M’Cheyne Bible Reading Plan
ดาวิดย้ายไปเมืองเฮโบรน
2 ต่อมาภายหลัง ดาวิดได้ถามพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพเจ้าควรจะเข้าไปเมืองใดเมืองหนึ่งของยูดาห์เพื่อตั้งเป็นฐานที่มั่นหรือไม่”
พระยาห์เวห์ตอบว่า “ขึ้นไปเถิด”
ดาวิดถามว่า “ข้าพเจ้าควรจะไปที่ไหนหรือ”
พระยาห์เวห์ตอบว่า “ไปเมืองเฮโบรน”
2 ดาวิดจึงขึ้นไปที่เฮโบรน พร้อมกับเมียสองคนของเขา คือ อาหิโนอัมชาวยิสเรเอลและอาบีกายิล เมียหม้ายของนาบาลชาวคารเมล 3 ดาวิดยังพาคนที่อยู่กับเขา พร้อมกับครอบครัวของแต่ละคนไปด้วย และพวกเขาได้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองเฮโบรนและตามหมู่บ้านต่างๆของมัน
ดาวิดเป็นกษัตริย์เหนือยูดาห์
4 แล้วพวกชาวยูดาห์ ก็มาที่เมืองเฮโบรน และที่นั่นพวกเขาได้เจิมดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ของครอบครัวชาวยูดาห์
เมื่อมีคนมาบอกดาวิดว่าชาวยาเบช-กิเลอาดเป็นผู้ฝังศพซาอูล 5 ดาวิดส่งคนส่งข่าวไปหาชาวยาเบช-กิเลอาด เพื่อบอกกับพวกเขาว่า “ขอให้พระยาห์เวห์อวยพรพวกท่าน ที่พวกท่านได้แสดงความจงรักภักดีต่อซาอูลนายของพวกท่าน ด้วยการฝังศพเขา 6 ตอนนี้ขอให้พระยาห์เวห์แสดงความรักและความสัตย์ซื่อต่อพวกท่าน และเราก็จะดีกับพวกท่านเหมือนกัน เพราะสิ่งที่พวกท่านได้ทำไปนั้น 7 อย่างนั้น ขอให้เข้มแข็งและกล้าหาญไว้ ซาอูลนายของท่านได้ตายไปแล้ว แต่ครอบครัวยูดาห์ได้แต่งตั้งเราเป็นกษัตริย์เหนือพวกเขาแล้ว”
อิชโบเชทได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล
8 ในขณะนั้น อับเนอร์ลูกชายของเนอร์แม่ทัพของซาอูล ได้พาอิชโบเชท[a] ลูกชายของซาอูลไปที่เมืองมาหะนาอิม 9 และเขาได้แต่งตั้งอิชโบเชทขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเหนือกิเลอาด อาชูร์[b] ยิสเรเอล เอฟราอิม เบนยามินและเหนืออิสราเอล[c]ทั้งหมด
10 อิชโบเชทลูกชายของซาอูลมีอายุสี่สิบปี เมื่อเขาได้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล และเขาได้ปกครองอยู่สองปี ส่วนครอบครัวของชาวยูดาห์ได้ติดตามดาวิดไป 11 ดาวิดได้เป็นกษัตริย์ปกครองชาวยูดาห์ในเมืองเฮโบรน เป็นเวลาเจ็ดปีหกเดือน
การสู้รบกันที่กิเบโอน
12 อับเนอร์ลูกชายของเนอร์ รวมทั้งคนของอิชโบเชทลูกชายซาอูล ได้ออกจากเมืองมาหะนาอิมและไปที่เมืองกิเบโอน 13 โยอาบลูกชายนางเศรุยาห์และคนของดาวิดได้ออกไปพบพวกเขาที่สระน้ำของเมืองกิเบโอน คนสองกลุ่มนี้ นั่งกันอยู่คนละฝั่งของสระน้ำ
14 แล้วอับเนอร์ก็พูดกับโยอาบว่า “ให้คนหนุ่มๆมาต่อสู้กันตัวต่อตัวให้พวกเราดู” แล้วโยอาบพูดว่า “ตกลง ให้พวกเขาต่อสู้กัน”
