M’Cheyne Bible Reading Plan
กษัตริย์มนัสเสห์ปกครองยูดาห์
(2 พกษ. 21:1-18)
33 มนัสเสห์มีอายุสิบสองปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเป็นเวลาห้าสิบห้าปี 2 มนัสเสห์ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์ เขาทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่างๆเหมือนกับที่ชนชาติที่พระยาห์เวห์ได้ขับไล่ออกไปตอนที่อิสราเอลย้ายเข้ามาในแผ่นดินนี้ได้ทำ 3 มนัสเสห์สร้างสถานนมัสการต่างๆขึ้นมาใหม่ ที่เฮเซคียาห์พ่อของเขาเคยพังทิ้งไปแล้ว เขายังได้ตั้งแท่นบูชาทั้งหลายให้กับพวกพระบาอัล และสร้างพวกเสาของพระอาเชราห์ขึ้น เขากราบไหว้ดวงดาวทั้งหลายบนท้องฟ้าและรับใช้พวกมัน 4 เขาสร้างพวกแท่นบูชาให้กับพวกพระต่างชาติขึ้นในวิหารของพระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระยาห์เวห์เคยพูดไว้ว่า “ชื่อของเราจะอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มตลอดไป” 5 มนัสเสห์ยังสร้างแท่นบูชาขึ้นสองแท่นให้กับดวงดาวทั้งหลายตรงลานทั้งสองในวิหารของพระยาห์เวห์ 6 เขาเอาพวกลูกชายของเขามาเผาไฟเป็นเครื่องบูชาในหุบเขาเบนฮินโนม เขาร่ายเวทมนตร์คาถา ดูหมอ และทำไสยศาสตร์ เขาไปปรึกษากับพวกคนทรงเจ้าและพวกหมอผี เขาทำความชั่วมากมายในสายตาของพระยาห์เวห์ ซึ่งยั่วยุให้พระองค์โกรธ 7 เขาให้คนแกะสลักรูปเคารพขึ้นและนำไปวางไว้ในวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าเคยพูดไว้กับดาวิดและซาโลมอนลูกของดาวิดว่า “ในวิหารแห่งนี้และในเมืองเยรูซาเล็มที่เราได้เลือกออกมาจากเผ่าทั้งหมดของชนชาติอิสราเอล เราจะวางชื่อของเราไว้ที่นี่ตลอดไป 8 ถ้าพวกเขาเพียงแต่ระมัดระวังที่จะทำตามสิ่งที่เราได้สั่งพวกเขาไว้ และรักษากฎ พวกข้อบังคับ และกฎเกณฑ์ต่างๆที่เราให้ไว้ผ่านทางโมเสส เราก็จะไม่ทำให้พวกอิสราเอลต้องเดินเร่ร่อนพเนจรอีกต่อไปจากแผ่นดินที่เราได้กำหนดให้กับบรรพบุรุษของพวกเขา”
9 แต่มนัสเสห์นำชาวยูดาห์และประชาชนชาวเยรูซาเล็มไปในทางที่ผิด พวกเขาทำในสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าพวกชนชาติเหล่านั้นที่พระยาห์เวห์ได้ทำลายลงไปตอนที่ชาวอิสราเอลย้ายเข้ามาในแผ่นดิน
10 พระยาห์เวห์พูดกับมนัสเสห์และประชาชนของเขา แต่พวกเขาไม่สนใจฟัง 11 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงนำพวกแม่ทัพของกองทัพของกษัตริย์อัสซีเรีย มาสู้รบกับพวกเขา และจับตัวมนัสเสห์ไว้เป็นเชลย พวกเขาเอาห่วงใส่จมูกของมนัสเสห์ไว้และล่ามเขาไว้ด้วยโซ่ตรวนทองสัมฤทธิ์ และเอาไปที่บาบิโลน
