M’Cheyne Bible Reading Plan
อับซาโลมตาย
18 ดาวิดรวบรวมกำลังพลที่อยู่กับเขาและแต่งตั้งนายพันและนายร้อยขึ้น 2 ดาวิดส่งกองทัพออกไปหนึ่งในสามภายใต้การนำของโยอาบ อีกหนึ่งในสามให้อยู่ภายใต้การนำของอาบีชัยน้องชายโยอาบลูกชายนางเศรุยาห์ และอีกหนึ่งในสามที่เหลือให้อยู่ภายใต้การนำของอิททัยชาวกัท
กษัตริย์ดาวิดบอกกองทัพเหล่านั้นว่า “เราจะออกไปรบกับพวกท่านด้วย”
3 แต่คนเหล่านั้นพูดว่า “ท่านต้องไม่ออกไป ถ้าพวกข้าพเจ้าจะต้องหลบหนี พวกเขาจะไม่สนใจพวกข้าพเจ้า ถึงพวกข้าพเจ้าครึ่งหนึ่งตายไป พวกเขาก็จะไม่สนใจ แต่ท่านมีค่ามากกว่าพวกข้าพเจ้าหมื่นคน[a] ท่านควรอยู่คอยให้การสนับสนุนอยู่ในเมืองจะดีกว่า”
4 กษัตริย์ตอบว่า “พวกท่านว่ายังไง เราก็จะทำตามนั้น”
ดังนั้น กษัตริย์จึงยืนอยู่ข้างประตูเมือง ขณะที่คนทั้งหมดเดินทัพออกไปเป็นหน่วยกองร้อยและกองพัน
5 กษัตริย์สั่งโยอาบ อาบีชัยและอิททัยว่า “ให้เบาๆมือกับอับซาโลมหนุ่มคนนั้นด้วยเพื่อเห็นแก่เรา”
และกองทัพทั้งหมดก็ได้ยินสิ่งที่กษัตริย์สั่งกับผู้บังคับบัญชาแต่ละคนเกี่ยวกับอับซาโลม
6 กองทัพเคลื่อนออกไปเพื่อสู้รบกับอิสราเอล และการสู้รบก็เริ่มขึ้นในป่าเอฟราอิม 7 ที่นั่น กองทัพอิสราเอลก็พ่ายแพ้ต่อกองทัพของดาวิด และมีผู้คนล้มตายในวันนั้นถึงสองหมื่นคน 8 การสู้รบกระจายไปถึงชานเมืองโดยรอบ และป่าได้กินคนไปมากกว่าดาบเสียอีก
9 ขณะนั้นอับซาโลมได้เจอคนของดาวิดเข้า เขากำลังขี่ล่ออยู่และเมื่อล่อวิ่งลอดใต้กิ่งไม้ที่หนาทึบของต้นโอ๊ค หัวของอับซาโลมก็ไปเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้นั้น เขาห้อยติดอยู่กลางอากาศ[b] ในขณะที่ล่อยังคงวิ่งต่อไป
10 เมื่อคนหนึ่งมาเห็น จึงไปบอกโยอาบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอับซาโลมห้อยอยู่บนต้นโอ๊ค”
11 โยอาบพูดกับคนที่มาบอกเรื่องนี้กับเขาว่า “อะไรนะ เจ้าเห็นเขาหรือ ทำไมเจ้าถึงไม่ฆ่าเขาให้ตกลงมาบนพื้นเลยล่ะ เสียดายที่เจ้าไม่ได้ทำอย่างนั้น ไม่งั้นเราคงจะได้ให้เงินเจ้าสิบเชเขล[c] และเข็มขัดนักรบด้วย”
12 แต่ชายคนนั้นตอบว่า “ถึงแม้จะให้ข้าพเจ้าถึงหนึ่งพันเชเขล[d] ข้าพเจ้าก็จะไม่ยกมือขึ้นต่อสู้กับลูกชายของกษัตริย์ ข้าพเจ้าได้ยินกษัตริย์สั่งท่าน อาบีชัยและอิททัยว่า ‘ให้ปกป้องอับซาโลมชายหนุ่มคนนั้นด้วยเพื่อเห็นแก่เรา’[e] 13 ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเสี่ยงชีวิตไปฆ่าเขา ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่มีอะไรปิดซ่อนไปจากกษัตริย์ได้หรอก ถึงตอนนั้นตัวท่านเองก็คงจะถอยห่างไปจากข้าพเจ้า”
14 โยอาบพูดว่า “เราไม่น่าเสียเวลากับเจ้าอย่างนี้เลย”
