M’Cheyne Bible Reading Plan
กษัตริย์โยสิยาห์ปกครองยูดาห์
(2 พกษ. 22:1-2)
34 โยสิยาห์มีอายุแปดปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มสามสิบเอ็ดปี 2 เขาทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระยาห์เวห์ และเดินตามทางของดาวิดบรรพบุรุษของเขา โยสิยาห์ไม่ออกนอกลู่นอกทางเลยแม้แต่นิดเดียว 3 ในปีที่แปดที่โยสิยาห์ปกครองนั้น ในขณะที่เขายังเป็นเด็กหนุ่มมาก เขาเริ่มค้นหาพระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเขา ในปีที่สิบสองที่เขาปกครองนั้น เขาเริ่มกวาดล้างพวกสถานนมัสการ พวกเสาสำหรับพระอาเชราห์ พวกรูปเคารพแกะสลัก และรูปหล่อทั้งหลายในยูดาห์และในเยรูซาเล็ม 4 เขาสั่งให้ทำลายพวกแท่นบูชาของพวกพระบาอัล ตัดพวกแท่นบูชาเครื่องหอมที่อยู่ในที่เหล่านั้นออกเป็นชิ้นๆ และทุบพวกเสาสำหรับพระอาเชราห์ พวกรูปเคารพและพวกรูปปั้นจนแตกละเอียด เขาเอาพวกเศษที่แตกละเอียดเหล่านี้ไปโปรยบนหลุมฝังศพของพวกที่เคยถวายสัตวบูชาให้กับสิ่งเหล่านี้ 5 เขาเผากระดูกของพวกนักบวชบนแท่นบูชาของพวกเขาเอง และอย่างนี้เอง เขาก็ชำระล้างยูดาห์และเยรูซาเล็มให้บริสุทธิ์ 6 ตามเมืองต่างๆของมนัสเสห์ เอฟราอิมและสิเมโอน ไปจนถึงนัฟทาลีและในซากเมืองทั้งหลายรอบๆเมืองเหล่านี้[a] 7 เขาได้รื้อทำลายพวกแท่นบูชาและพวกเสาสำหรับพระอาเชราห์ลง และได้บดขยี้พวกรูปเคารพจนเป็นผุยผง เขายังตัดพวกแท่นบูชาเครื่องหอมทั่วทั้งอิสราเอลออกเป็นชิ้นๆ แล้วเขาจึงกลับเมืองเยรูซาเล็ม
8 ในปีที่สิบแปดที่โยสิยาห์ปกครอง โยสิยาห์ส่งชาฟานลูกชายของอาซาลิยาห์และมาอาเสอาห์เจ้าเมือง พร้อมกับโยอาห์ผู้จดบันทึกลูกชายของโยอาฮาส ให้ไปซ่อมแซมวิหารของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา เพื่อเป็นการชำระล้างแผ่นดินยูดาห์และวิหารให้บริสุทธิ์
9 คนพวกนี้ได้ไปหาฮิลคียาห์นักบวชชั้นสูง และมอบเงินที่คนเอามาถวายให้กับพระเจ้าที่วิหารให้กับฮิลคียาห์ มันเป็นเงินที่ชาวเลวีที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเป็นผู้เก็บรวบรวมมาจากประชาชนชาวมนัสเสห์ เอฟราอิมและจากอิสราเอลที่เหลือทั้งหมดนั้น รวมทั้งจากประชาชนทั้งหมดของยูดาห์ เบนยามิน และจากชาวเมืองเยรูซาเล็ม 10 แล้วพวกเลวีก็จ่ายเงินนี้ให้กับคนที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุมงานในวิหารของพระยาห์เวห์ แล้วผู้ควบคุมงานเหล่านี้ก็เอาเงินนี้ไปจ่ายให้กับพวกคนงานที่มาซ่อมแซมและบูรณะวิหาร อีกต่อหนึ่ง 11 พวกเขายังให้เงินกับพวกช่างไม้และช่างก่อสร้าง เพื่อนำไปซื้อหินที่ได้รับการตัดแต่งแล้ว และไปซื้อไม้เพื่อนำมาสร้างไม้รองพื้น และคานสำหรับตึกต่างๆที่พวกกษัตริย์ของยูดาห์ได้ปล่อยไว้จนทรุดโทรม 12 พวกคนงานต่างทำงานกันอย่างซื่อสัตย์ พวกเขาทำงานภายใต้การสั่งงานของยาหาทและโอบาดียาห์พวกชาวเลวีที่เป็นลูกหลานของเมรารี ยังมีเศคาริยาห์และเมชุลลัมที่เป็นลูกหลานของโคฮาทด้วย พวกชาวเลวีทุกคนมีความชำนาญในการเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ 13 พวกเขาคอยดูแลพวกคนงานและสั่งงานพวกคนงานทั้งหมดในงานทุกๆชิ้น ชาวเลวีบางคนทำงานเป็นเลขานุการบ้าง เป็นผู้จดบันทึกบ้าง และเป็นคนเฝ้าประตูบ้าง