15 ดังนั้นพวกเขาจึงยืนขึ้นและเดินออกมาตามที่ได้นับไว้ เป็นคนจากเผ่าของเบนยามินสิบสองคนที่อยู่ฝ่ายอิชโบเชทลูกชายของซาอูล และเป็นคนของดาวิดสิบสองคน 16 แล้วแต่ละคนต่างก็จับหัวของคู่ต่อสู้ของตนไว้และใช้ดาบแทงไปที่สีข้างของแต่ละฝ่าย แล้วทั้งคู่ก็ล้มลงตายด้วยกัน ดังนั้น สถานที่นั้นในเมืองกิเบโอนจึงถูกเรียกว่า เฮลขัท ฮัสซูริม[d]
17 การสู้รบกันในวันนั้นดุเดือดมาก อับเนอร์กับพวกคนของอิสราเอลต่างก็พ่ายแพ้ต่อพวกของดาวิด 18 ลูกชายสามคนของนางเศรุยาห์ก็อยู่ที่นั่นด้วย คือโยอาบ อาบีชัยและอาสาเฮล ขณะนั้น อาสาเฮลวิ่งอย่างว่องไวเหมือนเนื้อทรายป่า 19 เขาวิ่งไล่ตามอับเนอร์ไปอย่างแน่วแน่ ตรงไปไม่หันขวาหันซ้าย 20 อับเนอร์หันกลับมามองข้างหลังและถามออกมาว่า “อาสาเฮล นั่นเจ้าหรือ”
เขาตอบว่า “ใช่แล้ว”
21 แล้วอับเนอร์ก็พูดกับเขาว่า “หันไปทางขวาหรือทางซ้ายสิ จับเอาชายหนุ่มคนใดก็ได้แล้วปลดอาวุธเขาไปเสีย” แต่อาสาเฮลยังไม่หยุดไล่ตามเขา
22 อับเนอร์เตือนอาสาเฮลอีกว่า “หยุดไล่ตามเราได้แล้ว จะให้เราทำร้ายเจ้าหรือยังไง แล้วเราจะมองหน้าโยอาบพี่ชายของเจ้าได้ยังไง”
23 แต่อาสาเฮลปฏิเสธไม่ยอมเลิกไล่ตาม ดังนั้นอับเนอร์จึงเอาด้ามหอกแทงเข้าที่ท้องของอาสาเฮล ด้ามหอกทะลุออกกลางหลัง เขาล้มลงที่นั่น ตายคาที่ และทุกๆคนก็หยุดเมื่อมาถึงที่ที่อาสาเฮลล้มลงตาย 24 แต่โยอาบและอาบีชัย[e] ยังคงไล่ตามอับเนอร์ต่อไป และดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน พวกเขามาถึงเนินเขาอัมมาห์ใกล้กับกียาห์ ระหว่างทางที่จะไปที่รกร้างของเมืองกิเบโอน 25 แล้วคนของเบนยามินก็เข้ามาร่วมกับอับเนอร์ พวกเขารวมตัวกันเป็นกลุ่มเดียวและตั้งรับอยู่บนยอดเขานั้น
26 อับเนอร์ร้องเรียกโยอาบว่า “จะต้องให้มีการฆ่าฟันกันตลอดไปหรือ ท่านไม่คิดหรือว่ามันจะต้องจบลงด้วยความเศร้า เมื่อไรท่านจะสั่งให้คนของท่านหยุดไล่ตามพี่น้องของพวกเขาเสียที”
27 โยอาบตอบว่า “พระเจ้ามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า ถ้าท่านไม่พูดขึ้นมา คนเหล่านี้ก็จะยังคงไล่ตามพี่น้องของพวกเขาเองไปจนกระทั่งถึงเช้าแน่นอน[f]” 28 ดังนั้นโยอาบจึงเป่าแตร และคนทั้งหมดก็หยุด พวกเขาไม่ไล่ตามอิสราเอลอีก และไม่ต่อสู้อีกต่อไป
29 ตลอดคืนนั้น อับเนอร์และคนของเขาเดินทางผ่านอาราบาห์ พวกเขาข้ามแม่น้ำจอร์แดน และเดินทางผ่านหุบเขาบิทโรน[g] และมาถึงเมืองมาหะนาอิม
30 เมื่อโยอาบกลับมาจากการไล่ตามอับเนอร์ และเรียกชุมนุมคนของเขาทั้งหมด ถ้าไม่รวมอาสาเฮล คนของดาวิดหายไปสิบเก้าคน 31 แต่คนของดาวิดก็ได้ฆ่าชาวเบนยามินซึ่งอยู่กับอับเนอร์ไปถึงสามร้อยหกสิบคน 32 พวกเขาได้เอาศพของอาสาเฮลมาและฝังเขาไว้ในหลุมฝังศพของพ่อเขาที่เมืองเบธเลเฮม
