Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศาวดาร 22-23

กษัตริย์อาหัสยาห์ปกครองยูดาห์

(2 พกษ. 8:25-29; 9:14-16, 27-29)

22 ประชาชนในเมืองเยรูซาเล็มยกอาหัสยาห์[a]ลูกชายคนเล็กของเยโฮรัมขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากเยโฮรัม เพราะคนเหล่านั้นกับคนอาหรับที่มาบุกรุกค่าย ได้ฆ่าลูกชายคนอื่นๆของเยโฮรัมไปหมดแล้ว ดังนั้นอาหัสยาห์ลูกชายของกษัตริย์เยโฮรัมแห่งยูดาห์จึงได้เริ่มปกครองในยูดาห์ อาหัสยาห์มีอายุยี่สิบสองปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์[b] และเขาครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเป็นเวลาหนึ่งปี แม่ของเขามีชื่อว่าอาธาลิยาห์เป็นหลานสาวของอมรี อาหัสยาห์เองก็เดินตามรอยของครอบครัวของอาหับ เพราะแม่ของเขาหนุนให้เขาทำในสิ่งที่ชั่ว อาหัสยาห์ทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ เหมือนกับที่ครอบครัวของอาหับเคยทำ เพราะหลังจากที่พ่อของอาหัสยาห์ตาย ครอบครัวของอาหับก็เป็นผู้แนะนำเขาให้ทำในสิ่งที่ชั่วร้าย อาหัสยาห์ได้ทำตามคำแนะนำของครอบครัวอาหับ เขาไปกับโยรัมลูกชายของกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอล เพื่อทำสงครามกับกษัตริย์ฮาซาเอลแห่งอารัม ที่ราโมท-กิเลอาด พวกชาวอารัมทำร้ายโยรัมจนได้รับบาดเจ็บ โยรัมจึงกลับไปยิสราเอลเพื่อรักษาบาดแผลของเขา ที่เกิดจากการต่อสู้กับกษัตริย์ฮาซาเอลแห่งอารัมที่เมืองราโมท-กิเลอาด

แล้วอาหัสยาห์ลูกชายของกษัตริย์เยโฮรัมแห่งยูดาห์ก็ลงไปที่ยิสเรเอลเพื่อเยี่ยมเยียนโยรัมลูกชายของอาหับ เพราะโยรัมบาดเจ็บอยู่

จากการที่อาหัสยาห์ไปเยี่ยมเยียนโยรัม พระเจ้าก็ได้นำความหายนะมาสู่อาหัสยาห์ เมื่ออาหัสยาห์มาถึง เขาออกไปกับโยรัมเพื่อไปสู้รบกับเยฮูลูกชายของนิมชี พระยาห์เวห์ได้แต่งตั้งเยฮูขึ้นมา เพื่อให้ทำลายครอบครัวของอาหับ ในขณะที่เยฮูกำลังลงมือฆ่าครอบครัวของอาหับ เขาก็พบพวกผู้นำของยูดาห์และพวกญาติๆของอาหัสยาห์ที่เข้าร่วมกับอาหัสยาห์ เยฮูได้ฆ่าคนเหล่านั้นเสีย แล้วเขาได้เข้าไปค้นหาตัวอาหัสยาห์ คนของเยฮูจับตัวอาหัสยาห์ไว้ได้ในขณะที่เขากำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในสะมาเรีย อาหัสยาห์ถูกนำตัวมาพบกับเยฮู และพวกเขาก็ฆ่าอาหัสยาห์ แต่เขาฝังศพให้กับอาหัสยาห์ เพราะพวกเขาพูดกันว่า “เขาเป็นลูกหลานของเยโฮชาฟัทผู้ที่แสวงหาพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของเขา” แล้วไม่มีใครในครอบครัวของอาหัสยาห์ที่จะมีอำนาจเพียงพอที่จะรักษาอาณาจักรยูดาห์ไว้ได้อีก

ราชินีอาธาลิยาห์

(2 พกษ. 11:1-3)

