M’Cheyne Bible Reading Plan
11 เมื่อเรโหโบอัมมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม เขาได้รวบรวมครอบครัวของยูดาห์และเบนยามิน ได้นักรบมาหนึ่งแสนแปดหมื่นคน เพื่อมาทำสงครามกับชาวอิสราเอล เพื่อแย่งชิงอาณาจักรคืนมาให้กับตัวเอง 2 แต่แล้วคำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเชไมอาห์ที่เป็นคนของพระเจ้าว่า 3 “ไปพูดกับเรโหโบอัมลูกชายของกษัตริย์ซาโลมอนแห่งยูดาห์และกับชาวอิสราเอลทั้งหมดในยูดาห์และในเบนยามินว่า 4 พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้ ‘อย่าขึ้นไปต่อสู้กับพี่น้องอิสราเอลของพวกเจ้าเลย ขอให้พวกเจ้าทุกคนกลับไปบ้านเถิด เพราะเราเองเป็นผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น’” ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อฟังคำพูดของพระยาห์เวห์ และหันหลังกลับจากการเดินทัพไปต่อสู้กับเยโรโบอัม
เรโหโบอัมทำให้ยูดาห์แข็งแกร่ง
5 เรโหโบอัมอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มและสร้างเมืองต่างๆขึ้นในยูดาห์เพื่อใช้ป้องกันการโจมตี มีเมืองต่อไปนี้คือ 6 เมืองเบธเลเฮม เมืองเอตาม เมืองเทโคอา 7 เมืองเบธซูร์ เมืองโสโค เมืองอดุลลัม 8 เมืองกัท เมืองมาเรชาห์ เมืองศีฟ 9 เมืองอาโดราอิม เมืองลาคีช เมืองอาเซคาห์ 10 เมืองโศราห์ เมืองอัยยาโลน และเมืองเฮโบรน เมืองเหล่านี้เป็นเมืองป้อมปราการในเขตยูดาห์และเขตเบนยามิน 11 เรโหโบอัมทำให้ป้อมปราการต่างๆแข็งแกร่งและให้พวกแม่ทัพอยู่ประจำตามเมืองเหล่านั้น พร้อมกับสะสมเสบียงอาหาร น้ำมันมะกอกและเหล้าองุ่นไว้ที่นั่น 12 เขาเอาโล่และหอกมาเก็บไว้ในเมืองเหล่านั้นทั้งหมด และทำให้เมืองเหล่านั้นแข็งแกร่ง ดังนั้น ยูดาห์และเบนยามินอยู่ในการครอบครองของเขา
13 พวกนักบวชและชาวเลวีมาจากทั่วทั้งอิสราเอล ได้มาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรโหโบอัม 14 ชาวเลวีได้ละทิ้งดินแดนแห่งทุ่งหญ้าและที่ดินของพวกเขา และเดินทางมาที่ยูดาห์และเยรูซาเล็ม เพราะเยโรโบอัมกับพวกลูกชายของเขาไม่ยอมให้พวกนี้รับใช้ในฐานะนักบวชของพระยาห์เวห์ 15 และเยโรโบอัมกับพวกลูกชายของเขาก็ได้แต่งตั้งเหล่านักบวชของพวกเขาขึ้นมาเอง เพื่อให้รับใช้อยู่ตามสถานที่สูง กับรับใช้พวกรูปปั้นแพะและรูปปั้นลูกวัวที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมา 16 คนอื่นๆที่มาจากเผ่าต่างๆของอิสราเอล ที่ยังตั้งใจแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลนั้น ก็ได้ติดตามชาวเลวีเหล่านั้นมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อที่จะถวายเครื่องสัตวบูชาให้แก่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา 17 พวกเขาทำให้อาณาจักรของยูดาห์แข็งแกร่งขึ้น และสนับสนุนเรโหโบอัมลูกชายของซาโลมอนอยู่เป็นเวลาสามปี ในช่วงเวลานี้พวกเขาใช้ชีวิตตามอย่างของดาวิดและซาโลมอน
ครอบครัวของเรโหโบอัม