เขาจึงหยิบทวนไปสามเล่มและแทงไปที่หัวใจของอับซาโลมในขณะที่อับซาโลมยังมีชีวิตอยู่บนต้นโอ๊ค 15 และคนสิบคนที่ถืออาวุธให้โยอาบก็เข้าล้อมอับซาโลมและฆ่าเขาจนตาย
16 แล้วโยอาบได้เป่าแตรขึ้น และกองทัพต่างๆก็หยุดการติดตามอิสราเอลเพราะโยอาบหยุดพวกเขาไว้ 17 พวกเขาเอาตัวอับซาโลมโยนลงในหลุมขนาดใหญ่ในป่าและปิดทับไว้ด้วยก้อนหินกองสูงใหญ่ ในขณะนั้น ชาวอิสราเอลทั้งหมดได้หลบหนีกลับบ้านของพวกเขา
18 ในระหว่างที่อับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ เขาได้ตั้งเสาหินขึ้นต้นหนึ่งในหุบเขาของกษัตริย์เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ของเขาเองเพราะเขาคิดว่า “เราไม่มีลูกชายที่จะสืบทอดชื่อของเราต่อไป” เขาตั้งชื่อเสานั้นตามตัวเขาและมันถูกเรียกว่าอนุสาวรีย์ของอับซาโลมมาจนถึงทุกวันนี้
ดาวิดได้ข่าวว่าอับซาโลมตาย
19 ขณะนั้นอาหิมาอัสลูกชายศาโดกพูดว่า “ขอให้ผมวิ่งนำข่าวไปบอกกษัตริย์ว่าพระยาห์เวห์ได้ช่วยท่านให้พ้นจากมือของพวกศัตรูแล้ว”
20 โยอาบบอกเขาว่า “เจ้าอย่าได้ไปส่งข่าวในวันนี้เลยให้ไปส่งข่าววันอื่นเถิด อย่าให้เป็นวันนี้เลยเพราะลูกชายของกษัตริย์ได้ตายไปแล้ว”
21 โยอาบจึงบอกชาวคูชคนหนึ่งว่า “ให้ไปบอกกษัตริย์ในสิ่งที่เจ้าได้เห็น”
ชาวคูชคนนั้นคำนับลงต่อหน้าโยอาบและวิ่งออกไป
22 อาหิมาอัสลูกชายศาโดกพูดกับโยอาบอีกครั้งว่า “ไม่ว่ายังไงก็ช่าง ปล่อยให้ผมวิ่งตามหลังชาวคูชคนนั้นไปด้วยเถิด”
แต่โยอาบตอบว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจะวิ่งไปทำไมกัน ข่าวนี้จะไม่ทำให้เจ้าได้รับรางวัลหรอก”
23 คนนั้นพูดอีกว่า “ไม่ว่ายังไงก็ช่าง ผมก็จะขอวิ่งไป”
โยอาบจึงพูดกับเขาว่า “อยากวิ่ง ก็วิ่งไปสิ”
อาหิมาอัสจึงวิ่งไปทางที่ราบ[f] และแซงหน้าชาวคูชคนนั้นไป
24 ขณะที่ดาวิดกำลังนั่งอยู่ระหว่างประตูเมืองสองชั้นคือชั้นนอกกับชั้นใน คนเฝ้ายามขึ้นไปบนดาดฟ้ากำแพงที่อยู่เหนือประตู ขณะที่เขามองออกไป เขาเห็นชายคนหนึ่งกำลังวิ่งมา 25 คนเฝ้ายามก็ร้องบอกกษัตริย์
กษัตริย์พูดว่า “ถ้าเขามาคนเดียว เขาต้องมีข่าวดี”
และชายคนนั้นก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ 26 แล้วคนเฝ้ายามก็เห็นชายอีกคนกำลังวิ่งมา เขาร้องบอกคนเฝ้าประตูว่า “ดูสิ มีชายอีกคนกำลังวิ่งมา”
กษัตริย์พูดว่า “เขาต้องนำข่าวดีมาบอกอีกเหมือนกัน”
27 คนเฝ้ายามพูดว่า “ดูเหมือนว่าคนที่วิ่งมาคนแรกจะเหมือนอาหิมาอัสลูกชายศาโดก”
กษัตริย์พูดว่า “เขาเป็นคนดี เขาจะมาพร้อมกับข่าวดี”