10 เมื่อนางอาธาลิยาห์ที่เป็นแม่ของอาหัสยาห์เห็นว่าลูกชายของนางตายแล้ว นางจึงฆ่าลูกๆของกษัตริย์ทั้งหมดในยูดาห์ 11 แต่เยโฮชาเบอาทลูกสาวของกษัตริย์เยโฮรัมแอบอุ้มโยอาชลูกชายของอาหัสยาห์ออกไปจากเจ้าชายทั้งหลายที่กำลังจะถูกฆ่า และนางได้ซ่อนตัวโยอาชกับพี่เลี้ยงของเขาไว้ในห้องนอนห้องหนึ่ง เยโฮชาเบอาทเป็นลูกสาวของกษัตริย์เยโฮรัม และเป็นเมียของนักบวชเยโฮยาดา และนางก็ยังเป็นน้องสาวของอาหัสยาห์ นางซ่อนเด็กคนนั้นไว้จากนางอาธาลิยาห์ นางอาธาลิยาห์จึงไม่สามารถฆ่าโยอาชได้ 12 โยอาชยังคงซ่อนตัวอยู่กับพวกเขาในวิหารของพระเจ้าเป็นเวลาหกปี ในขณะที่นางอาธาลิยาห์ปกครองแผ่นดินอยู่

นักบวชเยโฮยาดากับกษัตริย์โยอาช

(2 พกษ. 11:4-21)

23 ในปีที่เจ็ด นักบวชเยโฮยาดาได้แสดงความแข็งแกร่งของเขา เขาทำข้อตกลงกับพวกนายร้อยทั้งหลาย คือ อาซาริยาห์ลูกชายของเยโรฮัม อิชมาเอลลูกชายของเยโฮฮานัน อาซาริยาห์ลูกชายของโอเบด มาอาเสอาห์ลูกชายของอาดายาห์ และเอลีชาฟัทลูกชายของศิครี พวกเขาไปทั่วทั้งยูดาห์ และไปรวบรวมชาวเลวีและพวกผู้นำครอบครัวชาวอิสราเอลมาจากทุกเมือง เมื่อพวกเขามาถึงเมืองเยรูซาเล็ม คนที่มาชุมนุมทั้งหมดได้ให้คำมั่นสัญญากับกษัตริย์ที่วิหารของพระเจ้า

เยโฮยาดาพูดกับพวกเขาว่า “ลูกชายของกษัตริย์จะต้องครองบัลลังก์เหมือนที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาไว้เกี่ยวกับพวกลูกหลานของดาวิด ต่อไปนี้คือสิ่งที่พวกท่านจะต้องทำ หนึ่งในสามของพวกท่านที่เป็นนักบวชและชาวเลวีที่กำลังอยู่เวรในวันหยุดทางศาสนาจะต้องเฝ้าดูแลอยู่ที่ประตูทั้งหลาย อีกหนึ่งในสามของพวกท่านให้เฝ้าอยู่ที่วังกษัตริย์ และอีกหนึ่งในสามที่เหลือให้เฝ้าอยู่ตรงประตูฐานราก และคนอื่นๆที่เหลือจะต้องอยู่ที่ลานของวิหารของพระยาห์เวห์ ห้ามใครเข้าในวิหารของพระยาห์เวห์ ยกเว้นพวกนักบวชและชาวเลวีที่อยู่เวร พวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ เพราะว่าพวกเขาบริสุทธิ์ แต่คนอื่นๆต้องคอยเฝ้าตามจุดที่พระยาห์เวห์ได้มอบหมายให้พวกเขาอยู่ พวกชาวเลวีต้องอยู่ใกล้ๆกษัตริย์ ทุกคนจะต้องมีอาวุธอยู่ในมือ ใครก็ตามที่บุกรุกเข้าไปในวิหารจะต้องถูกฆ่า อยู่ให้ใกล้กับกษัตริย์ไว้ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม”