แล้วโยอาบและคนของเขาก็เดินทางตลอดทั้งคืนจนมาถึงเมืองเฮโบรนเมื่อเริ่มสว่าง
13 ถ้าผมพูดภาษาต่างๆของมนุษย์ก็ดี หรือแม้แต่ภาษาของทูตสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีความรัก ผมก็เป็นแค่เสียงอึกทึกของฆ้องหรือฉิ่งฉาบที่ตีกัน 2 ถ้าผมเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า รู้สิ่งลึกลับต่างๆของพระเจ้า มีความรู้ทุกอย่าง และมีความเชื่อทั้งหมดถึงกับเลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ผมก็ไม่มีค่าอะไรเลย 3 ถ้าผมเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีไปแจกให้กับคนจนและสละร่างของตัวเองจนถึงขั้นที่โอ้อวดได้[a]แต่ไม่มีความรัก มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
4 ความรักนั้นก็อดทนนาน มีเมตตากรุณา ไม่อิจฉาริษยา ไม่โอ้อวด 5 ไม่หยิ่งจองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของคนอื่น 6 ความรักไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำชั่วแต่ยินดีกับความจริง 7 ความรักปกป้องเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังเสมอ และทนต่อทุกอย่างเสมอ
8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้นไป แต่การพูดแทนพระเจ้าจะมีวันเลิกรา การพูดภาษาแปลกๆก็จะมีวันหยุดลง พรสวรรค์ที่มีความรู้พิเศษจากพระเจ้าก็จะมีวันเลิกรา 9 เพราะเรารู้แค่เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เราพูดแทนพระเจ้าก็ได้แค่เสี้ยวเดียว 10 แต่เมื่อความสมบูรณ์แบบมาถึง อะไรก็ตามที่ไม่สมบูรณ์ก็จะหมดไป 11 ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมก็พูดเหมือนเด็ก คิดเหมือนเด็ก ใช้เหตุผลเหมือนเด็ก แต่เมื่อผมโตเป็นผู้ใหญ่ ผมก็เลิกทำตัวเหมือนเด็ก 12 ในทำนองเดียวกันสิ่งที่เราเห็นในตอนนี้เป็นภาพสะท้อนจากกระจก แต่เมื่อความสมบูรณ์แบบมาถึง ในตอนนั้นเราก็จะมองเห็นกันต่อหน้าเลย ตอนนี้ผมรู้แค่เพียงเสี้ยวเดียว แต่เมื่อถึงตอนนั้นผมก็จะรู้หมดทุกอย่าง เหมือนกับที่พระเจ้ารู้จักผม 13 แต่ตอนนี้เหลืออยู่สามอย่างคือความเชื่อ ความหวังและความรัก แต่ในสามอย่างนี้ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด
คำด่าว่าพวกผู้นำชั่ว
11 แล้วพระวิญญาณได้ยกผมขึ้นและนำผมไปอยู่ที่ประตูวิหารทางทิศตะวันออก ประตูนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ผมเห็นผู้ชายยี่สิบห้าคนที่ทางเข้าประตูนั้น และผมเห็นยาอาซันยาห์ลูกชายของอัสซูร์ และเปลาทิยาห์ลูกชายของเบไนยาห์ อยู่ที่นั่นด้วย สองคนนี้เป็นผู้นำของประชาชน