การค้นพบหนังสือกฎของพระยาห์เวห์
(2 พกษ. 22:3-23:3)
14 ในขณะที่พวกเลวีกำลังนำเงินที่เก็บไว้ในวิหารของพระยาห์เวห์ออกมานั้น นักบวชฮิลคียาห์ได้พบหนังสือกฏของพระยาห์เวห์ที่เคยให้ไว้กับโมเสส 15 ฮิลคียาห์พูดกับชาฟานที่เป็นเลขานุการว่า “เราได้พบหนังสือกฎบัญญัติอยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์” แล้วเขาได้มอบหนังสือเล่มนั้นให้กับชาฟาน 16 แล้วชาฟานก็เอาหนังสือเล่มนั้นไปให้กับกษัตริย์และรายงานกับกษัตริย์ว่า “พวกเจ้าหน้าที่ของท่านได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ท่านได้มอบหมายให้กับพวกเขาทำ 17 พวกเขาเอาเงินที่อยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์ไปจ่ายให้กับพวกหัวหน้าคนงานและพวกคนงานเรียบร้อยแล้ว” 18 แล้วชาฟานที่เป็นเลขานุการก็แจ้งกับกษัตริย์ว่า “นักบวชฮิลคียาห์ให้หนังสือเล่มหนึ่งกับข้าพเจ้า” และชาฟานก็อ่านมันต่อหน้ากษัตริย์ 19 เมื่อกษัตริย์ได้ฟังข้อความในหนังสือกฎเล่มนั้น เขาก็ฉีกเสื้อคลุมของเขาออก[b] 20 เขาสั่งฮิลคียาห์ อาหิคัมลูกชายของชาฟาน อับโดนลูกชายของมีคาห์ ชาฟานที่เป็นเลขานุการและอาสายาห์คนรับใช้ของเขาว่า 21 “ไปสอบถามพระยาห์เวห์ให้กับเราและให้กับประชาชนที่เหลืออยู่เป็นส่วนน้อยในอิสราเอลและในยูดาห์ เกี่ยวกับสิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือที่ถูกค้นพบเล่มนี้ ความโกรธอันยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์ได้หลั่งไหลมาที่พวกเรา ก็เพราะบรรพบุรุษของพวกเราไม่ยอมรักษาคำพูดของพระยาห์เวห์ พวกเขาไม่ยอมทำตามสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้”
22 ฮิลคียาห์กับพวกคนที่กษัตริย์ส่งไปนั้น[c]ได้ไปพูดกับผู้หญิงที่พูดแทนพระเจ้า ชื่อฮุลดาห์ นางเป็นเมียของชัลลูมลูกชายของทกหาทที่เป็นลูกชายของหัสราห์ ชัมลูมมีหน้าที่ดูแลเสื้อผ้าของกษัตริย์ ฮุลดาห์อาศัยอยู่ในเขตใหม่ของเมืองเยรูซาเล็ม 23 นางพูดกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลพูดอย่างนี้ว่า ‘ให้บอกกับคนที่ส่งพวกเจ้ามาหาเราว่า 24 “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด เรากำลังจะนำความหายนะมาสู่สถานที่แห่งนี้ และสู่ประชาชนที่นี่ มันคือคำสาปแช่งทั้งหมดที่เขียนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ที่ได้อ่านแล้วต่อหน้าของกษัตริย์ของยูดาห์ 25 เพราะพวกเขาละทิ้งเรา และเผาเครื่องหอมบูชาให้แก่พระอื่นๆและมายั่วยุให้เราโกรธด้วยสิ่งต่างๆที่พวกเขาสร้างขึ้นมากับมือ ความโกรธของเราจะหลั่งไหลออกมาสู่สถานที่แห่งนี้และจะไม่ดับลงด้วย”’”