พวกชาวเลวีและคนของยูดาห์ทั้งหมดทำตามคำสั่งของนักบวชเยโฮยาดา แต่ละคนพาคนของเขามา คือทั้งพวกที่อยู่เวรในวันหยุดทางศาสนา และพวกที่กำลังจะออกเวร เพราะนักบวชเยโฮยาดาไม่ปล่อยให้ใครว่างเลย แล้วเขาก็มอบหอกกับโล่ใหญ่และโล่เล็กที่เคยเป็นของกษัตริย์ดาวิด ที่เก็บอยู่ในวิหารของพระเจ้าให้กับพวกนายร้อย 10 เขาได้วางกำลังคนทั้งหมดประจำที่ แต่ละคนถืออาวุธพร้อมมือ เฝ้าอยู่รอบๆตัวกษัตริย์ ใกล้กับแท่นบูชาและวิหาร ตั้งแต่ทิศใต้จดทิศเหนือของวิหาร 11 เยโฮยาดากับพวกลูกชายของเขานำตัวโยอาชลูกชายของกษัตริย์ออกมา และสวมมงกุฎไว้บนหัวของโยอาช พวกเขามอบสำเนาข้อตกลง[c] ให้กับกษัตริย์ และประกาศให้โยอาชเป็นกษัตริย์ พวกเขาเจิมแต่งตั้งโยอาชและตะโกนออกมาว่า “ขอให้กษัตริย์จงเจริญ”

12 เมื่อนางอาธาลิยาห์ได้ยินเสียงอึกทึกของประชาชนที่กำลังวิ่งและโห่ร้องให้กับกษัตริย์ นางออกไปหาพวกเขาที่วิหารของพระยาห์เวห์ 13 นางมองออกไปและเห็นกษัตริย์องค์นั้นยืนอยู่ข้างเสาของเขาที่ทางเข้า มีพวกเจ้าหน้าที่และคนเป่าแตรอยู่ข้างๆกษัตริย์ และประชาชนทั้งหมดบนแผ่นดินนั้นก็กำลังสนุกสนานรื่นเริงและเป่าแตรกัน พวกนักร้องกับนักดนตรีก็กำลังร้องนำบทสรรเสริญ นางอาธาลิยาห์จึงฉีกเสื้อของนางออก[d] และตะโกนว่า “พวกทรยศ พวกทรยศ”

14 นักบวชเยโฮยาดาได้ส่งพวกนายร้อยที่ดูแลกองทัพ เขาพูดกับพวกนั้นว่า “นำตัวนางออกไปจากท่ามกลางกองทัพและฆ่าทุกคนที่ติดตามนาง” เพราะนักบวชพูดว่า “อย่าฆ่านางในวิหารของพระยาห์เวห์” 15 ดังนั้น พวกเขาจึงจับตัวนางไว้ได้ ตอนที่นางวิ่งไปถึงทางเข้าของประตูม้า ในเขตวัง พวกเขาจับนางและฆ่านางที่นั่น

16 แล้วเยโฮยาดาก็ได้ทำสัญญาว่า เขาและประชาชนทั้งหมดรวมทั้งกษัตริย์จะเป็นประชาชนของพระยาห์เวห์ 17 ประชาชนทั้งหมดไปที่วิหารของพระบาอัลและรื้อมันทิ้ง พวกเขาทุบพวกแท่นบูชา และรูปเคารพทั้งหลาย และฆ่ามัทธานที่เป็นนักบวชของพระบาอัลที่หน้าแท่นบูชาเหล่านั้น

18 แล้วเยโฮยาดาก็ได้ตั้งให้นักบวชชาวเลวีดูแลวิหารของพระยาห์เวห์ ตามที่ดาวิดเคยมอบหมายงานนี้ให้กับพวกเขาทำ พวกนี้จะต้องถวายเครื่องเผาบูชาทั้งตัว ให้กับพระยาห์เวห์ ตามกฎของโมเสส ด้วยใจชื่นบานและร้องเพลงตามที่ดาวิดได้สั่งไว้ 19 เยโฮยาดายังจัดเวรยามไว้เฝ้าประตูต่างๆของวิหารของพระยาห์เวห์ เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไม่บริสุทธิ์เข้ามาในวิหาร

