Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
1 ซามูเอล 21-22

ดาวิดไปหานักบวชอาหิเมเลค

21 ดาวิดไปเมืองโนบเพื่อพบกับนักบวชอาหิเมเลค อาหิเมเลคกลัวจนตัวสั่นเมื่อออกมาพบเขา แล้วพูดว่า “ทำไมท่านถึงมาคนเดียว ทำไมถึงไม่มีใครมากับท่านด้วย”

ดาวิดตอบนักบวชอาหิเมเลคว่า “กษัตริย์สั่งให้เรามาทำงานสำคัญและกำชับว่า ‘อย่าให้ใครรู้ถึงงานที่เราส่งเจ้าไปทำ และหน้าที่ที่เราได้มอบหมายให้กับเจ้า’ ส่วนพวกคนหนุ่มๆของเรานั้น เราได้นัดพบกับพวกเขาไว้แล้วในที่แห่งหนึ่ง ตอนนี้ท่านมีอะไรในมือบ้าง ขอขนมปังให้เราสักห้าก้อน หรืออะไรก็ได้ที่ท่านสามารถหาได้” แต่อาหิเมเลคตอบดาวิดว่า “ข้าพเจ้าไม่มีขนมปังธรรมดาอยู่เลย มีแต่ขนมปังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ซึ่งถ้าหนุ่มๆทั้งหลายไม่ได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงมาก็กินได้”

ดาวิดตอบว่า “ตามปกติเมื่อเราออกเดินทางพวกผู้หญิงก็จะถูกแยกออกจากพวกเราอยู่แล้ว ขนาดงานที่ธรรมดาๆร่างกายของพวกผู้ชายก็ยังบริสุทธิ์เลย ยิ่งงานพิเศษอย่างนี้ เราก็ต้องรักษาร่างกายให้บริสุทธิ์แน่”

นักบวชจึงให้ขนมปังศักดิ์สิทธิ์นั้นกับดาวิด เพราะไม่มีขนมปังอื่นนอกจากขนมปังนี้ที่เคยตั้งถวายอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ แต่ถูกเอาออกมาจากหน้าพระยาห์เวห์ ในวันที่เอาขนมปังใหม่ๆร้อนๆมาแทน

ในวันนั้นมีหัวหน้าคนเลี้ยงแกะ[a] ของซาอูลชื่อโดเอก ซึ่งเป็นชาวเมืองเอโดม เฝ้าอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ด้วย[b]

ดาวิดถามอาหิเมเลคว่า “ที่นี่ท่านไม่มีหอกหรือดาบสักเล่มเลยหรือ เราไม่ได้เอาดาบหรืออาวุธอื่นๆติดตัวมาเลย เพราะธุระที่กษัตริย์ให้ทำเป็นเรื่องเร่งด่วน”

นักบวชอาหิเมเลคก็ตอบว่า “ดาบของโกลิอัทชาวฟีลิสเตีย ที่ถูกท่านฆ่าตายในหุบเขาเอลาห์อยู่ที่นี่ ดาบนั้นห่อผ้าวางอยู่ด้านหลังเอโฟด ถ้าท่านต้องการก็เอาไปเลย ที่นี่ก็ไม่มีดาบอื่นแล้ว”

ดาวิดตอบว่า “ไม่มีดาบไหนเหมือนดาบนั้นอีกแล้ว เอามาให้เราหน่อย”

ดาวิดหนีไปพึ่งศัตรูที่เมืองกัท

10 ในวันนั้นดาวิดได้หนีจากซาอูลไปหาอาคีชกษัตริย์เมืองกัท 11 แต่พวกข้าราชการของอาคีชพูดกับดาวิดว่า “ท่านไม่ใช่กษัตริย์ดาวิดของอิสราเอลหรอกหรือ คนเดียวกับที่เขาร้องเพลงยกย่องกันว่า

‘ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ
    ส่วนดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’”

