M’Cheyne Bible Reading Plan
ดาวิดขอบคุณพระยาห์เวห์ที่ช่วยกู้เขา
(สดด. 18:1-50)
22 ดาวิดร้องเพลงบทนี้ให้กับพระยาห์เวห์ ในวันที่พระองค์ช่วยท่านให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรูทั้งหมด และจากเงื้อมมือของซาอูล
2 ดาวิดพูดว่า “พระยาห์เวห์คือหินกำบังของข้าพเจ้า คือป้อมปราการของข้าพเจ้า คือผู้ช่วยชีวิตของข้าพเจ้า
3 พระเจ้าของข้าพเจ้า คือหินกำบังที่ข้าพเจ้าเข้าไปลี้ภัย
คือโล่กำบังของข้าพเจ้า คือฤทธิ์อำนาจ[a] ที่ช่วยกู้ชีวิตข้าพเจ้า
คือที่ซ่อนที่ปลอดภัยของข้าพเจ้า และเป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์เจ้าข้า
พระองค์ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากคนป่าเถื่อน
4 ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ผู้ที่ควรค่าแก่การสรรเสริญ
แล้วพระองค์ก็ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากพวกศัตรู
5 เพราะว่าพวกคลื่นแห่งความตายได้ล้อมข้าพเจ้าอยู่
และกระแสน้ำแห่งความตายกำลังจะทำให้ข้าพเจ้าจม
6 เชือกแห่งแดนคนตายพันอยู่รอบๆตัวข้าพเจ้า
กับดักแห่งความตายอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า
7 เมื่อข้าพเจ้าตกอยู่ในความทุกข์ยาก ข้าพเจ้าร้องเรียกพระยาห์เวห์
ข้าพเจ้าเรียกพระเจ้าของข้าพเจ้า
พระองค์ได้ยินเสียงของข้าพเจ้าจากวังของพระองค์นั้น
เสียงร้องของข้าพเจ้าได้ยินไปถึงหูของพระองค์
8 แล้วแผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือน
พวกเสาค้ำฟ้าสวรรค์ก็สั่นไหว เพราะพระเจ้าโกรธ
9 มีควันพุ่งออกจากจมูกของพระองค์
ไฟที่เผาผลาญพุ่งออกมาจากปากของพระองค์
ถ่านหินลุกแดงพุ่งออกมา
10 พระองค์แหวกท้องฟ้า และเสด็จลงมา
พร้อมด้วยเมฆทึบสีดำใต้เท้าของพระองค์
11 แล้วพระองค์ก็ขึ้นขี่ทูตสวรรค์ที่มีปีก
แล้วเหาะลงมา เห็นพระองค์อยู่บนปีกของลม
12 พระองค์ทำความมืดรอบพระองค์เหมือนเต็นท์
เป็นเมฆหนาทึบ เป็นที่รวบรวมของน้ำ
13 รัศมีอันเจิดจ้าของพระองค์อยู่เบื้องหน้าพระองค์
และมีสายฟ้าพุ่งออกไป
14 พระยาห์เวห์ทำให้เกิดฟ้าร้อง
พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดก็เปล่งเสียงดังไปทั่ว
15 พระเจ้ายิงธนูออกไป ซึ่งทำให้พวกศัตรูแตกกระเจิง
พระองค์ทำสายฟ้าผ่าจนพวกนั้นแตกกระเจิง สับสนวุ่นวายไปทั่ว
16 เมื่อพระองค์ตะโกนคำสั่งของพระองค์ออกไป
เมื่อลมที่พวยพุ่งออกมาจากจมูกของพระองค์
ทำให้น้ำทะเลก็ถอยร่นกลับไป
ก้นทะเลและรากฐานของโลกก็ปรากฏขึ้น
17 พระองค์เอื้อมมือลงมาจากเบื้องบนมาฉวยข้าพเจ้าไว้
พระองค์ดึงข้าพเจ้าขึ้นมาจากกระแสน้ำเชี่ยวกรากนั้น
18 พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากศัตรูที่มีพลัง
พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากพวกศัตรูที่แข็งแรงกว่าข้าพเจ้า