20 เยโฮยาดาพาพวกนายร้อย พวกขุนนาง พวกผู้ปกครองประชาชนและประชาชนของดินแดนนี้ทั้งหมดรวมทั้งกษัตริย์ลงมาจากวิหารของพระยาห์เวห์ พวกเขาเข้าไปในวังผ่านทางประตูด้านบนและให้กษัตริย์นั่งบนบัลลังก์ 21 และประชาชนทั้งหมดของแผ่นดินต่างก็รื่นเริงยินดีกัน เมืองทั้งเมืองก็สงบสุขเพราะนางอาธาลิยาห์ถูกฆ่าตายด้วยดาบแล้ว

วิวรณ์ 10

ทูตสวรรค์และหนังสือม้วน

10 ผมได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากอีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีเมฆปกคลุมตัวและมีรุ้งอยู่รอบหัว ใบหน้าเหมือนดวงอาทิตย์ และมีขาเหมือนเสาไฟ ในมือของท่านมีหนังสือม้วนเล็กๆที่คลี่เปิดอยู่ เท้าขวาของท่านเหยียบอยู่บนทะเล ส่วนเท้าซ้ายเหยียบอยู่บนแผ่นดิน ท่านร้องเสียงดังเหมือนสิงโตคำราม และเมื่อร้อง เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดเสียงก็ดังขึ้น เมื่อเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังขึ้น ผมเริ่มจะเขียน แต่ผมได้ยินเสียงจากสวรรค์ดังขึ้นเสียก่อนว่า “เก็บสิ่งที่ฟ้าร้องทั้งเจ็ดได้พูดไว้เป็นความลับ อย่าได้เขียนลงไป”

จากนั้นทูตสวรรค์ที่ผมเห็นยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนแผ่นดินนั้น ได้ชูมือขวาของท่านขึ้นฟ้า สาบานโดยอ้างถึงพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ตลอดไป ผู้สร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในพวกมันด้วย ทูตสวรรค์สาบานว่า “พระเจ้าจะไม่รอช้าอีกต่อไปแล้วที่จะทำตามแผนของพระองค์” ในเวลาที่ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดจะเป่าแตรนั้น พระเจ้าจะทำให้แผนการอันลึกลับของพระองค์สำเร็จตามที่พระองค์ได้ประกาศไว้กับพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์

จากนั้นเสียงที่ผมได้ยินจากสวรรค์ก็บอกผมอีกครั้งหนึ่งว่า “ไปรับม้วนหนังสือที่คลี่เปิดอยู่ในมือของทูตสวรรค์ที่ยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนแผ่นดินสิ” ผมจึงไปหาทูตสวรรค์องค์นั้นและขอหนังสือม้วนเล็กนั้น ท่านบอกว่า “เอาไปกิน มันจะมีรสขมเมื่ออยู่ในท้อง แต่เมื่ออยู่ในปากมันจะมีรสหวานเหมือนน้ำผึ้ง” 10 ผมจึงรับหนังสือม้วนจากมือทูตสวรรค์มากิน เมื่อมันอยู่ในปากผมก็มีรสหวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่เมื่อตกถึงท้องก็กลับกลายเป็นขม 11 มีผู้หนึ่งบอกผมว่า “เจ้าจะต้องประกาศคำตัดสินของพระเจ้าต่อเชื้อชาติทั้งหลาย ชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆและพวกกษัตริย์ทั้งหลาย”

เศคาริยาห์ 6

นิมิตที่แปด: รถม้าสี่คัน

ผมเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้งหนึ่ง ผมเห็นรถรบสี่คันออกมาจากระหว่างภูเขาทองสัมฤทธิ์สองลูก รถรบคันแรกมีพวกม้าสีแดงลาก รถรบคันที่สองมีพวกม้าสีดำลาก รถรบคันที่สามมีพวกม้าสีขาวลาก และรถรบคันที่สี่มีพวกม้าที่เป็นจุดด่างๆลาก ม้าทุกตัวเป็นม้าที่แข็งแรง