18 เรโหโบอัมแต่งงานกับมาหะลัท นางเป็นลูกสาวของเยรีโมทกับนางอาบีฮาอิล เยรีโมทเป็นลูกชายของดาวิด อาบีฮาอิลเป็นลูกสาวของเอลีอับผู้เป็นลูกชายของเจสซี 19 มาหะลัทคลอดลูกชายให้เรโหโบอัม ชื่อ เยอูช เชมาริยาห์และศาฮัม 20 แล้วเรโหโบอัมแต่งงานกับมาอาคาห์หลานสาว[a]ของอับซาโลม มาอาคาร์คลอดลูกชายให้เรโหโบอัม ชื่อว่า อาบียาห์ อัททัย ศีศาและเชโลมิท 21 เรโหโบอัมรักมาอาคาห์ลูกสาวของอับซาโลมมากกว่าเมียและเมียน้อย[b] คนไหนๆของเขา เขามีเมียทั้งหมดสิบแปดคนและมีเมียน้อยหกสิบคน มีลูกชายยี่สิบแปดคนและมีลูกสาวหกสิบคน
22 เรโหโบอัมแต่งตั้งอาบียาห์ลูกชายของนางมาอาคาห์ขึ้นเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ในหมู่พี่น้องทั้งหลายของเขา เพื่อที่จะให้อาบียาห์เป็นกษัตริย์ 23 เรโหโบอัมมีวิธีการที่ชาญฉลาด เขาแยกพวกลูกชายทั้งหลายของเขาให้ไปอยู่กระจัดกระจายตามเขตต่างๆของยูดาห์และเบนยามิน รวมทั้งตามเมืองที่เป็นป้อมปราการทั้งหลายด้วย เขาได้จัดส่งเสบียงอาหารให้กับลูกๆของเขาอย่างอุดมสมบูรณ์พร้อมทั้งหาเมียให้กับพวกเขาด้วย
กษัตริย์ชิชักโจมตีเยรูซาเล็ม
(1 พกษ. 14:21-31)
12 ภายหลังจากที่อาณาจักรของเรโหโบอัมตั้งมั่นคง และเขาแข็งแกร่งขึ้น ทั้งตัวเขาและชนชาติอิสราเอล[c] ทั้งหมดก็ละทิ้งกฎของพระยาห์เวห์ 2 เพราะพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์ ดังนั้นในปีที่ห้าที่เรโหโบอัมเป็นกษัตริย์ กษัตริย์ชิชักแห่งอียิปต์ได้ขึ้นมาโจมตีเมืองเยรูซาเล็ม 3 กษัตริย์ชิชักนำรถรบหนึ่งหมื่นสองพันคัน ทหารม้าหกหมื่นคนและกองทัพชาวลิเบีย ชาวสุคีอิมและชาวคูชอีกนับจำนวนไม่ถ้วน มาด้วยจากอียิปต์ 4 เขาเข้ายึดเมืองต่างๆที่เป็นป้อมปราการของยูดาห์และบุกเข้ามาจนถึงเมืองเยรูซาเล็ม
5 แล้วเชไมอาห์ผู้พูดแทนพระเจ้ามาพบเรโหโบอัมกับพวกผู้นำของชาวยูดาห์ ซึ่งมาชุมนุมกันอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม เพราะกลัวกษัตริย์ชิชัก เชไมอาห์พูดกับพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘พวกเจ้าได้ทิ้งเรา ดังนั้นเราก็ได้ทิ้งพวกเจ้าให้ตกอยู่ในกำมือของชิชัก’”
6 พวกผู้นำของชาวอิสราเอลและกษัตริย์ต่างถ่อมตัวลงและพูดว่า “พระยาห์เวห์ทำถูกต้องแล้ว”
7 เมื่อพระยาห์เวห์เห็นว่าพวกเขาต่างถ่อมตัวลง คำพูดต่อไปนี้ของพระยาห์เวห์จึงมาถึงเชไมอาห์ว่า “พวกเขาได้ถ่อมตัวลง ดังนั้นเราจะไม่ทำลายพวกเขา แต่จะช่วยกู้พวกเขาในเร็วๆนี้ เราจะไม่เทความโกรธของเราลงบนเยรูซาเล็มผ่านทางกษัตริย์ชิชัก 8 แต่พวกเขาจะต้องตกเป็นเชลยของชิชัก เพื่อพวกเขาจะได้รู้ซะบ้างว่า การรับใช้เรากับการรับใช้พวกกษัตริย์ของแผ่นดินอื่นๆมันแตกต่างกันแค่ไหน”
9 เมื่อกษัตริย์ชิชักแห่งอียิปต์บุกเข้าเมืองเยรูซาเล็ม เขาได้ขนเอาทรัพย์สมบัติในวิหารของพระยาห์เวห์ และทรัพย์สมบัติในวังของกษัตริย์ไป เขาเอาทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งพวกโล่ทองคำที่ซาโลมอนได้สร้างไว้ 10 ดังนั้นกษัตริย์เรโหโบอัมจึงได้สร้างพวกโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นมาแทน และให้พวกทหารยามที่เฝ้ารักษาประตูวังเฝ้าดูแล 11 เมื่อไหร่ก็ตามที่กษัตริย์ไปที่วิหารของพระยาห์เวห์ พวกทหารยามก็จะถือโล่เหล่านี้ตามกษัตริย์ไปด้วย หลังจากนั้นพวกเขาก็จะนำพวกมันไปเก็บรักษาไว้ในห้องยาม
12 ความโกรธของพระยาห์เวห์ได้หันไปจากกษัตริย์เรโหโบอัมเพราะเขาถ่อมตัวลง พวกยูดาห์ก็เลยไม่ถูกทำลายทั้งหมด ยูดาห์ก็ยังมีส่วนดีอยู่บ้าง