26 “ให้บอกกับกษัตริย์ของยูดาห์ที่ส่งพวกท่านมาสอบถามพระยาห์เวห์ว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของชนชาติอิสราเอลพูดเกี่ยวกับข้อความทั้งหลายที่เจ้าได้ยินเมื่อตะกี้นี้ 27 “โยสิยาห์ เป็นเพราะใจของเจ้าสนองตอบและพวกเจ้าได้ถ่อมตัวเองลงต่อหน้าพระเจ้า เมื่อได้ยินในสิ่งที่พระองค์พูดคัดค้านสถานที่แห่งนี้และประชาชนที่นี่ และเป็นเพราะว่าเจ้าได้ถ่อมตัวเองลงมาต่อหน้าเราและได้ฉีกเสื้อคลุมของเจ้าและยังร้องไห้ต่อหน้าเรา พระยาห์เวห์ประกาศว่า เราได้ยินเจ้าแล้ว 28 ตอนนี้ เราจะรวมเจ้าไว้กับบรรพบุรุษของเจ้า เจ้าจะถูกฝังอย่างสงบ ดวงตาของเจ้าจะไม่ได้เห็นความหายนะทั้งหลาย ที่เรากำลังจะนำมาสู่สถานที่แห่งนี้และสู่ประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นี่”’” ดังนั้นพวกเขาจึงนำคำตอบของนางกลับไปบอกกับกษัตริย์
29 แล้วกษัตริย์โยสิยาห์ได้เรียกพวกผู้ใหญ่ของยูดาห์และของเยรูซาเล็มทั้งหมดมารวมตัวกัน 30 เขาได้ขึ้นไปที่วิหารของพระยาห์เวห์กับคนเหล่านั้นของยูดาห์ และทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม รวมทั้งพวกนักบวชและพวกชาวเลวี คือประชาชนทั้งหมดตั้งแต่ชนชั้นระดับสำคัญๆไปจนถึงระดับล่าง โยสิยาห์อ่านทุกคำในหนังสือข้อตกลงที่พบในวิหารของพระยาห์เวห์นั้นให้กับทุกคนฟัง
31 กษัตริย์ยืนอยู่ในที่ของเขา และได้ทำข้อตกลงใหม่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ว่าจะติดตามพระยาห์เวห์และจะรักษาคำสั่งทุกข้อของพระองค์ กฎและข้อบังคับต่างๆอย่างสุดจิตสุดใจ และจะทำตามคำพูดของข้อตกลงที่เขียนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ 32 แล้วเขาก็ให้ทุกคนในเยรูซาเล็มและเบนยามินสาบานตนกับข้อตกลงนี้ ประชาชนของเยรูซาเล็มได้ทำอย่างนี้ ตามสิ่งที่เขียนไว้ในข้อตกลงของพระเจ้าที่เป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษพวกเขา 33 โยสิยาห์ยกเอาพวกรูปเคารพที่น่าขยะแขยงออกไปจากเขตแดนทั้งหมดที่เป็นของชนชาติอิสราเอล และเขาก็ให้ทุกคนที่อยู่ในอิสราเอลรับใช้พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ตราบเท่าที่กษัตริย์โยสิยาห์ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่ได้หันเหไปจากการติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา
เวลาหนึ่งพันปี
20 ผมเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ในมือถือกุญแจของนรกอเวจี และโซ่ขนาดใหญ่ 2 ท่านได้จับพญานาคซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ซึ่งก็คือมารหรือซาตาน แล้วเอาโซ่มัดไว้หนึ่งพันปี 3 จากนั้นทูตสวรรค์ก็โยนพญานาคตัวนี้ลงไปในนรกอเวจีนั้น และใส่กุญแจประตูทางเข้า และประทับตราขังมันไว้อย่างแน่นหนา เพื่อมันจะได้ไม่สามารถไปล่อลวงชนชาติต่างๆได้อีกเป็นเวลาหนึ่งพันปี หลังจากหนึ่งพันปีผ่านไปจะต้องปล่อยให้มันออกมาประเดี๋ยวหนึ่ง