จากนั้นผมถามทูตสวรรค์ที่พูดอยู่กับผมว่า “พวกนี้หมายถึงอะไรกันครับท่าน”

ทูตสวรรค์ตอบว่า “พวกนี้คือลมสี่ทิศจากฟ้าสวรรค์ที่กำลังออกไป หลังจากยืนประจำการอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์เจ้าของโลกนี้ พวกม้าสีดำกำลังออกไปทางทิศเหนือ พวกม้าสีขาวกำลังออกไปทางทิศตะวันตก และพวกม้าจุดด่างกำลังออกไปทางทิศใต้”[a]

พวกม้าที่แข็งแรงพวกนี้ออกมา พวกมันอยากจะท่องตรวจตราไปในโลกนี้ พระยาห์เวห์จึงพูดว่า “ไปเลย ไปท่องตรวจตราโลก” พวกมันจึงท่องตรวจตราไปในโลกนี้

พระองค์เรียกผมเข้าไปหาและพูดกับผมว่า “ดูม้าพวกนั้นที่เดินทางไปทางเหนือสิ พวกมันได้ทำให้ความโกรธของเราสงบลงที่นั่น”

โยชูวานักบวชสูงสุดได้รับมงกุฎ

พระคำของพระยาห์เวห์ที่มาถึงผมพูดว่า 10 “เฮลดัย โทบียาห์ และเยดายาห์ เพิ่งกลับมาจากการถูกเนรเทศไปบาบิโลน ไปเอาเงินและทองจากพวกเขาสิ และในวันเดียวกันนั้นให้เจ้าไปบ้านของโยสิยาห์ลูกชายของเศฟันยาห์ 11 ให้เอาเงินและทองนั้นมาทำเป็นมงกุฎสองอัน และให้เอามงกุฎอันหนึ่งไปสวมหัวของโยชูวานักบวชสูงสุด ลูกชายของเยโฮซาดัก 12 และให้บอกกับโยชูวาว่า

พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า
    ‘ดูสิ นี่คือชายชื่อ “กิ่ง”
เขาจะแผ่กิ่งของเขาออกมาในที่ที่เขาอยู่
    และเขาจะสร้างวิหารของพระยาห์เวห์
13 คนนี้แหละจะเป็นคนสร้างวิหารของพระยาห์เวห์
    คนนี้แหละจะเป็นคนได้รับเกียรติ
เขาจะนั่งและปกครองอยู่บนบัลลังก์ของเขา
    และจะมีนักบวชคนหนึ่งอยู่ข้างๆบัลลังก์ของเขา
ชายทั้งสองคนนี้จะทำงานร่วมกันอย่างกลมเกลียว’

14 และมงกุฎอีกอันหนึ่งจะเป็นเครื่องเตือนใจในวิหารของพระยาห์เวห์ให้กับ เฮลดัย โทบียาห์ เยดายาห์ และโยสิยาห์ลูกของเศฟันยาห์

15 คนที่อยู่ไกลๆจะได้มาช่วยกันสร้างวิหารของพระยาห์เวห์ แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นได้ส่งผมมาหาเจ้า และสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ถ้าพวกเจ้าจะเชื่อฟังเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าอย่างเต็มที่”

ยอห์น 9

พระเยซูรักษาคนที่ตาบอดตั้งแต่เกิด

เมื่อพระเยซูกำลังเดินอยู่นั้น ก็เห็นชายคนหนึ่งที่เกิดมาตาบอด พวกศิษย์ของพระองค์ถามว่า “อาจารย์ ที่เขาเกิดมาตาบอดเพราะบาปกรรมของเขา หรือของพ่อแม่เขาครับ”

พระเยซูตอบว่า “ไม่ใช่บาปกรรมของเขาหรือของพ่อแม่เขาหรอก แต่ที่เขาตาบอดก็เพื่อทุกคนจะได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ที่พระเจ้าจะทำให้กับเขา พวกเราต้องทำงานของพระองค์ผู้ที่ส่งเรามาในตอนกลางวัน เพราะกลางคืนกำลังมาและจะไม่มีใครทำงานได้ ขณะที่เรายังอยู่ในโลกนี้ เราเป็นความสว่างของโลก”