13 กษัตริย์เรโหโบอัมทำให้ตัวเองมั่นคงขึ้นในเมืองเยรูซาเล็ม และยังคงเป็นกษัตริย์ต่อไป เขามีอายุสี่สิบเอ็ดปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาครองบัลลังก์อยู่สิบเจ็ดปีในเมืองเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองที่พระยาห์เวห์ได้เลือกออกมาจากเผ่าทั้งหมดของชนชาติอิสราเอล เพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระองค์ แม่ของเรโหโบอัมชื่อว่านาอามาห์เป็นชาวอัมโมน 14 เรโหโบอัมได้ทำความชั่ว เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะแสวงหาพระยาห์เวห์
15 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในยุคของเรโหโบอัม ตั้งแต่แรกจนจบ ได้ถูกจดไว้ในบันทึกของเชไมอาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า
และในหนังสือบันทึกเชื้อพระวงศ์ที่อิดโดผู้ที่เห็นนิมิตได้จดไว้ เรโหโบอัมกับเยโรโบอัมยังคงทำสงครามกันตลอดเวลา 16 เรโหโบอัมตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา และศพของเขาถูกฝังอยู่ในเมืองของดาวิด และอาบียาห์ลูกชายของเขาขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา
ข่าวที่ส่งไปถึงหมู่ประชุมเมืองเอเฟซัส
2 ให้เขียนถึงทูตสวรรค์ของหมู่ประชุมในเมืองเอเฟซัสว่า
“พระองค์ผู้ที่ถือดาวทั้งเจ็ดดวงในมือขวา และเดินอยู่ท่ามกลางตะเกียงทองคำที่มีขาตั้งทั้งเจ็ดอันพูดว่า 2 เรารู้การกระทำของเจ้า รู้ถึงงานหนักที่เจ้าทำ รู้ถึงความทรหดอดทนของเจ้า รู้ว่าเจ้าทนพวกคนชั่วนั้นไม่ได้ และเจ้าก็ได้ทดสอบคนพวกนั้นที่แอบอ้างว่าเป็นพวกศิษย์เอกทั้งๆที่ไม่ใช่ แล้วเจ้าจับได้ว่าพวกเขาโกหก 3 เรารู้ว่าเจ้าทนทุกข์เพราะเห็นแก่เรา และไม่ได้เลิกติดตามเรา”
4 “แต่เราอยากจะต่อว่าเจ้าในเรื่องที่เจ้าได้ทิ้งความรักที่เจ้ามีอยู่ในตอนแรกนั้น 5 ดังนั้นลองนึกดูสิว่า เจ้าได้ผิดไปจากสภาพเดิมแค่ไหน กลับตัวกลับใจ แล้วกลับไปทำเหมือนเดิมที่ทำตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้น เราจะมาหาเจ้า และจะเอาตะเกียงทองคำที่มีขาตั้งของเจ้าไปจากที่ของมัน 6 แต่เจ้าก็ยังดีที่ว่า เจ้าเกลียดสิ่งที่พวกนิโคไลตัน[a]ทำ ซึ่งเราเองก็เกลียดเหมือนกัน”
7 “ใครที่มีหู ก็ให้ฟังสิ่งที่พระวิญญาณบอกกับหมู่ประชุมต่างๆ แล้วใครที่ได้รับชัยชนะ เราจะให้กินผลจากต้นไม้ที่ให้ชีวิตซึ่งอยู่ในสวนของพระเจ้า”[b]
ข่าวที่ส่งไปถึงหมู่ประชุมเมืองสเมอร์นา
8 ให้เขียนถึงทูตสวรรค์ของหมู่ประชุมในเมืองสเมอร์นาว่า “พระองค์ที่เป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบ ผู้ที่เคยตายและกลับฟื้นขึ้นมาใหม่พูดว่า 9 เรารู้ว่าเจ้าต้องทนทุกข์ทรมาน และยากจนแค่ไหน แต่จริงๆแล้วเจ้าเป็นคนรวย เรารู้ว่าเจ้าถูกใส่ร้ายป้ายสีจากคนพวกนั้นที่เรียกตัวเองว่าเป็นยิว ทั้งๆที่ไม่ใช่ แต่เป็นกลุ่มคนของซาตาน 10 ไม่ต้องกลัวเลยถึงสิ่งที่เจ้ากำลังจะต้องทนทุกข์ทรมานนั้น ฟังให้ดี ซาตานกำลังจะจับเจ้าบางคนขังคุกเพื่อทดสอบเจ้า เจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลาสิบวัน แต่ให้ซื่อสัตย์ต่อเรา ถึงแม้จะต้องตายก็ตาม แล้วเราจะให้รางวัล[c]ที่จะทำให้เจ้าได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป
11 ใครที่มีหู ก็ให้ฟังสิ่งที่พระวิญญาณบอกกับหมู่ประชุมต่างๆ แล้วใครที่ได้รับชัยชนะ จะไม่ได้รับอันตรายจากการตายในครั้งที่สอง”
ข่าวที่ส่งไปถึงหมู่ประชุมเมืองเปอร์กามัม
12 ให้เขียนถึงทูตสวรรค์ของหมู่ประชุมในเมืองเปอร์กามัมว่า
“พระองค์ผู้ที่มีดาบสองคมพูดว่า 13 เรารู้จักที่ที่เจ้าอยู่นั้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของบัลลังก์ซาตาน และเรารู้ว่าเจ้ายังจงรักภักดีต่อเรา เจ้าไม่เคยหยุดไว้วางใจเราเลย แม้ในเวลาที่อันทีพา พยานผู้ซื่อสัตย์[d]ของเราถูกฆ่าในเมืองของเจ้า เป็นเมืองที่ซาตานอาศัยอยู่
14 แต่อย่างไรก็ตาม เรามีบางเรื่องที่จะต่อว่าเจ้า คือ เรื่องที่บางคนในพวกเจ้าทำตามคำสอนของบาลาอัม คนที่สอนให้บาลาครู้ว่า จะทำให้พวกอิสราเอลทำบาปได้อย่างไร ดังนั้นบาลาคจึงชักชวนให้พวกอิสราเอลกินอาหารที่เซ่นไหว้รูปเคารพ และทำผิดบาปทางเพศ 15 ดังนั้นพวกเจ้าบางคนจึงเป็นเหมือนกับพวกอิสราเอลนั้น คือไปทำตามคำสอนของพวกนิโคไลตัน 16 ให้กลับตัวกลับใจเสีย ไม่อย่างนั้นเราจะมาหาเจ้าในเร็วๆนี้ และต่อสู้กับคนพวกนั้นด้วยดาบที่ออกมาจากปากของเรา”
17 “ใครมีหู ก็ให้ฟังสิ่งที่พระวิญญาณบอกกับหมู่ประชุมต่างๆ แล้วใครที่ได้รับชัยชนะ เราจะให้อาหารทิพย์[e]ที่เก็บซ่อนอยู่ และจะให้หินสีขาวกับคนนั้นด้วย โดยที่หินนั้นได้จารึกชื่อใหม่เอาไว้ ไม่มีใครรู้ชื่อนั้นนอกจากคนที่ได้รับเท่านั้น”
ข่าวที่ส่งไปถึงหมู่ประชุมเมืองธิยาทิรา
18 ให้เขียนถึงทูตสวรรค์ของหมู่ประชุมในเมืองธิยาทิราว่า
“พระองค์ผู้ที่เป็นบุตรของพระเจ้า ซึ่งมีดวงตาเหมือนกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชน และมีขาเหมือนกับทองสัมฤทธิ์ที่มันวาววับพูดว่า 19 เรารับรู้การกระทำของเจ้า ความรัก ความไว้วางใจ การดูแลรับใช้ และความทรหดอดทนที่เจ้ามี และเรารู้ว่าตอนนี้เจ้าได้ทำมากกว่าตอนที่เจ้าเพิ่งมาไว้วางใจเราใหม่ๆ 20 แต่เรามีเรื่องที่จะต่อว่าเจ้า คือเจ้าได้อดทนต่อผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อเยเซเบล[f] ผู้ที่ยกตัวเองว่าเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า คำสอนของนางได้ทำให้ทาสของเราหลงไปทำผิดบาปทางเพศ และไปกินของที่ใช้เซ่นไหว้รูปเคารพ 21 เราได้ให้โอกาสกับนางกลับตัวกลับใจ แต่นางก็ไม่ยอม 22 ดูสิ เราจะทำให้นางต้องล้มหมอนนอนเสื่อและจะทำให้คนที่เล่นชู้กับนางได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เว้นแต่ว่าคนเหล่านั้นจะหยุดทำบาปที่ได้ทำกับนาง 23 เราจะฆ่าพวกลูกศิษย์ของนาง และทุกหมู่ประชุมจะได้รู้ว่า เราคือผู้ที่หยั่งรู้ความคิดและความตั้งใจของทุกคน และเราจะตอบแทนพวกเจ้าแต่ละคนตามสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำลงไป”
24 “ตอนนี้เรามีเรื่องบางอย่างที่จะพูดกับคนอื่นๆที่เหลือในเมืองธิยาทิราที่ไม่ได้ทำตามคำสอนของนาง และยังไม่รู้จักสิ่งที่บางคนเรียกว่า ‘ความจริงอันล้ำลึกที่มาจากซาตาน’ เราจะไม่มอบภาระอะไรเพิ่มเติมให้กับพวกเจ้า 25 แต่ให้พวกเจ้ายึดมั่นในความไว้วางใจที่มีต่อเรา จนกว่าเราจะมา”