4 หลังจากนั้นผมเห็นบัลลังก์ต่างๆและมีคนนั่งอยู่บนนั้น พวกเขาได้รับสิทธิ์ที่จะตัดสินโทษ ผมเห็นพวกวิญญาณของคนที่ถูกตัดหัวเพราะได้ประกาศความจริงเกี่ยวกับพระเยซูและถ้อยคำของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้กราบไหว้สัตว์ร้ายหรือรูปปั้นของมัน และไม่มีเครื่องหมายของมันบนหน้าผากหรือบนมือของเขา พวกเขาฟื้นขึ้นจากตาย และได้ครอบครองร่วมกับกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นเวลาหนึ่งพันปี 5 (ส่วนคนตายคนอื่นๆที่เหลือ ไม่ได้ฟื้นขึ้นจากความตายจนกว่าจะผ่านไปหนึ่งพันปี) นี่เป็นการฟื้นขึ้นจากความตายครั้งแรก 6 พวกคนที่มีส่วนร่วมในการฟื้นขึ้นจากความตายครั้งแรกนี้ มีเกียรติจริงๆและเป็นคนของพระเจ้าโดยเฉพาะ ความตายครั้งที่สองจะไม่มีอำนาจเหนือพวกเขาเลย พวกเขาจะเป็นนักบวชของพระเจ้าและของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ และจะครอบครองร่วมกับพระองค์เป็นเวลาหนึ่งพันปี
ความพ่ายแพ้ของซาตาน
7 เมื่อเวลาหนึ่งพันปีผ่านไป ซาตานจะถูกปล่อยออกมาจากคุกของมัน 8 และมันจะออกไปหลอกลวงทุกๆชนชาติในโลกนี้ที่มีชื่อว่าโกกและมาโกก มันจะรวบรวมชนชาติต่างๆเหล่านั้นเพื่อไปทำสงคราม และพวกเขาจะมีจำนวนมากมายมหาศาลเหมือนกับเม็ดทรายที่อยู่ตามชายฝั่งทะเล 9 กองทัพของชนชาติต่างๆจะยกขบวนข้ามโลกมา และมาล้อมที่พักของคนของพระเจ้าและเมืองที่พระองค์รัก แต่จะมีไฟตกลงมาจากสวรรค์และเผาผลาญกองทัพเหล่านั้น 10 ซาตานซึ่งได้หลอกลวงพวกเขาเหล่านั้น ถูกโยนลงไปในบึงไฟกำมะถันที่ลุกไหม้ ในบึงนั้นมีสัตว์ร้ายรวมทั้งผู้ที่ปลอมตัวเป็นผู้พูดแทนพระเจ้ารวมอยู่ด้วย และพวกมันทั้งหมดได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไป
คนทั้งหลายบนโลกถูกตัดสิน
11 ผมเห็นบัลลังก์ใหญ่สีขาว และพระองค์ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น เมื่อพระองค์มาปรากฏ แผ่นดินโลกและสวรรค์ก็หายไปและไม่หลงเหลือร่องรอยให้ใครเห็นอีกเลย 12 หลังจากนั้นผมเห็นคนทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ทั้งผู้ยิ่งใหญ่และผู้ต่ำต้อย ยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์นั้น มีหนังสือหลายเล่มได้ถูกเปิดออก และมีหนังสืออีกเล่มหนึ่งถูกเปิดออกด้วย มันคือหนังสือแห่งชีวิต คนตายเหล่านั้นได้รับการตัดสินโดยดูจากการกระทำของพวกเขาที่ได้บันทึกไว้ในสมุดเหล่านั้น 13 ทะเลได้ส่งคนทั้งหลายที่ตายอยู่ในทะเลขึ้นมา ความตายและแดนคนตายก็ได้ส่งคนทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นขึ้นมาเหมือนกัน และคนตายทุกคนได้รับการตัดสินตามสิ่งที่พวกเขาทำ 14 หลังจากนั้นความตายและแดนคนตายก็ถูกโยนลงสู่บึงไฟ บึงไฟนี้คือความตายครั้งที่สอง 15 ถ้าใครไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือแห่งชีวิต ก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟนั้น