19 พวกเขาปะทะกับข้าพเจ้าตอนที่ข้าพเจ้าเจอกับภัยพิบัติ
แต่พระยาห์เวห์ช่วยสนับสนุนค้ำจุนข้าพเจ้า
20 พระองค์นำข้าพเจ้าออกไปยังที่โล่งกว้าง
พระองค์ช่วยชีวิตข้าพเจ้า เพราะพระองค์ชื่นชอบข้าพเจ้า
21 พระยาห์เวห์ให้รางวัลกับข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง
พระองค์ตอบแทนข้าพเจ้าเพราะมือของข้าพเจ้าสะอาดบริสุทธิ์
22 ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังอย่างที่พระยาห์เวห์ต้องการให้ข้าพเจ้าเป็น
ข้าพเจ้าไม่ได้หันเหไปจากพระเจ้าของข้าพเจ้าเพื่อจะได้ไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย
23 เพราะข้าพเจ้าคิดถึงกฏเกณฑ์และข้อบังคับต่างๆของพระองค์อยู่เสมอ
ข้าพเจ้าไม่ได้หันเหไปจากพวกกฎของพระองค์
24 ข้าพเจ้าไม่มีที่ติต่อหน้าพระองค์
และข้าพเจ้าได้รักษาตัวเองให้พ้นจากบาป
25 พระยาห์เวห์ได้ตอบแทนข้าพเจ้า
เพราะข้าพเจ้าได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง
เพราะพระองค์ได้เห็นว่าข้าพเจ้านั้นสะอาดบริสุทธิ์
26 พระองค์จะจงรักภักดีกับคนที่จงรักภักดีกับพระองค์
และพระองค์จะไร้ที่ติกับคนที่ไร้ที่ติ
27 พระองค์จะบริสุทธิ์กับคนที่บริสุทธิ์กับพระองค์
แต่กับคนที่เหลี่ยมจัด พระองค์จะรู้ทัน
และลงโทษเขาอย่างที่เขาคาดไม่ถึง
28 พระองค์ช่วยกู้คนต่ำต้อย
แต่พระองค์มองคนหยิ่งยโสเพื่อทำให้เขาตกต่ำลง
29 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์เป็นตะเกียงของข้าพเจ้า
พระเจ้าของข้าพเจ้า ตอนที่ข้าพเจ้าอยู่ในความมืด พระองค์นำความสว่างมาให้
30 พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าสามารถลุยเข้าไปสู้กับกองทัพได้
พระเจ้าของข้าพเจ้า ช่วยให้ข้าพเจ้าสามารถกระโดดข้ามกำแพงของศัตรูไปได้
31 ทางของพระเจ้าไม่มีที่ติ
สัญญาของพระยาห์เวห์นั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเชื่อถือได้
พระองค์เป็นโล่ให้กับทุกคนที่ลี้ภัยในพระองค์
32 ใครเป็นพระเจ้า นอกจากพระยาห์เวห์
ใครเป็นหินกำบัง นอกจากพระเจ้าของพวกเรา
33 พระเจ้าองค์นี้เป็นที่ลี้ภัยอันเข้มแข็งของข้าพเจ้า
พระองค์ทำให้ทางของข้าพเจ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวาง
34 พระองค์ช่วยให้เท้าข้าพเจ้ามั่นคงเหมือนเท้ากวาง
พระองค์ทำให้ข้าพเจ้าสามารถยืนหยัดมั่นคงได้แม้บนที่สูง
35 พระองค์ฝึกมือของข้าพเจ้าสำหรับสงคราม
พระองค์ใส่พลังเข้าไปในแขนของข้าพเจ้า
เพื่อจะง้างคันธนูที่แข็งแกร่งที่สุดได้
36 พระองค์ได้มอบโล่ของพระองค์ที่ช่วยปกป้องข้าพเจ้า
ความช่วยเหลือของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะ
37 พระองค์ทำให้ทางของข้าพเจ้ากว้างขวาง
เท้าของข้าพเจ้าจึงไม่พลาดล้ม
38 ข้าพเจ้าได้ไล่ตามจับศัตรูและทำลายพวกเขา