12 ดาวิดได้ยินคำพูดอย่างนั้น เขาก็กลัวกษัตริย์อาคีชเมืองกัทมาก

13 ดาวิดจึงแกล้งทำเป็นบ้าต่อหน้าผู้คน ขณะที่เขาถูกจับไปนั้นเขาก็ทำท่าเหมือนคนบ้าขีดเขียนตามประตูเมือง และปล่อยให้น้ำลายไหลเปรอะเปื้อนเครา 14 อาคีชพูดกับพวกข้าราชการของเขาว่า “ดูชายคนนี้ซิ เป็นคนบ้าชัดๆเจ้าพามาพบเราทำไม 15 เจ้าเห็นว่าเราขาดแคลนคนบ้าหรือ ถึงได้พามันมาทำบ้าๆบอๆให้เราดู สมควรให้ไอ้บ้านี้เข้ามาในบ้านของเราหรือ”

ดาวิดไปตามที่ต่างๆ

22 ดาวิดออกจากเมืองกัทหนีไปที่ถ้ำ[c]อดุลลัม เมื่อพี่น้องและญาติฝ่ายพ่อของดาวิดรู้เรื่องเข้า ต่างก็พากันมาหาเขาที่ถ้ำ คนที่เดือดร้อน คนที่มีหนี้สินหรือคนที่ขมขื่นใจ ต่างก็พากันมารวมตัวอยู่กับดาวิด และดาวิดก็ได้กลายเป็นผู้นำของพวกเขาซึ่งมีประมาณสี่ร้อยคน

จากถ้ำอดุลลัม ดาวิดก็ไปยังมิสปาห์ในเมืองโมอับและพูดขอร้องกษัตริย์เมืองโมอับว่า “ขออนุญาตให้พ่อแม่ของข้าพเจ้ามาอาศัยอยู่กับท่านด้วยเถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะรู้ว่าพระเจ้าจะทำอะไรให้กับข้าพเจ้า” ดาวิดจึงฝากพ่อแม่ของเขาไว้กับกษัตริย์เมืองโมอับ และพ่อแม่ของเขาก็อาศัยอยู่กับกษัตริย์ ตลอดเวลาที่ดาวิดอาศัยอยู่ในที่กำบังอันเข้มแข็ง

แต่กาดที่เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าได้พูดกับดาวิดว่า “อย่าอาศัยอยู่ในป้อมปราการเลย เข้าไปอยู่ในแผ่นดินยูดาห์เถอะ” ดังนั้นดาวิดจึงจากไปอยู่ในป่าเฮเรท

ซาอูลทำลายลูกหลานของเอลี

ซาอูลได้ยินว่ามีคนพบดาวิดและผู้คนของเขา ในขณะที่ซาอูลนั่งอยู่ใต้ต้นสนบนภูเขากิเบอาห์และถือหอกอยู่ในมือโดยมีพวกข้าราชการยืนล้อมรอบเขาอยู่ ซาอูลก็พูดกับพวกนั้นว่า “ฟังให้ดีนะ คนเบนยามินทั้งหลาย ไอ้ลูกชายคนนั้นของเจสซี[d] จะให้ที่ทุ่งนาหรือสวนองุ่นกับพวกเจ้าหรือ หรือว่ามันจะแต่งตั้งให้พวกเจ้าเป็นหัวหน้ากองพัน กองร้อยหรือยังไง นั่นเป็นเหตุที่พวกเจ้าถึงได้แอบคบคิดกันต่อต้านเราใช่ไหม ไม่มีใครสักคนบอกเราเมื่อโยนาธานลูกเราได้ทำสัญญากับไอ้ลูกชายของเจสซี ไม่มีใครห่วงใยเราหรือบอกกับเราว่าโยนาธานได้ยุยงให้ไอ้คนรับใช้คนนั้นของเราคอยซุ่มเล่นงานเรา อย่างที่มันทำอยู่ทุกวันนี้”

แต่โดเอกคนเอโดม ซึ่งยืนอยู่กับพวกข้าราชการของซาอูลพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นดาวิดลูกชายของเจสซีมาหาอาหิเมเลคลูกชายของอาหิทูบที่เมืองโนบ 10 อาหิเมเลคได้ปรึกษากับพระยาห์เวห์เพื่อดาวิด เขาให้อาหารกับดาวิด และให้ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตียกับเขาด้วย”

11 กษัตริย์ได้ส่งคนไปตามนักบวชอาหิเมเลคลูกชายของอาหิทูบ และเครือญาติทั้งหมดของพ่อเขาที่เป็นนักบวช ที่เมืองโนบ และพวกเขาก็มาหากษัตริย์ 12 ซาอูลได้พูดว่า “ฟังเราให้ดี ลูกชายของอาหิทูบ”