12 เมื่อมนัสเสห์ตกอยู่ในความทุกข์ยาก เขาก็ร้องขอความเมตตาจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา และได้ถ่อมตัวลงอย่างมากต่อหน้าพระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา 13 เมื่อเขาอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ พระองค์ได้เปลี่ยนใจเพราะสงสารเขา แล้วพระองค์ได้ฟังคำร้องขอของเขา พระองค์จึงนำเขากลับเมืองเยรูซาเล็ม และกลับสู่อาณาจักรของเขา แล้วมนัสเสห์ก็ได้รู้ว่า พระยาห์เวห์คือพระเจ้าที่แท้จริง
14 ต่อมาภายหลัง เขาสร้างกำแพงด้านนอกเมืองของดาวิด กำแพงนี้ยาวไปทางตะวันตกของบ่อน้ำกิโฮนที่อยู่ในหุบเขา ทอดยาวไปจนถึงทางเข้าประตูปลาและล้อมรอบเนินเขาโอเฟล[a] เขาได้ต่อเติมกำแพงนี้สูงขึ้นมาก เขาจัดวางกำลังพวกแม่ทัพไว้ประจำตามเมืองที่เป็นป้อมปราการทั้งหลายของยูดาห์ 15 เขาได้กำจัดพวกรูปปั้นพระต่างชาติและย้ายรูปปั้นออกจากวิหารของพระยาห์เวห์ เขาขนพวกแท่นบูชาที่เขาเคยสร้างไว้บนเนินเขาของวิหารและในเมืองเยรูซาเล็มออกไปทิ้งที่นอกเมือง 16 มนัสเสห์ได้ซ่อมแซมแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ และถวายเครื่องสังสรรค์บูชา และเครื่องบูชาสำหรับขอบคุณบนแท่นบูชานั้น เขาบอกให้ชาวยูดาห์รับใช้พระยาห์เวห์พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล 17 แต่ประชาชนก็ยังคงถวายเครื่องบูชาของพวกเขาตามสถานนมัสการต่างๆเหมือนเดิม แต่คราวนี้พวกเขาถวายให้กับพระยาห์เวห์เท่านั้นผู้เป็นพระเจ้าของพวกเขา
18 เหตุการณ์อื่นๆในสมัยของมนัสเสห์ รวมทั้งคำอธิษฐานของเขาต่อพระเจ้าของเขา และคำพูดของพวกผู้ที่เห็นนิมิตที่พูดในนามของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติของพงศ์กษัตริย์แห่งอิสราเอล 19 คำอธิษฐานของเขา และการที่พระเจ้าเปลี่ยนใจเพราะคำวิงวอนของเขา รวมทั้งความบาปและความไม่ซื่อสัตย์ทั้งหมดที่เขาได้ทำไป ตลอดจนสถานที่ต่างๆที่เขาได้สร้างสถานนมัสการ และจัดตั้งพวกเสาให้กับพระอาเชราห์ และพวกรูปเคารพต่างๆก่อนที่เขาจะถ่อมตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ได้เขียนไว้แล้วในบันทึกของพวกผู้ที่เห็นนิมิต 20 มนัสเสห์ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา และศพของเขาถูกฝังอยู่ในวังของเขาเอง และอาโมนลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา
กษัตริย์อาโมนปกครองยูดาห์
(2 พกษ. 21:19-26)