2 พระยาห์เวห์ได้พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ คนพวกนี้คือผู้ที่คบคิดกันวางแผนชั่ว และให้คำแนะนำที่ชั่วช้าในเมืองนี้ 3 พวกเขาพูดว่า ‘ไม่มีความจำเป็นที่จะสร้างบ้านเพิ่มในเร็วๆนี้ พวกเราอยู่ในเมืองนี้อย่างปลอดภัยเหมือนเนื้อในหม้อ’ 4 ดังนั้น เจ้าลูกมนุษย์ ไปพูดแทนเราต่อว่าคนพวกนั้น”
5 แล้วพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้มาอยู่บนตัวผม พระองค์บอกผมว่า “ไปบอกกับคนพวกนั้นว่า นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘ครอบครัวอิสราเอลเอ๋ย นั่นคือสิ่งที่พวกเจ้าพูดกัน แต่เราเอง รู้ความคิดทั้งหลายในใจของพวกเจ้า 6 เจ้าได้ฆ่าผู้คนจำนวนมากในเมืองนี้ และเจ้าได้ทำให้ถนนสายต่างๆเต็มไปด้วยซากศพ’
7 ดังนั้น นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด ‘พวกซากศพที่เจ้าได้โยนทิ้งไว้ที่นั่นก็คือเนื้อ และเมืองนี้ก็คือหม้อ แต่เราจะขับไล่เจ้าออกไปจากเมืองนี้ 8 เจ้ากลัวดาบ ดังนั้นเราจะเอาดาบมาลงบนเจ้า’” พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่าอย่างนี้
9 “เราจะขับไล่เจ้าออกไปจากเมืองนี้ เราจะมอบเจ้าให้กับพวกคนต่างชาติและเราจะลงโทษเจ้า 10 เจ้าจะล้มตายด้วยดาบ เราจะลงโทษเจ้าที่ชายแดนต่างๆของอิสราเอลนี้ แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์ 11 เมืองนี้จะไม่เป็นหม้อใบหนึ่งสำหรับเจ้า และเจ้าจะไม่เป็นเนื้อในหม้อนั้น เราจะลงโทษเจ้าตามชายแดนต่างๆของอิสราเอล 12 เมื่อนั้นเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์ และเป็นข้อบังคับต่างๆของเราเองที่เจ้าไม่ยอมทำตาม และเป็นพวกกฎของเราเองที่พวกเจ้าไม่ยอมรักษา แต่เจ้ากลับไปทำตัวเหมือนชนชาติต่างๆที่อยู่รอบๆเจ้า”
13 ในขณะที่ผมกำลังพูดแทนพระเจ้าอยู่นั้น เปลาทียาห์ลูกชายของเบไนยาห์ก็ตาย แล้วผมก้มหน้ากราบลงกับพื้น และร้องด้วยเสียงอันดังว่า
“พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์จะทำลายอิสราเอลที่เหลือทั้งหมดหรือ”
พระเจ้าจะนำคนของพระองค์กลับมา
14 คำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 15 “เจ้าลูกมนุษย์ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ได้พูดอย่างนี้เกี่ยวกับพี่น้องของเจ้า ญาติที่เจ้ามีหน้าที่ดูแล และครอบครัวทั้งหมดของอิสราเอลว่า
‘พวกเขาได้ไปอยู่ห่างไกลจากพระยาห์เวห์ แผ่นดินนี้ตกเป็นของพวกเราแล้ว พวกเราได้รับสิทธิ์ที่จะยึดครองประเทศนี้แล้ว’
