Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศาวดาร 3-4

ซาโลมอนสร้างวิหาร

(1 พกษ. 6:1-38; 7:15-22)

แล้วซาโลมอนก็เริ่มสร้างวิหาร ของพระยาห์เวห์ในเมืองเยรูซาเล็ม บนภูเขาโมริยาห์ซึ่งเป็นที่ที่พระยาห์เวห์ได้ปรากฏแก่ดาวิดพ่อของเขา มันตั้งอยู่บนลานนวดข้าวของโอรนัน[a] ชาวเยบุส และเป็นที่ที่ดาวิดพ่อของเขาได้ซื้อมา ซาโลมอนเริ่มสร้างวิหารในวันที่สองของเดือนที่สอง ซึ่งเป็นปีที่สี่ที่เขาขึ้นครองบัลลังก์

ซาโลมอนวางรากฐานของตึกที่จะเป็นวิหารของพระเจ้า ขนาดยาวหกสิบศอก[b] กว้างยี่สิบศอก[c] (ใช้ศอกมาตรฐานการวัดแบบเก่า) ระเบียงด้านหน้าวิหารยาวยี่สิบศอก เท่ากับด้านกว้างของวิหาร และสูงยี่สิบศอก เขาใช้ทองคำบริสุทธิ์บุทับด้านใน เขาปูไม้สนสามใบไว้ที่ห้องโถงใหญ่และใช้ทองคำบริสุทธิ์บุทับและตกแต่งด้วยลวดลายต้นปาล์มและลายโซ่ ซาโลมอนประดับประดาวิหารด้วยพลอยที่มีค่า ส่วนทองคำที่เขาใช้ก็เป็นทองคำจากเมืองพารวายิม[d] เขาบุทองคำไว้ที่คาน กรอบประตู ผนังและประตูทุกแห่งของวิหารแห่งนั้น และเขายังได้แกะสลักรูปทูตสวรรค์มีปีกหลายองค์ไว้ตามพวกผนังอีกด้วย

เขาสร้างห้องที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดขึ้น มีความยาวเท่ากับความกว้างของวิหาร คือยาวยี่สิบศอก และกว้างยี่สิบศอก ซาโลมอนบุทองคำอย่างดีน้ำหนักรวมยี่สิบเอ็ดตันไว้ที่ด้านในของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด พวกตะปูทองคำมีน้ำหนักรวมประมาณครึ่งกิโลกรัม เขายังบุทองคำไว้ที่พวกห้องชั้นบนด้วย 10 ภายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ซาโลมอนได้สร้างรูปปั้นของทูตสวรรค์มีปีก ขึ้นมาสององค์ และบุทองคำลงบนรูปปั้นทั้งสองนั้น 11 ปีกของทูตสวรรค์ทั้งสองที่กางออกเต็มที่มีความยาวทั้งหมดยี่สิบศอก ปีกด้านหนึ่งยาวห้าศอก[e] ไปติดกับผนังวิหาร ในขณะที่ปีกอีกด้านหนึ่งยาวห้าศอกเหมือนกันและติดกับปีกของทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่ง

12 ในลักษณะเดียวกัน ปีกข้างหนึ่งของทูตสวรรค์องค์ที่สองก็ยาวห้าศอกและไปติดกับผนังอีกด้านหนึ่งของวิหาร และอีกข้างหนึ่งก็ยาวห้าศอกและไปติดกับปีกอีกข้างหนึ่งของทูตสวรรค์องค์แรก 13 ปีกของทูตสวรรค์ทั้งสององค์นี้เมื่อกางออกแล้วยาวยี่สิบศอก ทูตสวรรค์ทั้งสองยืนอยู่หันหน้าออกไปทางห้องโถงใหญ่

14 ซาโลมอนทำผ้าม่าน[f] ขึ้นจากเส้นใยสีเลือดหมู สีม่วงและสีฟ้า กับผ้าลินินอย่างดี โดยปักรูปทูตสวรรค์มีปีกลงบนนั้น