21 อาโมนมีอายุยี่สิบสองปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มสองปี 22 เขาทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ เหมือนกับที่มนัสเสห์พ่อของเขาทำ อาโมนกราบไหว้และถวายเครื่องสัตวบูชาให้กับพวกรูปเคารพที่มนัสเสห์พ่อของเขาสร้างขึ้น 23 อาโมนไม่ได้ถ่อมตัวต่อหน้าพระยาห์เวห์เหมือนกับที่มนัสเสห์พ่อของเขาถ่อมตัวลง แต่อาโมนกลับยิ่งทำบาปเพิ่มมากขึ้น 24 พวกข้าราชการของอาโมนรวมหัวกันต่อต้านเขา และลอบฆ่าเขาในวังของเขา 25 แล้วประชาชนในแผ่นดินนั้นก็ฆ่าพวกที่รวมหัวกันฆ่ากษัตริย์อาโมน และพวกเขาก็ยกโยสิยาห์ลูกชายของอาโมนขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากพ่อของเขา
คนทั้งหลายบนสวรรค์สรรเสริญพระยาห์เวห์
19 หลังจากนั้นผมได้ยินเสียงดังกึกก้อง เหมือนเสียงของคนจำนวนมากบนสวรรค์ร้องว่า
“สรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าเป็นผู้มีชัย
พระองค์เต็มไปด้วยสง่าราศี และฤทธิ์อำนาจ
2 การตัดสินโทษของพระองค์นั้นถูกต้องและยุติธรรม
พระองค์ได้ลงโทษหญิงโสเภณีที่ยิ่งใหญ่
เธอได้ทำให้โลกนี้เสื่อมไป
เพราะการทำบาปทางเพศของเธอ
พระองค์ได้แก้แค้นให้กับทาสของพระองค์ที่ถูกเธอฆ่าตาย”
3 พวกเขายังพูดอีกว่า
“สรรเสริญพระยาห์เวห์
ควันไฟจะลอยขึ้นมาจากนครนั้นตลอดไป”
4 จากนั้นพวกผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่องค์ และสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตน ก็ก้มลงกราบไหว้พระเจ้าที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ และพูดว่า
“อาเมน สรรเสริญพระยาห์เวห์”
5 แล้วมีเสียงดังมาจากบัลลังก์ว่า
“ท่านทั้งหลายที่เป็นทาสของพระองค์ที่นับถือพระเจ้า ทั้งผู้ยิ่งใหญ่และผู้ต่ำต้อย
มาสรรเสริญพระเจ้าของเรากันเถอะ”
6 จากนั้นผมได้ยินเสียงเหมือนเสียงของคนจำนวนมาก เสียงนั้นดังเหมือนกับเสียงของน้ำตกและเสียงฟ้าร้องกึกก้อง เสียงนั้นพูดว่า
“สรรเสริญพระยาห์เวห์
องค์เจ้าชีวิต พระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นได้ขึ้นครองราชย์
7 ให้เราชื่นชมยินดีและมีความสุข และสรรเสริญพระองค์เถิด
เพราะว่าเวลาแห่งการสมรสของลูกแกะได้มาถึงแล้ว
และเจ้าสาวของพระองค์ก็ได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว
8 เธอได้รับผ้าลินินที่สะอาดสดใสเป็นประกายซึ่งเธอจะใช้ใส่”
(ผ้าลินินที่งดงามนั้นหมายถึงสิ่งดีๆที่คนของพระเจ้าได้ทำ)
9 แล้วทูตสวรรค์นั้นพูดกับผมว่า “เขียนลงไปว่า คนที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงสมรสของลูกแกะนั้น ถือว่ามีเกียรติจริงๆ” และพูดอีกว่า “สิ่งเหล่านี้เป็นคำพูดที่แท้จริงของพระเจ้า”