28 แล้วอาหิมาอัสก็ร้องบอกกษัตริย์ว่า “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี” เขาก้มกราบลงถึงพื้นต่อหน้ากษัตริย์และพูดว่า “สรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเถิด พระองค์ได้เอาชนะคนที่ยกมือขึ้นต่อต้านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า”
29 กษัตริย์ถามว่า “อับซาโลมหนุ่มคนนั้นปลอดภัยหรือไม่”
อาหิมาอัสตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นความสับสนอลหม่านอย่างมาก ตอนที่โยอาบจะส่งคนรับใช้กษัตริย์และข้าพเจ้ามา แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร”
30 กษัตริย์พูดกับเขาว่า “มายืนข้างๆและคอยอยู่ที่นี่” เขาจึงก้าวไปที่ด้านข้างและยืนอยู่ที่นั่น
31 แล้วชาวคูชผู้นั้นก็มาถึงและพูดว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า ขอฟังข่าวดี พระยาห์เวห์ได้ช่วยท่านแล้วในวันนี้จากคนที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านท่าน”
32 กษัตริย์ถามชาวคูชคนนั้นว่า “อับซาโลมชายหนุ่มผู้นั้นปลอดภัยหรือไม่”
ชาวคูชตอบว่า “ขอให้ศัตรูของกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าและทุกคนที่ลุกฮือขึ้นจะทำอันตรายท่าน ต้องเป็นเหมือนชายคนนั้น”
33 กษัตริย์ตัวสั่นเทิ้มไปหมด เขาขึ้นไปบนห้องที่อยู่เหนือประตูและร้องไห้ ขณะที่กษัตริย์เดินไป เขาพูดว่า “อับซาโลม ลูกพ่อ อับซาโลมลูกพ่อ พ่ออยากตายแทนลูกเหลือเกิน อับซาโลม ลูกพ่อ ลูกของพ่อ”
เปาโลและศิษย์เอกจอมปลอม
11 ผมหวังว่าคุณจะทนได้ ถ้าผมพูดอะไรโง่ๆไปสักหน่อย ช่วยอดทนหน่อยก็แล้วกัน 2 ผมได้หมั้นหมายคุณไว้แล้วให้แต่งกับชายเพียงคนเดียวคือพระคริสต์ ผมก็เลยหวงคุณเหมือนกับที่พระเจ้าหวง เพื่อผมจะได้ส่งตัวคุณเหมือนเป็นสาวบริสุทธิ์ให้กับพระคริสต์ 3 แต่ผมกลัวว่าจิตใจของคุณจะถูกนำให้หลงไปจากความซื่อสัตย์และความบริสุทธิ์ที่มีต่อพระคริสต์ เหมือนกับที่เอวาถูกงูหลอกลวงด้วยเล่ห์เหลี่ยมของมัน 4 ดูคุณช่างมีความอดทนเหลือเกินนะกับคนพวกนั้นที่มาสอนเรื่องของพระเยซูที่แตกต่างไปจากที่เราเคยสอนไว้ หรือเรียกให้คุณรับวิญญาณอื่น หรือ “ข่าวดี” อื่นที่แตกต่างไปจากที่คุณเคยรับมาแล้ว
5 ผมคิดว่าผมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า “อภิมหาศิษย์เอก” พวกนั้นที่คุณยกย่องกันนะ 6 ใช่ ผมอาจจะพูดไม่เก่ง แต่ผมก็มีความรู้อย่างที่คุณก็เห็นแล้วจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำ
7 ผมทำบาปหรือเปล่านี่ ที่ได้ถ่อมตัวลงเพื่อยกคุณขึ้น คือเมื่อผมประกาศข่าวดีให้กับพวกคุณ แล้วไม่ได้คิดค่าตอบแทน 8 ผมได้ “ปล้น” หมู่ประชุมอื่นโดยรับค่าจ้างจากพวกเขา เพื่อมารับใช้คุณ 9 ตอนที่ผมอยู่กับพวกคุณ เมื่อผมขาดอะไรที่จำเป็น ผมก็ไม่เคยรบกวนคุณเลย เพราะพวกพี่น้องที่มาจากแคว้นมาซิโดเนียจะจัดหามาให้ แล้วต่อไปนี้ ผมก็ยังตั้งใจว่าจะไม่ให้ตัวเองเป็นภาระของพวกคุณ 10 พระคริสต์พูดความจริงตลอดเวลาอยู่ในตัวผม ดังนั้นเชื่อเถอะว่าผมจะไม่ยอมให้ใครในแคว้นอาคายา[a] มาปิดปากผมไม่ให้โอ้อวดเกี่ยวกับเรื่องนี้ 11 ทำไมผมถึงไม่ยอมเป็นภาระกับคุณ ผมไม่รักคุณหรือ พระเจ้ารู้ดีว่าผมรักคุณ
12 ผมไม่ได้เป็นภาระให้กับคุณอย่างไร ผมก็จะทำอย่างนั้นต่อไป เพื่อไอ้ขี้คุยพวกนั้นจะได้ไม่มีข้ออ้างว่าพวกมันทำงานแบบเดียวกับผม 13 เพราะไอ้พวกนั้นมันศิษย์เอกจอมปลอม เป็นคนงานที่หลอกลวง พวกเขาปลอมตัวมาเป็นศิษย์เอกของพระคริสต์ 14 ไม่ต้องแปลกใจหรอก เพราะขนาดซาตานเองก็ยังปลอมตัวมาเป็นทูตแห่งความสว่างเลย 15 ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยที่คนรับใช้ของซาตานจะปลอมตัวมาแกล้งเป็นคนรับใช้ที่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในที่สุดพวกมันก็จะต้องรับผลกรรมตามที่มันได้ก่อไว้
เปาโลเล่าถึงเรื่องความทุกข์ทรมานของตนเอง
16 ขอย้ำอีกทีว่า อย่าให้ใครคิดว่าผมโง่ แต่ถ้าพวกคุณคิดอย่างนั้นก็ช่วยยอมรับผมอย่างคนโง่ๆคนหนึ่งก็แล้วกัน เพื่อผมจะได้โอ้อวดบ้างสักนิด 17 ที่ผมกำลังโอ้อวดตัวเองอยู่นี้ ผมพูดแบบคนโง่ๆนะครับ ไม่ได้พูดอย่างที่องค์เจ้าชีวิตพูดหรอก 18 ในเมื่อมีหลายคนพากันอวดตัวตามมาตรฐานของโลกนี้ ผมก็ขออวดบ้าง 19 ที่พวกคุณยินดีทนฟังพวกโง่ๆนั้นได้ ก็เพราะพวกคุณนี้ช่างฉลาดเสียเหลือเกิน 20 อันที่จริง ถึงแม้เขาจะเอาคุณไปเป็นทาส หลอกกินหลอกใช้คุณ เอารัดเอาเปรียบคุณ ยกตัวเหนือคุณ หรือแม้แต่ตบหน้าคุณ คุณก็ยังจะทนได้เลย 21 ผมอายที่จะต้องบอกว่าเราอ่อนแอเกินไปที่จะทำกับคุณอย่างนั้น
จะให้พูดแบบโง่ๆก็คือ เขากล้าอวดเรื่องอะไร ผมก็กล้าอวดเรื่องนั้นเหมือนกัน 22 เขาอวดว่าเขาเป็นคนฮีบรู[b]หรือ ผมก็เป็นเหมือนกัน เป็นชาวอิสราเอลหรือ ผมก็เป็นด้วย เป็นลูกหลานของอับราฮัมหรือ ผมก็เป็นเหมือนกัน 23 เป็นคนรับใช้ของพระคริสต์หรือ (ผมพูดอย่างคนเสียสติเลย) ผมเป็นมากกว่านั้นเสียอีก ผมทำงานหนักกว่าเขามาก ติดคุกบ่อยกว่าด้วย ถูกเฆี่ยนตีอย่างโหดเหี้ยม เกือบตายหลายครั้ง 24 ผมโดนพวกยิวเฆี่ยนด้วยแส้รวมห้าครั้ง ครั้งละสามสิบเก้าที 25 ถูกตีด้วยกระบองสามครั้ง ถูกหินขว้างหนึ่งครั้ง เรือล่มสามครั้ง ลอยคออยู่ในทะเลหนึ่งวันกับหนึ่งคืน 26 ผมเดินทางหลายครั้งที่ต้องฝ่าอันตรายในแม่น้ำ อันตรายจากโจรผู้ร้าย อันตรายจากคนยิวด้วยกัน และจากคนที่ไม่ใช่ยิว อันตรายทั้งในเมืองและนอกเมือง อันตรายในทะเล และอันตรายจากพี่น้องจอมปลอม 27 ต้องตรากตรำทำงานอย่างหนัก อดหลับอดนอนหลายครั้ง หิวข้าวหิวน้ำ อดอาหารหลายหน หนาวเหน็บและไม่มีเสื้อผ้าใส่กันหนาว 28 นอกจากปัญหาพวกนี้แล้ว ผมยังมีปัญหาที่บีบคั้นผมอยู่ทุกๆวันคือความห่วงใยที่ผมมีต่อหมู่ประชุมของพระเจ้าทั้งหลาย 29 มีใครบ้างที่อ่อนแอ แล้วผมไม่ได้อ่อนแอกับเขาด้วย มีใครบ้างที่ถูกชักนำให้ไปทำบาป แล้วผมไม่เป็นเดือดเป็นแค้นแทน 30 ถ้าผมต้องโอ้อวด ผมก็จะโอ้อวดแต่เรื่องที่แสดงว่าผมอ่อนแอ 31 พระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของพระเยซูเจ้า ผู้ที่คนจะสรรเสริญตลอดไปรู้ว่าผมไม่ได้โกหก 32 ตอนที่ผมอยู่ในเมืองดามัสกัสนั้น ผู้ว่าราชการเมืองของกษัตริย์อาเรทัสสั่งให้ทหารยามเฝ้าประตูไว้เพื่อคอยจับผม 33 แต่ผมถูกหย่อนลงมาในกระเช้าจากช่องกำแพงเมือง และหลบหนีจากเงื้อมมือของเขามาได้
ชาวอัมโมนจะถูกลงโทษ
25 คำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 2 “เจ้าลูกมนุษย์ ให้หันหน้าไปที่ชาวอัมโมนและพูดแทนเราต่อต้านพวกเขา 3 ให้บอกพวกเขาว่า ‘ให้ฟังคำพูดของพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตให้ดี นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด “พวกเจ้าร้องไชโย ตอนที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราถูกทำให้เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ไป ตอนที่แผ่นดินอิสราเอลถูกทิ้งร้างและตอนที่ชาวยูดาห์ถูกเนรเทศไป” 4 ดังนั้นเราจะมอบพวกเจ้าให้เป็นสมบัติของพวกคนทางตะวันออก พวกเขาจะตั้งค่ายและปักเต็นท์ไว้ท่ามกลางพวกเจ้า พวกเขาจะกินผลไม้และดื่มนมของพวกเจ้า
5 เราจะเปลี่ยนเมืองรับบาห์ให้เป็นทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงอูฐ และเปลี่ยนเมืองอัมโมนให้เป็นสถานที่พักผ่อนของแกะ แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์’” 6 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่า “พวกเจ้าตบมือและกระทืบเท้าด้วยความรื่นเริงยินดี ด้วยจิตใจที่มุ่งร้ายต่อแผ่นดินอิสราเอล 7 ดังนั้นเราจะยื่นมือของเราออกลงโทษพวกเจ้า และมอบพวกเจ้าให้กับชนชาติต่างๆ เป็นของที่ปล้นมาได้ เราจะตัดเจ้าออกจากชนชาติทั้งหลาย และจะทำลายพวกเจ้าให้หมดไปจากประเทศต่างๆ เราจะทำลายพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์”
ชาวโมอับและชาวเสอีร์จะถูกลงโทษ
8 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด “โมอับและเสอีร์ได้พูดว่า ‘ดูสิ ครอบครัวของชาวยูดาห์ก็เหมือนกับชนชาติอื่นๆ’ 9 ดังนั้นเราจะทำให้เมืองหน้าด่านทางปีกขวาของโมอับล้มลง คือ เมืองเบธเยชิโมท เมืองบาอัลเมโอน และเมืองคิริยาธาอิม ที่เป็นศักดิ์ศรีของแผ่นดินนี้ 10 เราจะมอบโมอับพร้อมกับชาวอัมโมนให้เป็นสมบัติแก่ประชาชนทางตะวันออก เพื่อผู้คนจะได้ลืมไปเลยว่าพวกเขาเคยเป็นชนชาติมาก่อน 11 และเราจะลงโทษโมอับ แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์”
