M’Cheyne Bible Reading Plan
กษัตริย์อุสซียาห์ปกครองยูดาห์
(2 พกษ. 15:1-7)
26 แล้วประชาชนทั้งหมดของยูดาห์ก็ยกอุสซียาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากอามาซิยาห์พ่อของเขา ในขณะนั้นอุสซียาห์มีอายุสิบหกปี 2 อุสซียาห์สร้างเมืองเอโลทขึ้นใหม่และเอากลับคืนมาให้กับชาวยูดาห์ หลังจากที่อามาซิยาห์ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาแล้ว
3 อุสซียาห์มีอายุสิบหกปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มห้าสิบสองปี แม่ของเขามีชื่อว่าเยโคลียาห์ นางมาจากเมืองเยรูซาเล็ม 4 เขาทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระยาห์เวห์ เหมือนกับที่อามาซิยาห์พ่อของเขาทำ 5 เขาแสวงหาพระเจ้าตลอดระยะเวลาที่เศคาริยาห์ยังอยู่ เศคาริยาห์เป็นคนสั่งสอนให้เขาเกรงกลัวพระเจ้า ตราบเท่าที่เขายังแสวงหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าก็จะให้เขาประสบความสำเร็จ
6 อุสซียาห์ไปสู้รบกับพวกชาวฟีลิสเตีย และทำลายกำแพงของเมืองกัท เมืองยับเนห์และเมืองอัชโดดลง แล้วเขาก็สร้างเมืองอีกหลายเมืองขึ้นใหม่ ใกล้ๆกับอัชโดดและที่อื่นๆที่อยู่ท่ามกลางชาวฟีลิสเตีย 7 พระเจ้าได้ช่วยเหลือเขาต่อสู้กับชาวฟีลิสเตียและสู้กับพวกอาหรับซึ่งอาศัยอยู่ในกูร์บาอัลและสู้กับชาวเมอูนี 8 พวกชาวอัมโมนส่งส่วยมาให้กับอุสซียาห์และชื่อเสียงของเขาก็แพร่กระจายไปไกลถึงชายแดนของประเทศอียิปต์ เพราะเขามีอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก
9 อุสซียาห์สร้างป้อมปราการขึ้นหลายแห่งในเมืองเยรูซาเล็ม ที่ตรงประตูมุม ที่ประตูหุบเขา และที่มุมกำแพงและทำให้พวกมันแข็งแรง 10 เขายังสร้างป้อมปราการอีกหลายแห่งในทะเลทราย และได้ขุดบ่อน้ำขึ้นอีกหลายแห่ง เพราะเขามีสัตว์เลี้ยงมากมายที่เชิงเขาและในที่ราบ เขามีคนมากมายที่ทำงานให้กับเขาอยู่ตามทุ่งนาของเขา และในสวนองุ่นตามเนินเขา และในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ เพราะเขาเป็นคนที่รักการทำเกษตร
11 อุสซียาห์มีกองทัพที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี มีความพร้อมที่จะออกศึกเป็นหมวดหมู่ ตามที่เยอีเอลที่เป็นเลขาและมาอาเสอาห์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ได้เกณฑ์ไว้ พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของฮานันยาห์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของกษัตริย์ 12 พวกผู้นำครอบครัวที่อยู่เหนือนักรบพวกนั้นมีจำนวนสองพันหกร้อยคน 13 กองทัพที่อยู่ภายใต้คำสั่งของพวกเขา มีสามแสนเจ็ดพันห้าร้อยคน ทุกคนล้วนได้รับการฝึกในการรบมาแล้ว เป็นกองกำลังที่มีพละกำลังที่สามารถช่วยเหลือกษัตริย์จากศัตรูของเขาได้ 14 อุสซียาห์ได้จัดหาโล่ หอก หมวกเหล็ก เสื้อเกราะ ธนูและสลิงสำหรับเหวี่ยงก้อนหิน ไว้ให้กับกองทัพทั้งหมด 15 ในเยรูซาเล็ม เขาสร้างเครื่องกลไกที่ได้รับการออกแบบโดยพวกคนที่มีความชำนาญ เพื่อใช้ตามป้อมปราการและจุดป้องกันตามมุมต่างๆเพื่อใช้ยิงลูกศรและยิงก้อนหินขนาดใหญ่ ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายไปไกลและกว้างขวางมาก เพราะเขาได้รับความช่วยเหลืออย่างมากมายมหาศาลจนกระทั่งเขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยอำนาจ
16 แต่หลังจากที่อุสซียาห์มีอำนาจมากขึ้น ความหยิ่งของเขานำเขาให้ตกต่ำลง เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา และเข้าไปในวิหารของพระยาห์เวห์เพื่อไปเผาเครื่องหอมบนแท่นบูชาเครื่องหอม 17 นักบวชอาซาริยาห์กับพวกนักบวชที่กล้าหาญอีกแปดสิบคนของพระยาห์เวห์ตามอาซาริยาห์เข้าไป 18 พวกเขาขัดขวางกษัตริย์และพูดว่า “ท่านอุสซียาห์ ท่านทำไม่ถูกที่มาเผาเครื่องหอมให้กับพระยาห์เวห์เอง การเผาเครื่องหอมเป็นหน้าที่ของพวกนักบวชที่เป็นลูกหลานของอาโรน ผู้ที่ได้รับการอุทิศให้เผาเครื่องหอม ให้ออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนี้ ออกไปเถิด เพราะท่านไม่ซื่อสัตย์และพระยาห์เวห์ พระเจ้าจะไม่ให้เกียรติท่านอีกต่อไป”
19 อุสซียาห์ซึ่งถือกระถางไฟอยู่ในมือโกรธ ในขณะที่เขากำลังโกรธพวกนักบวชที่อยู่ต่อหน้าเขาตรงหน้าแท่นบูชาเครื่องหอมในวิหารของพระยาห์เวห์นั้น หน้าผากของอุสซียาห์ก็เกิดเป็นโรคผิวหนังร้ายแรงขึ้นมา 20 เมื่ออาซาริยาห์ที่เป็นหัวหน้านักบวชและพวกนักบวชคนอื่นๆมองดูอุสซียาห์ พวกเขาก็เห็นว่าเขาเป็นโรคผิวหนังร้ายแรงที่หน้าผาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้รีบนำตัวอุสซียาห์ออกมา ซึ่งจริงๆแล้วตัวเขาเองก็ตั้งใจที่จะออกมาอยู่แล้ว เพราะพระยาห์เวห์ได้ลงโทษเขาแล้ว 21 กษัตริย์อุสซียาห์กลายเป็นคนโรคผิวหนังร้ายแรงตราบจนวันตาย เขาอาศัยอยู่ในวังที่แยกออกมาต่างหากสำหรับคนที่เป็นโรคผิวหนังร้ายแรง และถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในวิหารของพระยาห์เวห์ โยธามลูกชายของเขาทำหน้าที่ในวังและปกครองประชาชนในแผ่นดินนั้นแทนเขา
22 เหตุการณ์อื่นๆในสมัยของอุสซียาห์ตั้งแต่ต้นจนจบ อิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้าลูกชายของอามอสได้จดบันทึกไว้แล้ว 23 อุสซียาห์ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาและถูกฝังไว้ในทุ่งนาใกล้ๆกับหลุมฝังศพของพวกกษัตริย์ เพราะประชาชนพูดว่า “เขาเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง” และโยธามลูกชายของเขาขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา
สัตว์ร้ายสองตัว
13 หลังจากนั้นผมเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา ทุกๆเขาของมันมีมงกุฎสวมอยู่ และทุกๆหัวของมันมีชื่อที่ดูหมิ่นพระเจ้า[a]เขียนอยู่ 2 สัตว์ร้ายที่ผมเห็นนี้ มีลักษณะเหมือนเสือดาว เท้าของมันเหมือนกับตีนหมี ปากเหมือนปากสิงโต พญานาคได้ให้ฤทธิ์อำนาจ บัลลังก์ และสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของมันแก่สัตว์ร้ายนั้น 3 หัวหนึ่งของมันดูเหมือนมีบาดแผลฉกรรจ์ถึงตาย แต่ได้รับการรักษาหายแล้ว 4 คนทั่วโลกต่างประหลาดใจและได้ติดตามสัตว์ร้ายนั้นไป และพวกเขาก็กราบไหว้บูชาพญานาค เพราะมันได้ให้อำนาจแก่สัตว์ร้ายตัวนั้น พวกเขากราบไหว้บูชาสัตว์ร้าย และพูดว่า “ใครจะมีฤทธิ์อำนาจเหมือนกับสัตว์ตัวนี้ ใครจะสู้กับมันได้”