อาหิเมเลคตอบว่า “ครับ ท่านเจ้านาย”

13 ซาอูลพูดกับอาหิเมเลคว่า “ทำไมเจ้ากับไอ้ลูกชายของเจสซีถึงคบคิดกันต่อต้านเรา เจ้าให้ขนมปังและดาบกับมัน เจ้าได้ปรึกษาพระเจ้าเพื่อมัน ซึ่งทำให้มันลุกขึ้นกบฏต่อเรา และคอยดักซุ่มโจมตีเราอย่างที่มันทำอยู่ทุกวันนี้”

14 อาหิเมเลคตอบกษัตริย์ว่า “มีใครในหมู่พวกข้าราชการของท่าน ที่จงรักภักดีต่อท่านเท่ากับดาวิดบ้าง ดาวิดเป็นลูกเขยของท่าน เป็นหัวหน้าองครักษ์ของท่าน และเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในครอบครัวของท่าน 15 แล้วนี่เป็นครั้งแรกหรือ ที่ข้าพเจ้าได้ปรึกษาพระเจ้าเพื่อดาวิด ไม่ใช่เลย ขอท่านอย่าได้กล่าวหาข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านหรือเครือญาติฝ่ายพ่อข้าพเจ้าเลย เพราะข้าพเจ้าคนรับใช้ของท่านไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้”

16 แต่กษัตริย์พูดว่า “อาหิเมเลค ทั้งเจ้าและเครือญาติฝ่ายพ่อเจ้า จะต้องตายแน่” 17 กษัตริย์สั่งพวกทหารยามที่ยืนอยู่ข้างๆว่า “พาพวกนักบวชของพระยาห์เวห์เหล่านี้ไปฆ่าซะ เพราะพวกมันเข้าข้างดาวิด พวกมันรู้ว่ามันหนีไปแต่ไม่ยอมบอกเรา”

แต่พวกข้าราชการของกษัตริย์ไม่ยอมลงมือต่อพวกนักบวชของพระยาห์เวห์

18 กษัตริย์สั่งโดเอกว่า “เจ้าหันไปฟันพวกนักบวชเหล่านั้นเสียให้ตาย” โดเอกชาวเมืองเอโดมจึงหันไปฟันพวกนักบวช[e] ในวันนั้นเขาได้ฆ่าชายที่สวมผ้าป่านเอโฟดตายถึงแปดสิบห้าคน 19 เขาใช้ดาบฆ่าฟันคนในเมืองโนบซึ่งเป็นเมืองของนักบวช เขาใช้ดาบฆ่าฟันทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทั้งเด็กและทารก ทั้งวัว ลาและแกะ

20 แต่อาบียาธาร์ ลูกชายของอาหิเมเลค ที่เป็นลูกชายของอาหิทูบ หนีรอดไปหาดาวิด 21 เขาได้บอกกับดาวิดว่าซาอูลได้ฆ่าพวกนักบวชของพระยาห์เวห์ 22 ดาวิดพูดกับอาบียาธาร์ว่า “ในวันนั้น เมื่อโดเอกชาวเอโดมอยู่ที่นั่น เรารู้ว่าเขาต้องบอกกับซาอูลแน่ เราเองเป็นผู้ที่นำความตายมาสู่ทุกคนในครอบครัวของพ่อเจ้า 23 อยู่กับเราที่นี่แหละ เจ้าไม่ต้องกลัว คนที่ตามล่าชีวิตเจ้าก็ตามล่าชีวิตเราเหมือนกัน เจ้าจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับเรา”

1 โครินธ์ 3

ครูเป็นแค่ผู้รับใช้ของพระเจ้าเท่านั้น

พี่น้องครับ ผมไม่สามารถพูดกับคุณเหมือนกับคนที่มีพระวิญญาณได้ แต่ต้องพูดกับคุณเหมือนกับคนที่ทำตามสันดานมนุษย์ พวกคุณเป็นเหมือนเด็กทารกในพระคริสต์ ผมเลยต้องให้น้ำนมคุณดื่มแทนที่จะเป็นอาหารแข็ง เพราะพวกคุณยังกินอาหารแข็งไม่ได้ ถึงเดี๋ยวนี้คุณก็ยังกินอาหารแข็งไม่ได้อยู่ดี เพราะคุณยังทำตามสันดานของมนุษย์ คือยังอิจฉาและทะเลาะวิวาทกัน แสดงว่าคุณยังทำตามสันดานมนุษย์เหมือนกับคนอื่นๆในโลกนี้ เมื่อมีคนหนึ่งพูดว่า “ผมเป็นของเปาโล” และอีกคนหนึ่งพูดว่า “ผมเป็นของอปอลโล” อย่างนี้ไม่ใช่ทำตัวเหมือนกับคนอื่นๆในโลกหรือ

