M’Cheyne Bible Reading Plan
นาธันเตือนดาวิด
12 พระยาห์เวห์ส่งนาธันมาหาดาวิด เมื่อเขาพบดาวิด เขาพูดว่า “ในเมืองหนึ่ง มีชายสองคน คนหนึ่งร่ำรวยและอีกคนหนึ่งยากจน 2 คนที่รวยมีแกะและวัวมากมาย 3 แต่คนที่จนไม่มีอะไรเลย นอกจากลูกแกะตัวเมียตัวเล็กๆตัวหนึ่งที่เขาซื้อมา เขาเลี้ยงแกะตัวนั้น และมันก็อยู่กับเขา และเติบโตขึ้นพร้อมๆกับลูกๆของเขา มันได้ส่วนแบ่งอาหารจากเขา ได้ดื่มจากถ้วยของเขาและได้นอนในอ้อมแขนของเขา มันเป็นเหมือนลูกสาวคนหนึ่งของเขา
4 ต่อมามีแขกคนหนึ่งเดินทางมาเยี่ยมชายที่ร่ำรวยคนนั้น คนรวยคนนั้นไม่ยอมเอาแกะหรือวัวแม้แต่ตัวเดียวของตนเอง มาทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาเยี่ยมเขานั้น แต่เขากลับไปเอาลูกแกะตัวเมียที่เป็นของชายยากจนคนนั้นมาทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาเยี่ยมเขา”
5 ดาวิดโกรธคนร่ำรวยคนนั้นเป็นฟืนเป็นไฟ และพูดกับนาธันว่า “พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่าชายคนที่ทำอย่างนั้นจะต้องตาย 6 เขาต้องจ่ายเงินคืนเป็นสี่เท่าสำหรับลูกแกะตัวนั้น เพราะเขาได้ทำสิ่งชั่วร้าย และไร้ความเมตตา”
7 แล้วนาธันก็บอกกับดาวิดว่า “ท่านนั่นแหละคือคนรวยคนนั้น พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล บอกอย่างนี้ว่า ‘เราได้แต่งตั้ง เจ้าให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล และเราช่วยเจ้าให้พ้นจากมือของซาอูล 8 เราได้มอบครอบครัวของนายเจ้าให้กับเจ้า พร้อมกับเมียทั้งหลายของเขาให้อยู่ในอ้อมอกของเจ้า เราให้ครอบครัวอิสราเอลและยูดาห์กับเจ้า หากเจ้าคิดว่ามันยังน้อยไป เราก็คงให้เจ้าเพิ่มมากขึ้นกว่านั้นแล้ว 9 ทำไมเจ้าถึงดูหมิ่นพระคำของพระยาห์เวห์ โดยการทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระองค์ ท่านฆ่าอุรียาห์ชาวฮิตไทต์ด้วยดาบ และเอาเมียเขามาเป็นเมียตน เจ้าฆ่าเขาด้วยดาบของชาวอัมโมน 10 ดังนั้น ตอนนี้ ดาบเล่มนั้นจะไม่มีวันหายไปจากบ้านของเจ้า เพราะเจ้าดูหมิ่นเราและเอาเมียของอุรียาห์ชาวฮิตไทต์มาเป็นเมียของเจ้าเอง’
11 พระยาห์เวห์พูดว่า ‘เราจะนำความหายนะมาสู่ตัวเจ้า ความหายนะนี้จะเกิดขึ้นจากครอบครัวของเจ้า เราจะเอาพวกเมียทั้งหลายของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า และเอาไปให้กับคนที่ใกล้ชิดเจ้า และเขาจะนอนกับพวกนางกลางแจ้ง[a] 12 เจ้าเคยทำสิ่งนี้อย่างลับๆ แต่เราจะทำสิ่งนี้กลางแจ้งต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งหมด[b]’”
13 แล้วดาวิดก็พูดกับนาธันว่า “เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์เสียแล้ว”