นักบวชดีกับนักบวชเลว
2 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “ฟังให้ดี พวกนักบวชทั้งหลาย คำสั่งนี้มีไว้สำหรับพวกเจ้า 2 ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อฟังเรา และไม่ใส่ใจให้เกียรติเรา เราก็จะสาปแช่งเจ้า เราจะเอาพระพรต่างๆของเจ้าไป และสาปแช่งเจ้าแทน ความจริงเราก็ได้ทำอย่างนั้นแล้ว เพราะเจ้าไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้
3 เราจะลงโทษลูกหลานของเจ้า แล้วเราจะเอาขี้จากไส้ของสัตว์ที่เจ้าเอามาถวายในเทศกาลของเจ้า มาละเลงหน้าเจ้า แล้วคนก็จะแบกเจ้าโยนออกไปที่กองขี้เหล่านั้น 4 และพวกเจ้าก็จะได้รู้ว่าเป็นเราเองที่ส่งคำสั่งนี้มาให้กับเจ้า เพื่อว่าข้อตกลงที่เราได้ทำไว้กับเผ่าเลวีจะคงอยู่ต่อไป”
5 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราได้ทำข้อตกลงกับเผ่าเลวี เพื่อเราจะได้ให้ชีวิตและสันติสุขกับพวกเขา และเราก็ได้ให้ชีวิตและสันติสุขอย่างนั้นกับพวกเขาแล้ว เพื่อว่าพวกเขาจะได้เคารพนับถือเรา
และพวกเขาก็ได้เคารพนับถือ
และตะลึงพรึงเพริดไปกับความยิ่งใหญ่ของเรา 6 พวกเขาสอนความจริงอย่างสัตย์ซื่อ
และไม่เคยสอนสิ่งที่วิปริตชั่วร้าย
เขาใช้ชีวิตอยู่กับเราอย่างสันติ
และทำในสิ่งที่ถูกต้อง
เขาพาคนเป็นจำนวนมาก
ให้หันกลับจากการทำผิด
7 ที่พวกเขาเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่า
นักบวชควรจะสอนความจริงอย่างระมัดระวัง
ผู้คนควรจะมาหานักบวชเพื่อให้นักบวชสอนเขาเกี่ยวกับกฎของพระเจ้า
เพราะว่านักบวชเป็นผู้ส่งข่าวของพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น”
8 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “แต่พวกเจ้านักบวช ได้หันไปจากทางของพระเจ้า และทำให้คนเป็นจำนวนมากทอดทิ้งกฎ พวกเจ้าได้ทำลายข้อตกลงที่เราได้ทำไว้กับเผ่าเลวี 9 เราถึงได้ทำให้เจ้าอับอายขายหน้าต่อหน้าคนทั้งปวง ที่เราทำอย่างนี้ ก็เพราะเจ้าไม่ได้เดินตามแนวทางของเรา แต่ละคนโอนเอียงไปทำตามสิ่งที่พวกเจ้าแปลกันเองจากกฎนั้น”
อย่าทำผิดคำมั่นสัญญา
10 พวกเราทั้งหมดมีพระบิดาองค์เดียวกันไม่ใช่หรือ และพระเจ้าผู้ที่สร้างพวกเราแต่ละคน ก็เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเราถึงไปโกงพี่น้องของเราละ การทำอย่างนี้เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามคำสัญญาที่พระเจ้าได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของเรา 11 คนเผ่ายูดาห์ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายและน่ารังเกียจขยะแขยงต่อคนอิสราเอลและต่อเมืองเยรูซาเล็ม มันเป็นเพราะว่าคนเผ่ายูดาห์ได้ดูหมิ่นเหยียดหยามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ ที่พระองค์รัก และได้แต่งงานกับคนที่กราบไหว้บูชาพระต่างชาติ 12 