และไม่ได้หันกลับจนได้ทำลายพวกเขาจนหมดสิ้น
39 ข้าพเจ้าได้ทำลายพวกเขาจนหมดสิ้น
ข้าพเจ้าได้บดขยี้พวกเขา จนพวกเขาลุกขึ้นมาไม่ได้อีก
พวกเขาล้มลงอยู่แทบเท้าของข้าพเจ้า
40 พระองค์ได้ทำให้ข้าพเจ้าแข็งแกร่งพร้อมออกรบ
พระองค์ทำให้คนเหล่านั้นที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับข้าพเจ้าต้องยอมหมอบลงต่อข้าพเจ้า
41 พระองค์ทำให้ศัตรูของข้าพเจ้าหันหลังหนีไป
ข้าพเจ้าก็โค่นคนพวกนั้นที่เกลียดชังข้าพเจ้าลง
42 พวกเขามองหาแต่ไม่มีใครช่วยให้รอด
พวกเขาร้องต่อพระยาห์เวห์แต่พระองค์ไม่ตอบพวกเขา
43 ข้าพเจ้าทุบตีพวกเขาแหลกละเอียดเหมือนฝุ่นของแผ่นดินโลก
ข้าพเจ้าบดขยี้พวกเขาและเหยียบย่ำพวกเขาเหมือนโคลนตามท้องถนน
44 พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากกองทัพศัตรูที่เข้ามาโจมตี
พระองค์ยังคงให้ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าของชนชาติต่างๆเหล่านั้น
แม้แต่คนที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก ก็รับใช้ข้าพเจ้า
45 พวกคนต่างชาติมาหมอบอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า
ทันทีที่พวกเขาได้ยินเรื่องของข้าพเจ้า พวกเขาต่างยอมสยบต่อข้าพเจ้า
46 คนต่างชาติพวกนั้นขวัญหนีดีฝ่อ
พากันออกมาจากที่ซ่อน ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว
47 ใช่แล้ว พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่ ให้สรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นหินกำบังของข้าพเจ้า
ให้ยกย่องพระเจ้าของข้าพเจ้า ผู้เป็นหินกำบังที่ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้น
48 พระองค์ เป็นพระเจ้าผู้ลงโทษศัตรูของข้าพเจ้า
และนำให้ชนชาติต่างๆลงมาอยู่ใต้ข้าพเจ้า
49 พระองค์นำข้าพเจ้าออกมาจากพวกศัตรูของข้าพเจ้า
พระองค์ยกข้าพเจ้าขึ้นเหนือคนเหล่านั้นที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับข้าพเจ้า
พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดจากศัตรูที่โหดร้าย
50 ดังนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย
ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญชื่อของพระองค์
51 พระองค์ให้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่กับกษัตริย์ของพระองค์
พระองค์ให้ความรักอันมั่นคงกับกษัตริย์ที่พระองค์ได้เลือกไว้
ซึ่งก็คือดาวิดและลูกหลานของเขาตลอดไป”
ศิษย์เอกคนอื่นๆยอมรับเปาโล