เมื่อพระองค์พูดแล้ว ก็ถ่มน้ำลายผสมกับดินเคล้ากันเป็นโคลน แล้วเอามาทาที่ตาของชายตาบอด พระองค์บอกเขาว่า “ไปล้างโคลนออกที่สระสิโลอัม” (คำว่าสิโลอัม หมายถึงส่งไป) ชายคนนั้นไปล้างโคลนออก เมื่อล้างแล้วกลับมา เขาก็สามารถมองเห็นได้

ดังนั้นเพื่อนบ้านของชายตาบอดและคนอื่นๆที่เคยเห็นเขาเป็นขอทานมาก่อน ต่างก็พูดกันว่า “คนนี้เป็นคนที่เคยนั่งขอทานอยู่ไม่ใช่หรือ”

บางคนก็บอกว่า “ใช่ เขานั่นแหละ” คนอื่นๆบอกว่า “ไม่ใช่เขาหรอก แต่เป็นคนอื่นที่มีหน้าตาคล้ายเขา” ชายคนนั้นบอกว่า “เป็นผมเองครับ”

10 พวกเขาถามว่า “แล้วมองเห็นได้ยังไง”

11 เขาตอบว่า “ชายที่ชื่อเยซู ได้ทำโคลนเอามาทาที่ตาของผม และเขาบอกว่า ‘ไปล้างโคลนออกที่สระสิโลอัม’ ผมก็ไปล้างโคลนออกที่สระนั้น และตาของผมก็มองเห็น”

12 คนเหล่านั้นถามว่า “แล้วชายคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ”

เขาก็ตอบว่า “ผมไม่รู้”

พวกฟาริสีสอบสวนคนตาบอดที่พระเยซูรักษา

13 คนเหล่านั้นพาชายที่เคยตาบอดนี้ ไปหาพวกฟาริสี 14 (วันที่พระเยซูทำโคลนรักษาชายตาบอดเป็นวันหยุดทางศาสนา) 15 พวกฟาริสีถามเขาว่า เขามองเห็นได้อย่างไร

เขาก็ตอบว่า “เขาเอาโคลนมาทาที่ตาของผม แล้วผมก็ไปล้างโคลนออก และตอนนี้ผมก็มองเห็นแล้ว”

16 พวกฟาริสีบางคนก็พูดว่า “คนที่ทำอย่างนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าหรอก เพราะไม่ได้รักษากฎวันหยุดทางศาสนา” แต่คนอื่นๆพูดว่า “คนบาปจะทำสิ่งอัศจรรย์อย่างนี้ได้ยังไง” ดังนั้นพวกเขาก็เลยมีความเห็นขัดกันในเรื่องนี้

17 พวกฟาริสีถามชายที่เคยตาบอดอีกว่า “แกคิดว่าคนที่ทำให้ตาแกหายบอดเป็นใคร” เขาตอบว่า “เขาเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า”

18 พวกผู้นำชาวยิวไม่เชื่อว่าเขาเคยตาบอด แล้วตอนนี้มองเห็นได้ พวกเขาจึงเรียกพ่อแม่ของชายคนนี้มาถาม 19 ว่า “เขาเป็นลูกที่พวกเจ้าบอกว่าเกิดมาตาบอดใช่ไหม แล้วทำไมเขาถึงมองเห็นแล้ว”

20 พ่อแม่ของเขาตอบว่า “เรารู้ว่าเขาเป็นลูกของเราและเกิดมาตาบอด 21 แต่เราไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงมองเห็นได้และใครรักษาเขา ไปถามเขาเอาเองสิ เพราะเขาก็โตแล้วและเล่าเรื่องให้คุณฟังได้แล้ว” 22 (ที่พ่อแม่ของเขาพูดอย่างนี้ เพราะกลัวพวกผู้นำชาวยิว พวกผู้นำชาวยิวได้ตกลงกันก่อนแล้วว่า ใครพูดว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็จะถูกไล่ออกจากที่ประชุมชาวยิว 23 นั่นเป็นเหตุที่พ่อแม่ของเขาพูดว่า “เขาโตแล้ว ไปถามเขาเอาเองเถิด”)