5 พระเจ้ายอมให้มันโอ้อวดเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของมัน และเพราะเหตุนี้มันจึงดูหมิ่นพระเจ้า พระเจ้ายอมให้มันมีสิทธิอำนาจที่จะทำอย่างนี้ได้สี่สิบสองเดือน 6 มันจึงเริ่มพูดดูหมิ่นพระเจ้า ดูหมิ่นชื่อของพระองค์ สถานที่ที่พระองค์อยู่ และพวกที่อยู่บนสวรรค์ 7 สัตว์ตัวนี้ได้รับฤทธิ์อำนาจที่จะทำสงครามกับคนของพระเจ้า และชนะพวกเขาด้วย มันได้รับสิทธิอำนาจเหนือชนทุกเผ่าพันธุ์ ทุกเชื้อชาติ ทุกภาษา และทุกชนชาติ 8 คนชั่วที่อยู่บนแผ่นดินโลกจะกราบไหว้บูชามัน ตั้งแต่วันแรกที่สร้างโลกมาแล้ว ชื่อของคนพวกนี้ไม่ได้จดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของลูกแกะที่ถูกฆ่านั้น
9 ใครมีหู ก็ให้ฟังเอาไว้
10 คนไหนถูกกำหนดให้เป็นเชลย
คนนั้นก็จะต้องเป็นเชลย
คนไหนถูกกำหนดให้ถูกฆ่าด้วยดาบ
คนนั้นก็จะต้องถูกฆ่าด้วยดาบ
นี่แสดงว่าคนของพระเจ้าจะต้องอดทนและซื่อสัตย์
11 แล้วผมก็เห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดินโลก มันมีสองเขาเหมือนลูกแกะแต่พูดเหมือนพญานาค 12 มันใช้สิทธิอำนาจทั้งหมดของสัตว์ร้ายตัวแรก ในขณะที่มันอยู่กับสัตว์ร้ายตัวแรกนั้น มันทำให้โลกกับพวกคนชั่วที่อยู่บนโลก กราบไหว้สัตว์ร้ายตัวแรกที่มีบาดแผลฉกรรจ์ถึงตายที่ได้รักษาจนหายแล้วนั้น 13 สัตว์ร้ายตัวที่สองนี้ได้ทำปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ จนถึงขั้นทำให้มีไฟตกจากสวรรค์ลงมาบนแผ่นดินโลกต่อหน้าต่อตาคนทั้งหลาย 14 มันหลอกลวงพวกคนชั่วที่อยู่บนโลก ด้วยปาฏิหาริย์ที่มันได้รับอนุญาตให้ทำต่อหน้าสัตว์ร้ายตัวแรกนั้น มันสั่งให้คนชั่วที่อยู่บนโลกสร้างรูปปั้นให้กับสัตว์ร้ายตัวที่ถูกฟันด้วยดาบแต่ยังไม่ตาย 15 สัตว์ตัวที่สองนั้นได้รับฤทธิ์อำนาจที่จะให้ลมหายใจกับรูปปั้นของสัตว์ร้ายตัวแรกนั้น เพื่อทำให้รูปปั้นนั้นพูดได้และทำให้คนที่ไม่กราบไหว้รูปปั้นนั้นถูกฆ่าตาย 16 สัตว์ตัวที่สองนี้บังคับทุกๆคน ทั้งผู้ยิ่งใหญ่และผู้ต่ำต้อย ทั้งคนรวยและคนจน ทั้งไทและทาส ให้ต้องทำเครื่องหมายไว้ที่มือขวาหรือหน้าผาก 17 เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำการซื้อขายได้ นอกจากจะมีเครื่องหมายที่เป็นชื่อของสัตว์ร้ายหรือหมายเลขแทนชื่อของสัตว์ร้ายนั้นอยู่ 18 ใครที่ฉลาด ก็จะสามารถบอกได้ว่าความหมายของตัวเลขของสัตว์ร้ายนั้นหมายความว่าอะไร เพราะตัวเลขนั้นแทนชื่อของคนๆหนึ่ง ตัวเลขของเขาคือหกร้อยหกสิบหก
การตัดสินชนชาติอื่นๆ