2 สิบสี่ปีต่อมา ผมได้กลับไปที่เมืองเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับบารนาบัสและได้พาทิตัสไปด้วย 2 ที่ไปก็เพราะพระเจ้าเปิดเผยให้รู้ว่าผมควรจะไป แล้วผมก็ได้เจอกับพวกผู้นำหมู่ประชุมของพระเจ้าที่นั่นเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้อธิบายให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับข่าวดี ที่ผมเอาไปประกาศให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวนั้น เพราะไม่อยากให้งานที่ผมได้ทำไปทั้งในอดีตและปัจจุบันสูญเสียไปเปล่าๆ 3 พวกเขาก็ไม่ได้บังคับให้ทิตัส คนที่มากับผมเข้าพิธีขลิบ ทั้งๆที่ทิตัสเป็นคนกรีก 4 ที่เราต้องพูดถึงปัญหานี้ ก็เพราะมีบางคนที่แกล้งหลอกว่าเป็นพี่น้อง พวกนี้ได้แอบเข้ามาสอดแนมอยู่ในกลุ่มพวกเรา เพื่อแย่งเอาเสรีภาพที่เรามีในพระเยซูคริสต์ไป และเพื่อทำให้เราตกเป็นทาส 5 แต่พวกเราไม่ยอมพวกมันแม้สักเสี้ยววินาทีเดียว เพื่อจะได้รักษาความจริงในข่าวดีไว้สำหรับพวกคุณ
6 ส่วนผู้นำที่สำคัญๆในหมู่ประชุมของพระเจ้า ก็ไม่ได้คิดที่จะเพิ่มเติมอะไรลงไปในข่าวดีที่ผมได้ประกาศนั้น (ผมไม่สนใจหรอกว่าเขาจะสำคัญแค่ไหน เพราะพระเจ้าไม่เห็นแก่หน้าใครอยู่แล้ว) 7 แต่ตรงกันข้าม พวกเขารู้ว่าพระเจ้าได้มอบหมายข่าวดีให้กับผม เพื่อผมจะได้เอาไปประกาศกับคนที่ไม่ใช่ยิว เหมือนกับที่เปโตรได้รับหน้าที่ให้ไปประกาศกับคนยิว 8 พระเจ้าได้ให้ฤทธิ์อำนาจกับเปโตรไปทำงานในฐานะศิษย์เอกกับคนยิว และพระองค์ก็ได้ให้ฤทธิ์อำนาจกับผมไปทำงานในฐานะศิษย์เอกกับคนที่ไม่ใช่ยิว 9 เมื่อยากอบ เปโตร และยอห์น พวกที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสำคัญของหมู่ประชุมของพระเจ้า เห็นว่าพระเจ้าให้งานพิเศษนี้กับผม พวกเขาก็จับมือผมและบารนาบัสเข้าเป็นเพื่อนร่วมงาน พวกเราทั้งหมดก็ตกลงกันว่า จะให้บารนาบัสกับผมไปประกาศข่าวดีกับคนที่ไม่ใช่ยิว ส่วนพวกเขาจะไปประกาศข่าวดีกับคนยิวต่อไป 10 สิ่งเดียวที่พวกเขาขอจากพวกเราคือ ไม่ให้ลืมช่วยเหลือคนจนด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมอยากจะทำอยู่แล้ว
เปาโลชี้แจงความผิดของเปโตร
11 ในระหว่างที่เปโตรอยู่ที่เมืองอันทิโอกนั้น ผมได้คัดค้านเขาต่อหน้า เพราะเขาทำผิดอย่างเห็นได้ชัด 12 คือตอนแรกเขากินอยู่กับพี่น้องที่ไม่ใช่ยิว แต่พอพี่น้องคนยิวที่ยากอบส่งมานั้นมาถึง เปโตรก็ได้ปลีกตัวออกจากพี่น้องที่ไม่ใช่ยิว เพราะกลัวพี่น้องยิวพวกนี้ที่มีความคิดว่าพี่น้องที่ไม่ใช่ยิวจะต้องเข้าพิธีขลิบ 13 เปโตรก็เลยทำให้พี่น้องยิวคนอื่นๆกลายเป็นคนหน้าซื่อใจคดเหมือนกับเขาไปด้วย แม้แต่บารนาบัสก็ได้รับอิทธิพลไปกับเขาเหมือนกัน 14 เมื่อผมเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทำตัวสอดคล้องกับความจริงในข่าวดี ผมก็พูดกับเปโตรต่อหน้าคนทั้งหมดว่า “ถ้าคุณที่เป็นคนยิวใช้ชีวิตไม่เหมือนกับคนยิวและคิดก็ไม่เหมือนกับคนยิวแล้วละก็ คุณจะไปบังคับคนที่ไม่ใช่ยิวให้มาใช้ชีวิตอย่างคนยิวทำไมกัน”