นาธันตอบว่า “พระยาห์เวห์ได้รับเอาบาปของท่านไปแล้ว ท่านจะไม่ตาย 14 แต่ท่านได้ทำสิ่งนี้ลงไป ซึ่งเป็นการหมิ่นพระองค์อย่างแรงกล้า[c] ดังนั้น ลูกชายที่ได้เกิดมาให้กับท่านนั้นจะต้องตาย”
ลูกชายนางบัทเชบาตาย
15 หลังจากนาธันกลับบ้านแล้ว พระยาห์เวห์ได้ทำให้เด็กป่วยหนัก เด็กที่เกิดจากเมียของอุรียาห์กับดาวิด 16 ดาวิดอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อลูกของเขา เขาอดอาหารและเข้าไปในวังของเขา และนอนลงบนพื้นทั้งคืน
17 พวกผู้อาวุโสในครอบครัวของดาวิด มายืนอยู่ข้างเขา อ้อนวอนให้เขาลุกขึ้น แต่เขาไม่ยอมลุก และไม่ยอมกินอาหารกับคนพวกนั้น 18 ในวันที่เจ็ด เด็กก็ตาย พวกคนรับใช้ดาวิดไม่กล้าบอกดาวิดว่าลูกของเขาตายแล้ว พวกเขาคิดว่า “ขนาดตอนที่ลูกชายเขายังมีชีวิตอยู่ เราพูดกับเขา เขายังไม่ยอมฟังเลย แล้วตอนนี้ ถ้าเราบอกเขาว่า ลูกของเขาตายแล้ว เขาอาจทำร้ายตัวเองก็ได้”
19 ดาวิดสังเกตเห็นพวกคนรับใช้ของเขากระซิบกระซาบกันอยู่ เขาจึงรู้ว่าลูกเขาตายแล้ว เขาถามว่า “เด็กตายแล้วใช่ไหม”
พวกเขาตอบว่า “ใช่ครับท่าน เด็กตายแล้ว”
20 ดาวิดจึงลุกขึ้นจากพื้น หลังจากที่เขาอาบน้ำ แต่งตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาเข้าไปในบ้านของพระยาห์เวห์[d]และนมัสการพระองค์ แล้วเขาก็กลับเข้าวัง เขาให้คนยกอาหารมาให้และก็กิน
21 พวกคนรับใช้ถามเขาว่า “ทำไมท่านจึงทำตัวอย่างนี้ เมื่อเด็กยังมีชีวิตอยู่ท่านอดอาหารและร้องไห้ แต่ตอนนี้ลูกท่านตายแล้ว ท่านกลับลุกขึ้นกินอาหาร”
22 เขาตอบว่า “เมื่อเด็กยังมีชีวิตอยู่ เราอดอาหารและร้องไห้ เราคิดว่า ‘ไม่แน่นะ พระยาห์เวห์อาจจะเมตตากับเราและให้ลูกเรามีชีวิตอยู่ต่อไปก็ได้’ 23 แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว เราจะอดอาหารไปทำไมอีก เราสามารถเอาตัวเขากลับมาได้หรือ มีแต่เราจะตามทางเด็กนั้นไป แต่เขาจะไม่มีวันกลับมาหาเรา”
การเกิดของซาโลมอน
24 แล้วดาวิดก็ปลอบโยนนางบัทเชบา และเขาไปหานางและร่วมหลับนอนกับนาง นางได้คลอดลูกชายอีกคนหนึ่ง แล้วนางตั้งชื่อเด็กว่าซาโลมอน พระยาห์เวห์รักเด็กคนนี้ 25 พระองค์จึงส่งข้อความผ่านนาธันผู้พูดแทนพระองค์ ให้ตั้งชื่อเด็กว่า เยดีดิยาห์[e] นาธันทำอย่างนี้เพื่อพระยาห์เวห์
ดาวิดยึดเมืองรับบาห์
(1 พศด. 20:1-3)
26 ในเวลานั้นโยอาบได้สู้รบอยู่กับเมืองรับบาห์ เมืองหลวงของชาวอัมโมน และยึดป้อมปราการหลวงไว้ได้ 27 โยอาบจึงส่งคนส่งข่าวมาหาดาวิดเพื่อบอกว่า “ข้าพเจ้าได้สู้รบกับเมืองรับบาห์และยึดแหล่งน้ำของเมืองนั้นไว้ได้แล้ว 28 ตอนนี้ขอให้ท่านรวบรวมกองกำลังที่เหลือ เข้าตั้งค่ายโจมตีเมืองนั้นและยึดมันไว้ให้ได้ ไม่อย่างนั้น ข้าพเจ้าเองจะเป็นคนเข้ายึดเมืองนี้ และเมืองนี้ก็จะถูกเรียกว่าเป็นของข้าพเจ้า”