9 ถ้อยคำของพระยาห์เวห์ ต่อต้านแผ่นดินหัดรากและเพ่งเล็งเมืองดามัสกัส เพราะพระยาห์เวห์เฝ้าดูว่าคนเขาทำอะไรกันในอารัม เหมือนกับที่พระองค์เฝ้าดูเผ่าต่างๆของอิสราเอล[a] 2 ถ้อยคำนี้ได้ต่อต้านเมืองฮามัทซึ่งมีพรมแดนติดกับดามัสกัสและยังต่อต้านเมืองไทระกับเมืองไซดอนด้วย ทั้งๆที่พวกเขาเฉลียวฉลาดมาก 3 เมืองไทระสร้างป้อมปราการสำหรับตัวเอง มันสะสมเงินไว้เป็นกองพะเนินเหมือนฝุ่นและสะสมทองไว้เป็นกองพะเนินเหมือนผงดินที่อยู่ตามถนนต่างๆ 4 องค์เจ้าชีวิตจะขับไล่เธอออกไป พระองค์จะซัดป้อมปราการของเธอลงไปในทะเล[b] และไทระจะถูกไฟเผาเป็นเถ้าถ่านไป
5 เมืองอัชเคโลน[c] จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับไทระและจะกลัว เมืองกาซาก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เหมือนกัน และจะดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เมืองเอโครนก็จะดิ้นทุรนทุรายเหมือนกัน เพราะความคาดหวังของเธอเหือดแห้งไปเสียแล้ว จะไม่มีกษัตริย์ในกาซาอีกแล้ว และอัชเคโลนก็จะไม่มีผู้คนอาศัยอีกต่อไป 6 พวกลูกผสมจะมาอาศัยอยู่ในอัชโดด และเราจะทำลายความเย่อหยิ่งจองหองของคนฟีลิสเตียให้หมดไป 7 เราจะเอาเนื้อที่ยังมีเลือดติดอยู่ออกจากปากของเขา เราจะเอาของที่น่าขยะแขยงออกจากซี่ฟันของเขา และคนฟีลิสเตียที่ยังเหลืออยู่จะเป็นของพระเจ้าของเรา[d] พวกเขาจะมีฐานะเหมือนกับตระกูลหนึ่งของยูดาห์และชาวเอโครนจะเป็นเหมือนคนเยบุส[e] 8 เราจะตั้งค่ายที่วิหารของเราเหมือนเป็นเมืองหน้าด่าน เราจะคอยป้องกันไม่ให้คนบุกรุกเข้ามา และผู้กดขี่จะไม่มีวันได้เข้ามาข่มเหงพวกเขาอีกต่อไป เพราะตอนนี้เรากำลังเฝ้าดูอยู่ด้วยตาของเราเอง
กษัตริย์ในอนาคต
9 ศิโยน ลูกสาวเอ๋ย ให้ชื่นชมยินดีอย่างสุดใจเถิด
เยรูซาเล็ม ลูกสาวเอ๋ย โห่ร้องด้วยความยินดีเถิด
ดูสิ กษัตริย์ของเธอมาหาเธอแล้ว
พระองค์ให้ความเป็นธรรมและมีชัยชนะ
พระองค์นั้นถ่อมสุภาพและขี่อยู่บนหลังลา ขี่บนลาหนุ่ม ลูกของแม่ลา
10 เราจะกำจัดพวกรถรบไปจากเอฟราอิม
เราจะกำจัดพวกม้าศึกไปจากเยรูซาเล็ม
ธนูสงครามจะถูกกำจัดให้หมดไป
กษัตริย์องค์นั้นจะเจรจาสงบศึกระหว่างประชาชาติทั้งหลาย
ท่านจะปกครองจากทะเลฟากหนึ่งไปถึงทะเลอีกฟากหนึ่ง
และจากแม่น้ำยูเฟสติสไปถึงสุดปลายโลก
พระยาห์เวห์จะช่วยกู้คนของพระองค์
11 ส่วนเจ้า เยรูซาเล็ม เราได้ใช้เลือดเพื่อยืนยันข้อตกลงกับเจ้า[f]
เราจะปลดปล่อยคนของเจ้าที่เป็นนักโทษนั้นออกจากบ่อที่ไม่มีน้ำ
12 พวกเจ้า นักโทษเอ๋ย กลับไปยังป้อมปราการของเจ้าซะ
ตอนนี้พวกเจ้ามีความหวังแล้ว
วันนี้ เราขอประกาศว่า
เราจะคืนให้กับเจ้าเป็นสองเท่าสำหรับสิ่งที่ถูกยึดไปนั้น
13 เพราะเราได้โก่งยูดาห์เหมือนคันธนู
เราได้ใส่เอฟราอิมเป็นลูกธนู
ศิโยนเอ๋ย เราจะแกว่งลูกๆของเจ้าไปรอบๆเหมือนดาบของนักรบผู้กล้าเพื่อต่อสู้กับพวกเจ้าชาวกรีซ
14 พระยาห์เวห์จะมาปรากฏเหนือพวกเขา
ลูกธนูของพระองค์จะพุ่งออกมาเหมือนฟ้าแลบ
พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต จะเป่าแตรประจัญบาน