15 พวกเราเกิดมาเป็นคนยิว ไม่ใช่คนบาปเหมือนกับคนที่ไม่ใช่ยิว 16 แต่เรารู้ว่าการที่พระเจ้าจะยอมรับใครนั้น ก็เพราะคนนั้นไว้วางใจในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะเขาทำตามกฎ พวกเราก็เลยไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อพระเจ้าจะยอมรับเรา ดังนั้นเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความไว้วางใจในพระคริสต์ ไม่ใช่การทำตามกฎ เพราะจะไม่มีใครเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าได้จากการทำตามกฎ
17 แต่ถ้าในช่วงนี้ ที่เราอยากจะให้พระเจ้ายอมรับเราผ่านทางพระคริสต์นั้น ปรากฏว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ นี่หมายถึงพระคริสต์สนับสนุนให้เราเป็นคนบาปหรือ ไม่มีทาง 18 กฎของโมเสสสร้างกำแพงระหว่างพวกเราที่เป็นคนยิวและคนอื่น ผมได้ทำลายกำแพงนั้น แต่ถ้าผมจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ ก็แสดงว่าก่อนหน้านั้นผมทำผิดต่อกฎนั้น 19 เพราะกฎนี่แหละที่ทำให้ผมต้องตาย และเพราะผมได้ตายไปแล้ว ผมจึงเป็นอิสระพ้นจากกฎนั้น เพื่อผมจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า 20 ผมได้ถูกตรึงบนไม้กางเขนจนตายไปพร้อมกับพระคริสต์ คนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ตัวผมแล้วแต่เป็นพระคริสต์ต่างหากที่อยู่ในตัวผม ชีวิตที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็เป็นชีวิตที่ไว้วางใจในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่รักผมและเสียสละชีวิตให้ผม 21 ผมไม่ได้ทำให้ความเมตตากรุณาของพระเจ้าหมดความหมายไปหรอกนะ เพราะถ้าพระเจ้ายอมรับคนเพราะคนทำตามกฎของโมเสส เท่ากับว่าพระคริสต์ก็มาตายเปล่าๆโดยไม่มีประโยชน์อะไรเลย
พระยาห์เวห์ต่อต้านประเทศอียิปต์
29 วันที่สิบสอง เดือนสิบ ปีที่สิบ[a]
คำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 2 “เจ้าลูกมนุษย์ หันหน้าไปทางกษัตริย์ฟาโรห์แห่งประเทศอียิปต์และให้พูดแทนเราต่อต้านเขากับประเทศอียิปต์ทั้งหมด
3 ให้บอกเขาว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
เจ้ากษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ เราต่อต้านเจ้า
เจ้าจระเข้ยักษ์[b] เจ้านอนหมอบอยู่ในลำธารทั้งหลายของแม่น้ำไนล์
เจ้าพูดว่า “แม่น้ำไนล์เป็นของข้า
ข้าสร้างมันขึ้นมาเพื่อตัวข้าเอง”
4 แต่เราจะเอาพวกตะขอเกี่ยวขากรรไกรเจ้าไว้
และทำให้ปลาในธารของเจ้าติดอยู่กับเกล็ดของเจ้า
เราจะดึงเจ้าขึ้นมาจากลำธารทั้งหลายของเจ้า
พร้อมกับปลาทั้งหลายที่ติดอยู่ที่เกล็ดของเจ้า
5 เราจะโยนเจ้าออกไปในทะเลทราย
พร้อมกับปลาทั้งหลายที่มาจากลำธารของเจ้า
เจ้าจะถูกทิ้งไว้ที่กลางแจ้งนั้น
และจะไม่ถูกรวบรวมหรือเก็บขึ้นมา
เราจะให้เจ้าเป็นอาหารของพวกสัตว์บนดินและนกในอากาศ