ชาวเอโดมจะถูกลงโทษ
12 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด “เอโดมได้แก้แค้นอย่างโหดเหี้ยมต่อครอบครัวชาวยูดาห์ พวกเขาจึงมีความผิดอย่างร้ายแรง” 13 ดังนั้น นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด “เราจะยื่นมือของเราออกมาลงโทษเอโดม เราจะฆ่าทั้งคนและสัตว์ในประเทศนั้น เราจะทิ้งมันให้รกร้าง ผู้คนจะล้มตายลงด้วยดาบ ตั้งแต่เมืองเทมานไปจนถึงเมืองเดดาน 14 เราจะแก้แค้นเอโดมด้วยมือของชาวอิสราเอล และพวกเขาจะลงโทษเอโดมตามความโกรธและความเดือดดาลของเรา แล้วชาวเอโดมจะได้รู้ว่าเป็นเราเองที่แก้แค้นพวกเขา” พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่าอย่างนั้น
ชาวฟีลิสเตียจะถูกลงโทษ
15 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด “ชาวฟีลิสเตียทำตัวเป็นศัตรูกับยูดาห์มาตลอดตั้งแต่สมัยโบราณ พวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น และได้ทำการแก้แค้นอย่างโหดเหี้ยม ด้วยจิตใจที่มุ่งร้ายหมายทำลาย” 16 ดังนั้น นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด “เราจะยื่นมือของเราออกลงโทษชาวฟีลิสเตีย เราจะตัดชาวเคเรธีออก และทำลายพวกที่ยังหลงเหลืออยู่ตามชายฝั่งทะเล 17 เราจะทำการแก้แค้นอันยิ่งใหญ่ต่อพวกเขา และจะลงโทษพวกเขาด้วยความเดือดดาลของเราและเมื่อเราแก้แค้นพวกเขา พวกเขาจะได้รู้ว่า เราคือยาห์เวห์”
หนังสือเล่มที่สาม
(สดุดี 73-89)
ดูเหมือนคนชั่วได้ดีคนดีได้ชั่ว
บทเพลงสดุดีของอาสาฟ[a]
1 แน่นอน พระเจ้าทรงดีต่ออิสราเอล
คือดีต่อคนอิสราเอลเหล่านั้นที่มีจิตใจบริสุทธิ์
2 แต่เท้าของข้าพเจ้าเองเกือบลื่นล้ม
ย่างเท้าของข้าพเจ้าเกือบจะลื่นหงายหลังแล้ว
3 เพราะข้าพเจ้าเริ่มจะอิจฉาคนที่หยิ่งจองหอง
เมื่อข้าพเจ้าเห็นถึงความร่ำรวยของพวกคนชั่วเหล่านั้น
4 พวกเขาไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอะไรเลย
ร่างกายพวกเขาแข็งแรงและพวกเขาอยู่ดีกินดี[b]
5 พวกเขาไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้เหมือนคนอื่น
และไม่เดือดร้อนเหมือนคนอื่น
6 ดังนั้นพวกเขาใส่ความเย่อหยิ่งเหมือนสร้อยคอ
และสวมความทารุณโหดร้ายเหมือนเสื้อผ้า
7 พวกเขาอ้วนจนตาถลน
จิตใจเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้าย
8 พวกเขาเย้ยหยันผู้อื่นและวางแผนการร้ายต่อผู้อื่น
พวกเขาใช้ฐานะทางสังคมที่สูงกว่าวางแผนเอาเปรียบผู้คน