และพระองค์จะลุยไปข้างหน้าอย่างพายุทะเลทรายจากทิศใต้
15 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นจะปกป้องพวกเขา
แล้วคนของพระยาห์เวห์จะชนะพวกศัตรูอย่างราบคาบด้วยหินที่เหวี่ยงจากเชือกหนัง
พวกเขาจะดื่มและร้องตะโกนเหมือนพวกเมาเหล้าองุ่น
และเต็มอิ่มเหมือนชามเลือดจากการถวายสัตวบูชา
พวกเขาจะโชกไปด้วยเลือดเหมือนตามมุมของแท่นบูชา
16 ในวันนั้น พระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขา จะช่วยกู้คนของพระองค์
เหมือนคนเลี้ยงแกะช่วยแกะของเขาให้รอดพ้น
พวกเขาเป็นเหมือนเพชรพลอยบนมงกุฎ
ส่องแสงระยิบระยับบนแผ่นดินของพระองค์
17 คนของพระยาห์เวห์นั้นช่างมีเสน่ห์และสวยงามเสียจริงๆ
คนหนุ่มและหญิงสาวจะแข็งแรงและมีสุขภาพดี
เพราะมีข้าวและเหล้าองุ่นใหม่อย่างเหลือเฟือ
พระเยซูและเพื่อนๆอยู่ที่เบธานี
(มธ. 26:6-13; มก. 14:3-9)
12 หกวันก่อนถึงเทศกาลวันปลดปล่อย พระเยซูไปที่หมู่บ้านเบธานีเพื่อหาลาซารัส คนที่พระองค์ทำให้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย 2 ลาซารัส และพี่สาวของเขาได้เตรียมอาหารเย็นไว้ต้อนรับพระองค์ มารธาก็คอยให้บริการแขก ลาซารัสนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะเดียวกับพระเยซู 3 มารีย์เอาน้ำมันหอมนาระดา[a] บริสุทธิ์ที่มีราคาแพงมากครึ่งลิตรมาเทลงที่เท้าทั้งสองข้างของพระเยซู และใช้ผมของตัวเองเช็ดเท้าของพระองค์จนแห้ง บ้านทั้งหลังก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันหอม
4 ยูดาส อิสคาริโอท ศิษย์คนหนึ่งของพระเยซูที่ต่อมาได้ทรยศพระองค์พูดว่า 5 “ทำไมไม่เอาน้ำมันหอมไปขาย แล้วเอาเงินมาแจกจ่ายให้กับคนจน คงจะขายได้เงินเท่ากับค่าแรงเป็นปี[b] เชียวนะ” 6 (ที่ยูดาสพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงคนจน แต่เพราะเขาเป็นหัวขโมย ชอบยักยอกเงินในถุงส่วนรวมที่เขาเป็นคนดูแล)
7 พระเยซูพูดว่า “อย่ายุ่งกับนาง นางทำถูกแล้วล่ะที่ได้เก็บน้ำมันหอมนั้นไว้จนถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันเตรียมฝังศพของเรา 8 คุณจะมีคนจนอยู่ด้วยเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับพวกคุณเสมอไป”
แผนฆ่าลาซารัส
9 เมื่อคนยิวเป็นจำนวนมากรู้ว่าพระเยซูอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี พวกเขาก็พากันไปที่นั่น ไม่ใช่จะมาหาพระเยซูเท่านั้น แต่อยากจะมาดูลาซารัส คนที่พระองค์ทำให้ฟื้นขึ้นจากความตายด้วย 10 ดังนั้นพวกหัวหน้านักบวชจึงได้วางแผนฆ่าลาซารัสด้วย 11 เพราะเรื่องที่เกิดกับลาซารัสทำให้พวกยิวหลายคนทิ้งหัวหน้านักบวชพวกนั้น แล้วมาไว้วางใจพระเยซู
พระเยซูเข้าเมืองเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์
(มธ. 21:1-11; มก. 11:1-11; ลก. 19:28-40)
12 วันต่อมาคนจำนวนมากที่มาร่วมงานเทศกาลวันปลดปล่อยได้ยินว่า พระเยซูกำลังเดินทางมาที่เมืองเยรูซาเล็ม 13 พวกเขาก็พากันถือกิ่งปาล์มออกไปต้อนรับพระองค์ และร้องตะโกนว่า