ขอให้พระยาห์เวห์ตัดคนที่ทำอย่างนั้นออกไปจากครอบครัวของยาโคบไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครก็ตาม ถึงแม้เขาจะเอาของขวัญมาถวายให้กับพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นก็ตาม 13 และพวกเจ้าจะทำอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเจ้าจะต้องร้องไห้คร่ำครวญ จนน้ำตาไหลนองทั่วแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ไม่ยอมหันมามองของขวัญที่เจ้าเอามา และไม่ยินดีที่จะรับมันมาจากมือของพวกเจ้า
14 แล้วเจ้าก็ถามว่า “ทำไมพระเจ้าถึงไม่ยอมรับเรา” ก็เพราะพระยาห์เวห์เป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าและเมียที่เจ้าแต่งด้วยตั้งแต่เป็นหนุ่ม ผู้หญิงที่เจ้าได้นอกใจ ทั้งๆที่นางก็เป็นคู่ทุกข์คู่ยากของเจ้า และเป็นผู้หญิงที่เจ้าเคยให้คำมั่นสัญญาที่จะอยู่ด้วยตลอดไป 15 พระเจ้าต้องการให้สามีและภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อลูกที่เกิดมาจะได้อยู่ในแนวทางของพระองค์ ดังนั้นระวังจิตใจของพวกเจ้าให้ดี อย่าได้นอกใจเมียที่เจ้าแต่งด้วยตั้งแต่เป็นหนุ่ม
16 พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลพูดว่า “ที่เราพูดอย่างนี้ ก็เพราะเราเกลียดการหย่าร้าง และเกลียดคนที่ปกปิดเสื้อผ้าของเขาด้วยรอยของความเหี้ยมโหด” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนั้น ดังนั้นให้ระวังจิตใจของพวกเจ้าและอย่าได้นอกใจเมีย
เวลาแห่งการพิพากษา
17 พวกเจ้าทำให้พระยาห์เวห์เบื่อด้วยคำพูดของพวกเจ้า แต่เจ้าพูดว่า “เราทำอะไรถึงทำให้พระองค์เบื่อหรือ” ก็ตอนที่เจ้าพูดว่า “ในสายตาของพระยาห์เวห์เห็นว่าคนที่ทำชั่วนั้นเป็นคนดี และพระองค์ก็ชื่นชอบพวกเขาด้วย” หรือ ตอนที่เจ้าพูดว่า “พระเจ้าแห่งความยุติธรรมอยู่ที่ไหน”
19 ปีลาตจึงสั่งให้เอาพระเยซูไปเฆี่ยน 2 พวกทหารได้เอากิ่งหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมหัวของพระองค์ เอาเสื้อคลุมสีม่วงมาใส่ให้ 3 และพวกเขาก็เวียนกันเข้ามาหาพระองค์หลายรอบ เขาเยาะเย้ยว่า “กษัตริย์ของชาวยิวจงเจริญ” แล้วเขาตบหน้าพระองค์
4 ปีลาตได้ออกมาพูดกับพวกยิวว่า “ดูนี่ เรากำลังจะเอาเขาออกมาให้พวกคุณ เพื่อพวกคุณจะได้รู้ว่า เราไม่เห็นว่าเขาทำผิดตรงไหน” 5 แล้วพระเยซูก็ออกมา พระองค์สวมมงกุฎหนามและใส่เสื้อคลุมสีม่วง ปีลาตบอกกับพวกยิวว่า “เขาอยู่นี่ไง”
6 เมื่อพวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้คุมวิหารเห็นพระเยซูก็ร้องตะโกนว่า “ตรึงมัน ตรึงมัน”
แต่ปีลาตตอบว่า “พวกคุณไปตรึงกันเอาเองก็แล้วกัน เพราะเราไม่เห็นว่าเขาทำผิดตรงไหนเลย”
7 พวกยิวตอบว่า “ตามกฎปฏิบัติของยิว บอกว่ามันทำผิดสมควรตายเพราะอ้างว่าเป็นบุตรของพระเจ้า”
8 เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้นก็กลัวจนตัวสั่น 9 แล้วเขาก็กลับเข้าไปในวังอีกครั้ง ปีลาตได้ถามพระเยซูว่า “แกมาจากไหน” แต่พระองค์ไม่ตอบ 10 ปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า “แกไม่ยอมพูดกับเราหรือ แกไม่รู้หรือว่าเรามีอำนาจที่จะปล่อยหรือตรึงแกก็ได้”
