M’Cheyne Bible Reading Plan
ดาวิดเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งหมด
(2 ซมอ. 5:1-3)
11 แล้วชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ได้รวมตัวกันมาหาดาวิดที่เมืองเฮโบรนและพูดกับดาวิดว่า “ดูเถิด พวกเราก็เป็นญาติของท่าน 2 แม้ว่าเมื่อก่อนซาอูลจะเป็นกษัตริย์ แต่ตัวท่านก็คือผู้นำที่แท้จริงของอิสราเอลในสนามรบ และพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านก็ได้พูดกับท่านว่า ‘เจ้าจะเป็นอย่างผู้เลี้ยงอิสราเอลประชาชนของเรา และเจ้าจะเป็นผู้ปกครองเหนือประชาชนชาวอิสราเอลของเรา’”
3 พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลทั้งหมดได้มาหากษัตริย์ดาวิดที่เมืองเฮโบรนและดาวิดก็ได้ทำข้อตกลงกับพวกเขาในเมืองนั้นต่อหน้าพระยาห์เวห์ และพวกเขาก็ได้เจิมให้ดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล เหมือนกับที่พระยาห์เวห์ได้พูดไว้ผ่านทางซามูเอล
ดาวิดเข้ายึดเมืองเยรูซาเล็ม
(2 ซมอ. 5:6-10)
4 ดาวิดและอิสราเอลทั้งหมดได้ยกทัพไปเมืองเยรูซาเล็ม ตอนนั้นเยรูซาเล็มมีชื่อเรียกว่าเยบุส เพราะคนเยบุสอาศัยอยู่ที่นั่น พวกคนเยบุสเป็นคนดั้งเดิมของแผ่นดินนั้น 5 ชาวเมืองเยบุสพูดกับดาวิดว่า “เจ้าบุกเข้ามาไม่ได้หรอก” แต่ดาวิดก็สามารถยึดป้อมศิโยน ไว้ได้ (ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองของดาวิด)
6 ดาวิดจึงพูดว่า “ใครที่โจมตีเยบุสได้ จะได้เป็นหัวหน้าและแม่ทัพ” โยอาบลูกชายของนางเศรุยาห์ก็ปีนขึ้นไปได้เป็นคนแรก เขาจึงได้กลายเป็นหัวหน้า
7 แล้วดาวิดก็ได้สร้างวังของเขาอยู่ในป้อมนั้น จึงได้เรียกสถานที่แห่งนั้นว่าเมืองของดาวิด 8 ดาวิดได้สร้างเมืองขึ้นมาใหม่ล้อมรอบทุกด้าน ตั้งแต่มิลโล[a] ไปจนตลอดโดยรอบ และโยอาบก็ได้ซ่อมแซมเมืองส่วนที่เหลือทั้งหมด 9 ดาวิดยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆและพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นก็สถิตอยู่กับเขา
พวกนักรบของดาวิด
(2 ซมอ. 23:8-39)
10 คนเหล่านี้คือหัวหน้านักรบของดาวิด ที่สนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ในแผ่นดินของดาวิดร่วมกับชาวอิสราเอลทั้งหมด เพื่อให้เขาเป็นกษัตริย์ตามคำพูดของพระยาห์เวห์ที่ได้พูดไว้เกี่ยวกับอิสราเอล
11 ต่อไปนี้คือรายชื่อของเหล่านักรบของดาวิด
ยาโชเบอัมชาวฮัคโมนีเป็นหัวหน้าของกองทหารของกษัตริย์ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน[b] เขาได้ใช้หอกของเขาต่อสู้กับคนสามร้อยคนและได้ฆ่าพวกนั้นตายหมดในคราวเดียวกัน
12 ต่อจากเขาคือ เอเลอาซาร์ลูกชายของโดโด[c] จากตระกูลอาโหอาห์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสุดยอดนักรบสามคนนั้น 13 เขาเคยอยู่กับดาวิดที่ปัสดัมมิมเมื่อครั้งที่ชาวฟีลิสเตียได้รวมตัวกันขึ้นที่นั่นเพื่อทำสงคราม สถานที่นั้นเต็มไปด้วยข้าวบาร์เลย์ คนอิสราเอลต่างหลบหนีเอาตัวรอดจากพวกฟีลิสเตีย 14 แต่เอเลอาซาร์กับคนของเขา กลับยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งนาแห่งนั้นและต่อสู้กับพวกฟีลิสเตีย จนได้รับชัยชนะ พระยาห์เวห์ได้นำชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาให้กับพวกอิสราเอล
15 ครั้งหนึ่ง สามคนจากกองทหารของกษัตริย์ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคนได้ปีนหน้าผาลงไปพบกับดาวิดที่ถ้ำอดุลลัม ในขณะที่ชาวฟีลิสเตียกำลังตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขาเรฟาอิม
16 ในเวลานั้น ดาวิดอยู่ในป้อมกำบังและพวกกองทหารของชาวฟีลิสเตียก็อยู่ที่เบธเลเฮม 17 ดาวิดรู้สึกคิดถึงบ้าน และเปรยออกมาว่า “ถ้ามีใครเอาน้ำจากบ่อน้ำของเบธเลเฮมที่อยู่ข้างประตูมาให้เราดื่มซะหน่อยก็คงจะดีนะ”