14 พระเยซูเจอลาหนุ่มตัวหนึ่งจึงขึ้นขี่ เหมือนกับที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
15 “เมืองศิโยนเอ๋ย ไม่ต้องกลัว
ดูนั่นสิ กษัตริย์ของเจ้ากำลังมา
พระองค์ขี่หลังลาหนุ่ม”[e]
16 (ในตอนแรกพวกศิษย์ของพระองค์ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์นี้ แต่เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายและรับเกียรติอันยิ่งใหญ่แล้ว พวกเขาถึงนึกขึ้นได้ว่าพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า พวกเขาจะทำอย่างนี้ต่อพระเยซู)
17 คนจำนวนมากที่อยู่กับพระเยซูตอนที่พระองค์เรียกลาซารัสออกมาจากอุโมงค์ฝังศพและทำให้เขาฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ได้พูดต่อๆกันไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น 18 ทำให้มีคนจำนวนมากพากันมาหาพระเยซู เพราะได้ยินถึงสิ่งอัศจรรย์นี้ 19 พวกฟาริสี จึงพูดกันว่า “เห็นไหม แผนของพวกเราที่จะต่อต้านเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า โลกทั้งโลกไปติดตามเขาหมดแล้ว”
พระเยซูพูดถึงชีวิตและความตาย
20 ในช่วงเทศกาลวันปลดปล่อยมีพวกกรีกบางคนมากราบไหว้บูชาพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มด้วย 21 พวกกรีกได้ไปหาฟีลิป ที่มาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพูดว่า “คุณครับ พวกเราอยากจะเจอพระเยซู” ฟีลิปบอกอันดรูว์ 22 แล้วเขาทั้งสองก็ไปบอกพระเยซู
23 พระเยซูบอกเขาทั้งสองว่า “ถึงเวลาแล้วที่พระเจ้าจะแสดงให้เห็นว่า บุตรมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน 24 เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าเมล็ดพืชไม่ตกลงดินและตาย มันก็จะเป็นแค่เมล็ดเดียวเหมือนเดิม แต่ถ้ามันตาย มันจะงอกเป็นเมล็ดพืชอีกมากมาย 25 คนที่รักชีวิตของตนเองก็จะสูญเสียชีวิตไป แต่คนที่เกลียดชีวิตของตนในโลกนี้ก็จะได้รักษาชีวิตไว้ให้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป 26 ถ้าใครรับใช้เรา เขาก็จะต้องติดตามเราไปไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม คนรับใช้ของเราก็จะต้องอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใครรับใช้เรา พระบิดาก็จะให้เกียรติคนนั้น”
พระเยซูพูดถึงความตายของพระองค์
27 “ตอนนี้เรากำลังกลุ้มใจมากจนไม่รู้จะพูดยังไงดี จะให้เราพูดว่า ‘พระบิดา ช่วยลูกให้พ้นจากช่วงเวลาแห่งความทุกข์นี้ด้วย’ อย่างนั้นหรือ เราเข้ามาในโลกนี้ก็เพื่อจะทนต่อความทุกข์นี้ 28 พระบิดา ขอให้คนเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังมาจากสวรรค์ว่า “เราได้ทำอย่างนั้นแล้ว และเราจะทำต่อไป”
29 คนที่อยู่ที่นั่นได้ยินเสียงจากท้องฟ้า บางคนบอกว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง ส่วนคนอื่นบอกว่า “ทูตสวรรค์พูดกับเขา”