26 “เราจะให้อำนาจเหนือชนชาติต่างๆกับคนที่ได้รับชัยชนะ และคนที่ทำตามคำสั่งของเราจนถึงที่สุด 27 ‘เขาจะปกครองชนชาติต่างๆที่กบฏต่อพระเจ้าด้วยกระบองเหล็ก เขาจะทำให้พวกมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆเหมือนกับหม้อดินเผาที่โดนทุบ’[g] 28 เราจะให้อำนาจกับเขาแบบเดียวกับที่เราได้รับมาจากพระบิดาของเราและนอกจากนี้เราจะให้ดาวประจำรุ่ง[h] กับคนนั้นด้วย 29 ใครที่มีหูก็ให้ฟังสิ่งที่พระวิญญาณบอกกับหมู่ประชุมต่างๆ”
เมืองเยรูซาเล็มในอนาคต
3 ไอ้กบฏและมลทิน
เมืองที่ชอบกดขี่ข่มเหงคนอื่น
2 เมืองที่ไม่ยอมฟังเสียงพระเจ้า
เมืองที่ไม่ยอมรับคำตักเตือน
เมืองที่ไม่ยอมไว้วางใจในพระยาห์เวห์
เมืองที่ไม่ยอมเข้าใกล้พระเจ้าของเธอ
3 ข้าราชการที่อยู่ในเมืองนี้ต่างก็เป็นเหมือนพวกสิงโตที่แผดเสียงร้องคำราม
พวกผู้พิพากษาในเมืองนี้เป็นเหมือนกับพวกหมาป่าในตอนค่ำคืนที่กัดกินเหยื่อจนไม่เหลืออะไรจนถึงเช้า
4 ผู้พูดแทนพระเจ้าของเมืองนี้ก็เป็นนักตอแหลที่เย่อหยิ่ง พวกเขาไม่น่าไว้ใจ
พวกนักบวชของเมืองนี้ก็ดูหมิ่นต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และตั้งใจตีความกฎคำสอนทั้งหลายให้ผิดเพี้ยนไป
5 แต่พระยาห์เวห์ที่อยู่ในเมืองนี้ยุติธรรม พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้าย
ทุกๆเช้า พระองค์ให้ความยุติธรรม
ในรุ่งอรุณ พระองค์ให้ความเป็นธรรมเสมอไม่ขาดสักวัน
แต่คนชั่วไม่รู้จักละอายใจ
6 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราได้บดขยี้ประชาชาติของพวกเขา
และพวกหอคอยของพวกเขาต่างก็ถูกทำลายลง
เราทำให้พวกถนนหนทางรกร้าง จนไม่มีใครใช้เดินอีกแล้ว
บ้านเมืองของพวกเขาก็ถูกทำให้รกร้างว่างเปล่าจนไม่มีใครอาศัยอยู่อีกต่อไป”
7 เราพูดกับตัวเองว่า “เจ้าจะต้องเกรงกลัวเราแน่
เจ้าจะต้องได้รับบทเรียนแล้วแน่
เจ้าจะได้เห็นอย่างชัดเจนว่า เราเองได้ลงโทษเมืองนี้”
แต่ความจริงคือ พวกเขายิ่งอยากจะทำสิ่งที่ไม่ได้ยั้งคิดมากขึ้นไปอีก
8 พระยาห์เวห์จึงพูดว่า “ดังนั้น คอยดูเราให้ดี คอยวันที่เราจะลุกขึ้นมาเป็นพยานต่อต้านเจ้า
เพราะเป็นการตัดสินใจของเราที่จะรวบรวมชนชาติต่างๆและอาณาจักรต่างๆ
เพื่อว่าเราจะได้แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราเดือดดาลขนาดไหน และโกรธอย่างร้อนแรงขนาดไหน
เพราะในเพลิงแห่งความหึงหวงของเรา แผ่นดินทั้งหมดนี้จะถูกเผาผลาญ
9 เพราะในเวลานั้น เราจะทำให้คำพูดของผู้คนบริสุทธิ์
เพื่อว่าพวกเขาทุกคนจะได้ออกชื่อของพระยาห์เวห์ และพวกเขาจะได้เคียงบ่าเคียงไหล่กันรับใช้พระองค์
10 ผู้คนจะมาจากที่ไกลโพ้น เลยแม่น้ำทั้งหลายของเอธิโอเปียไปอีก
คนของเราที่ได้กระจัดกระจายไป แต่ยังคงอธิษฐานต่อเรา
คนพวกนี้จะนำของขวัญมาถวายให้กับเรา
11 ในวันนั้น เยรูซาเล็ม เจ้าจะไม่ถูกทำให้อับอาย เพราะการกระทำที่ชั่วช้าทั้งหลายที่เจ้าได้ทำต่อเรา
เพราะในเวลานั้น เราจะเอาพวกที่เย่อหยิ่งจองหองไปจากท่ามกลางเจ้า
เจ้าจะไม่ทำตัวใหญ่โตและสูงส่งอีกต่อไปแล้วบนภูเขาที่ศักดิ์สิทธิ์ของเรา
12 เราจะเหลือแต่คนที่ถ่อมสุภาพและยากจนไว้ท่ามกลางเจ้า
และพวกเขาก็จะแสวงหาที่หลบภัยในนามของพระยาห์เวห์
13 คนอิสราเอลที่เหลืออยู่ก็จะไม่ทำสิ่งที่ชั่วร้าย พวกเขาจะไม่พูดสิ่งที่ไม่เป็นความจริง
และจะไม่เจอลิ้นที่หลอกลวงในปากของพวกเขา
เพราะพวกเขาจะเหมือนกับแกะที่นอนลง
โดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีอะไรมาทำร้าย”
เพลงแห่งความสุข
14 นางสาวศิโยนเอ๋ย ร้องเพลงด้วยความยินดีเถิด
อิสราเอลเอ๋ย ตะโกนออกมาด้วยความสุขเถิด
นางสาวเยรูซาเล็มเอ๋ย ชื่นชมยินดี และเฉลิมฉลองกันอย่างสุดใจเถิด
15 พระยาห์เวห์ได้ยกเลิกการลงโทษเจ้าแล้ว
พระองค์เอาศัตรูของเจ้าไปจากเจ้าแล้ว
พระยาห์เวห์ กษัตริย์ของอิสราเอลอยู่ท่ามกลางเจ้า
ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกลัวความหายนะ
16 ในวันนั้น คนจะพูดกับเมืองเยรูซาเล็มว่า
“เมืองศิโยนเอ๋ย ไม่ต้องกลัว
อย่าปล่อยให้มือของเจ้าหมดแรงสิ้นหวังไป
17 พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าอยู่ท่ามกลางเจ้า
พระองค์เป็นนักรบผู้ช่วยกู้ชีวิตเจ้า
พระองค์จะร้องเพลงและเฉลิมฉลองเพราะตัวเจ้า
พระองค์จะรื้อฟื้นความรักที่มีต่อเจ้าขึ้นใหม่
พระองค์จะชื่นชมยินดีในตัวเจ้าด้วยเสียงเพลงแห่งความสุข
18 เหมือนที่คนร้องกันในช่วงเทศกาลต่างๆ[a]
พระยาห์เวห์พูดว่า ‘เราจะเอาการหัวเราะเยาะและการดูหมิ่นไปจากเจ้า
เราจะเอาคนที่ชอบทำให้เจ้าเป็นตัวน่าขันไป
19 แน่นอนในเวลานั้น เราจะจัดการกับคนพวกนั้นที่ข่มเหงเจ้า
เราจะช่วยกู้คนพิการ
เราจะรวบรวมคนที่เคยกระจัดกระจายไป
เราจะให้คำสรรเสริญและชื่อเสียงเกียรติยศกับพวกเขาในที่ทุกหนแห่งที่พวกเขาเคยได้รับความอับอายมาก่อน
20 ในเวลานั้น เราจะนำพวกเจ้ากลับมา เมื่อเรารวบรวมพวกเจ้าเข้ามา
แล้วเราก็จะให้คำสรรเสริญและชื่อเสียงกับเจ้าท่ามกลางชนชาติทั้งหลายในโลกนี้
เราจะทำอย่างนี้ต่อหน้าต่อตาเจ้า เมื่อเราทำให้พวกเจ้ากลับมามีสภาพดีเหมือนเดิม’”
พระยาห์เวห์พูดอย่างนั้น
พระคำได้มาเกิดเป็นมนุษย์
1 ตอนเริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้นก็มีพระคำอยู่แล้ว พระคำนี้อยู่กับพระเจ้า และเป็นพระเจ้าด้วย 2 พระคำอยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้น 3 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้เกิดมาจากพระคำทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ได้เกิดมาจากพระคำ 4 พระคำเป็นแหล่งของชีวิตที่เที่ยงแท้ ชีวิตนั้นได้นำความสว่างมาให้มนุษย์ทุกคน 5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืดอยู่ แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะ[a] ความสว่างนั้นได้
6 พระเจ้าได้ส่งชายชื่อยอห์น มาเป็นผู้ส่งข่าวของพระองค์ 7 เขามาบอกผู้คนเกี่ยวกับความสว่าง เพื่อทุกคนจะได้เชื่อในเรื่องที่เขาบอก 8 ตัวยอห์นเองไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่เขามาเพื่อเล่าเรื่องความสว่างนั้น 9 ความสว่างเที่ยงแท้ ที่ให้ความสว่างกับมนุษย์ทุกคนกำลังเข้ามาในโลก
10 พระองค์ได้อยู่ในโลกนี้ แต่โลกนี้กลับไม่รู้จักพระองค์ ทั้งๆที่โลกนี้ถูกสร้างผ่านทางพระองค์ 11 เมื่อพระองค์มาถึงบ้านเมืองของพระองค์เอง คนของพระองค์ก็ยังไม่ยอมรับพระองค์ 12 แต่ส่วนคนที่ยอมรับและไว้วางใจพระองค์ พระองค์ให้สิทธิ์พวกเขาเป็นลูกของพระเจ้า 13 ลูกของพระเจ้านี้ไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากเลือดเนื้อหรือจากความต้องการของมนุษย์ หรือจากความตั้งใจของพ่อ แต่เกิดมาจากพระเจ้า
