได้ให้ขนมปังจากสวรรค์กับพวกเขา’”(A)
32 พระเยซูพูดว่า “จริงๆแล้วโมเสสไม่ได้เป็นคนที่ให้ขนมปังจากสวรรค์นั้นกับคุณหรอก แต่เป็นพระบิดาของเราต่างหากที่กำลังให้อาหารอันแท้จริงจากสวรรค์กับคุณ 33 เพราะขนมปังจากพระเจ้านั้นก็คือคนที่ลงมาจากสวรรค์ และให้ชีวิตกับโลกนี้”
34 พวกเขาจึงว่า “ท่านครับ ถ้าอย่างนั้น ให้ขนมปังนั้นกับพวกเราตลอดไปด้วยเถอะ”
35 พระเยซูพูดว่า “ตัวเรานี่แหละคือขนมปังที่ให้ชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิวอีกเลย และคนที่ไว้วางใจเราจะไม่กระหายน้ำอีกเลย 36 แต่ก็อย่างที่เราพูดแล้ว พวกคุณได้เห็นเราแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมไว้วางใจเราอยู่ดี 37 ทุกคนที่พระบิดายกให้กับเรา ก็จะมาหาเรา และใครก็ตามที่มาหาเรา เราจะไม่ไล่เขาไปจากเราเลย 38 เพราะเราไม่ได้ลงมาจากสวรรค์เพื่อทำตามใจตัวเอง แต่มาเพื่อทำตามใจของพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา 39 นี่คือสิ่งที่พระบิดาผู้ที่ส่งเรามาอยากให้เราทำ คือให้เก็บรักษาทุกคนที่พระองค์ยกให้กับเราไว้ไม่ให้สูญหายไปสักคนเดียว และทำให้เขาฟื้นขึ้นมามีชีวิตในวันสุดท้าย 40 พระบิดาของเราอยากให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและไว้วางใจพระบุตรนั้น มีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป และเราจะทำให้พวกเขาฟื้นขึ้นมามีชีวิตในวันสุดท้าย”
41 พวกยิวเริ่มบ่นพึมพำกันเรื่องที่พระเยซูพูดว่า “เราคือขนมปังที่ลงมาจากสวรรค์” 42 พวกยิวพูดกันว่า “นี่มันเจ้าเยซู ลูกของโยเซฟ ที่เราก็รู้จักทั้งพ่อและแม่ของมันไม่ใช่หรือ โธ่เอ๊ย แล้วมันพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’”
43 พระเยซูพูดขึ้นว่า “เลิกบ่นกันได้แล้ว 44 ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากว่าพระบิดาผู้ส่งเรามาจะพาเขามาหาเรา และเราจะทำให้เขาฟื้นขึ้นมามีชีวิตในวันสุดท้าย 45 ผู้พูดแทนพระเจ้าเขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าจะสั่งสอนพวกเขาทุกคน’(B) ทุกคนที่ได้ฟังและเรียนรู้จากพระบิดาก็จะมาหาเรา 46 (ไม่มีใครเคยเห็นพระบิดา นอกจากผู้ที่มาจากพระบิดาผู้เคยเห็นพระองค์) 47 เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ไว้วางใจเราก็มีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป 48 เราเป็นขนมปังที่ให้ชีวิต 49 บรรพบุรุษของพวกคุณได้กินมานาในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง สุดท้ายพวกเขาก็ตายกันไปหมด 50 แต่คนไหนกินขนมปังที่ลงมาจากสวรรค์ คนนั้นจะไม่ตายอีกเลย 51 เราเป็นขนมปังจากสวรรค์ที่ให้ชีวิต คนที่กินขนมปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป ขนมปังนี้คือเนื้อหนังของเรา ที่เราจะให้เพื่อคนในโลกนี้จะได้มีชีวิต”