11 พระเยซูจึงตอบเขาว่า “ถ้าพระเจ้าไม่ได้ให้อำนาจนั้นกับคุณ คุณก็ไม่มีอำนาจเหนือเราหรอก ดังนั้นคนที่มอบตัวเราให้กับคุณ ก็มีความผิดบาปร้ายแรงกว่าคุณ”
12 เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้น เขาก็พยายามที่จะปล่อยพระเยซูอีก แต่พวกยิวร้องตะโกนว่า “ถ้าท่านปล่อยมัน ท่านก็ไม่ใช่เพื่อนของซีซาร์ เพราะคนที่อ้างตัวเองเป็นกษัตริย์นั้นเป็นศัตรูกับซีซาร์”
13 เมื่อปีลาตได้ฟังอย่างนั้นจึงพาพระเยซูออกมา และเขาก็นั่งลงบนบัลลังก์พิพากษาตรงที่เรียกว่า “ลานหิน” (ซึ่งในภาษาอารเมค[a] เรียกว่า “กับบาธา”)
14 วันนั้นเป็นวันศุกร์ เป็นวันจัดเตรียมสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อย ประมาณเที่ยงวัน ปีลาตได้บอกกับพวกยิวว่า “นี่ไง กษัตริย์ของพวกคุณ” พวกยิวร้องตะโกนว่า
15 “เอาตัวไป เอาตัวไปตรึงที่กางเขน”
ปีลาตจึงถามพวกเขาว่า “จะให้เราตรึงกษัตริย์ของพวกคุณหรือ”
พวกหัวหน้านักบวชตอบว่า “เราไม่มีกษัตริย์อื่น นอกจากซีซาร์”
16 แล้วปีลาตได้ส่งตัวพระเยซูไปให้กับทหารเพื่อเอาไปตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพวกทหารก็มาเอาตัวพระเยซูไป
พระเยซูตายบนไม้กางเขน
(มธ. 27:32-44; มก. 15:21-32; ลก. 23:26-43)
17 พระองค์ต้องแบกไม้กางเขนที่จะใช้ตรึงพระองค์เองไปถึงที่แห่งหนึ่งเรียกว่า “หัวกะโหลก” (ในภาษาอารเมคเรียกว่า กลโกธา) 18 แล้วพวกเขาก็จับพระเยซูตรึงบนไม้กางเขนที่นั่น พวกเขาได้ตรึงนักโทษชายอีกสองคนด้วย พระเยซูอยู่ระหว่างนักโทษสองคนนั้น 19 ปีลาตได้เขียนป้ายติดไว้บนกางเขนว่า “เยซู ชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว” 20 คนยิวเป็นจำนวนมากได้อ่านป้ายนี้ เพราะที่ที่พระเยซูถูกตรึงนี้อยู่ใกล้กับตัวเมือง และป้ายนั้นเขียนเป็นภาษาอารเมค ลาตินและกรีก 21 พวกหัวหน้านักบวชพูดกับปีลาตว่า “อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่ให้เขียนว่า ‘ชายคนนี้อ้างว่า เป็นกษัตริย์ของชาวยิว’”
22 แต่ปีลาตตอบว่า “เขียนแล้ว ก็แล้วไป”
23 เมื่อพวกทหารตรึงพระเยซูแล้ว ก็ได้เอาเสื้อผ้าของพระองค์มาแบ่งกันในหมู่ทหารสี่คน โดยได้ไปคนละชิ้น ส่วนเสื้อชั้นในของพระเยซูเป็นผ้าทอชิ้นเดียวกันตลอดทั้งตัวไม่มีตะเข็บ 24 พวกเขาพูดกันว่า “อย่าฉีกเลย จับสลากกันดีกว่า ดูสิว่าใครจะได้” เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นตามที่พระคัมภีร์เขียนว่า
“เขาเอาเสื้อผ้าของเราไปแบ่งกัน
แล้วเอาชุดของเรามาจับสลากกัน”[b]
และพวกทหารก็ทำอย่างนั้น
25 แม่ของพระเยซู น้าสาวของพระองค์ มารีย์เมียของโคลปัส และมารีย์ชาวมักดาลายืนอยู่ข้างๆไม้กางเขน 26 เมื่อพระเยซูเห็นแม่ของพระองค์และศิษย์ที่พระองค์รัก พระเยซูจึงพูดกับแม่ว่า “แม่ครับ รับเขาเป็นลูกด้วย” 27 แล้วพระองค์ก็พูดกับศิษย์คนนั้นว่า “รับนางเป็นแม่ด้วย” ศิษย์คนนั้นจึงพาแม่ของพระองค์ไปอยู่ที่บ้านของเขาตั้งแต่นั้นมา