18 แล้วทหารทั้งสามคนนั้นก็ได้ตีฝ่าค่ายของพวกฟีลิสเตียออกไป และได้ตักน้ำจากบ่อน้ำของเบธเลเฮมที่อยู่ข้างประตูเมืองและนำมันกลับมาให้กับดาวิด แต่ดาวิดไม่ยอมดื่มน้ำนั้น แต่เขากลับเทมันออกถวายให้กับพระยาห์เวห์ 19 เขาพูดว่า “ขอให้พระเจ้าของเราลงโทษเรา ถ้าเราทำอย่างนี้ จะให้เราดื่มเลือดของคนพวกนี้ที่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อนำน้ำนี้มาให้กับเราได้ยังไง” ดาวิดจึงไม่ยอมดื่มน้ำนั้น และนี่ก็คือสิ่งที่นักรบทั้งสามคนได้ทำไป
ทหารกล้าคนอื่นๆ
(2 ซมอ. 23:18-39)
20 อาบีชัยที่เป็นน้องชายของโยอาบ เขาเป็นหัวหน้าของกองทหารของกษัตริย์ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน[d] เขาได้ใช้หอกของเขาฆ่าคนสามร้อยคนตายจนหมด แต่เขาไม่ได้รวมอยู่ในทหารกล้าสามคนนั้น[e] 21 อาบีชัยได้รับเกียรติมากกว่าทหารคนอื่นๆในกองทหารของกษัตริย์ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคนนั้น[f] และเขาก็ได้กลายเป็นหัวหน้าของคนเหล่านั้น แต่ไม่ได้รวมอยู่ในทหารกล้าสามคนนั้น
22 เบไนยาห์ลูกชายของเยโฮยาดาที่มาจากขับเซเอล เป็นคนกล้าหาญที่ได้ทำสิ่งที่น่าจดจำไว้เหมือนกัน เขาเป็นคนฆ่านักรบชาวโมอับที่เก่งที่สุดสองคนและยังได้ลงไปฆ่าสิงโตในบ่อน้ำในวันที่หิมะตกอีกด้วย 23 เขายังได้ฆ่าชาวอียิปต์คนหนึ่งที่มีรูปร่างใหญ่โต สูงถึงห้าศอก[g] ชายคนนั้นถือหอกที่ใหญ่และหนักมาก แต่เบไนยาห์ได้ไปต่อสู้กับเขาด้วยไม้เท้าเพียงอันเดียว เขาแย่งหอกจากมือของคนอียิปต์ และฆ่าอียิปต์คนนั้นตายด้วยหอกของเขาเอง 24 นี่คือสิ่งที่เบไนยาห์ลูกชายของเยโฮยาดาได้ทำไป เขาไม่ได้รวมอยู่ในทหารกล้าสามคนนั้น 25 เขาได้รับเกียรติมากกว่าทหารคนอื่นๆในกองทหารของกษัตริย์ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน แต่เขาไม่ได้รวมอยู่ในทหารกล้าสามคนนั้น ดาวิดได้แต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าทหารรักษาพระองค์
26 พวกนักรบที่กล้าหาญประกอบไปด้วย
อาสาเฮลที่เป็นน้องชายของโยอาบ เอลฮานันลูกชายของโดโดจากเมืองเบธเลเฮม
27 ชัมโมทชาวฮาโรด เฮเลสชาวเปโลน
28 อิราลูกชายของอิกเขชจากเมืองเทโคอา อาบีเยเซอร์จากเมืองอานาโธท
29 สิบเบคัยชาวหุชาห์ อิลัยชาวอาโหอาห์
30 มาหะรัยจากเมืองเนโทฟาห์ เฮเลดลูกชายของบาอานาห์จากเมืองเนโทฟาห์
31 อิททัยลูกชายของรีบัยจากเมืองกิเบอาห์ของชาวเบนยามิน เบไนยาห์ชาวปิราโธน
32 หุรัยที่มาจากลุ่มแม่น้ำกาอัช อาบีเอลชาวอารบา
33 อัสมาเวทชาวบาฮูริม เอลียาบาชาวชาอัลโบน
34 ฮาเชมชาวกิโซน โยนาธานลูกชายของชากีชาวฮาราร์
35 อาหิอัมลูกชายของสาคาร์ชาวฮาราร์ เอลีฟัลลูกชายของอูระ
36 เฮเฟอร์ชาวเมเคราไธด์ อาหิยาห์ชาวเปโลน
37 เฮสโรชาวคารเมล นาอารัยลูกชายของเอสบัย
38 โยเอลน้องชายของนาธัน มิบฮาร์ลูกชายของฮากรี
39 เศเลกชาวอัมโมน นาหะรัยจากเมืองเบเอโรท (เป็นคนถืออาวุธของโยอาบลูกชายของนางเศรุยาห์)
40 อิราชาวอิทไรต์ กาเรบชาวอิทไรต์
41 อุรียาห์ชาวฮิตไทต์ ศาบาดลูกชายของอัคลัย
42 อาดีนาลูกชายของชิซาชาวรูเบน (อาดีนาเป็นหัวหน้าคนหนึ่งของชาวรูเบนและคนอีกสามสิบคนที่อยู่กับเขา)
43 ฮานันลูกชายของมาอาคาห์ โยชาฟัทชาวมิทเน
44 อุสชียาชาวอัชทาโรท ชามาและเยอีเอลลูกชายของโฮธามชาวอาโรเออร์
45 เยดียาเอลลูกชายชิมรีและน้องชายของเขาที่ชื่อโยฮาเป็นชาวทิไซต์
46 เอลีเอลชาวมาหะไวต์ ทั้งเยรีบัยและโยชาวิยาห์ ที่เป็นลูกชายของเอลนาอัม อิทมาห์ชาวโมอับ
47 เอลีเอล โอเบดและยาอาซีเอลชาวเมโซบัย
ผู้กล้าหาญที่เข้าร่วมกับดาวิด