15 ที่ด้านหน้าของวิหาร เขาได้สร้างเสาขึ้นสองต้น สูงสามสิบห้าศอก[g] แต่ละต้นมีหัวเสาวางอยู่ด้านบนสูงอีกห้าศอก 16 เขาได้สร้างโซ่ที่ร้อยต่อกันและได้วางโซ่เหล่านั้นไว้ที่ด้านบนของเสาสองต้นนั้น เขายังได้ทำผลทับทิมหนึ่งร้อยลูก และติดพวกมันไว้กับโซ่เหล่านั้น 17 เขาได้จัดตั้งเสาสองต้นนั้นขึ้นที่ด้านหน้าของวิหาร ต้นหนึ่งอยู่ทางทิศใต้และอีกต้นอยู่ทางทิศเหนือ ต้นที่อยู่ทางใต้มีชื่อว่ายาคีน[h] และต้นที่อยู่ทางเหนือมีชื่อว่าโบอาส[i]

ข้าวของเครื่องใช้สำหรับวิหาร

(1 พกษ. 7:23-51)

ซาโลมอนสร้างแท่นบูชาจากทองสัมฤทธิ์ขึ้นแท่นหนึ่งยาวยี่สิบศอก[j] กว้างยี่สิบศอก และสูงสิบศอก เขาได้สร้างขันทะเล[k] ขึ้นจากเหล็กหล่อ มีรูปร่างเป็นวงกลมวัดจากขอบด้านหนึ่งไปถึงขอบอีกด้านหนึ่งได้สิบศอก มีความสูงห้าศอก วัดเส้นรอบวงได้สามสิบศอก[l] ที่ใต้ขอบของขันทะเลนั้น เขาได้หล่อรูปน้ำเต้าอยู่สองแถวล้อมรอบขันทะเลนั้น หล่อเป็นเนื้อเดียวกับขันทะเล ขันทะเลวางอยู่บนรูปปั้นวัวตัวผู้สิบสองตัว วัวสามตัวหันหน้าไปทางทิศเหนือ สามตัวหันไปทางทิศตะวันตก สามตัวหันไปทางทิศใต้และอีกสามตัวหันไปทางทิศตะวันออก ขันทะเลวางอยู่บนรูปปั้นวัวเหล่านี้ และส่วนหางของพวกมันหันเข้าด้านใน ขันทะเลมีความหนาหนึ่งฝ่ามือ[m] ที่ขอบของมันมีลักษณะเหมือนขอบถ้วย คือคล้ายกับดอกลิลลี่ที่บานออก มันสามารถเก็บน้ำได้หกหมื่นหกพันลิตร[n]

แล้วซาโลมอนก็ได้ทำอ่างขึ้นสิบใบไว้สำหรับชำระล้างและเอาอ่างห้าใบไปไว้ทางทิศใต้ อีกห้าใบไปไว้ทางทิศเหนือ เพื่อไว้สำหรับชำระล้างสิ่งที่จะนำมาเป็นเครื่องเผาบูชา แต่ขันทะเลจะใช้สำหรับให้พวกนักบวชชำระล้างเท่านั้น

เขาสร้างโคมไฟยืนจากทองคำไว้สิบอัน สร้างตามแบบที่ได้กำหนดไว้สำหรับพวกมัน และวางโคมไฟยืนพวกนี้ไว้ในวิหาร วางไว้ทางทิศใต้ห้าอัน และไว้ทางทิศเหนือห้าอัน เขาทำโต๊ะขึ้นสิบตัวและนำไปวางไว้ในวิหาร ทางทิศใต้ห้าตัว และทิศเหนือห้าตัว เขายังทำชามทองคำสำหรับประพรมไว้หนึ่งร้อยใบด้วย เขาสร้างลาน[o]ของพวกนักบวช และลานขนาดใหญ่กับประตูลานอีกหลายประตู และได้บุทองสัมฤทธิ์ทับประตูเหล่านั้นไว้ 10 ซาโลมอนวางขันทะเลที่มุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของวิหาร

11 หุรามยังได้ทำหม้ออีกหลายใบ รวมทั้งทัพพีและชามประพรม แล้วหุรามก็ได้ทำงานทุกอย่างภายในวิหารของพระเจ้าที่กษัตริย์ได้สั่งเขาไว้จนเสร็จสิ้นลง นั่นก็คือ