พระเยซูตาย
(มธ. 27:45-56; มก. 15:33-41; ลก. 23:44-49)
28 หลังจากนั้นพระเยซูรู้ว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้คำต่างๆในพระคัมภีร์เกิดขึ้นจริง พระองค์พูดว่า “เราหิวน้ำ”[c] 29 มีไหใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยวอยู่ที่นั่น พวกเขาจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวนี้ใส่ปลายกิ่งไม้หุสบ แล้วยื่นไปจ่อไว้ที่ปากของพระองค์ 30 เมื่อพระองค์ได้ชิมเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว จึงได้ร้องว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้นก็คอพับและสิ้นใจตาย
31 วันนั้นเป็นวันศุกร์ และวันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันหยุดพิเศษทางศาสนา พวกยิวไม่อยากให้ศพค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันหยุดทางศาสนา ก็เลยขอให้ปีลาตสั่งทหารของเขาให้หักขาคนที่ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน เพื่อจะได้ตายเร็วขึ้น และจะได้เอาศพออกไป 32 พวกทหารจึงมาหักขาโจรสองคนที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระเยซู 33 แต่เมื่อมาถึงพระเยซู พวกเขาก็เห็นว่าพระองค์ตายแล้ว จึงไม่ได้หักขาพระองค์ 34 แต่ทหารคนหนึ่งเอาหอกแทงที่สีข้างของพระเยซู เลือดและน้ำก็ไหลทะลักออกมา 35 (คนที่เห็นเหตุการณ์ได้เล่าว่าเขาเห็นอะไร เรื่องที่เขาเล่านั้นเป็นความจริง เขาเล่าให้ฟังเพื่อท่านจะได้เชื่อ) 36 สิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะเป็นจริงตามที่พระคัมภีร์เขียนว่า “กระดูกของพระองค์จะไม่หักแม้แต่ชิ้นเดียว”[d] 37 และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า “พวกเขาจะมองดูคนที่พวกเขาได้แทง”[e]
พระเยซูถูกฝัง
(มธ. 27:57-61; มก. 15:42-47; ลก. 23:50-56)
38 หลังจากนั้นโยเซฟชาวอาริมาเธียได้ขออนุญาตปีลาตนำศพพระเยซูไป โยเซฟเป็นศิษย์ลับๆของพระเยซู เพราะเขากลัวพวกยิว เมื่อปีลาตอนุญาต โยเซฟจึงมาเอาศพของพระองค์ไป
39 นิโคเดมัสก็มาด้วย เขาเคยมาหาพระเยซูก่อนหน้านี้ในตอนกลางคืน เขานำเครื่องหอมคือ มดยอบ กับกฤษณา[f]หนักประมาณสามสิบกิโลกรัมมาด้วย 40 โยเซฟและนิโคเดมัสได้เอาศพพระเยซูมาและพันด้วยผ้าลินินพร้อมกับเครื่องหอมตามธรรมเนียมการฝังศพของยิว 41 ใกล้ๆกับที่ที่พระเยซูถูกตรึงนั้นมีสวนอยู่แห่งหนึ่ง และในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่เอี่ยมที่ยังไม่เคยใช้วางศพใครมาก่อน 42 พวกเขาวางศพของพระองค์ไว้ในอุโมงค์นั้นเพราะมันอยู่ใกล้และถึงเวลาที่จะต้องเตรียมตัวสำหรับวันหยุดทางศาสนาแล้ว
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International