12 ต่อไปนี้คือคนที่มาหาดาวิดที่ศิกลากในขณะที่ดาวิดยังหลบซ่อนตัวจากซาอูลลูกชายของคีช พวกเขาอยู่ในหมู่นักรบทั้งหลายที่ช่วยเหลือดาวิดในสนามรบ 2 พวกเขาเป็นนักธนูและสามารถยิงธนูหรือเหวี่ยงก้อนหินจากเชือกสลิงได้ทั้งมือซ้ายและมือขวา พวกเขามาจากเผ่าเบนยามิน ซึ่งเป็นญาติกับซาอูล
3 อาหิเยเซอร์ผู้นำของพวกเขา โยอาชลูกชายของเชมาอาห์ชาวเมืองกิเบอาห์ เยซีเอลและเปเลทลูกชายของอัสมาเวท เบราคาห์ และเยฮูชาวอานาโธท 4 อิชมัยอาห์จากเมืองกิเบโอน (เขาเป็นนักรบคนหนึ่งในหมู่นักรบสามสิบคนและเป็นแม่ทัพของกองทหารสามสิบคนนั้นด้วย) เยเรมียาห์ ยาฮาซีเอล โยฮานัน โยซาบาดชาวเมืองเกเดราห์ 5 เอลูซัย เยรีโมท เบอัลยาห์ เชมาริยาห์ เชฟาทิยาห์จากตระกูลฮารูฟห์ 6 และจากตระกูลโคราห์ มี เอลคานาห์ อิสชีอาห์ อาซาเรล โยเอเซอร์ และยาโชเบอัม 7 แล้วมีลูกชายของเยโรฮัมจากเมืองเกโดร์ คือโยเอลาห์และเศบาดิยาห์
ชาวกาด
8 จากชาวกาดที่ได้หลบหนีไปหาดาวิดที่ป้อม[h] ในทะเลทราย มีทั้งพวกนักรบ คนที่พร้อมที่จะออกรบ ผู้ที่ชำนาญในการใช้โล่และหอก พวกเขาล้วนดุร้ายเหมือนกับสิงโตและรวดเร็วเหมือนเนื้อทราย[i] บนภูเขา คือ
9 เอเซอร์หัวหน้าของพวกเขา โอบาดียาห์เป็นรองที่สอง เอลีอับเป็นที่สาม 10 มิชมันนาห์เป็นคนที่สี่ เยเรมียาห์เป็นคนที่ห้า 11 อัททัยเป็นคนที่หก เอลีเอลเป็นคนที่เจ็ด 12 โยฮานันเป็นคนที่แปด เอลซาบาดเป็นคนที่เก้า 13 เยเรมียาห์เป็นคนที่สิบ และมัคบันนัยเป็นคนที่สิบเอ็ด 14 ชาวกาดเหล่านี้ล้วนเป็นผู้นำของกองทัพ ซึ่งถ้าขนาดเล็กที่สุดก็คือผู้นำกองร้อย ใหญ่ที่สุดก็คือผู้นำกองพัน 15 คนเหล่านี้คือคนที่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนตอนเดือนที่หนึ่ง ที่มีน้ำไหลบ่าล้นตลิ่ง และพวกเขาได้ขับไล่ผู้คนที่อยู่ตามพวกหุบเขาทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำกระเจิดกระเจิงไป
ทหารคนอื่นที่เข้าร่วมกับฝ่ายดาวิด
16 มีชาวเบนยามินบางกลุ่มและชาวยูดาห์ที่มาเข้าร่วมกับฝ่ายของดาวิดที่ป้อมด้วย 17 ดาวิดได้ออกไปพบกับพวกเขาและพูดว่า “ถ้าพวกท่านมาหาเราอย่างมิตร เพื่อที่จะมาช่วยเรา เราก็ยินดีที่จะให้พวกท่านเข้าร่วมกับเรา แต่ถ้าพวกท่านจะมาเพื่อที่จะทรยศเรา ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด ขอพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเรา มองเห็นและลงโทษพวกท่าน”
18 แล้วพระวิญญาณก็ลงมาที่ตัวอามาสัยซึ่งเป็นหัวหน้าของกองทัพที่แบ่งทหารพิเศษออกเป็นหน่วยๆหน่วยละสามคน[j] และเขาก็พูดออกมาว่า
“พวกเราอยู่ฝ่ายของท่าน ดาวิด
พวกเราล้วนอยู่กับท่าน ลูกชายของเจสซี
ความสงบสุข ความสงบสุขจงอยู่กับท่านเถิด
และความสงบสุขจงอยู่กับผู้ที่ช่วยเหลือท่านเถิด
เพราะพระเจ้าของท่านได้ช่วยเหลือท่านแล้ว”
ดาวิดจึงต้อนรับพวกเขาและแต่งตั้งให้พวกเขาเป็นผู้นำของกองทหารของดาวิด
19 คนจากเผ่ามนัสเสห์บางคนได้หลบหนีไปเข้ากับพวกของดาวิดด้วย ตอนที่ดาวิดได้ยกทัพมากับพวกฟีลิสเตียเพื่อต่อสู้กับซาอูล (แต่ดาวิดยังไม่ทันได้ช่วยพวกฟีลิสเตียรบ เพราะพวกหัวหน้าของชาวฟีลิสเตียได้ปรึกษากันแล้วเห็นว่าควรส่งตัวดาวิดกลับไป พวกเขาคุยกันแล้วว่า “ดาวิดจะหนีทัพไปหาซาอูลนายของเขาและมันจะทำให้หัวของพวกเราหลุดออกจากบ่าได้”) 20 เมื่อดาวิดไปถึงศิกลาก ก็มีคนจากเผ่ามนัสเสห์หลบหนีทัพมาเข้าร่วมกับเขา คือ อัดนาห์ โยซาบาด เยดียาเอล มีคาเอล โยซาบาด เอลีฮูและศิลเลธัยซึ่งเป็นบรรดาหัวหน้ากองพันของเผ่ามนัสเสห์ 21 และพวกเขาก็ได้ช่วยเหลือดาวิดในการต่อสู้กับกองทัพผู้บุกรุกเพราะพวกเขาล้วนเป็นนักรบที่กล้าหาญและพวกเขาก็ได้เป็นแม่ทัพอยู่ในกองทัพของดาวิด