16 ดังนั้น ให้บอกสิ่งนี้กับคนพวกนั้นว่า นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด ‘ถึงแม้เราได้ส่งพวกเขาไปอยู่ห่างไกลท่ามกลางชนชาติต่างๆและทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปตามประเทศต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม เราได้กลายเป็นวิหารของพวกเขาระดับหนึ่งในช่วงที่พวกเขาอยู่ตามประเทศเหล่านั้น’
17 แต่เจ้าจะต้องบอกคนเหล่านั้นว่า นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด ‘เราจะรวบรวมพวกเจ้ามาจากชนชาติต่างๆและนำพวกเจ้ากลับมาจากประเทศที่พวกเจ้ากระจัดกระจายไปอยู่นั้น และเราจะคืนแผ่นดินของอิสราเอลให้กับพวกเจ้า’ 18 เมื่อพวกเขากลับคืนสู่แผ่นดินนี้ พวกเขาจะกำจัดพวกรูปปั้นเลวๆเหล่านี้ กับพวกรูปเคารพขี้ๆเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป 19 เราจะให้พวกเขาไม่เป็นคนสองจิตสองใจและจะใส่วิญญาณใหม่ลงในตัวพวกเขา เราจะเอาหัวใจหินของพวกเขาออกไป และเอาหัวใจที่มีเลือดเนื้อใส่เข้าไปแทน 20 เพื่อพวกเขาจะทำตามข้อบังคับต่างๆของเรา และจะรักษากฎทั้งหลายของเราอย่างเคร่งครัด พวกเขาจะเป็นคนของเราและเราก็จะเป็นพระเจ้าของพวกเขา
21 แต่ส่วนพวกที่ได้มอบใจให้กับพวกรูปปั้นเลวๆและพวกรูปเคารพขี้ๆเหล่านั้น เราก็จะให้พวกเขารับกรรมชั่วที่พวกเขาก่อขึ้นนั้น” พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่าอย่างนั้น
22 แล้วพวกเครูบได้กางปีกบินไป ล้อที่อยู่เคียงข้างพวกเขาก็ลอยไปด้วย และรัศมีของพระเจ้าแห่งอิสราเอลได้อยู่เหนือพวกเขา 23 รัศมีของพระยาห์เวห์ได้ลอยขึ้นมาจากเมืองเยรูซาเล็ม และไปหยุดอยู่เหนือภูเขาทางตะวันออกของเมือง[a] 24 พระวิญญาณได้ยกผมขึ้น และนำผมกลับมาที่แผ่นดินบาบิโลน มายังพวกที่ถูกกวาดต้อนมา ผมได้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ในนิมิตที่มาจากพระเจ้า แล้วนิมิตนั้นก็ได้หายไปจากผม 25 แล้วผมได้บอกกับเชลยพวกนี้ ถึงทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ให้ผมเห็น
เครื่องบูชาที่พระเจ้ายอมรับ
บทเพลงสดุดีของอาสาฟ[a]
1 พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
กำลังเรียกทุกคนบนโลกนี้จากทิศตะวันออกไปจนถึงทิศตะวันตก
2 พระองค์เปล่งแสงสว่างออกมาจากศิโยน
เมืองที่สวยงามเลิศ
3 พระเจ้าของพวกเรากำลังมา แต่ไม่ได้มาอย่างเงียบๆ
มีเพลิงเผาผลาญนำอยู่หน้าพระองค์
และมีพายุมหึมาพัดอยู่รอบๆพระองค์
4 พระองค์เรียกฟ้าสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินโลกเบื้องล่าง