29 ดาวิดจึงรวบรวมกองกำลังที่เหลือทั้งหมด และบุกไปเมืองรับบาห์ และเข้าโจมตีและยึดมันไว้ 30 เขาปลดมงกุฎออกจากหัวของกษัตริย์พวกนั้น[f] มันทำจากทองคำที่มีน้ำหนักเกือบสามสิบห้ากิโลกรัม และประดับด้วยพลอยมีค่ามากมาย แล้วพวกเขาก็ได้เอามาสวมไว้บนหัวของดาวิด เขายังยึดเอาของมีค่ามากมายจากเมืองนั้นด้วย
31 ดาวิดได้นำประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นออกไปจากเมือง และบังคับให้พวกเขาทำงานที่ใช้เลื่อย เหล็กขุดและขวาน และยังบังคับให้คนพวกนี้ทำอิฐ[g] ดาวิดทำอย่างนี้กับทุกๆเมืองของชาวอัมโมน แล้วดาวิดกับกองทัพทั้งหมดของเขาก็กลับเมืองเยรูซาเล็ม
5 เพราะเรารู้ว่าถึงเต็นท์ของเราในโลกนี้ซึ่งก็คือร่างกายถูกรื้อลง เราก็จะมีบ้านที่มาจากพระเจ้า เป็นบ้านถาวรบนสวรรค์ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ 2 ดังนั้นตอนนี้ที่เรายังอาศัยอยู่ในเต็นท์นี้ เราจึงร้องคร่ำครวญเพราะอยากจะสวมใส่บ้านที่มาจากสวรรค์หลังนั้น เหมือนกับใส่เสื้อคลุม 3 (แน่นอน เมื่อเราสวมใส่แล้ว เราจะได้ไม่เปลือยกาย) 4 พวกเราที่อยู่ในเต็นท์นี้ ต่างก็คร่ำครวญกับภาระหนักที่เราแบกไว้ เราไม่ได้อยากจะถอดร่างในปัจจุบันออก แต่อยากจะสวมร่างใหม่ทับเข้าไป เพื่อร่างที่มีชีวิตถาวรจะได้กลืนร่างที่ต้องตายนี้ไป 5 พระเจ้าคือผู้ที่เตรียมเราไว้สำหรับสิ่งนี้ พระเจ้าได้ให้พระวิญญาณ กับเราเป็นมัดจำงวดแรกของทุกสิ่งที่พระองค์สัญญาว่าจะให้กับเรา
6 เราก็เลยมีความมั่นใจอยู่เสมอ ถึงแม้จะรู้ว่าเมื่อเรายังอยู่ในบ้านนี้ เราก็ยังห่างจากบ้านที่จะอยู่กับองค์เจ้าชีวิต 7 (เราจึงใช้ชีวิตตามความเชื่อ ไม่ใช่ตามสิ่งที่เรามองเห็น) 8 เราถึงมีความมั่นใจและอยากที่จะจากบ้านนี้ ไปอยู่บ้านกับองค์เจ้าชีวิตมากกว่า 9 เพราะอย่างนี้แหละ เราถึงได้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้พระองค์พอใจ ไม่ว่าจะยังอยู่ในบ้านนี้หรือไม่อยู่แล้วก็ตาม 10 เพราะเราทุกคนจะต้องอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับผลตอบแทนตามความดีหรือความชั่วที่ทำมาตอนที่ยังอยู่ในร่างกายนี้
งานนำคนมาคืนดีกับพระเจ้า