22 มีคนเข้ามาร่วมอยู่ฝ่ายเดียวกับดาวิดเพิ่มขึ้นวันแล้ววันเล่า เพื่อที่จะช่วยเหลือเขา จนกระทั่งเขามีกองทัพที่ยิ่งใหญ่เหมือนกองทัพของพระเจ้า
พันธมิตรของดาวิดในเฮโบรน
23 ต่อไปนี้คือคนที่พร้อมออกรบ ที่มาอยู่ฝ่ายเดียวกับดาวิดในเมืองเฮโบรน เพื่อจะมอบอาณาจักรของซาอูลให้กับดาวิดตามที่พระยาห์เวห์ได้พูดไว้
24 จากเผ่าของยูดาห์ มีหกพันแปดร้อยคน
ที่ถือโล่และหอกเข้ามารับใช้ในกองทัพ
25 จากเผ่าสิเมโอน มีทหารกล้าเจ็ดพันหนึ่งร้อยคน
26 จากเผ่าเลวี มีสี่พันหกร้อยคน
27 และเยโฮยาดาซึ่งเป็นผู้นำของครอบครัวอาโรนก็นำคนมาด้วยสามพันเจ็ดร้อยคน
28 และนักรบหนุ่มศาโดกก็มาพร้อมกับแม่ทัพในครอบครัวของเขาอีกยี่สิบสองคน
29 จากเผ่าเบนยามิน ซึ่งเป็นพี่น้องของซาอูล มีจำนวนสามพันคน ซึ่งเกือบทั้งหมดยังคงจงรักภักดีกับครอบครัวของซาอูลจนกระทั่งเวลานั้น
30 จากเผ่าเอฟราอิม มีนักรบที่กล้าหาญจำนวนสองหมื่นแปดร้อยคน พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในตระกูลของพวกเขา
31 จากครึ่งหนึ่งของคนเผ่ามนัสเสห์ มีจำนวนหนึ่งหมื่นแปดพันคน พวกเขาถูกขานชื่อออกมา เพื่อไปเชิญดาวิดให้มาเป็นกษัตริย์
32 จากเผ่าอิสสาคาร์ มีหัวหน้าสองร้อยคน ผู้ที่เข้าใจสถานะการณ์ในเวลานั้น และรู้ว่าอิสราเอลควรจะทำอะไรรวมทั้งญาติๆทั้งหมดที่อยู่ภายใต้คำสั่งของพวกเขา
33 จากเผ่าเศบูลุน มีจำนวนห้าหมื่นคน ที่ต่างก็มาด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน พวกเขาพร้อมรบ ถูกฝึกให้ใช้อาวุธทุกชนิด
34 จากเผ่านัฟทาลี มีแม่ทัพหนึ่งพันคนและคนในกองทัพที่มากับพวกเขาอีกสามหมื่นเจ็ดพันคน ซึ่งมีโล่และหอกเป็นอาวุธ
35 จากเผ่าดาน มีจำนวนสองหมื่นแปดพันหกร้อยคนพร้อมอาวุธ
36 จากเผ่าอาเชอร์ มีจำนวนสี่หมื่นคน เตรียมพร้อมสำหรับงานรับใช้ในกองทัพ และพร้อมรบ
37 จากอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน จากคนเผ่ารูเบน เผ่ากาด และครึ่งหนึ่งของคนเผ่ามนัสเสห์ มีจำนวนหนึ่งแสนสองหมื่นคน มีอาวุธทุกชนิด
38 พวกนักรบทั้งหมดนี้ได้มารวมตัวกันเพื่อออกศึก พวกเขาได้ยกทัพไปถึงเมืองเฮโบรน และได้เห็นพ้องต้องกันที่จะยกดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และอิสราเอลที่เหลือทั้งหมดต่างก็เห็นดีด้วยที่จะยกดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ 39 พวกเขาได้ร่วมกินดื่มอยู่ที่นั่นกับดาวิดเป็นเวลาสามวันเพราะญาติๆของพวกเขาได้จัดเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว 40 ส่วนเพื่อนบ้านทั้งหลายที่มาจากแดนไกล อย่างเผ่าอิสสาคาร์ เผ่าเศบูลุนและเผ่านัฟทาลี ต่างก็ได้บรรทุกเอาอาหารมาให้กับพวกเขา ด้วยขบวนลา อูฐ ล่อและวัว พวกเขาขนเอาแป้ง ขนมมะเดื่อ ลูกเกด เหล้าองุ่นและน้ำมันมะกอก วัวตัวผู้และแกะจำนวนมากมายมหาศาลมาให้ เพราะในเวลานั้นชาวอิสราเอลต่างก็เฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุข
13 ขอให้เรารักกันอย่างพี่น้องต่อไป 2 อย่าลืมที่จะเลี้ยงดูแขกแปลกหน้าที่มาบ้าน เพราะบางคนที่ทำอย่างนั้นได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว 3 อย่าลืมช่วยดูแลคนเหล่านั้นที่ถูกขังคุกอยู่เหมือนกับถูกขังร่วมกับเขาด้วย ให้เราช่วยเหลือคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงราวกับว่าถูกกดขี่ข่มเหงเสียเอง
4 ขอให้ทุกคนให้เกียรติกับชีวิตสมรส และขอให้เตียงสมรสนั้นบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าจะลงโทษคนที่มีชู้และทำผิดทางเพศ 5 อย่าเป็นคนที่รักเงิน แต่ให้พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เพราะว่าพระเจ้าได้พูดว่า
“เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า
เราจะไม่หนีเจ้าไป”[a]