14 พระคำได้กลายมาเป็นมนุษย์ และใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเรา พระคำนั้นเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและความจริง พวกเราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งเป็นความยิ่งใหญ่ของพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระบิดา 15 ยอห์นร้องตะโกนบอกผู้คนเกี่ยวกับพระองค์ว่า “คนที่มาภายหลังผมนั้น ยิ่งใหญ่กว่าผมอีก เพราะเขาเป็นอยู่นานแล้วก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก”
16 พระองค์เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา พวกเราทุกคนก็เลยได้รับพระพรจากพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า 17 พระเจ้าได้ให้กฎปฏิบัติที่เป็นข้อบังคับผ่านมาทางโมเสส แต่พระเจ้าได้แสดงความเมตตากรุณาและความจริงผ่านมาทางพระเยซูคริสต์ 18 ไม่เคยมีใครเห็นพระเจ้า มีแต่พระบุตรเพียงองค์เดียวของพระองค์ ผู้ที่เป็นพระเจ้าเอง[b]และอยู่ใกล้ชิดกับพระบิดาด้วย ได้เปิดเผยพระเจ้าให้เรารู้จัก
ยอห์นพูดถึงตัวเองและคนที่ยิ่งใหญ่กว่าเขา
(มธ. 3:1-12; มก. 1:2-8; ลก. 3:1-9, 15-17)
19 นี่คือสิ่งที่ยอห์นบอก เมื่อพวกยิวในเมืองเยรูซาเล็มส่งพวกนักบวช และพวกเลวี[c] มาถามยอห์นว่า “คุณเป็นใคร”
20 ยอห์นไม่ได้ปิดบังความจริง เขาตอบไปอย่างเปิดเผยและชัดเจนว่า “ผมไม่ใช่พระคริสต์”
21 พวกเขาก็เลยถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณเป็นใคร เป็นเอลียาห์หรือ”
ยอห์นตอบว่า “ไม่ใช่”
“หรือเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้น”[d]
ยอห์นก็ตอบว่า “ไม่ใช่”
22 พวกเขาถามยอห์นว่า “แล้วคุณเป็นใครกันแน่ ช่วยบอกหน่อย เราจะได้ไปบอกคนที่ส่งเรามา ว่าไง คุณว่าคุณเป็นใครกันล่ะ”
23 ยอห์นตอบโดยยกเอาคำของอิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า ที่ว่า
“ผมเป็นเสียงของคนที่ร้องตะโกนอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งว่า
ทำทางให้ตรงสำหรับองค์เจ้าชีวิต”[e]
24 ส่วนคนที่พวกฟาริสีส่งมา 25 ได้ถามยอห์นว่า “ถ้าคุณไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ แล้วก็ไม่ใช่ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้น แล้วทำไมคุณถึงทำพิธีจุ่มน้ำให้ชาวบ้านล่ะ”
26 ยอห์นจึงตอบว่า “ผมทำพิธีจุ่มด้วยน้ำ แต่มีคนหนึ่งในท่ามกลางพวกคุณที่พวกคุณเองก็ไม่รู้จัก 27 คนๆนี้แหละที่มาภายหลังผม ขนาดสายรัดรองเท้าของเขาผมยังไม่มีค่าพอที่จะแก้ให้เลย”
28 เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานี ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งเป็นที่ที่ยอห์นกำลังทำพิธีจุ่มน้ำให้ผู้คนอยู่
29 ในวันต่อมา ยอห์นเห็นพระเยซูเดินตรงมาหาเขา แล้วยอห์นป่าวประกาศว่า “นี่ไง ลูกแกะของพระเจ้า ที่จะมาเอาความผิดบาปของโลกไป 30 คนนี้ไงที่ผมพูดถึงว่า ‘จะมีชายคนหนึ่งมาภายหลังผม เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าผม เพราะเขาเป็นอยู่นานแล้วก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก’ 31 ตัวผมเองก็ไม่รู้มาก่อนหรอกว่าคนที่จะมาภายหลังนั้นจะเป็นใคร แต่ผมมาทำพิธีจุ่มด้วยน้ำก็เพื่อจะได้เปิดเผยตัวเขาให้คนอิสราเอลได้รู้จัก”