10 ผมได้ก้มลงแทบเท้าเพื่อกราบไหว้ทูตสวรรค์องค์นั้น แต่ท่านพูดว่า “อย่าทำอย่างนั้น เพราะเราเป็นเพื่อนทาสของคุณและพี่น้องคนอื่นๆของคุณที่ซื่อสัตย์ในความจริงที่พระเยซูได้เปิดเผยให้รู้ ดังนั้นให้กราบไหว้พระเจ้า เพราะความจริงที่พระเยซูได้เปิดเผยนั้น เป็นสิ่งที่ดลใจให้พวกผู้พูดแทนพระเจ้าพูด”
ผู้ที่ขี่ม้าสีขาว
11 จากนั้นผมเห็นประตูสวรรค์เปิดออก โอ้โหดูสิ มีม้าสีขาวตัวหนึ่ง และผู้ขี่ม้านั้นมีชื่อว่า “ซื่อสัตย์และเที่ยงแท้” เพราะพระองค์พิพากษาและทำสงครามอย่างยุติธรรม 12 ตาของพระองค์นั้นดูคล้ายเปลวไฟที่ลุกโชน มีมงกุฎอยู่หลายอันบนศีรษะของพระองค์ มีชื่อหนึ่งเขียนอยู่บนร่างกายของพระองค์ แต่มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่รู้ความหมายของชื่อนั้น 13 พระองค์ใส่เสื้อคลุมที่ถูกจุ่มลงไปในเลือด และคนก็เรียกพระองค์ว่า “พระคำของพระเจ้า” 14 พวกกองทัพแห่งสวรรค์ขี่ม้าสีขาวตามพระองค์มา พวกเขาแต่งกายด้วยผ้าลินินสีขาวที่ใสสะอาด 15 มีดาบอันคมกริบออกมาจากปากของพระองค์ ดาบนี้เอาไว้ใช้ต่อสู้กับชนชาติต่างๆ พระองค์จะปกครองคนพวกนั้นด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะเหยียบย่ำองุ่นในบ่อย่ำองุ่นแห่งความโกรธของพระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น 16 มีชื่อเขียนอยู่ที่เสื้อคลุมและที่ต้นขาของพระองค์ว่า
“กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง องค์เจ้าชีวิตเหนือเจ้าทั้งปวง”
17 หลังจากนั้นผมเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งยืนอยู่บนดวงอาทิตย์ และพูดเสียงดังกับพวกนกที่บินอยู่บนท้องฟ้าว่า “มาเถอะ มาร่วมชุมนุมกันในงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า 18 เพื่อเจ้าจะได้กินเนื้อของพวกกษัตริย์ แม่ทัพนายกองและเหล่าทหาร ตลอดจนเนื้อม้า เนื้อคนขี่ม้า และเนื้อของคนทั้งหมด ทั้งไทและทาส และคนที่เป็นอิสระ ทั้งผู้ยิ่งใหญ่และผู้ต่ำต้อย”
19 จากนั้นผมเห็นสัตว์ร้ายกับพวกกษัตริย์บนโลก และกองทัพของพวกเขามาชุมนุมกันเพื่อทำสงครามกับผู้ที่ขี่ม้าขาว และกองทัพของเขา 20 แต่สัตว์ร้ายนั้นถูกจับ พร้อมกับผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอมที่เคยแสดงอภินิหารต่อหน้าสัตว์ร้ายนั้นและหลอกลวงคนที่มีเครื่องหมายของสัตว์ร้ายนั้น และบูชารูปปั้นของมัน ทั้งสองก็ถูกจับโยนทั้งเป็นลงไปในบึงไฟกำมะถันที่กำลังลุกไหม้อยู่ 21 พวกกองทัพของมันถูกฆ่าด้วยดาบที่ออกจากปากของพระองค์ผู้ที่ขี่ม้าขาวนั้น และพวกนกทั้งหลายก็กินเนื้อของคนเหล่านี้จนอิ่ม
1 หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่พระยาห์เวห์บอกให้มาลาคีไปบอกกับคนอิสราเอล