อปอลโลเป็นใคร และเปาโลเป็นใคร เราก็แค่คนรับใช้ที่ช่วยให้พวกคุณมาเชื่อ เราแค่ทำตามหน้าที่ของเราแต่ละคนตามที่องค์เจ้าชีวิตมอบหมายให้เท่านั้น ผมเป็นคนปลูก อปอลโลเป็นคนรดน้ำ แต่พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เติบโต ดังนั้นทั้งคนปลูก และคนรดน้ำก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย แต่พระเจ้าผู้ทำให้เติบโตต่างหากที่สำคัญ ทั้งคนปลูกและคนรดน้ำก็มีเป้าหมายเดียวกัน และแต่ละคนก็จะได้รับรางวัลตามผลงานที่เขาได้ทำไว้ เพราะพวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานในการรับใช้พระเจ้า พวกคุณเป็นไร่นาของพระเจ้า และตึกของพระเจ้า

10 ผมได้วางรากฐานเหมือนหัวหน้าวิศวกรผู้ชำนาญตามหน้าที่ที่พระเจ้ามอบให้กับผม แล้วคนอื่นก็มาก่อขึ้นบนรากฐานนั้น แต่ให้แต่ละคนระวังว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร 11 เพราะไม่มีใครที่จะมาวางรากฐานอื่นได้อีก นอกจากรากฐานอันที่ได้วางไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์ 12 ถ้าใครมาก่อสร้างบนรากฐานนั้น ไม่ว่าจะด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง 13 ผลงานของแต่ละคนจะปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นอย่างไร เพราะทุกอย่างจะถูกเปิดเผยออกมาให้เห็นในวันที่พระเจ้ามาพิพากษาโลก วันนั้น[a]จะมาพร้อมกับไฟ และไฟนี้จะทดสอบคุณภาพงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร 14 ถ้างานของใครที่ก่อสร้างบนรากฐานนั้นยังคงทนอยู่ได้ คนๆนั้นก็จะได้รับรางวัล 15 แต่ถ้างานของใครถูกไฟเผาไหม้ไป คนๆนั้นก็จะได้รับความเสียหาย ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนคนที่วิ่งฝ่าเปลวไฟออกมา

16 พวกคุณไม่รู้หรือว่าพวกคุณเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าก็อยู่ในหมู่พวกคุณ 17 ถ้าใครมาทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทำลายคนๆนั้น เพราะวิหารของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ และพวกคุณก็เป็นวิหารนั้น

18 อย่าหลอกตัวเองเลย ถ้าใครในพวกคุณคิดว่าตัวเองฉลาดตามความคิดของโลกนี้ ก็ให้เขายอมเป็นคนโง่เถอะ เพื่อเขาจะได้เป็นคนที่ฉลาดอย่างแท้จริง 19 เพราะพระเจ้าเห็นว่าความฉลาดของโลกนี้มันโง่เขลา เหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “พระเจ้าใช้เล่ห์เหลี่ยมของคนฉลาดเป็นกับดักจับตัวพวกเขาเอง”[b] 20 แล้วยังพูดอีกว่า “องค์เจ้าชีวิตรู้ว่าความคิดของคนฉลาดนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”[c]

21 ถ้าอย่างนั้น เลิกเอามนุษย์มาอวดอ้างกันได้แล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นของพวกคุณอยู่แล้ว 22 ไม่ว่าจะเป็นเปาโล อปอลโล หรือเปโตร หรือโลกนี้ หรือชีวิต หรือความตาย หรือปัจจุบันนี้ หรืออนาคต ทั้งหมดนี้เป็นของพวกคุณ 23 พวกคุณก็เป็นของพระคริสต์ และพระคริสต์ก็เป็นของพระเจ้า