52 พวกยิวก็เริ่มเถียงกันเองว่า “ผู้ชายคนนี้จะเอาเนื้อหนังของเขาให้พวกเรากินได้ยังไง” 53 พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าพวกคุณไม่กินเนื้อหนัง และไม่ดื่มเลือดของบุตรมนุษย์ คุณก็ไม่มีชีวิตที่แท้จริง 54 คนที่กินเนื้อและดื่มเลือดของเราจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป เราจะให้เขาฟื้นขึ้นมามีชีวิตในวันสุดท้าย 55 เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และเลือดของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้ 56 คนที่กินเนื้อและดื่มเลือดของเราก็เป็นหนึ่งเดียวกับเรา และเราก็เป็นหนึ่งเดียวกับเขา 57 พระบิดาผู้มีชีวิตอยู่ส่งเรามา และเรามีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะพระบิดา ดังนั้นคนที่กินเลือดเนื้อของเราจะมีชีวิตอยู่ได้เพราะเราเหมือนกัน 58 นี่คือขนมปังที่ลงมาจากสวรรค์ ซึ่งไม่เหมือนกับมานาที่บรรพบุรุษของพวกคุณได้กิน แล้วสุดท้ายก็ยังต้องตายกัน แต่คนที่ได้กินขนมปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” 59 พระเยซูพูดเรื่องเหล่านี้ ขณะที่พระองค์กำลังสอนอยู่ในที่ประชุมชาวยิวในเมืองคาเปอรนาอุม
ศิษย์จำนวนมากเลิกติดตามพระองค์
60 เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินเรื่องเหล่านี้ ก็บ่นกันว่า “ใครจะไปยอมรับคำสอนยากๆอย่างนี้ได้” 61 พระเยซูรู้ว่าพวกศิษย์กำลังบ่นกันถึงเรื่องนี้ พระองค์จึงถามว่า “คำสอนเหล่านี้ทำให้พวกคุณตะลึงงันไปเลยหรือ 62 แล้วพวกคุณจะว่ายังไง ถ้าได้เห็นบุตรมนุษย์ขึ้นไปสวรรค์ที่พระองค์เคยอยู่มาก่อน 63 ไม่ใช่พละกำลังของมนุษย์ที่เป็นผู้ให้ชีวิต แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้า คำพูดที่เราได้บอกพวกคุณนี้แหละ จะนำพระวิญญาณของพระเจ้ามาให้กับคุณ เป็นพระวิญญาณที่ให้ชีวิต 64 แต่พวกคุณบางคนก็ไม่เชื่อ” (ตั้งแต่เริ่มแรกพระเยซูก็รู้แล้วว่าพวกไหนจะไม่เชื่อ และคนไหนที่จะหักหลังพระองค์) 65 แล้วพระองค์พูดว่า “ก็เพราะอย่างนี้เราถึงบอกคุณว่า ‘ไม่มีใครมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาจะทำให้เขาสามารถมาได้’”
66 หลังจากที่พระเยซูพูดอย่างนั้น ศิษย์จำนวนมากก็ทิ้งพระเยซูไป
67 แล้วพระเยซูถามศิษย์เอกทั้งสิบสองคนว่า “พวกคุณคงจะไม่ทิ้งเราไปด้วยมั้ง”
68 ซีโมน เปโตรตอบพระองค์ว่า “จะให้พวกเราทิ้งอาจารย์ไปหาใครอีกล่ะครับ อาจารย์มีคำพูดที่ให้ชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป 69 พวกเราเชื่อและรู้แล้วว่าอาจารย์เป็นองค์พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”
70 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “เราเป็นคนเลือกพวกคุณทั้งสิบสองคนมาเองถูกไหม แต่คนหนึ่งในพวกคุณเป็นมารร้าย” 71 (พระองค์หมายถึงยูดาส ลูกของซีโมน อิสคาริโอท เพราะเขาจะหักหลังพระองค์ แม้ว่าเขาเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้นก็ตาม)
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International