12 เสาสองต้น

หัวเสาสองอันที่มีรูปร่างเหมือนอ่างเพื่อวางไว้บนยอดเสา

ตาข่ายสองชุดที่ใช้สำหรับประดับบนหัวเสารูปอ่างที่อยู่บนยอดเสาสองต้นนั้น

13 ทับทิมสี่ร้อยลูกสำหรับตาข่ายสองชุด (ตาข่ายแต่ละชุดมีทับทิมอยู่สองร้อยลูกไว้สำหรับประดับหัวเสารูปชามที่อยู่บนเสาทั้งสองต้น)

14 แท่นหลายแท่นพร้อมกับอ่างน้ำวางอยู่บนนั้น

15 ขันทะเลและรูปปั้นวัวตัวผู้สิบสองตัวที่แบกขันทะเลอยู่

16 หม้อ ทัพพี ส้อมและเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ของทั้งหมดที่หุรามได้ทำขึ้นให้กับกษัตริย์ซาโลมอน เพื่อใช้ในวิหารของพระยาห์เวห์นี้ทำจากทองสัมฤทธิ์ขัดมัน 17 กษัตริย์ได้ให้หล่อของเหล่านี้ขึ้นจากแม่พิมพ์ดินเหนียวที่นำมาจากหุบเขาจอร์แดนที่อยู่ระหว่างเมืองสุคคทกับเมืองเศเรดาห์ 18 เครื่องใช้ทุกอย่างที่ซาโลมอนให้ทำขึ้นนี้ใช้ทองสัมฤทธิ์มากมายจนบอกน้ำหนักไม่ได้

19 ซาโลมอนยังทำของที่ใช้ในวิหารของพระเจ้าด้วย คือแท่นบูชาทองคำ พวกโต๊ะสำหรับวางขนมปังไว้ตรงหน้าพระเจ้า 20 โคมไฟยืนที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ที่สร้างตามแบบที่ได้กำหนดไว้ พร้อมกับตะเกียงของพวกมัน เพื่อใช้จุดไฟไว้ด้านหน้าของห้องศักดิ์สิทธิ์[p] ที่อยู่ด้านใน 21 ดอกไม้ทองคำ ตะเกียงและคีม[q] (พวกมันทำจากทองคำบริสุทธิ์ที่สุด) 22 กรรไกรตัดไส้ตะเกียงที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ ชามประพรม ชามกับกระถางไฟ และประตูทองคำหลายบานของวิหารคือประตูด้านในที่จะเข้าไปสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและประตูของห้องโถงใหญ่

1 ยอห์น 3

เราเป็นลูกของพระเจ้า

ดูสิ ความรักที่พระบิดามีต่อพวกเรานั้น มันมากมายมหาศาลแค่ไหน ถึงขนาดได้เรียกเราว่าเป็นลูกของพระองค์ และเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ ซึ่งเป็นเหตุที่โลกไม่รู้จักเราเหมือนกัน เพื่อนๆที่รัก ตอนนี้เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เรายังไม่รู้ว่าต่อไปข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเมื่อพระคริสต์มาปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะเห็นพระองค์ตามที่พระองค์เป็นจริงๆ ทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้ ก็จะทำตัวเองให้บริสุทธิ์เหมือนอย่างที่พระคริสต์บริสุทธิ์

ทุกคนที่ทำบาปก็ฝ่าฝืนกฎของพระเจ้า เพราะความบาปก็คือการฝ่าฝืนกฎนั่นเอง พวกคุณรู้แล้วว่า ที่พระคริสต์มาปรากฏก็เพื่อมารับเอาความบาปของทุกคนไปจนหมด และคุณก็รู้ว่าในพระคริสต์นั้นไม่มีความบาปเลย ทุกคนที่ตั้งมั่นคงในพระคริสต์จะไม่ทำบาปอีกต่อไป ส่วนคนที่ยังทำบาปอยู่ ก็ไม่เคยเห็นพระองค์ และไม่ได้รู้จักกับพระองค์ด้วย

ลูกๆที่รัก อย่าให้ใครมาหลอกลวงเอาได้ คนที่ทำในสิ่งที่พระเจ้าชอบใจก็เป็นคนที่พระเจ้ายอมรับ เหมือนกับที่พระเจ้ายอมรับพระคริสต์นั้น คนที่ยังทำบาปอยู่ก็เป็นพวกของมาร เพราะมารได้ทำบาปมาตั้งแต่ต้น นี่เป็นเหตุที่พระบุตรของพระเจ้ามาปรากฏ เพื่อพระองค์จะได้ทำลายการงานของมารเสีย

ทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้าจะไม่ทำบาปอีกต่อไปเพราะธรรมชาติของพระเจ้าได้เข้าไปอยู่ในคนๆนั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้คนๆนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำบาปได้อีกต่อไป เพราะเขาได้มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว 10 แบบนี้สิ ถึงจะรู้ว่าใครเป็นลูกของพระเจ้า หรือใครเป็นลูกของมาร คือทุกคนที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง และไม่ได้รักพี่น้องของเขา ก็ไม่ใช่ลูกของพระเจ้า

เราต้องรักซึ่งกันและกัน

11 พวกคุณได้ยินได้ฟังคำสอนนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ให้เรารักกันและกัน 12 อย่าให้เราเป็นเหมือนคาอินที่เป็นพวกของมารและได้ฆ่าน้องชายของเขา เขาฆ่าน้องทำไม ก็เพราะการกระทำของเขาชั่ว แต่ของน้องชายเขานั้นถูกต้อง

13 พี่น้องครับ ไม่ต้องแปลกใจหรอกถ้าโลกนี้เกลียดพวกคุณ 14 เรารู้ว่าเราได้ผ่านจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้องของเรา ส่วนคนที่ไม่รักคนอื่นก็ยังคงอยู่ในความตาย 15 ทุกคนที่เกลียดชังพี่น้องของเขาก็เป็นฆาตกร พวกคุณรู้ว่าคนที่เป็นฆาตกรนั้นจะไม่มีชีวิตตลอดไปกับพระเจ้า 16 แบบนี้สิเราถึงรู้ว่าความรักเป็นอย่างไร คือพระคริสต์ได้ให้ชีวิตของพระองค์เพื่อเรา เราจึงควรให้ชีวิตของเรา เพื่อพี่น้องของเราด้วย 17 คนที่มีทรัพย์สมบัติมากมายในโลกนี้ เมื่อเห็นพี่น้องของเขาขัดสนและต้องการความช่วยเหลือ แต่ใจจืดใจดำไม่ช่วย ก็แสดงว่าความรักของพระเจ้าไม่ได้อยู่ในคนๆนี้เลย 18 ลูกเล็กๆที่รัก อย่าให้เรารักกันแค่คำพูดหรือรักแต่ปากเท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริงใจ

19-20 แบบนี้สิเราถึงแน่ใจว่าเราอยู่ฝ่ายความจริง ถึงแม้ว่าบางครั้งใจของเราอาจจะฟ้องว่าเราผิด แต่เราก็ยังสามารถที่จะมีสันติสุขต่อหน้าพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าใจเรา และพระองค์รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง

21 เพื่อนๆที่รัก ถ้าใจเราไม่ได้ฟ้องว่าเราทำผิด เราก็มีความมั่นใจที่จะเข้าพบพระเจ้า 22 และเราจะได้รับทุกสิ่งที่เราขอจากพระเจ้า เพราะได้ทำตามคำสอนของพระองค์และได้ทำสิ่งที่พระองค์พอใจ 23 คำสั่งสอนของพระองค์คือให้เราไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เจ้าพระบุตรของพระองค์ และให้เรารักกันและกันเหมือนกับที่พระองค์ได้สั่งเราไว้แล้ว 24 คนที่ทำตามคำสั่งสอนของพระเจ้าก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็อยู่ในใจของเขาด้วย เรารู้ว่าพระเจ้าอยู่ในเราเพราะว่าพระเจ้าได้ให้พระวิญญาณไว้กับเรา

นาฮูม 2

นีนะเวห์จะถูกทำลาย

เจ้าผู้เป็นกษัตริย์อัสซีเรีย คนที่จะทำให้คนของเจ้ากระจัดกระจายไป ได้บุกขึ้นมาโจมตีเจ้าแล้ว
    ป้องกันป้อมปราการต่างๆไว้ให้ดี
เฝ้าระวังถนนหนทางด้วย
    เตรียมอาวุธของเจ้าให้พร้อม
    เตรียมตัวให้แข็งแกร่งไว้
เพราะว่าพระยาห์เวห์กำลังคืนศักดิ์ศรีให้กับคนของยาโคบ
    คือคืนศักดิ์ศรีให้กับชนชาติอิสราเอล
เพราะพวกศัตรูได้ทำลายอิสราเอล
    และทำลายไร่องุ่นของพวกเขาไปจนหมดแล้ว