6 ดังนั้น เราจึงพูดด้วยความมั่นใจได้ว่า
“องค์เจ้าชีวิตเป็นผู้ช่วยของผม ผมจะไม่กลัวอะไร
มนุษย์จะทำอะไรผมได้”[b]
7 ให้ระลึกถึงพวกผู้นำของคุณ คนที่เคยประกาศถ้อยคำของพระเจ้าให้กับคุณ ให้สังเกตดูชีวิตของเขาว่าเขาอยู่และตายอย่างไร แล้วให้เลียนแบบความเชื่อของคนเหล่านั้น
8 พระเยซูคริสต์เหมือนเดิมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวานนี้ วันนี้ หรือตลอดไป
9 อย่าปล่อยให้คำสอนที่แปลกๆนำพวกคุณให้หลงไป เพราะความเมตตากรุณาของพระเจ้านั้นดีอยู่แล้ว ทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งขึ้น แต่การกินอาหารตามธรรมเนียมพิธีนั้นไม่ได้ช่วยจิตใจของคนที่ถืออย่างนั้นเลย
10 เรามีแท่นบูชาที่คนที่รับใช้อยู่ในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ไม่มีสิทธิ์ที่จะกินจากแท่นนั้นได้ 11 หัวหน้านักบวชสูงสุดนำเลือดของสัตว์เข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาจัดการกับบาป แต่ร่างของสัตว์นั้น เขาเอาออกไปเผานอกค่าย 12 ก็เหมือนกับที่พระเยซูต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นอกประตูเมือง และใช้เลือดของพระองค์ชำระประชาชนให้บริสุทธิ์ 13 ดังนั้น ขอให้เราออกไปหาพระองค์นอกค่ายกันเถอะ และยอมทนต่อความอับอายขายหน้าเพื่อพระองค์ 14 เพราะในโลกนี้ เราไม่มีเมืองที่ถาวร แต่เรากำลังแสวงหาเมืองที่กำลังจะมาถึง 15 ดังนั้น เพราะสิ่งที่พระเยซูทำ เราควรถวายเครื่องบูชาต่อพระเจ้าเสมอ เครื่องบูชานั้นคือคำสรรเสริญที่ออกมาจากริมฝีปากที่ยกย่องพระองค์ 16 อย่าลืมทำความดีและแบ่งปันสิ่งของให้กับคนอื่นด้วย เพราะการทำอย่างนี้เป็นการถวายเครื่องบูชาต่อพระเจ้าจริงๆ
17 ให้เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทพวกผู้นำของพวกคุณ เพราะพวกเขาเฝ้าดูแลชีวิตคุณอยู่ เหมือนกับคนที่ต้องรายงานตัวต่อพระเจ้า ขอให้ทำอย่างนี้ เพื่อพวกเขาจะได้ทำงานด้วยความสุขและไม่ต้องนั่งถอนใจ เพราะถ้าเขาต้องเป็นอย่างนั้น มันก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรกับพวกคุณเลย
18 ให้อธิษฐานเผื่อเรา เพราะเราแน่ใจว่าเรามีใจที่บริสุทธิ์ คือเราอยากจะทำตัวดีในทุกเรื่องตลอดเวลา 19 ผมขอร้องเป็นพิเศษให้พวกคุณอธิษฐานเพื่อผมจะได้กลับไปอยู่กับพวกคุณเร็วขึ้น
20-21 พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข พระองค์ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย เพราะพระองค์ได้สละเลือดของพระองค์เองเพื่อทำสัญญาอันถาวร พระเยซูเป็นองค์เจ้าชีวิตของเราและเป็นหัวหน้าคนเลี้ยงแกะ ขอให้พระเจ้าให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีๆกับพวกคุณ เพื่อเตรียมคุณให้พร้อมที่จะทำตามใจของพระองค์ ขอให้พระองค์ทำสิ่งที่เป็นเรื่องชอบใจต่อหน้าพระองค์ให้สำเร็จท่ามกลางพวกเราผ่านทางพระเยซูคริสต์ ขอให้พระองค์ได้รับเกียรติตลอดไป อาเมน
22 พี่น้องครับ ผมอ้อนวอนให้ฟังคำเตือนนี้ ซึ่งผมได้เขียนให้พี่น้องเพียงย่อๆเท่านั้น 23 อยากให้คุณรู้ว่า พวกเขาปล่อยทิโมธีน้องของเราออกจากคุกแล้ว ถ้าเขามาที่นี่ทัน ผมจะพาเขาไปหาพวกคุณพร้อมกับผม
24 ผมขอฝากความคิดถึงมายังพวกผู้นำของพวกคุณ และคนที่เป็นของพระเจ้าทุกคน พวกพี่น้องที่มาจากอิตาลีก็ฝากความคิดถึงมาให้ทุกคนด้วย
25 ขอพระเจ้ามีความเมตตากรุณากับพวกคุณทุกคนเถิด
นิมิตเกี่ยวกับตั๊กแตน
7 พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิตแสดงสิ่งนี้ให้ผมเห็น พระองค์กำลังทำให้ฝูงตั๊กแตนเกิดขึ้น ในขณะที่ผลผลิตชุดหลังกำลังเกิดผล มันเป็นผลผลิตชุดหลัง หลังจากที่กษัตริย์ได้เก็บเกี่ยวชุดแรกไปแล้ว 2 หลังจากที่ฝูงตั๊กแตนกินพืชผักในแผ่นดินจนหมดแล้ว ผมก็พูดว่า “พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต โปรดยกโทษให้ด้วย ยาโคบจะทนได้ยังไง เขาเป็นชนชาติที่อ่อนแอและเล็กมาก”