เอเสเคียล 1

คำนำ

1-3 ในวันที่ห้า เดือนสี่ ปีที่สามสิบ[a] ในขณะที่ผมเอเสเคียล ลูกชายของบุซี อยู่กับพวกที่ถูกเนรเทศ[b] ที่ข้างคลองเคบาร์ ในบาบิโลน สวรรค์ได้เปิดออกและผมได้เห็นนิมิต ของพระเจ้า

ในวันที่ห้าของเดือนนั้น ซึ่งเป็นปีที่ห้าที่กษัตริย์เยโฮยาคีนเป็นเชลยอยู่ในบาบิโลน คำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงนักบวชเอเสเคียล ที่อยู่ข้างคลองเคบาร์ในแผ่นดินของชาวบาบิโลน มือของพระยาห์เวห์วางอยู่บนตัวเขาที่นั่น

รถม้าที่มีบัลลังก์ของพระเจ้าตั้งอยู่

ผมมองไป เห็นพายุพร้อมกับลมแรงมากกำลังมาจากทางเหนือ มีเมฆก้อนใหญ่มากที่มีแสงส่องสว่างจ้ารอบๆเมฆนั้น และมีไฟแลบออกมา ตรงกลางของไฟนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนเหล็กที่ร้อนระอุ[c] ที่ใจกลางไฟนั้นดูเหมือนมีสิ่งมีชีวิตสี่ท่านอยู่ที่นั่น พวกเขามีรูปร่างเหมือนคน แต่ละท่านมีใบหน้าสี่หน้าและมีปีกสี่ปีก ขาของพวกเขาเหยียดตรง ฝ่าเท้าของพวกเขาเหมือนกีบเท้าของลูกวัว และตัวพวกเขาเป็นประกายเหมือนทองสัมฤทธิ์ที่ได้รับการขัดเงา ที่ใต้ปีกของพวกเขาทั้งสี่ข้าง มีมือของคนอยู่ด้วย พวกเขาทั้งสี่แต่ละท่านมีหลายหน้าหลายปีก ปีกของพวกเขาแตะกัน เวลาเคลื่อนไหว พวกเขาไม่หันไปหันมา ได้แต่มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว

10 ใบหน้าของแต่ละท่านเป็นอย่างนี้คือ ด้านหน้าเป็นหน้าของคน ด้านขวาเป็นหน้าสิงโต ด้านซ้ายเป็นหน้าของวัวตัวผู้ และด้านหลังเป็นหน้าของนกอินทรี 11 ใบหน้าทั้งหลายของพวกเขาเป็นอย่างนั้น ปีกของพวกเขากางขึ้นข้างบน มีสองปีกที่แตะกับปีกของอีกท่านที่อยู่ติดกันในแต่ละด้าน ส่วนอีกสองปีกที่เหลือปกคลุมร่างกายไว้ 12 แต่ละท่านมุ่งไปด้านหน้า ไม่ว่าพระวิญญาณจะนำไปทางไหน พวกเขาก็ไปทางนั้น โดยไม่หันซ้ายหันขวา 13 ตรงใจกลางของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ มีสิ่งที่ดูเหมือนพวกถ่านไฟที่ร้อนแรงเหมือนคบเพลิงที่เคลื่อนไปมาในท่ามกลางสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ไฟนี้สว่างจ้าและมีสายฟ้าแลบออกมาจากไฟนี้ 14 สิ่งมีชีวิตทั้งสี่นี้พุ่งไปมาเหมือนสายฟ้าแลบแปลบปลาบ

15 เมื่อผมมองดูสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ผมสังเกตเห็นว่าพวกที่มีสี่หน้านี้แต่ละท่านมีวงล้ออันหนึ่งอยู่ข้างๆ วงล้อทั้งสี่นี้แตะอยู่บนพื้น 16 ล้อทั้งสี่มีลักษณะเหมือนกันหมด แวววาวเป็นประกายเหมือนกับเพทายสีเหลืองสด มีสิ่งที่ดูเหมือนวงล้ออีกวงซ้อนอยู่ในวงล้อเหล่านั้น 17 เมื่อพวกล้อนี้มุ่งไปข้างหน้า มันสามารถหันไปทางไหนก็ได้ทั้งสี่ทิศ แต่พอมันเคลื่อนที่มันจะเปลี่ยนทิศทางไม่ได้