ผู้ที่ทำให้กระจัดกระจายไปนั้นพร้อมทำศึก
    โล่ของนักรบของเขาเป็นสีแดง
พวกทหารของเขาสวมเครื่องแบบสีแดงเข้ม
    เหล็กของรถรบก็ส่องประกายแวววาวเหมือนเปลวเพลิง
    และหอกต่างๆก็สั่นไปมาเป็นระลอกๆ
รถรบก็แข่งกันอย่างดุเดือดไปตามถนนหนทาง
    พวกมันแข่งกันไปที่ลานกลางเมือง
พวกมันดูเหมือนเปลวเพลิง
    พวกมันพุ่งไปราวกับสายฟ้าแลบ

ผู้ที่ทำให้กระจัดกระจายไปนั้นออกคำสั่งต่อพวกนายทหาร
    พวกเขารีบเร่งผลักโล่กำบังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างตะกุกตะกัก
รีบมุ่งหน้าไปที่กำแพง
    และตั้งโล่กำบังขึ้น
ประตูน้ำถูกเปิดออก
    และวังของกษัตริย์ก็ถูกน้ำซัดพังทลายไป
เจ้าหญิงนีนะเวห์ก็ถูกจับมายืนแก้ผ้าในที่สาธารณะ
    ส่วนสาวใช้ของนางก็ถูกจับไป พวกเขาก็ทุบอกตัวเอง ร้องครวญครางเหมือนเสียงนกพิราบ

นีนะเวห์เป็นเหมือนกับสระน้ำสระหนึ่ง
    แต่น้ำของมันไหลทะลักออกไปอย่างรวดเร็ว
พวกผู้นำของนีนะเวห์พูดว่า “หยุดก่อน หยุดก่อน”
    แต่ไม่มีใครหันกลับมา

ปล้นเอาเงินเอาทองของนีนะเวห์สิ
    มีทรัพย์สมบัติมากมายจนนับไม่ถ้วน
    และมีของมีค่าต่างๆมากมายเหลือเฟือ
10 หมดแล้ว หมดเกลี้ยงแล้ว ทั้งเมืองสูญสิ้นหมดแล้ว
    ผู้คนก็หัวใจสลายหมดแล้ว
    ทุกหัวเข่าก็สั่นกระทบกัน
ตัวสั่นหมด
    หน้าซีดเผือด

11 ไหนล่ะถ้ำสิงห์[a]
    ไหนล่ะรังสิงห์หนุ่ม
ไหนล่ะที่อยู่ของสิงห์ตัวผู้และตัวเมีย
    ไหนล่ะที่ที่ลูกสิงห์อยู่อย่างไม่ต้องกลัวอันตราย
12 สิงห์[b] หาเหยื่อ[c] ได้อย่างเหลือเฟือมาเลี้ยงลูกๆของมัน
    และมันก็ฆ่าเหยื่อเอามาให้พวกเมียๆของมัน
มันเอาเหยื่อมาไว้เต็มถ้ำของมัน
    และถ้ำของมันก็เต็มไปด้วยเนื้อที่ฉีกแล้ว

13 พระยาห์เวห์ ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น พูดว่า
“เราต่อต้านเจ้า เราจะเผาสิ่งที่เจ้ามีเหลือเฟือให้เป็นควัน
    และดาบจะฆ่าสิงห์หนุ่มของเจ้าในสนามรบ
ต่อไปนี้จะไม่มีใครตกเป็นเหยื่อของเจ้าอีกแล้ว
    และจะไม่มีใครได้ยินข่าวร้ายจากพวกผู้ส่งข่าวของเจ้าอีกต่อไป”