11 เราเกรงกลัวองค์เจ้าชีวิต เราก็เลยพยายามชักชวนคนให้หันมาหาพระองค์ พระองค์รู้ดีว่าเราเป็นคนอย่างไร และเราก็หวังว่าพวกคุณรู้จักเราอย่างนั้นด้วย 12 นี่เรากำลังรับรองคุณสมบัติตัวเองอีกแล้วหรือ ไม่ใช่หรอก แต่เราเปิดโอกาสให้พวกคุณอวดเราบ้าง จะได้ไปโต้ตอบกับคนพวกนั้นที่โอ้อวดแต่สิ่งที่อยู่ภายนอก แทนที่จะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจ 13 ถ้าเราบ้าก็บ้าเพื่อพระเจ้า และถ้าเรามีสติดี ก็เพื่อเป็นประโยชน์กับพวกคุณ 14 ความรักของพระคริสต์บังคับเราอยู่ เพราะเราเชื่อว่า คนหนึ่งตายเพื่อมนุษย์ทุกคน ทุกคนก็เลยตายกันหมด 15 พระองค์ตายเพื่อทุกคน เพื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้ไม่อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่อยู่เพื่อพระองค์ที่ตายและฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อพวกเขา
16 เพราะอย่างนี้ จากนี้ไปเราจะไม่มองใครตามมาตรฐานของโลกนี้อีกแล้ว แม้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมองพระคริสต์อย่างนั้น 17 ถ้าใครก็ตามมีส่วนในพระคริสต์ คนนั้นได้เข้าสู่โลกใหม่ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาแล้ว[a] สิ่งเก่าๆหายไปหมดแล้ว ดูสิ สิ่งใหม่ๆก็เกิดขึ้น 18 ทั้งหมดนี้ก็เกิดมาจากพระเจ้า พระเจ้าทำให้เรากลับมาคืนดีกับพระองค์ใหม่ โดยผ่านทางพระคริสต์ และพระเจ้าได้มอบหมายงานให้กับเราทำคือไปนำคนอื่นๆกลับมาคืนดีกับพระองค์ด้วย 19 พระเจ้าเองทำให้คนในโลกนี้กลับมาคืนดีกับพระองค์ โดยผ่านทางพระคริสต์ และยกโทษบาปให้กับพวกเขา พระองค์ได้มอบเรื่องการกลับคืนดีนี้ให้กับเราเพื่อไปบอกคนอื่นๆต่อ 20 ดังนั้นเราจึงทำงานเป็นทูตของพระคริสต์ เพราะเชื่อมั่นว่าพระเจ้ากำลังขอร้องพวกคุณผ่านทางเรา เราขอวิงวอนคุณแทนพระคริสต์ว่า “กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด” 21 พระเจ้าทำให้พระคริสต์ผู้ที่ไม่มีบาปกลายเป็นคนบาปเพื่อเรา[b] เพื่อว่าในพระคริสต์นั้น ความซื่อสัตย์ของพระเจ้า[c] จะได้เห็นเด่นชัดในตัวเรา
ร้องเพลงไว้อาลัยให้กับพวกเจ้าชายของอิสราเอล
19 พระยาห์เวห์สั่งผมว่า “ให้ร้องเพลงไว้อาลัยนี้ให้กับพวกเจ้าชายของอิสราเอลว่า
2 ‘แม่ของเจ้าเป็นสิงโตตัวเมียในหมู่สิงห์ทั้งหลาย
นางหมอบลงท่ามกลางสิงห์หนุ่มมากมายและเลี้ยงดูลูกๆของนาง
3 นางได้เลี้ยงลูกตัวหนึ่งของนางให้เติบใหญ่
และมันได้กลายเป็นสิงห์หนุ่มที่แข็งแรง
มันเรียนรู้ที่จะฉีกเหยื่อของมัน
และขย้ำคนกิน
4 ชนชาติต่างๆได้ข่าวเกี่ยวกับมัน
มันได้ตกลงไปในหลุมกับดักของคนเหล่านั้น
พวกเขาใช้พวกตะขอเกี่ยวปาก
ลากมันไปถึงแผ่นดินอียิปต์[a]
5 เมื่อนางสิงห์เห็นว่าแผนของนางถูกขัดขวางเสียแล้ว
ความหวังของนางก็หมดสิ้นไป
นางจึงเอาลูกอีกตัวหนึ่งของนางมา
และทำให้มันเป็นสิงห์ที่แข็งแรง
6 มันออกล่าเหยื่อท่ามกลางสิงห์มากมาย
และกลายเป็นสิงห์หนุ่มที่แข็งแรง