18 ขอบล้อนั้นสูงและดูน่ากลัว ที่ขอบล้อทั้งสี่มีดวงตาล้อมรอบอยู่เต็มไปหมด

19 เมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เคลื่อนที่ ล้อที่ติดอยู่ข้างๆพวกเขาก็จะเคลื่อนไปด้วย

เมื่อพวกเขาลอยขึ้นจากพื้น ล้อพวกนี้จะลอยขึ้นไปด้วย

20 พวกเขาจะไปตามที่พระวิญญาณจะพาไป และล้อพวกนี้จะตามไปด้วย เพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อยู่ในล้อพวกนั้น 21 ดังนั้นเมื่อพวกเขาเคลื่อนที่ ล้อจะเคลื่อนไปด้วย เมื่อพวกเขาหยุด ล้อทั้งหมดจะหยุดด้วย และเมื่อล้อพวกนั้นลอยขึ้นจากพื้น พวกเขาก็จะลอยขึ้นไปกับล้อด้วย เพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอยู่ในล้อพวกนั้น

22 เหนือหัวของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นขึ้นไป มีโดม[d] ที่ส่องสว่างอย่างน่าตะลึงงันเหมือนแก้วเจียรไน 23 ภายใต้โดมนั้น ปีกสองข้างของพวกเขากางออกชนกัน และอีกสองปีกที่เหลือปกคลุมร่างของพวกเขาอยู่

24 เมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เคลื่อนที่ ผมได้ยินเสียงปีกของพวกเขาเหมือนกับเสียงดังสนั่นของน้ำที่เชี่ยวกราก เหมือนกับเสียงของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์[e] เหมือนกับเสียงสับสนวุ่นวายในกองทัพ เมื่อพวกเขาหยุดอยู่กับที่ พวกเขาก็หุบปีกลง

25 ในขณะที่พวกเขาหุบปีกลงอยู่นั้น ก็มีเสียงดังมาจากโดมที่อยู่เหนือหัวพวกเขา 26 มีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนบัลลังก์ตั้งอยู่บนโดมนั้น บัลลังก์นั้นสีฟ้าเหมือนพลอยไพฑูรย์ และมีผู้หนึ่งที่ดูเหมือนมนุษย์นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น 27 ผมมองดูชายผู้นั้น และเห็นว่าตั้งแต่เอวขึ้นไปเป็นเหมือนเหล็กที่กำลังร้อนระอุ เหมือนกับมีไฟอยู่ล้อมรอบ และตั้งแต่เอวลงมา ดูเหมือนกับไฟและมีรัศมีส่องล้อมรอบตัวเขาอยู่ 28 แสงสว่างที่ส่องอยู่ล้อมรอบตัวเขานั้นดูเหมือนสายรุ้งในหมู่เมฆในวันฝนตก มันดูเหมือนกับลักษณะของรัศมีของพระยาห์เวห์ เมื่อผมเห็นอย่างนั้น ผมซบหน้าลงกับพื้น แล้วผมได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับผม

สดุดี 37

อย่าอิจฉาคนชั่วแต่ให้วางใจในพระยาห์เวห์

[a] เพลงของดาวิด

อย่าได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะคนชั่ว
    อย่าได้อิจฉาคนที่ทำสิ่งชั่วร้าย
เพราะพวกนี้จะเหี่ยวเฉาและตายไปในไม่ช้า
    เหมือนหญ้าที่ขึ้นตามท้องทุ่ง

ให้ไว้วางใจในพระยาห์เวห์ และทำดี
    แล้วเจ้าจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินของเจ้า และพระองค์จะเลี้ยงดูเจ้าอย่างซื่อสัตย์
ให้มีความสุขกับการรับใช้พระยาห์เวห์
    แล้วพระองค์จะให้สิ่งที่ใจเจ้าต้องการ

ให้มอบทั้งชีวิตของเจ้ากับพระยาห์เวห์
    ไว้วางใจในพระองค์ แล้วพระองค์จะจัดการเรื่องของเจ้าให้
พระองค์จะทำให้ความบริสุทธิ์ของเจ้าเห็นแจ่มแจ้งเหมือนดวงอาทิตย์
    พระองค์จะทำให้ความถูกต้องของคดีเจ้าเห็นแจ่มแจ้งเหมือนกลางวัน

ให้อดทนและรอคอยพระยาห์เวห์ลงมือ
    ไม่ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
    เมื่อคนชั่วประสบความสำเร็จตามแผนชั่วของเขา