9 ปากของพวกเขาพูดราวกับว่าเป็นผู้ครอบครองฟ้าสวรรค์
ลิ้นของพวกเขาพูดยังกับว่าเป็นเจ้าของโลกนี้
10 ดังนั้น แม้แต่คนของพระเจ้าก็หันไปหาพวกเขา
และยินดีทำตามที่พวกเขาบอก
11 คนหยิ่งจองหองพวกนั้นพูดว่า “พระเจ้าจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเราทำอะไรอยู่
พระเจ้าสูงส่งนั้นจะรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่”
12 ดูเอาเถอะ คนชั่วก็เป็นอย่างนั้นแหละ
พวกเขาอยู่กันอย่างสบายๆและยังรวยเอารวยเอา
13 ดังนั้น ข้าพเจ้าคิดในใจว่า “มันจะมีประโยชน์อะไร ที่ข้าพเจ้าจะต้องรักษาใจให้บริสุทธิ์
และล้างมือของข้าพเจ้าเพื่อแสดงว่าข้าพเจ้าบริสุทธิ์
14 ข้าพเจ้าต้องทนทุกข์ตลอดเวลา
และถูกลงโทษทุกๆเช้าอยู่”
15 แต่ถ้าข้าพเจ้าตั้งใจที่จะพูดอย่างนั้น
ก็จะเป็นการหักหลังคนของพระองค์
16 ข้าพเจ้าพยายามอย่างหนักที่จะเข้าใจถึงสิ่งเหล่านี้
แต่มันยากเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้
17 จนกระทั่งข้าพเจ้าได้เข้าไปยังวิหารของพระเจ้า
ตอนนั้นแหละข้าพเจ้าถึงได้เข้าใจจุดจบของพวกเขา
18 ข้าแต่พระเจ้า แน่นอน พระองค์ได้วางพวกเขาไว้บนทางลื่น
และพระองค์พร้อมที่จะให้พวกเขาตกลงไปสู่ความพินาศ
19 แล้วพวกเขาจะถูกทำลายในชั่วพริบตา
พวกเขาจะพบกับจุดจบจากความตายอันน่าสะพรึงกลัว
20 พวกเขาจะเป็นเหมือนกับฝันที่พอเราตื่นขึ้นมาก็ลืมหมด
องค์เจ้าชีวิต เมื่อพระองค์ลุกขึ้นมา
พระองค์จะทำให้พวกเขาหายไปเหมือนภาพในฝันนั้น
21 เมื่อจิตใจของข้าพเจ้าขมขื่น
และความเจ็บปวดเสียบแทงเข้าในใจ
22 ตอนนั้นข้าพเจ้าช่างโง่เขลาเบาปัญญา
และสิ้นคิดเหมือนสัตว์ต่อหน้าพระองค์
23 แต่ข้าพเจ้ายังคงอยู่กับพระองค์เสมอ
พระองค์จับมือขวาของข้าพเจ้าไว้
24 พระองค์นำทางข้าพเจ้าด้วยคำชี้แนะของพระองค์
และหลังจากนั้นพระองค์จะนำข้าพเจ้าเข้าไปสู่เกียรติยศ[c]
25 ในฟ้าสวรรค์ ข้าพเจ้าไม่มีใครเลยนอกจากพระองค์
ในโลกนี้ มีแต่พระองค์เท่านั้นที่ข้าพเจ้าอยากได้
26 กายใจของข้าพเจ้าอาจอ่อนแอลง
แต่พระเจ้าคือหินกำบังแห่งจิตใจของข้าพเจ้าและเป็นมรดกของข้าพเจ้าตลอดไป
27 แต่คนเหล่านั้นที่อยู่ห่างไกลจากพระองค์จะพบกับความหายนะ
เพราะพระองค์จะทำลายล้างคนเหล่านั้นที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์
28 แต่ส่วนข้าพเจ้านั้น มันช่างดีจริงที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์
ข้าพเจ้าเอาพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตเป็นที่ลี้ภัย
และข้าพเจ้าจะเล่าถึงทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทำ
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International