3 แล้วพระยาห์เวห์ก็เปลี่ยนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่า “มันจะไม่เกิดขึ้น”
นิมิตเกี่ยวกับไฟ
4 พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต แสดงสิ่งนี้ให้ผมเห็น พระองค์เรียกห่าไฟให้ตกลงมา ไฟนั้นเผาผลาญมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ และไฟนั้นก็เริ่มเผาผลาญทุ่งนา 5 แล้วผมก็พูดว่า “พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต ได้โปรดหยุดเถอะ ยาโคบจะไปทนได้ยังไง เพราะเขาเป็นชนชาติที่อ่อนแอและเล็กมาก” 6 แล้วพระยาห์เวห์ก็เปลี่ยนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่า “มันจะไม่เกิดขึ้นแล้ว”
นิมิตเกี่ยวกับกำแพงที่ทำจากแร่ดีบุก
7 พระองค์แสดงสิ่งนี้ให้กับผมเห็น องค์เจ้าชีวิตยืนอยู่ข้างกำแพงที่ทำจากแร่ดีบุก[a] และพระองค์ก็ถือแร่ดีบุกอยู่ในมือ 8 แล้วพระองค์ก็ถามผมว่า “อาโมส เจ้าเห็นอะไรบ้าง” ผมตอบว่า “แร่ดีบุกครับท่าน” แล้วพระองค์ก็พูดกับผมว่า “ดูนี่สิ เรากำลังเอาแร่ดีบุกวางไว้ท่ามกลางอิสราเอลที่เป็นคนของเรา เราจะไม่ยอมยกโทษให้กับพวกเขาอีกต่อไป 9 สถานที่บูชาต่างๆของอิสอัคจะถูกทำลายลง และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอิสราเอลจะต้องพังพินาศ และเราจะลุกขึ้นมาต่อต้านและฆ่าฟันราชวงศ์ของเยโรโบอัมด้วยดาบ”
อามาซิยาห์พยายามหยุดอาโมส
10 อามาซิยาห์ นักบวชคนหนึ่งที่เบธเอล ส่งคนไปบอกกษัตริย์เยโรโบอัมของอิสราเอลว่า “อาโมสกำลังวางแผนชั่วร้ายต่อต้านท่านในอิสราเอลนี่เอง ผู้คนทั้งประเทศทนฟังคำพูดทั้งหลายของอาโมสไม่ได้
11 เพราะอาโมสพูดว่า ‘เยโรโบอัมจะต้องตายด้วยคมดาบ และคนอิสราเอลก็จะต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยจากแผ่นดินของเขาอย่างแน่นอน’”
12 อามาซิยาห์พูดกับอาโมสว่า “ไปให้พ้น เจ้าผู้ที่เห็นนิมิต หนีกลับไปอยู่ที่แผ่นดินยูดาห์ ไปทำมาหากินและไปพูดแทนพระเจ้าที่นั่นซะ 13 แต่อย่าได้มาพูดแทนพระเจ้าที่เบธเอลอีกเป็นอันขาด เพราะที่นี่เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ และเป็นวิหารของอาณาจักร”
14 แล้วอาโมสก็ตอบอามาซิยาห์ว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นผู้พูดแทนพระเจ้ามืออาชีพ และข้าพเจ้าก็ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของผู้พูดแทนพระเจ้าด้วย ข้าพเจ้าเป็นคนดูแลฝูงสัตว์และต้นมะเดื่อ 15 แต่พระยาห์เวห์เอาข้าพเจ้ามาจากการติดตามดูแลฝูงแพะแกะ และพระยาห์เวห์พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ไปพูดแทนเรา ให้กับชาวอิสราเอลคนของเรา’ 16 ดังนั้น ตอนนี้ให้ท่านฟังถ้อยคำของพระยาห์เวห์ให้ดี ท่านพูดว่า ‘อย่าพูดแทนพระเจ้าต่อว่าคนอิสราเอล และอย่าเทศนาต่อว่าครอบครัวของอิสอัค’ 17 ดังนั้น พระยาห์เวห์ถึงได้พูดอย่างนี้ว่า ‘เมียของเจ้าจะกลายเป็นหญิงโสเภณีในเมืองนี้ และลูกชายลูกสาวของเจ้าจะถูกฆ่าฟันด้วยดาบ และคนอื่นๆก็จะมายึดที่ดินของเจ้าไปแบ่งปันกัน และเจ้าก็จะต้องไปตายในต่างแดน และอิสราเอลก็จะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย และต้องย้ายออกไปจากดินแดนของตน’”
พระเยซูเกิด
(มธ. 1:18-25)
2 ในเวลานั้นจักรพรรดิ[a]ออกัสตัส[b] ออกคำสั่งให้ประชาชนทุกคนทั่วทั้งอาณาจักรโรมันกลับไปบ้านเกิดของตนเพื่อจดทะเบียนสำมะโนครัว[c] 2 ครั้งนี้เป็นการจดทะเบียนสำมะโนครัวครั้งแรก เกิดขึ้นในสมัยคีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย 3 ทุกคนจึงกลับไปที่บ้านเกิดของตน