ให้มาเป็นพยานในการตัดสินคนของพระองค์
5 พระเจ้าพูดว่า “ให้รวบรวมคนพวกนั้นที่ผูกมัดตัวเองกับเรา
คนพวกนั้นที่ทำข้อตกลงกับเราผ่านทางสัตวบูชา”
6 แล้วฟ้าสวรรค์ก็ได้ประกาศถึงความยุติธรรมของพระองค์
เพราะพระเจ้ากำลังจะตัดสิน เซลาห์
7 “ประชาชนของเรา ฟังให้ดี แล้วเราจะพูด
อิสราเอล ฟังให้ดี เพราะเราจะเป็นพยานต่อต้านเจ้า
เราคือพระเจ้า พระเจ้าของเจ้า
8 เราจะไม่ติเตียนเจ้าเกี่ยวกับเครื่องบูชาและเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆของเจ้า
เพราะเจ้าได้ถวายสิ่งเหล่านี้ให้กับเราเป็นประจำ
9 แต่เราจะไม่รับวัวผู้จากบ้านของเจ้า
และไม่รับแพะจากคอกของเจ้า
10 เพราะสัตว์ป่าทุกตัวเป็นของเรา
รวมทั้งวัวทุกตัวตามเทือกเขานับพันๆลูก
11 เรารู้จักนกทุกตัวบนภูเขาทั้งหลาย
รวมทั้งแมลงทุกตัวที่เคลื่อนไหวอยู่ตามท้องทุ่ง
12 ถ้าเราหิว เราจะไม่บอกเจ้า
เพราะเราเป็นเจ้าของโลกนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนมัน
13 เราไม่กินเนื้อวัว
และไม่ดื่มเลือดแพะ
14 แต่ให้การขอบพระคุณเป็นเครื่องบูชาที่พวกเจ้าเอามาถวายเรา[b]
และให้แก้บนของเจ้าต่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดด้วย
15 เมื่อเจ้าพบกับความทุกข์ยาก ก็ให้เรียกหาเรา
แล้วเราจะช่วยกู้เจ้า แล้วเจ้าจะได้สรรเสริญเรา”
16 แต่กับคนชั่ว พระเจ้าพูดว่า
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาท่องกฎต่างๆของเรา
เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงบัญญัติต่างๆของเรา
17 ในเมื่อเจ้าเกลียดชังการถูกอบรมสั่งสอน
และโยนคำสั่งสอนของเราทิ้งไปข้างหลังเจ้า
18 เจ้าคบกับโจรทุกคนที่เจ้าพบ
และยังมีส่วนร่วมกับคนที่เล่นชู้
19 เจ้าปล่อยให้ปากของเจ้าพูดเรื่องชั่วช้า
และปล่อยให้ลิ้นของเจ้าหลอกลวง
20 เจ้ากล่าวโทษน้องชายของเจ้า
และเจ้าพูดใส่ร้ายพี่น้องท้องเดียวกัน
21 เจ้าทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และเราก็ไม่ได้ว่าอะไร
ดังนั้น เจ้าจึงพลอยคิดว่าเราเป็นเหมือนกับเจ้า
แต่ตอนนี้ เรากำลังวางข้อกล่าวหาเหล่านี้ไว้ต่อหน้าต่อตาเจ้า
และเราจะประณามเจ้าในสิ่งที่เจ้าได้ทำ
22 พวกเจ้าทั้งหลายที่หลงลืมพระเจ้า ให้เข้าใจในสิ่งที่เราพูดไป
ไม่อย่างนั้น เราจะฉีกเนื้อของเจ้าออกเป็นชิ้นๆแล้วจะไม่มีใครสักคนมาช่วยพวกเจ้า
23 คนที่นำการขอบคุณมาถวายเป็นเครื่องบูชา[c] คนๆนั้นก็ให้เกียรติกับเรา
คนที่ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง
เราจะให้เขาเห็นพลังของเราในการช่วยกู้”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International