6 แล้วคนทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในอียิปต์จะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์
เจ้าได้เป็นไม้เท้าต้นกก[c] ให้กับครอบครัวอิสราเอล
7 เมื่อพวกอิสราเอลเอามือฉวยเจ้า เจ้าก็แตกหัก
และไปบาดถูกหัวไหล่ของพวกเขา
เมื่อพวกเขาพิงเจ้า เจ้าก็แตกออก
และทำให้หลังของพวกเขาเคล็ด’”
8 ดังนั้น นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
“เราจะนำดาบมาต่อต้านเจ้า
และฆ่าคนรวมทั้งสัตว์ทั้งหลายของเจ้า
9 ประเทศอียิปต์จะกลายเป็นซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งร้าง
แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์
เจ้าได้พูดว่า ‘แม่น้ำไนล์เป็นของข้า ข้าสร้างมันขึ้นมา’ 10 ดังนั้นเราจะต่อต้านเจ้าและต่อต้านลำธารทั้งหลายของเจ้า และเราจะทำให้แผ่นดินอียิปต์กลายเป็นซากปรักหักพัง และเป็นที่รกร้างตั้งแต่มิกดลไปจนถึงอัสวันและเลยไปถึงเขตแดนของคูช 11 จะไม่มีรอยเท้าของคนหรือสัตว์เดินผ่านไป จะไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสี่สิบปี 12 เราจะทำให้แผ่นดินอียิปต์รกร้างอยู่ท่ามกลางดินแดนทั้งหลายที่ถูกทำให้รกร้าง และเมืองต่างๆของอียิปต์จะรกร้างถึงสี่สิบปีท่ามกลางเมืองปรักหักพังทั้งหลาย เราจะทำให้ชาวอียิปต์แตกซ่านไปอยู่ตามชนชาติต่างๆและทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปอยู่ตามประเทศอื่นๆ”
13 แต่นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
“เมื่อครบสี่สิบปีแล้ว เราจะรวบรวมชาวอียิปต์มาจากชนชาติต่างๆที่พวกเขากระจัดกระจายไปอยู่นั้น
14 เราจะทำให้พวกเขากลับมาสู่สภาพเดิม และมอบดินแดนอียิปต์บน[d] ซึ่งเป็นแผ่นดินของบรรพบุรุษของพวกเขา คืนให้กับพวกเขาที่นั่น พวกเขาจะเป็นอาณาจักรที่ต่ำต้อย
15 มันจะเป็นอาณาจักรที่ต่ำต้อยที่สุด และจะไม่มีวันได้ยกตัวเองขึ้นเหนือชนชาติอื่นๆ เราจะทำให้มันอ่อนแอเสียจนกระทั่งไม่สามารถปกครองชนชาติอื่นได้อีก
16 ประเทศอียิปต์จะไม่มีวันได้เป็นที่พึ่งของชาวอิสราเอลอีกต่อไป แต่จะเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนถึงบาปของพวกเขาเอง ที่เคยหันไปขอความช่วยเหลือจากอียิปต์ แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต”
บาบิโลนจะบุกอียิปต์
17 ในวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่ง ปีที่ยี่สิบเจ็ด[e]
คำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 18 “เจ้าลูกมนุษย์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ทำให้กองทัพของเขาต้องทำงานอย่างหนัก ในการต่อสู้กับเมืองไทระ ทหารทุกคนต้องแบกหินและดิน[f]บนหัวจนผมหลุดร่วงหมด และต้องแบกหินและดินบนบ่าจนถลอกไปหมด แต่กษัตริย์บาบิโลนกับกองทัพของเขาก็ไม่ได้รับค่าจ้างจากงานหนักทั้งหมดในการต่อสู้กับไทระ”