4 โยเซฟซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด จึงต้องออกเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธ ในแคว้นกาลิลี ไปเมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของกษัตริย์ดาวิด 5 เขาพามารีย์คู่หมั้นของเขาซึ่งตั้งท้องอยู่ไปด้วย เพื่อไปจดทะเบียนสำมะโนครัวด้วยกัน 6 ในระหว่างที่พวกเขาอยู่ที่นั่นก็ถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดลูก 7 มารีย์คลอดลูกเป็นผู้ชาย นางจึงเอาผ้าอ้อมพันเด็กทารกนั้นวางไว้บนรางหญ้า เพราะไม่มีที่ไหนว่างให้พวกเขาพักเลย
คนเลี้ยงแกะได้ยินข่าวเรื่องพระเยซู
8 ที่ทุ่งหญ้านอกหมู่บ้านมีคนเลี้ยงแกะที่กำลังดูแลฝูงแกะอยู่ในตอนกลางคืน 9 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์เจ้าชีวิตมาปรากฏตัวให้พวกเขาเห็น และรัศมีขององค์เจ้าชีวิตส่องสว่างล้อมรอบพวกเขา พวกเขาตกใจกลัวมาก 10 แต่ทูตสวรรค์พูดว่า “ไม่ต้องกลัว เรามีข่าวดีมาบอก เป็นข่าวที่จะทำให้ทุกคนยินดีร่าเริง 11 เพราะวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดมาเกิดแล้วที่เมืองของดาวิด พระองค์คือพระคริสต์องค์เจ้าชีวิต 12 สิ่งที่จะบอกให้เจ้ารู้ว่าเป็นพระองค์คือ เจ้าจะพบเด็กทารกที่นอนอยู่ในรางหญ้าและมีผ้าอ้อมห่อตัวไว้”
13 ในทันใดนั้นก็มีทูตสวรรค์หมู่ใหญ่ลงมาจากสวรรค์ มารวมกับทูตสวรรค์องค์แรกนั้น และพากันร้องสรรเสริญพระเจ้าว่า
14 “สรรเสริญพระเจ้าบนสวรรค์สูงสุด
และขอให้คนที่พระเจ้าภูมิใจได้รับสันติสุขในโลกนี้”
15 เมื่อทูตสวรรค์กลับสู่สวรรค์แล้ว คนเลี้ยงแกะก็พูดกันว่า “ไปเมืองเบธเลเฮมกันเถอะ จะได้ไปดูสิ่งที่องค์เจ้าชีวิตบอกกับพวกเรา”
16 พวกเขารีบไป และได้พบมารีย์กับโยเซฟพร้อมกับเด็กทารกนอนอยู่ในรางหญ้า 17 เมื่อเห็นเด็กทารกแล้ว พวกเขาก็เล่าให้คนที่อยู่ที่นั่นฟังว่าทูตสวรรค์พูดอะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้ 18 เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้น ก็ประหลาดใจมาก 19 แต่มารีย์ก็เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจและนึกถึงเรื่องนี้อยู่เสมอๆ 20 เมื่อคนเลี้ยงแกะกลับไปแล้ว พวกเขาก็ยกย่องสรรเสริญพระเจ้าสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ยินและได้เห็นมา ซึ่งเกิดขึ้นจริงตามที่ทูตสวรรค์ได้บอกไว้
21 เมื่อเด็กเกิดมาครบแปดวันก็ได้เข้าพิธีขลิบ และได้ชื่อว่า “เยซู” ซึ่งเป็นชื่อที่ทูตสวรรค์บอกมารีย์ไว้ก่อนที่จะตั้งท้อง
ถวายเด็กน้อยเยซูในวิหาร
22 ตามกฎของโมเสสคนที่เพิ่งคลอดลูกจะมีเวลาสี่สิบวันสำหรับชำระตัวให้สะอาดตามหลักศาสนา[d] เมื่อครบกำหนดนี้แล้ว พวกเขาก็ได้พาพระเยซูไปที่เมืองเยรูซาเล็ม เพื่อถวายพระเยซูให้กับองค์เจ้าชีวิต[e] 23 เพราะกฎขององค์เจ้าชีวิตบอกว่า “ถ้าลูกคนแรกเป็นผู้ชาย จะต้องยกเด็กคนนั้นให้องค์เจ้าชีวิต”[f] 24 แล้วพวกเขาถวายเครื่องบูชาตามกฎขององค์เจ้าชีวิตคือ นกเขาสองตัวหรือนกพิราบหนุ่มสองตัว[g]
สิเมโอนเห็นพระเยซู
25 มีชายคนหนึ่งชื่อสิเมโอนอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม เขาเป็นคนที่ทำตามใจพระเจ้าและเคร่งศาสนา เขาเฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรพระเจ้าจะมาช่วยเหลือชาวอิสราเอล พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่กับเขา 26 พระองค์บอกเขาว่า เขาจะได้เห็นพระคริสต์ขององค์เจ้าชีวิตก่อนที่เขาจะตาย 27 พระวิญญาณบริสุทธิ์พาเขามาที่วิหารในวันเดียวกับที่มารีย์และโยเซฟพาลูกน้อยเยซูมาทำพิธีต่างๆตามกฏที่โมเสสสั่งให้ทำกับเด็กแรกเกิด 28 สิเมโอนก็อุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขน แล้วสรรเสริญพระเจ้าว่า