ลูกา 18

พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐาน

18 พระเยซูได้เล่าเรื่องเปรียบเทียบให้ศิษย์ของพระองค์ฟัง เพื่อสอนให้พวกเขาอธิษฐานอยู่เสมอ และไม่สิ้นหวัง พระองค์เล่าว่า “ในเมืองหนึ่ง มีผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ไม่เกรงกลัวพระเจ้า และไม่เคยเคารพนับถือใครเลย ในเมืองนี้มีหญิงม่ายคนหนึ่ง ที่เฝ้าวนเวียนมาอ้อนวอนผู้พิพากษาคนนี้ว่า ‘ช่วยตัดสินคดีของฉันอย่างยุติธรรมด้วยเถิด’ ตอนแรกผู้พิพากษาไม่ได้สนใจนางเลย แต่ในที่สุดผู้พิพากษาก็พูดกับตัวเองว่า ‘ถึงแม้เราจะไม่เกรงกลัวพระเจ้า และไม่กลัวมนุษย์หน้าไหนทั้งนั้น แต่เราคงต้องให้ความยุติธรรมกับเธอ เพราะเธอเซ้าซี้กวนใจเหลือเกิน จะได้เลิกมายุ่งวุ่นวายกับเราเสียที ไม่งั้นเราคงจะบ้าตายแน่’”

แล้วพระองค์ก็พูดต่อว่า “เห็นหรือเปล่าว่า ผู้พิพากษาขี้โกงคนนี้พูดว่าอะไร แล้วพระเจ้าจะไม่ให้ความยุติธรรมกับคนที่พระองค์ได้เลือกไว้ที่ร้องขอความช่วยเหลือต่อพระองค์ทั้งวันทั้งคืนหรือ พระองค์จะผลัดไปเรื่อยๆหรือ เราจะบอกให้รู้ว่า พระองค์จะรีบให้ความยุติธรรมกับเขา ว่าแต่เมื่อบุตรมนุษย์มาถึง พระองค์จะเจอคนที่มีความเชื่อหลงเหลืออยู่ในโลกนี้หรือเปล่า”

ฟาริสีกับคนเก็บภาษี

พระเยซูเล่าเรื่องเปรียบเทียบนี้ เพื่อสอนคนที่เชื่อมั่นในตัวเองเหลือเกินว่าทำตามใจพระเจ้า และชอบดูถูกคนอื่น พระองค์เล่าว่า 10 “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานที่วิหาร คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสี ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี 11 ฟาริสีคนนั้นยืนอยู่ตามลำพังและอธิษฐานว่า ‘พระเจ้า ขอบคุณที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่นๆเช่นพวกขโมย พวกขี้โกง พวกมีชู้ หรือแม้แต่คนเก็บภาษีคนนี้ 12 ข้าพเจ้าอดอาหารอาทิตย์ละสองครั้ง และถวายหนึ่งในสิบ[a] ของของทุกอย่างที่ได้มา’

13 แต่คนเก็บภาษีนั้น ยืนอยู่แต่ไกลในขณะที่อธิษฐาน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ทุบอกตัวเองคร่ำครวญว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดเมตตาข้าพเจ้าที่เป็นคนบาป’ 14 เราจะบอกให้รู้ว่า เมื่อกลับบ้านไป คนที่พระเจ้ายอมรับคือคนเก็บภาษี ไม่ใช่ฟาริสี เพราะทุกคนที่ยกตัวเองขึ้นจะต้องถูกกดลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะถูกยกขึ้น”

คนที่เข้าอาณาจักรของพระเจ้าต้องเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ

(มธ. 19:13-15; มก. 10:13-16)

15 มีคนอุ้มลูกเล็กๆมาให้พระเยซูจับตัวและอวยพรให้ เมื่อพวกศิษย์เห็น ก็ต่อว่าพวกเขาไม่ให้ทำอย่างนั้น 16 แต่พระเยซูกลับเรียกเด็กๆพวกนั้นเข้ามาหาแล้วพูดว่า “ปล่อยให้พวกเด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามพวกเขา เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนกับเด็กเล็กๆพวกนี้ 17 เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าใครไม่ยอมรับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนอย่างที่เด็กเล็กๆพวกนี้ยอมรับ คนนั้นจะไม่ได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้าแน่ๆ”

คนรวยคนหนึ่งถามพระเยซู

(มธ. 19:16-30; มก. 10:17-31)

18 มีผู้นำชาวยิวคนหนึ่งถามพระเยซูว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐผมจะต้องทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป” 19 พระเยซูจึงถามว่า “คุณเรียกเราว่าผู้ประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐหรอกนอกจากพระเจ้าเท่านั้น 20 คุณก็รู้กฎปฏิบัติแล้วนี่ ที่ว่า ‘อย่ามีชู้ อย่าฆ่าคน อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ และให้เคารพนับถือพ่อแม่’”[b]