พระยาห์เวห์รักคนอิสราเอล
2 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราได้แสดงความรักกับเจ้า”
แต่พวกเจ้ากลับถามว่า “พระองค์แสดงความรักกับเราตรงไหนหรือ”
พระยาห์เวห์ตอบว่า “เอซาวเป็นพี่ชายของยาโคบ ไม่ใช่หรือ แต่เรารักยาโคบ 3 และเกลียดเอซาว[a][b] เราได้ทำให้เทือกเขาต่างๆของเอซาว กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า และทำให้บ้านเกิดเมืองนอนของเขากลายเป็นถิ่นที่อยู่ของฝูงหมาไน”
4 พวกลูกหลานเอซาวที่อยู่ในเอโดม อาจจะพูดว่า “ถึงแม้เราจะถูกทุบจนแตกละเอียด แต่เราจะกลับสร้างสิ่งที่ปรักหักพังพวกนั้นขึ้นมาใหม่”
แต่นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูด “ถ้าพวกมันสร้างมันขึ้นมาใหม่ เราก็จะรื้อมันทิ้งอีก และคนก็จะเรียกเมืองของคนเอโดมว่า เขตแดนแห่งความชั่วร้าย และจะเรียกคนเอโดมว่า ชนชาติที่ถูกพระยาห์เวห์สาปแช่งตลอดกาล”
5 เมื่อพวกเจ้าได้เห็นสิ่งนี้กับตาตัวเอง พวกเจ้าก็จะพูดว่า “พระยาห์เวห์นี้แน่จริงๆ แม้แต่นอกเขตแดนของอิสราเอล พระองค์ก็ยังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้”
คนนมัสการแค่เป็นพิธี
6 เรา ยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น พูดกับพวกเจ้าที่เป็นนักบวชว่า
“ลูกย่อมให้เกียรติกับพ่อ คนใช้ก็ย่อมให้เกียรติกับเจ้านาย เราเป็นพ่อของเจ้า แล้วไหนล่ะ เกียรติที่เราควรจะได้รับ เราเป็นเจ้านายของเจ้า แล้วไหนล่ะ ความยำเกรงที่คนควรจะให้เรา พวกเจ้าดูหมิ่นชื่อของเรา”
แต่เจ้าถามว่า “พวกเราดูหมิ่นพระองค์ตรงไหน”
7 พระยาห์เวห์ตอบว่า “ก็ตอนที่เจ้าเอาอาหารที่ไม่บริสุทธิ์มาถวายบนแท่นบูชาของเราไง”
แต่พวกเจ้ายังเถียงอีกว่า “เราทำให้มันไม่บริสุทธิ์ยังไงหรือ”
พระยาห์เวห์ตอบว่า “ก็ตอนที่พวกเจ้าพูดว่า ‘ไม่เห็นต้องให้เกียรติอะไรนักหนาต่อแท่นบูชาของพระยาห์เวห์’ 8 ตอนที่พวกเจ้าเอาสัตว์ตาบอดมาถวายเรา เจ้าคิดว่ามันไม่ผิดหรือ และตอนที่เจ้าเอาสัตว์ที่ขาเป๋หรือป่วยมาถวายเรา เจ้าคิดว่ามันไม่ผิดหรือ” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น บอกว่า “ลองเอาสัตว์พวกนั้นไปให้กับผู้ว่าของเจ้าดูสิ ดูสิว่าเขาจะพอใจเจ้าหรือเปล่า ดูสิว่าจะทำให้เขาอยากจะช่วยเจ้าหรือเปล่า”
9 “พวกเจ้านักบวช ลองอ้อนวอนพระเจ้าให้เมตตาพวกเราหน่อยสิ ตอนที่เจ้านำของพิกลพิการมาถวายนั้น ดูสิว่าพระองค์อยากจะช่วยเจ้าหรือเปล่า”
10 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “เราหวังเหลือเกินว่า จะมีใครสักคนในพวกเจ้าที่ไปปิดประตูวิหารนั้น เพื่อว่าเจ้าจะได้ไม่ก่อไฟที่ไร้ประโยชน์บนแท่นบูชาของเรา เราไม่พอใจเจ้า และเราก็จะไม่รับของถวายจากมือเจ้าด้วย”