มันเรียนรู้ที่จะฉีกเนื้อเหยื่อของมัน
และขย้ำคนกิน
7 มันพังป้อมของคนเหล่านั้นและทำลายเมืองต่างๆของพวกเขา
แผ่นดินและคนที่อยู่ในนั้นทั้งหมดต่างหวาดกลัวเสียงคำรามของมัน
8 แล้วชนชาติทั้งหลายจากแคว้นต่างๆรอบข้างได้มาต่อต้านมัน
พวกเขากางตาข่ายออกคลุมมัน
มันตกลงไปในหลุมกับดักของพวกเขา
9 พวกเขาใช้พวกตะขอเกี่ยวปากสิงห์นั้นจับมันไปขังไว้ในกรง
และนำตัวมันไปให้กับกษัตริย์เมืองบาบิโลน
พวกเขาขังมันไว้ในคุก
จึงไม่มีใครได้ยินเสียงคำรามของมันบนเทือกเขาของอิสราเอลอีกต่อไป[b]
10 แม่ของเจ้าเป็นเหมือนต้นองุ่นในไร่องุ่นที่ปลูกไว้ริมน้ำ
มันออกผลและกิ่งก้านสาขามากมาย
เพราะมีน้ำอย่างเหลือเฟือ
11 กิ่งของมันแข็งแรง
เหมาะสำหรับทำคทาของกษัตริย์
มันงอกสูงขึ้นเหนือต้นอื่นๆทั้งปวง
และกิ่งก้านของมันก็แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง
12 แต่มันถูกถอนรากถอนโคนอย่างบ้าคลั่ง
และถูกโยนทิ้งลงกับพื้นดิน
ลมตะวันออกทำให้มันเหี่ยวเฉา
ผลของมันถูกเด็ดไปหมดเกลี้ยง
กิ่งทั้งหลายของมันเหี่ยวแห้งลง
แล้วไฟได้เผามันจนหมด
13 เดี๋ยวนี้ มันถูกปลูกอยู่ในทะเลทราย
ในแผ่นดินที่แห้งแล้งและหิวกระหายน้ำ
14 ไฟได้ลุกลามจากกิ่งใหญ่กิ่งหนึ่งของมัน
และไหม้ไปจนถึงผลของมัน
ไม่มีกิ่งที่แข็งแรงหลงเหลืออยู่
ที่เหมาะสำหรับเอามาทำคทาของกษัตริย์ได้อีกเลย’
นี่คือบทเพลงไว้อาลัย และมันจะถูกใช้ร้องสำหรับไว้อาลัย”
พระเจ้าจะลงโทษพวกวางแผนชั่ว
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
1 ข้าแต่พระเจ้า โปรดฟังข้าพเจ้าด้วยเมื่อข้าพเจ้าร้องทุกข์
โปรดปกป้องข้าพเจ้าจากการขู่เข็ญของศัตรู[a] ด้วยเถิด
2 โปรดปกป้องคุ้มครองข้าพเจ้าจากแผนการของคนชั่วร้ายเหล่านั้น
โปรดซ่อนข้าพเจ้าจากกลุ่มชนที่อึกทึกชั่วช้านั้น
3 ลิ้นพวกเขาเหมือนดาบแหลมคม
คำพูดอันขมขื่นของพวกเขาเหมือนธนูที่ง้างพร้อมยิง
4 อยู่ๆพวกเขาก็ยิงธนูใส่คนบริสุทธิ์
พวกเขายิงจากที่หลบซ่อนอย่างไม่กลัวใคร
5 พวกคนชั่วให้กำลังใจต่อกันในการทำชั่ว
พวกเขาพูดกันถึงเรื่องการวางกับดัก
เขาพูดกันว่า “ไม่มีใครเห็นสิ่งที่พวกเรา[b] กำลังทำอยู่นี้หรอก”
6 พวกเขาวางแผนทำเรื่องร้ายๆที่ไม่ยุติธรรม
แล้วพูดกันว่า “เราคิดแผนการที่ไม่มีช่องโหว่เลย”
จิตใจของมนุษย์นั้นสุดลึกล้ำหยั่งถึง
7 แต่พระเจ้าจะยิงธนูใส่พวกเขา
และคนเหล่านั้นจะถูกยิงในพริบตา
8 พระองค์จะทำให้คนพวกนั้นสะดุดลิ้นของตัวเอง
และทุกคนที่พบเห็นพวกเขาก็จะสั่นสะท้าน
9 ทุกคนจะเกรงกลัว
พวกเขาจะคิดถึงและเล่าเรื่องสิ่งที่พระเจ้าได้ทำไปนั้น
10 คนที่ทำตามใจพระยาห์เวห์จะชื่นชมยินดีและลี้ภัยในพระองค์