24 พวกผู้นำชาวยิวจึงเรียกชายที่เคยตาบอดมาอีกเป็นครั้งที่สอง แล้วบอกว่า “แกต้องให้เกียรติกับพระเจ้าโดยพูดความจริง เรารู้ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป”

25 เขาก็ตอบว่า “ผมไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นคนบาปหรือเปล่า รู้แต่ว่าผมเคยตาบอดและตอนนี้มองเห็นแล้ว”

26 พวกเขาจึงถามชายที่เคยตาบอดว่า “เขาทำอะไรกับแกบ้าง เขารักษาตาแกยังไง”

27 เขาตอบว่า “ผมได้เล่าไปแล้วแต่พวกคุณไม่ยอมฟัง แล้วจะให้เล่าอีกทำไมล่ะ พวกคุณอยากจะเป็นศิษย์เขาด้วยหรือ”

28 พวกยิวจึงเยาะเย้ยเขาว่า “แกนี่แหละเป็นศิษย์ชายคนนั้น แต่พวกเราเป็นศิษย์ของโมเสส 29 เรารู้ว่าพระเจ้าได้พูดกับโมเสส แต่เราไม่รู้ว่าชายคนนั้นมาจากไหน”

30 ชายที่เคยตาบอดตอบกลับไปว่า “แปลกจริงๆนะที่พวกคุณไม่รู้ว่าเขามาจากไหน แต่เขาก็ทำให้ผมมองเห็นได้ 31 พวกเรารู้ว่าพระเจ้าไม่ฟังคนบาป พระองค์จะฟังคนที่ยำเกรงและทำตามพระองค์เท่านั้น 32 ยังไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนเลยว่า มีใครที่จะทำให้คนที่เกิดมาตาบอดมองเห็นได้ 33 ถ้าชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาก็จะทำอะไรแบบนี้ไม่ได้เลย”

34 พวกยิวจึงพูดกับชายที่เคยตาบอดว่า “แกเกิดมาบาปหนา แล้วยังคิดที่จะมาสั่งสอนพวกเราหรือ” แล้วพวกเขาก็ขับไล่ชายคนนั้นออกไปจากที่ประชุม

ตาบอดฝ่ายจิตวิญญาณ

35 เมื่อพระเยซูได้ยินว่าพวกเขาได้ขับไล่ชายที่เคยตาบอดนั้นออกมา พระองค์ก็ไปหาเขาและถามเขาว่า “คุณไว้วางใจบุตรมนุษย์ไหม”

36 เขาถามว่า “ใครคือบุตรมนุษย์หรือครับท่าน ผมจะได้ไว้วางใจเขาคนนั้น”

37 พระเยซูจึงบอกว่า “คุณก็เห็นเขาแล้ว เขาก็คือคนที่กำลังพูดอยู่กับคุณตอนนี้”

38 แล้วชายที่เคยตาบอดก็พูดออกมาว่า “องค์เจ้าชีวิต ผมไว้วางใจท่านครับ” แล้วเขาก็ก้มลงกราบพระเยซู

39 พระเยซูพูดว่า “เรามาเพื่อพิพากษาโลกนี้ เรามาเพื่อคนตาบอด[a] จะได้มองเห็น และเพื่อคนที่คิดว่าตัวเองมองเห็นจะกลายเป็นคนตาบอด”

40 พวกฟาริสีบางคนที่ยืนอยู่แถวๆนั้นได้ยินที่พระเยซูพูด ถามพระองค์ว่า “แน่นอน แกคงไม่ได้หาว่าพวกเราตาบอดด้วย ใช่ไหม”

41 พระเยซูจึงพูดว่า “ถ้าพวกคุณตาบอดก็จะไม่มีความผิดบาป แต่เพราะตอนนี้พวกคุณอ้างว่า ‘เรามองเห็น’ พวกคุณก็เลยยังคงอยู่ในความบาป”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International