11 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “จริงๆแล้ว คนชาติอื่นยังให้เกียรติเรามากกว่าเจ้าเสียอีก จากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก มีผู้คนในทุกชนชาติที่ให้เกียรติเรา ผู้คนทุกหนแห่งต่างก็ถวายเครื่องหอม พร้อมๆกับของถวายอันบริสุทธิ์ให้กับเรา เพราะมีผู้คนในทุกชนชาติให้เกียรติเรา”
12 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “แต่พวกเจ้าดูหมิ่นเราเมื่อเจ้าพูดว่า
‘แท่นบูชาของพระยาห์เวห์นั้นศักดิ์สิทธิ์ตรงไหน และอาหารที่อยู่บนแท่นนั้นก็ไม่เห็นจะพิเศษตรงไหน’ 13 และเจ้ายังพูดว่า ‘น่าเบื่อจริงๆ’ และทำหน้าเซ็งๆใส่เรา เจ้าได้เอาสัตว์ที่ขโมยมา หรือสัตว์ขาเป๋ หรือสัตว์ที่เจ็บป่วย แล้วเจ้าก็เอามันมาถวายให้กับเรา เจ้าคิดว่าเราจะพอใจรับมันมาจากมือของเจ้าอย่างนั้นหรือ 14 คนที่มีสัตว์ตัวผู้ในฝูงที่สามารถเอามาถวายให้กับพระยาห์เวห์ได้ และเขาก็ได้สาบานไว้แล้วที่จะเอาสัตว์ตัวนั้นมาถวาย แต่พอถึงเวลา เขากลับเอาตัวที่พิการมาถวายแทน คนขี้โกงอย่างนี้จะถูกสาปแช่ง เพราะเราเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นที่เกรงกลัวของผู้คนที่อยู่ในชนชาติต่างๆ”
พระเยซูถูกจับ
(มธ. 26:47-56; มก. 14:43-50; ลก. 22:47-53)
18 เมื่อพระเยซูอธิษฐานเสร็จแล้ว พระองค์ออกไปกับพวกศิษย์ของพระองค์ ข้ามหุบเขาขิดโรนเข้าไปที่สวนแห่งหนึ่ง 2 ยูดาส คนที่ทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนแห่งนี้ เพราะว่าพระเยซูและพวกศิษย์ของพระองค์มาพบกันที่นี่บ่อยๆ 3 แล้วยูดาสก็ได้นำพวกทหารโรมันกลุ่มหนึ่ง และพวกผู้คุมวิหารที่พวกหัวหน้านักบวชและพวกฟาริสีส่งมา เข้ามาหาพระเยซู พวกเขาถือตะเกียง คบไฟ และอาวุธมาด้วย
4 พระเยซูรู้ทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์จึงเดินออกมาหาพวกเขา แล้วถามว่า “มาตามหาใครกัน”
5 พวกเขาตอบว่า “เยซู ชาวนาซาเร็ธ”
พระองค์จึงพูดว่า “เราเอง” (ยูดาสคนที่หักหลังพระองค์ก็ยืนอยู่ที่นั่นกับพวกนั้น) 6 เมื่อพระองค์พูดว่า “เราเอง”[a] พวกเขาก็ถอยหลังกรูล้มลงกับพื้น
7 พระเยซูถามอีกครั้งว่า “มาตามหาใครนะ”
พวกเขาก็ตอบว่า “เยซู ชาวนาซาเร็ธ”
8 พระเยซูตอบว่า “ก็บอกแล้วไงว่าเป็นเราเอง ถ้าพวกคุณตามหาเราก็ให้ปล่อยคนพวกนี้ไปซะ” 9 ที่พระองค์พูดอย่างนี้ เพื่อจะได้เป็นจริงตามที่พระองค์ได้พูดไว้ก่อนแล้วว่า “ลูกไม่ได้สูญเสียคนที่พระองค์ได้ฝากไว้กับลูกไปแม้แต่คนเดียว”