30 พระเยซูจึงบอกว่า “เสียงที่ได้ยินนั้น เกิดขึ้นเพื่อพวกคุณไม่ใช่เพื่อเรา 31 ถึงเวลาที่โลกนี้จะถูกตัดสินแล้ว เจ้าผู้ครอบครองโลกนี้[f] จะถูกขับไล่ออกไป 32 เมื่อเราถูกยกขึ้น[g] จากแผ่นดินโลก เราก็จะทำให้ทุกๆคนมาหาเรา” 33 (พระองค์พูดอย่างนี้ เพื่อบอกให้รู้ว่าพระองค์จะต้องตายแบบไหน)
34 ฝูงชนจึงพูดขึ้นมาว่า “ก็ไหนพระคัมภีร์บอกว่า พระคริสต์ จะมีชีวิตตลอดไป แล้วทำไมท่านมาพูดว่า ‘บุตรมนุษย์ต้องถูกยกขึ้น’ ‘บุตรมนุษย์’ คือใครหรือ”
35 พระเยซูบอกว่า “ความสว่างจะอยู่กับพวกคุณอีกประเดี๋ยวเดียว เพราะฉะนั้นให้เดินในขณะที่ยังมีความสว่างอยู่ เพื่อเมื่อความมืดมาถึง มันจะได้ไม่ปกคลุมพวกคุณ เพราะคนที่เดินอยู่ในความมืดจะมองไม่เห็นว่าจะไปทางไหน 36 ให้ไว้วางใจในความสว่างนั้นในขณะที่พวกคุณยังมีความสว่างอยู่ แล้วพวกคุณจะได้เป็นลูกของความสว่าง” เมื่อพูดจบแล้วพระองค์ก็จากไป และได้ซ่อนตัวจากฝูงชน
พวกยิวส่วนใหญ่ไม่เชื่อพระเยซู
37 ทั้งๆที่พระเยซูทำสิ่งอัศจรรย์มากมายต่อหน้าฝูงชน แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์ 38 ซึ่งเป็นจริงตามที่อิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้าได้พูดไว้ว่า
“องค์เจ้าชีวิต มีใครบ้างที่เชื่อเรื่องที่เราบอก
มีใครบ้างที่เห็นฤทธิ์อำนาจขององค์เจ้าชีวิต”[h]
39 และที่พวกเขาไม่เชื่อก็เพราะพระเจ้าได้พูดผ่านทางอิสยาห์ว่า
40 “เราทำให้ตาของพวกเขาบอด และใจของพวกเขาดื้อด้าน
เพื่อตาของพวกเขาจะได้มองไม่เห็น
และจิตใจของพวกเขาจะได้ไม่เข้าใจ
พวกเขาจึงไม่ได้หันกลับมาหาเราเพื่อให้เรารักษา”[i]
41 อิสยาห์พูดอย่างนี้เพราะเขาเห็นแล้วว่าต่อไปภายหน้าพระเยซูจะยิ่งใหญ่แค่ไหน
42 มีพวกยิวหลายคนรวมทั้งพวกผู้นำชาวยิวได้มาเชื่อพระเยซู แต่พวกเขาไม่กล้ายอมรับพระองค์อย่างเปิดเผย เพราะกลัวพวกฟาริสี และไม่อยากถูกไล่ออกจากที่ประชุมชาวยิว 43 พวกเขารักเกียรติที่มาจากมนุษย์มากกว่าเกียรติที่มาจากพระเจ้า
คำสอนของพระเยซูตัดสินประชาชน
44 พระเยซูได้ตะโกนว่า “ใครไว้วางใจเรา ไม่ใด้แค่ไว้วางใจในตัวเราเท่านั้น แต่ก็ไว้วางใจพระบิดาผู้ที่ส่งเรามาด้วย 45 คนที่มองเห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย 46 เราเข้ามาเป็นแสงสว่างให้กับโลกนี้เพื่อว่าทุกคนที่ไว้วางใจเราจะไม่อยู่ในความมืดอีกต่อไป 47 ส่วนคนที่ฟังคำสั่งสอนของเราแต่ไม่ทำตาม เราก็ไม่ตัดสินลงโทษเขาหรอก เพราะเราไม่ได้มาเพื่อตัดสินลงโทษโลกนี้ แต่เรามาเพื่อจะช่วยโลกนี้ให้รอด 48 แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่จะตัดสินลงโทษคนที่ไม่ยอมรับเราและคำพูดของเรา นั่นก็คือคำพูดของเรานี้เองที่จะลงโทษคนเหล่านั้นในวันสุดท้าย[j] 49 เพราะคำพูดเหล่านี้เราไม่ได้พูดเอาเอง แต่พระบิดาผู้ที่ส่งเรามาเป็นผู้สั่งให้พูด 50 และเราก็รู้ว่าคำสั่งนี้ของพระองค์จะนำไปถึงชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป เราถึงพูดตามที่พระบิดาสั่ง”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International