32 แล้วยอห์นก็บอกว่า “ผมได้เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาจากสวรรค์เหมือนนกพิราบ และมาอยู่บนชายคนนี้ 33 ตัวผมเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าคนที่จะมาภายหลังนั้นจะเป็นใคร แต่พระองค์ผู้ที่ส่งผมมาให้ทำพิธีจุ่มน้ำบอกว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณลงมาอยู่บนใคร คนนั้นแหละคือคนที่จะทำพิธีจุ่มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 34 ผมเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตา และผมเป็นพยานได้ว่า ‘ชายคนนี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า’”[f]
ศิษย์รุ่นแรกของพระเยซู
35 วันต่อมา ยอห์นยืนอยู่กับศิษย์ของเขาสองคน 36 เมื่อเขาเห็นพระเยซูเดินผ่านไป ยอห์นก็พูดขึ้นว่า “นั่นไง ลูกแกะของพระเจ้า”
37 พอศิษย์สองคนนั้นได้ยินอย่างนั้น เขาก็เดินตามพระเยซูไป 38 เมื่อพระองค์หันไปเห็นพวกเขาเดินตามหลังมา ก็ถามว่า “มีอะไรหรือ”
พวกเขาถามไปว่า “ราบีครับ ท่านพักอยู่ที่ไหนครับ” (ราบีแปลว่าอาจารย์)
39 พระเยซูตอบว่า “ตามมาดูสิ” พวกเขาก็ได้ตามไปยังที่พักของพระองค์ ตอนนั้นเป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว พวกเขาจึงพักอยู่กับพระองค์ตลอดวันนั้น
40 อันดรูว์เป็นคนหนึ่งในสองคนนั้นที่เดินตามพระเยซูไป เขามีพี่ชายชื่อซีโมนเปโตร หลังจากได้ยินยอห์นพูด 41 สิ่งแรกที่อันดรูว์ทำ คือไปหาซีโมนพี่ชายของเขาและบอกซีโมนว่า “พวกเราได้พบพระเมสสิยาห์ (หมายถึง พระคริสต์) แล้ว”
42 อันดรูว์พาซีโมนไปหาพระเยซู เมื่อพระองค์เห็นเขาก็พูดว่า “คุณคือซีโมน ลูกของยอห์นสินะ คนจะเรียกคุณว่า เคฟาส” (เหมือนกับ เปโตร ซึ่งแปลว่า “หิน”)
43 วันต่อมา พระเยซูตัดสินใจไปแคว้นกาลิลี พระองค์พบฟีลิปและพูดกับเขาว่า “ตามเรามา” 44 ฟีลิปมาจากเมืองเบธไซดาเหมือนกับอันดรูว์และเปโตร 45 ฟีลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า “พวกเราพบคนที่โมเสสและพวกผู้พูดแทนพระเจ้าเขียนถึงแล้ว เขาคือเยซูชาวเมืองนาซาเร็ธ ลูกของโยเซฟ”
46 นาธานาเอลย้อนถามฟีลิปว่า “นาซาเร็ธน่ะหรือ จะมีของดีอะไรมาจากเมืองนั้นได้” ฟีลิปตอบว่า “ตามมาดูสิ”
47 เมื่อพระเยซูเห็นนาธานาเอลเดินเข้ามาหา พระองค์ก็พูดถึงเขาว่า “นี่ไง คนอิสราเอลขนานแท้ที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม”
48 นาธานาเอลถามพระองค์ว่า “ท่านรู้จักผมได้ยังไง”
พระเยซูตอบว่า “เราเห็นคุณตั้งแต่อยู่ใต้ต้นมะเดื่อแล้วก่อนที่ฟีลิปจะเรียกคุณเสียอีก”
49 นาธานาเอลตอบว่า “อาจารย์ ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล”
50 พระเยซูก็พูดว่า “ที่คุณเชื่อเราก็เพราะเราบอกว่า ได้เห็นคุณอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ ใช่ไหมล่ะ คุณจะได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก” 51 แล้วพระเยซูพูดอีกว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า พวกคุณจะได้เห็นสวรรค์เปิดออกเป็นช่อง และพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็จะขึ้นๆลงๆอยู่เหนือบุตรมนุษย์”[g]
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International