10 ซีโมน เปโตรมีดาบอยู่ จึงชักออกมา แล้วก็ฟันถูกหูขวาของทาสคนหนึ่งของหัวหน้านักบวชสูงสุดขาดไป (ทาสคนนั้นชื่อมัลคัส) 11 พระเยซูห้ามเปโตรว่า “เก็บดาบเข้าฝักซะ จะไม่ให้เราดื่มถ้วย[b] แห่งความทุกข์ที่พระบิดาเตรียมไว้ให้เราได้ยังไง”
พระเยซูถูกนำไปพบหัวหน้านักบวช
(มธ. 26:57-58; มก. 14:53-54; ลก. 22:54)
12 พวกทหารโรมัน นายพันของพวกเขา และพวกผู้คุมวิหารชาวยิวได้จับพระเยซูมัดไว้ 13 แล้วนำพระองค์ไปพบอันนาสก่อน อันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสซึ่งเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุดในปีนั้น 14 (คายาฟาสเป็นคนที่ได้บอกชาวยิวว่า ให้คนคนเดียวตาย ดีกว่าคนทั้งชาติต้องตาย)
เปโตรพูดว่าไม่รู้จักพระเยซู
(มธ. 26:69-70; มก. 14:66-68; ลก. 22:55-57)
15 ซีโมน เปโตรและศิษย์อีกคนหนึ่งได้ตามพระเยซูไป ศิษย์คนนี้รู้จักกับหัวหน้านักบวชสูงสุด เขาจึงสามารถเข้าไปในลานบ้านของหัวหน้านักบวชสูงสุดกับพระเยซูได้ 16 ส่วนเปโตรต้องรออยู่ด้านนอกข้างๆประตู แล้วศิษย์คนนั้นก็ได้ออกมาพูดกับหญิงที่เฝ้าประตู เธอจึงยอมให้เปโตรเข้าไปข้างใน 17 สาวใช้ที่เฝ้าประตูได้ถามเปโตรว่า “แกเป็นศิษย์ของชายคนนั้น ไม่ใช่หรือ”
เปโตรตอบว่า “เปล่า ผมไม่ได้เป็น”
18 พวกทาสและพวกผู้คุมวิหารได้ก่อกองไฟแล้วยืนผิงไฟกันอยู่เพราะอากาศหนาว เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับพวกเขาด้วย
หัวหน้านักบวชสูงสุดสอบสวนพระเยซู
(มธ. 26:59-66; มก. 14:55-64; ลก. 22:66-71)
19 หัวหน้านักบวชสูงสุดได้สอบสวนพระเยซูเกี่ยวกับพวกศิษย์และคำสอนของพระองค์ 20 พระองค์ตอบว่า “เราได้พูดอย่างเปิดเผยกับทุกคน เรามักจะสอนอยู่ในที่ประชุมและในวิหาร ซึ่งเป็นที่ที่พวกยิวทั้งหมดมาชุมนุมกัน และสิ่งที่เราสอนในที่ลับ เราก็สอนในที่แจ้งด้วย 21 มาถามเราทำไม ไปถามคนที่ได้ยินเอาเองสิว่า เราสอนอะไรกับพวกเขา”
22 เมื่อพระองค์พูดอย่างนั้น ผู้คุมวิหารคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆได้ตบหน้าพระองค์ และพูดว่า “กล้าดียังไงไปตอบหัวหน้านักบวชสูงสุดอย่างนั้น”
23 พระเยซูจึงตอบเขาว่า “ถ้าพูดอะไรผิดก็ให้บอกมาเลยว่าผิดตรงไหน แต่ถ้าไม่ได้พูดอะไรผิด มาตบหน้าเราทำไม”
24 อันนาสก็ได้ส่งพระเยซูที่ถูกมัดเหมือนกับนักโทษไปให้คายาฟาสที่เป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด
เปโตรพูดอีกว่าไม่รู้จักพระเยซู
(มธ. 26:71-75; มก. 14:69-72; ลก. 22:58-62)
25 ขณะที่ซีโมนเปโตรยืนผิงไฟอยู่นั้น พวกเขาได้ถามว่า “แกแน่ใจหรือว่าไม่ได้เป็นศิษย์ของคนนั้น”