19 ดังนั้น นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
“เราจะมอบแผ่นดินอียิปต์ให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เขาจะขนเอาทรัพย์สมบัติของมันไป เขาจะเอาข้าวของที่ยึดมาได้นี้แจกจ่ายให้กับกองทัพของเขา[g] นั่นแหละจะเป็นค่าจ้างของพวกเขา
20 เราได้มอบแผ่นดินอียิปต์ให้กับกษัตริย์ของบาบิโลน เป็นค่าตอบแทนสำหรับงานของเขา เพราะเขากับกองทัพได้ทำสิ่งนี้เพื่อเรา”
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่าอย่างนั้น
21 “ในวันนั้น เราจะทำให้เขาสัตว์งอกขึ้น[h] เพื่อครอบครัวชาวอิสราเอล ดังนั้น เอเสเคียล เราจะเปิดปากของเจ้าท่ามกลางพวกเขา แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์”
บทเรียนที่ได้รับจากประวัติของอิสราเอล
บทเพลงมัสคิลของอาสาฟ
1 คนของเราเอ๋ย ให้ฟังคำสั่งสอนของเรา
เอียงหูของเจ้ามาฟังคำพูดต่างๆที่ออกมาจากปากของเรา
2 เราจะอ้าปากร้องเพลงที่ก่อให้เกิดสติปัญญา
เราจะอธิบายบทเรียนต่างๆที่ได้จากเหตุการณ์ทั้งหลายในอดีต
3 ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเราเคยได้ยินและรู้จักกันดี
เพราะพ่อแม่และคนรุ่นก่อนๆได้เล่าให้พวกเราฟัง
4 พวกเราจะไม่ซ่อนเรื่องเหล่านี้ไปจากลูกหลานของพวกเขา
พวกเราจะเล่าให้กับคนรุ่นต่อไปฟัง
ถึงการกระทำอันน่าสรรเสริญของพระยาห์เวห์
ถึงพลังอำนาจของพระองค์และถึงสิ่งน่าทึ่งต่างๆที่พระองค์ได้ทำ
5 พระเจ้าทำข้อตกลงไว้กับยาโคบ
พระองค์ให้กฎกับชาวอิสราเอลทำตาม
และพระองค์สั่งบรรพบุรุษของพวกเรา
ให้สั่งสอนสิ่งเหล่านี้กับลูกๆของพวกเขา
6 เพื่อว่าคนรุ่นต่อไป คือเด็กที่ยังไม่ได้เกิดมาจะได้รู้ถึงสิ่งเหล่านี้
และเมื่อพวกเขาโตขึ้น พวกเขาจะได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้กับลูกๆของพวกเขาฟัง
7 แล้วพวกเขาจะได้ไว้วางใจในพระเจ้า
และไม่ลืมสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทำ
แต่จะรักษาคำสั่งต่างๆของพระองค์ไว้
8 พวกเขาจะได้ไม่เป็นเหมือนบรรพบุรุษของพวกเขา
ซึ่งเป็นรุ่นที่กบฏและไม่เชื่อฟัง
ซึ่งใจของพวกเขาไม่ได้มั่นคงในพระเจ้า
และจิตวิญญาณของพวกเขาไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์
9 เช่น คนเอฟราอิมที่มีธนู[a]พร้อมมือ
แต่กลับวิ่งหนีในวันที่การสู้รบมาถึง
10 พวกเขาไม่ได้รักษาข้อตกลงที่ทำไว้กับพระเจ้า
พวกเขาไม่ยอมทำตามกฎต่างๆของพระองค์
11 พวกเขาลืมสิ่งต่างๆที่พระองค์ทำไป
คือสิ่งน่าทึ่งต่างๆที่พระองค์ทำให้พวกเขาเห็น
12 พระเจ้าทำสิ่งน่าทึ่งต่างๆต่อหน้าต่อตาบรรพบุรุษของพวกเขา
ในแคว้นโศอันในแผ่นดินอียิปต์
13 พระเจ้าแหวกทะเลออกและนำพวกเขาเดินทะลุไป
พระองค์ทำให้น้ำตั้งขึ้นเหมือนกำแพงทั้งสองข้าง
14 พระองค์นำทางพวกเขาด้วยเมฆในตอนกลางวัน