21 ผู้นำคนนั้นก็พูดว่า “ผมรักษากฎทั้งหมดนั้นมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”

22 เมื่อพระองค์ได้ยินอย่างนั้น ก็พูดต่อไปว่า “คุณยังขาดอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือให้ไปขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่คุณมี แล้วเอาเงินไปแจกจ่ายให้กับคนยากจน และคุณก็จะมีทรัพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์ แล้วมาติดตามเรา” 23 เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น ก็เสียใจอย่างหนักเพราะเขาร่ำรวยมาก

24 เมื่อพระเยซูเห็นว่าเขาเสียใจมาก จึงพูดขึ้นว่า “มันยากมากที่คนรวยจะเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า 25 ความจริงแล้ว ให้อูฐลอดรูเข็มยังจะง่ายกว่าที่จะให้คนรวยเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า”

26 คนที่ได้ยินเรื่องนี้ ก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ใครจะไปรอดได้”

27 พระเยซูพูดว่า “สำหรับมนุษย์ เป็นไปไม่ได้หรอก แต่สำหรับพระเจ้าก็เป็นไปได้”

28 แล้วเปโตรก็พูดว่า “พวกเราได้สละสิ่งที่เป็นของเรา เพื่อมาติดตามพระองค์”

29 พระเยซูตอบว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนไหนที่ได้สละบ้านเรือนหรือเมีย หรือพี่น้องหรือพ่อแม่ หรือลูก เพราะเห็นแก่อาณาจักรของพระเจ้าแล้วละก็ 30 เขาจะได้รับสิ่งตอบแทนหลายเท่าในชีวิตนี้ และจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไปในโลกหน้าด้วย”

พระเยซูจะฟื้นขึ้นจากความตาย

(มธ. 20:17-19; มก. 10:32-34)

31 พระเยซูพาศิษย์เอกทั้งสิบสองคนปลีกตัวออกมาข้างๆและพูดกับพวกเขาว่า “ฟังให้ดีนะ พวกเราจะขึ้นไปเมืองเยรูซาเล็ม ทุกอย่างที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าได้เขียนไว้เกี่ยวกับบุตรมนุษย์จะเกิดขึ้นที่นั่น 32 เขาจะถูกส่งตัวให้กับพวกคนที่ไม่ใช่ยิว[c] พวกนั้นจะหัวเราะเยาะ ดูถูก และถ่มน้ำลายรดเขา 33 คนเหล่านั้นจะเฆี่ยนตีและฆ่าเขา แต่ในวันที่สาม เขาจะฟื้นขึ้นจากความตาย” 34 แต่พวกศิษย์ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์พูด เพราะความหมายของมันถูกแอบซ่อนไปจากพวกเขา พวกเขาก็เลยไม่รู้ว่าพระองค์พูดถึงเรื่องอะไร

พระเยซูรักษาคนตาบอด

(มธ. 20:29-34; มก. 10:46-52)

35 เมื่อพระเยซูมาใกล้ถึงเมืองเยริโค มีขอทานตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ข้างถนน 36 เมื่อได้ยินฝูงชนจำนวนมากเดินผ่านมา เขาก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

37 คนเหล่านั้นบอกว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธกำลังผ่านมาทางนี้”

38 คนตาบอดก็ตะโกนว่า “เยซู บุตรดาวิด สงสารผมด้วยครับ” 39 คนที่เดินนำหน้า ต่างก็สั่งกำชับให้เขาเงียบ แต่เขากลับยิ่งตะโกนดังขึ้นว่า “บุตรดาวิด สงสารผมด้วยครับ”

40 พระเยซูก็เลยหยุด สั่งให้คนพาเขาเข้ามา แล้วพระองค์ถามเขาว่า 41 “อยากให้เราช่วยอะไร”

เขาจึงตอบว่า “ผมอยากมองเห็นครับท่าน”

42 พระเยซูจึงพูดกับเขาว่า “มองสิแล้วจะเห็น ความเชื่อของคุณช่วยให้คุณหายแล้ว”

43 เขามองเห็นทันที จึงติดตามพระเยซูไป และสรรเสริญพระเจ้า เมื่อชาวบ้านเห็นอย่างนั้น ทุกคนก็พากันยกย่องพระเจ้า

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International