เปโตรตอบปฏิเสธว่า “ไม่ ผมไม่ได้เป็น”
26 ทาสคนหนึ่งของหัวหน้านักบวชสูงสุด ซึ่งเป็นญาติของชายที่ถูกเปโตรฟันหูขาดได้พูดกับเปโตรว่า “แกอยู่กับชายคนนั้นในสวนนี่”
27 เปโตรได้ปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง และทันใดนั้นไก่ก็ขัน
พระเยซูถูกนำตัวไปหาปีลาต
(มธ. 27:1-2, 11-31; มก. 15:1-20; ลก. 23:1-25)
28 ในตอนเช้ามืดพวกเขาได้นำตัวพระเยซูจากบ้านของคายาฟาสไปที่วังของเจ้าเมืองโรมัน[c] พวกยิวเองไม่ได้เข้าไปในวังนั้น เพราะจะทำให้พวกเขาไม่สะอาด[d] ตามพิธีกรรมทางศาสนา แล้วจะทำให้พวกเขาไม่สามารถร่วมฉลองในเทศกาลวันปลดปล่อยได้ 29 ปีลาตจึงออกมาหาพวกเขาข้างนอกและถามว่า “พวกเจ้าจะฟ้องร้องเขาด้วยเรื่องอะไรกัน”
30 พวกเขาตอบปีลาตว่า “ถ้ามันไม่ได้เป็นผู้ร้ายพวกเราก็คงจะไม่เอาตัวมันมาให้ท่านหรอก”
31 ปีลาตจึงบอกกับพวกเขาว่า “ถ้างั้นพวกเจ้าก็เอาเขาไปตัดสินลงโทษตามกฎปฏิบัติของพวกเจ้าเองสิ”
พวกยิวบอกปีลาตว่า “แต่ตามกฎหมายของโรมันไม่อนุญาตให้พวกเราประหารชีวิตใคร” 32 ที่เป็นอย่างนี้เพื่อให้เป็นจริงตามที่พระเยซูได้พูดไว้ว่าพระองค์จะต้องตายอย่างไร
33 ปีลาตกลับเข้าไปในวังของเขา และเรียกพระเยซูมาถามว่า “แกเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ”
34 พระเยซูตอบว่า “คุณสงสัยเอง หรือได้ยินคนอื่นพูดถึงเรา”
35 ปีลาตจึงตอบว่า “แกคิดว่าเราเป็นคนยิวหรือไง คนของแกเองและพวกหัวหน้านักบวชนั่นแหละมอบตัวแกมาให้กับเรา แกทำอะไรผิดมา”
36 พระเยซูตอบว่า “อำนาจของเราที่จะปกครองไม่ได้มาจากโลกนี้ เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้น คนของเราก็คงจะต่อสู้ไม่ให้พวกยิวจับเรา ดังนั้นอำนาจของเราที่จะปกครองไม่ได้มาจากโลกนี้”
37 ปีลาตจึงบอกพระองค์ว่า “ถ้าอย่างนั้น แกก็เป็นกษัตริย์น่ะสิ”
พระเยซูตอบว่า “คุณพูดถูกแล้วที่ว่าเราเป็นกษัตริย์ นี่เป็นเหตุที่เรามาเกิดและเข้ามาในโลกนี้ เพื่อบอกคนเกี่ยวกับความจริง และทุกๆคนที่อยู่ฝ่ายความจริง ก็ฟังเสียงของเรา”
38 ปีลาตถามพระองค์ว่า “ความจริงอะไรกัน” เมื่อเขาถามแล้วก็ได้ออกไปหาพวกยิวอีก และบอกพวกเขาว่า “เราไม่เห็นว่าเขามีความผิดตรงไหน 39 พวกเจ้ามีธรรมเนียมที่จะให้เราปล่อยนักโทษคนหนึ่งในช่วงเทศกาลวันปลดปล่อย พวกเจ้าอยากให้เราปล่อยตัว ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ รึเปล่า”
40 แต่พวกยิวร้องตะโกนว่า “อย่าปล่อยมัน ขอให้ปล่อยบารับบัสแทน” (บารับบัสเป็นผู้ก่อการจลาจลการเมือง)
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International