29 “ข้าแต่องค์เจ้าชีวิต ตอนนี้ขอให้ปลดปล่อยทาสคนนี้ให้ไปเป็นสุขได้แล้ว ตามที่พระองค์ได้บอกไว้
30 เพราะดวงตาของข้าพเจ้าได้เห็นความรอด[h]
31 ที่พระองค์เตรียมไว้แล้วให้ชนชาติทั้งหลายได้เห็น
32 พระองค์เป็นแสงสว่างที่ส่องให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวเห็นทางของพระองค์
และนำเกียรติอันยิ่งใหญ่มาให้กับคนของพระองค์”
33 โยเซฟกับมารีย์งุนงงมากที่สิเมโอนพูดอย่างนั้นเกี่ยวกับทารกน้อย 34 แล้วสิเมโอนอวยพรพวกเขา และพูดกับนางมารีย์แม่ของทารกน้อยว่า “พระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าเด็กคนนี้จะเป็นเหตุให้คนอิสราเอลมากมายต้องล้มลงหรือลุกขึ้น เด็กคนนี้จะเป็นสัญญาณเตือนจากพระเจ้าให้รู้ถึงความต้องการของพระองค์ แต่คนจำนวนมากจะต่อต้านเขา 35 สิ่งนี้เลยเปิดโปงความคิดในใจของคนพวกนี้ เรื่องนี้จะทำให้คุณทุกข์ใจมากเหมือนมีดาบทิ่มเข้าไปในใจของคุณ”
อันนาเห็นพระเยซู
36 อันนาซึ่งเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่ง เป็นลูกสาวของฟานูเอลจากเผ่าอาเชอร์ นางแก่มากแล้ว หลังจากอยู่กินกับสามีได้เพียงเจ็ดปี 37 สามีก็ตาย และนางก็อยู่เป็นม่ายมาจนถึงอายุแปดสิบสี่ปี นางไม่เคยออกไปจากวิหารเลย นางนมัสการพระเจ้าทั้งวันทั้งคืนด้วยการอธิษฐานและถือศีลอดอาหาร 38 นางได้เข้ามาหาพวกเขา เริ่มสรรเสริญพระเจ้า และเล่าเรื่องเด็กทารกคนนี้ให้กับทุกคนที่รอคอยเวลาที่เมืองเยรูซาเล็มจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
โยเซฟและมารีย์กลับบ้าน
39 เมื่อพวกเขาทำทุกอย่างตามกฎขององค์เจ้าชีวิตแล้ว พวกเขาก็เดินทางกลับไปเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี 40 แล้วเด็กน้อยก็ได้เติบโต มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มีความเฉลียวฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆและพระเจ้าอวยพรเขา
ตอนพระเยซูเป็นเด็ก
41 ทุกๆปี พ่อแม่ของพระเยซูจะไปเมืองเยรูซาเล็มเพื่อร่วมฉลองเทศกาลวันปลดปล่อย 42 เมื่อพระเยซูอายุสิบสองปี พวกเขาได้ไปร่วมฉลองเทศกาลเหมือนทุกปี 43 เมื่อหมดเทศกาลแล้ว พวกเขาก็เดินทางกลับบ้าน แต่เด็กน้อยเยซูยังอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม โดยที่พ่อกับแม่ไม่รู้ 44 เพราะคิดว่าพระองค์อยู่กับกลุ่มคนที่เดินทางมาด้วยกัน เมื่อผ่านไปหนึ่งวันแล้ว พวกเขาเริ่มหาเด็กน้อยเยซูในกลุ่มญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง 45 แต่ก็หาไม่พบ จึงกลับไปตามหาในเมืองเยรูซาเล็ม 46 สามวันต่อมาพวกเขาก็มาพบพระเยซูกำลังนั่งอยู่กับพวกครูสอนกฎปฏิบัติในวิหาร พระองค์กำลังตั้งคำถามกับพวกเขาอยู่ 47 คนที่ได้ยินพระองค์พูด ก็ทึ่งในความเข้าใจและคำตอบของพระองค์ 48 เมื่อพ่อแม่เห็นพระองค์ก็แปลกใจ แม่ของพระองค์ก็พูดว่า “ลูก ทำไมทำกับพ่อแม่อย่างนี้ พ่อแม่เป็นห่วงแทบแย่ เที่ยวตามหาลูกไปจนทั่วทุกที่” 49 พระเยซูก็ตอบว่า “ตามหาลูกทำไมครับ แม่ไม่รู้หรือครับว่าลูกจะต้องอยู่ในบ้านพ่อ” 50 แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าพระองค์พูดเรื่องอะไร
51 พระเยซูกลับไปเมืองนาซาเร็ธ และอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ แม่ของพระองค์ก็เก็บเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ในใจ 52 พระเยซูเจริญเติบโตขึ้นทางด้านสติปัญญาและร่างกาย ทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของพระเจ้าและต่อคนทั่วไปมากขึ้น
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International