และนำด้วยแสงไฟตลอดคืน
15 พระองค์ทุบหินในทะเลทรายแยกออก
และน้ำก็ไหลพุ่งออกมามากมายให้พวกเขาดื่มเหมือนกับมาจากทะเลลึก
16 พระองค์ทำให้พวกลำธารไหลออกมาจากหินผา
พระองค์ทำให้น้ำไหลเหมือนพวกแม่น้ำ
17 แต่พวกบรรพบุรุษยังคงทำบาปต่อพระองค์ต่อไป
และกบฏต่อพระองค์ผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดในแผ่นดินที่แห้งแล้งนั้น
18 แล้วพวกเขาตั้งใจลองดีพระเจ้า
พวกเขาขออาหารเพื่อสนองความอยากของตน
19 พวกเขาพูดต่อว่าพระเจ้าว่า
“ในที่เปล่าเปลี่ยวอย่างนี้ พระเจ้าสามารถหาอาหารให้กับพวกเราได้หรือ
20 ถึงแม้พระองค์ทุบหินให้น้ำไหลออกมาจนล้นหุบเหวลึกได้
แต่พระองค์จะมีปัญญาหาอาหารมาให้ได้จริงๆหรือ
พระองค์จะเอาเนื้อมาให้คนของพระองค์กินด้วยได้หรือ”
21 เมื่อพระยาห์เวห์ได้ยินอย่างนั้น พระองค์ก็โกรธ
และไฟก็ปะทุขึ้นใส่คนของยาโคบ
ความโกรธของพระองค์เผาอิสราเอล
22 เพราะพวกเขาไม่ได้ไว้วางใจในพระเจ้า
และไม่เชื่อว่า พระองค์มีฤทธิ์ที่จะช่วยพวกเขาให้รอดได้
23 แล้วพระเจ้าก็ประกาศสั่งเมฆบนฟ้าเบื้องบน
และพระองค์เปิดประตูท้องฟ้า
24 แล้วพระองค์ก็เทมานาลงมาให้พวกเขากิน
พระองค์ให้อาหารทิพย์จากสวรรค์กับพวกเขา
25 คนพวกนี้พากันกินขนมปังของพวกเทพเจ้า[b]
พระองค์ให้อาหารพวกเขากินอย่างอิ่มหมีพีมัน
26 แล้วพระเจ้าก็ทำให้ลมจากทิศ-ตะวันออกเฉียงใต้พัดมาตรงที่พวกเขาอยู่
และให้ฝูงนกตกลงมาจากท้องฟ้า
27 พระองค์เทเนื้อลงบนพวกเขาอย่างพายุฝุ่น
มีนกมากมายเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเล
28 นกพวกนี้ตกลงไปในค่าย
รอบๆเต็นท์ของพวกเขา
29 พระเจ้าให้สิ่งที่พวกเขาอยากได้
และพวกเขาก็กินจนอิ่มตื้อ
30 แต่ในระหว่างที่เขายังกินอาหารที่อยากกินอยู่นั้น
ขณะที่มันยังคาอยู่ในปาก
31 จู่ๆความโกรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นใส่พวกเขา
พระองค์ฆ่าคนที่แข็งแรงที่สุดของพวกเขาบางคน
พระองค์โค่นพวกคนหนุ่มที่ดีที่สุดของอิสราเอล
32 ขนาดเกิดเรื่องอย่างนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงทำบาป
และยังไม่ยอมเชื่อในฤทธิ์อันน่าทึ่งของพระเจ้า
33 พระองค์ทำให้ชีวิตของพวกเขาจบลงอย่างล้มเหลว
เดือนปีของเขาจบลงด้วยความหวาดกลัวและสั่นเทิ้ม
34 เมื่อไหร่ก็ตามที่พระเจ้าฆ่าคนเหล่านั้น คนที่เหลือก็จะมาขอความช่วยเหลือจากพระองค์
พวกเขาจะกลับมาหาพระองค์และแสวงหาพระเจ้าด้วยใจร้อนรน
35 พวกเขาจะระลึกได้ว่าพระเจ้าเป็นหินกำบังของพวกเขา
พระเจ้าผู้สูงสุดเป็นผู้ที่ไถ่ชีวิตของพวกเขา
36 พวกเขาพยายามหลอกพระองค์ด้วยปาก
และโกหกพระองค์ด้วยลิ้น
37 พวกเขาไม่จริงใจต่อพระเจ้า
และไม่สัตย์ซื่อต่อข้อตกลงที่ทำไว้กับพระองค์
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International