ทุกคนที่มีใจซื่อตรงจะโอ้อวดเรื่องพระองค์
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการเก็บเกี่ยวอันอุดม
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
1 ข้าแต่พระเจ้า ถูกต้องแล้วที่พวกเราจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์บนภูเขาศิโยน
และถวายเครื่องบูชาตามที่พวกเราได้สาบานไว้กับพระองค์
2 พระองค์รับฟังคำอธิษฐาน
มนุษย์ทุกคนสามารถมาอยู่ต่อหน้าพระองค์
3 เมื่อการกระทำผิดท่วมท้นพวกเรา
พระองค์คือผู้ที่กลบเกลื่อนการกบฏของพวกเรา
4 ช่างมีเกียรติจริงๆคนที่พระองค์เลือกให้เข้าใกล้พระองค์ และพักอาศัยในลานของพระองค์
ขอให้เราอิ่มเอมกับสิ่งดีๆในบ้านของพระองค์ซึ่งคือวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
5 ข้าแต่พระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเรา
พระองค์ตอบคำอธิษฐานของเราและนำชัยชนะมาสู่พวกเราด้วยอำนาจอันน่าเกรงขามของพระองค์
ทุกคนที่อาศัยอยู่ในทั่วทุกมุมโลกรวมทั้งคนที่อยู่ข้ามน้ำข้ามทะเลอันไกลโพ้น
ต่างก็พากันไว้วางใจในพระองค์
6 พระองค์ตั้งภูเขาทั้งหลายในที่ของพวกมันด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์
พระองค์สำแดงให้เห็นถึงพลังของพระองค์
7 พระองค์สามารถทำให้ทะเลและคลื่นที่คำรามอย่างสนั่นหวั่นไหว
และชนชาติต่างๆที่จลาจลวุ่นวาย สงบลงได้
8 คนที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหลายที่อยู่ไกลโพ้นต่างตกตะลึงในสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆที่พระองค์ทำ
พระองค์ทำให้ผู้คนที่อยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกร้องเพลงฉลองกัน
9 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเอาใจใส่แผ่นดินและรดน้ำให้มัน
พระองค์ทำให้ลำธารเต็มไปด้วยน้ำซึ่งทำให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์
พระองค์จัดหาเมล็ดข้าวให้กับผู้คนกินกัน
พระองค์เตรียมแผ่นดินให้เกิดพืชผล
10 พระองค์ส่งฝนห่าใหญ่ลงมาในทุ่งนาที่ไถพรวนแล้ว
น้ำฝนทำให้ก้อนดินที่พรวนแล้วนั้นอ่อนนุ่มราบเรียบเสมอกัน
พระองค์อวยพรให้ต้นพืชในทุ่งนั้นเจริญเติบโต
11 พระองค์สวมมงกุฎให้กับปีนั้นด้วยพืชผลอย่างล้นหลาม
ไม่ว่าพระองค์จะไปที่ไหนก็ตาม พระองค์ก็ทิ้งความอุดมสมบูรณ์ไว้ให้
12 ทุ่งหญ้าในชนบท มีน้ำค้างหยาดเยิ้ม
เนินเขาก็ปกคลุมไปด้วยความชื่นชมยินดี
13 ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ เต็มไปด้วยฝูงแกะ
หุบเขาถูกปกคลุมไปด้วยเมล็ดข้าว
พวกมันต่างเปล่งเสียงร้องออกมาเป็นเพลง
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International