ไม่ต้องโมโห ไม่ต้องโกรธ
    ไม่ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ซึ่งมีแต่จะสร้างปัญหา
เพราะคนชั่วจะถูกตัดออกไปจากแผ่นดิน
    แต่คนที่รอคอยพระยาห์เวห์จะได้กรรมสิทธิ์ในแผ่นดินที่พระองค์สัญญาไว้กับพวกเขา

10 รออีกไม่นาน คนชั่วก็จะหมดสิ้นไป
    เมื่อเจ้ามองไปในที่ที่เขาเคยอยู่ เจ้าก็จะไม่เห็นเขาอีกแล้ว
11 แต่คนที่มีจิตใจอ่อนโยนจะได้กรรมสิทธิ์ในแผ่นดินที่พระองค์สัญญาไว้กับพวกเขา
    พวกเขาจะได้ชื่นชมยินดีในสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองมหาศาล

12 พวกคนชั่วมักวางแผนร้ายต่อต้านคนดี
    และแยกเขี้ยวใส่พวกเขา
13 แต่องค์เจ้าชีวิตของข้าพเจ้า หัวเราะเยาะใส่คนพวกนั้น
    เพราะพระองค์รู้ดีว่า วันแห่งการตัดสินโทษคนชั่วกำลังจะมาแล้ว

14 พวกคนชั่วชักดาบออก และโก่งคันธนู
    เพื่อยิงใส่คนยากจนและคนขัดสน และฆ่าฟันคนที่ซื่อตรง
15 แต่ดาบนั้นจะแทงหัวใจที่ชั่วร้ายของพวกเขาเอง
    และคันธนูนั้นก็จะหักกระจุย

16 นิดๆหน่อยๆที่คนดีคนหนึ่งมี
    ก็ยังดีกว่าความร่ำรวยของคนชั่วหลายคน
17 เพราะพระยาห์เวห์จะหักแขนของคนชั่ว
    แต่พระองค์จะดูแลคนดี

18 พระยาห์เวห์จะเอาใจใส่คนที่ไร้ที่ติ
    และรางวัลของพวกเขาจะคงอยู่ตลอดกาล
19 ในยามวิกฤติพวกเขาจะไม่ต้องอับอาย
    ในเวลาที่เกิดกันดารอาหาร พวกเขาจะมีกินอย่างเหลือเฟือ

20 แต่คนชั่วจะถูกทำลายล้าง และศัตรูของพระยาห์เวห์จะสูญไป
    เหมือนดอกไม้ในทุ่ง[b] และหายไปเหมือนควัน

21 คนชั่วยืม แต่ไม่คืน
    แต่คนดีนั้นใจกว้างและแจกจ่ายให้กับผู้อื่น
22 คนเหล่านั้นที่พระยาห์เวห์อวยพร จะได้กรรมสิทธิ์ในแผ่นดิน
    ส่วนคนเหล่านั้นที่พระองค์สาปแช่ง จะถูกตัดออกจากแผ่นดิน

23 พระยาห์เวห์จะนำคนที่พระองค์พอใจไปตามทางที่ดีที่สุด
24 ถ้าคนดีสะดุด เขาก็จะไม่ล้มหรอก
    เพราะพระยาห์เวห์จับมือของเขาอยู่

25 ตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นหนุ่มจนแก่
    ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นคนดีถูกทอดทิ้ง
    ไม่เคยเห็นลูกหลานของเขาต้องไปขอคนอื่นกิน
26 คนดีมักใจกว้างและให้คนอื่นหยิบยืม
    และลูกๆของเขาเป็นพระพร

27 ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงสิ่งชั่วร้ายและให้ทำดี
    แล้วเจ้าจะได้อยู่ในแผ่นดินตลอดไป
28 เพราะพระยาห์เวห์รักความยุติธรรม
    พระองค์ไม่ทอดทิ้งคนเหล่านั้นที่จงรักภักดีต่อพระองค์
พระองค์จะคุ้มครองพวกเขาอยู่เสมอ
    แต่ลูกหลานของคนชั่วจะถูกตัดออกไปจากแผ่นดิน
29 คนดีจะได้กรรมสิทธิ์ในแผ่นดิน
    และพวกเขาจะได้อาศัยอยู่บนแผ่นดินนั้นตลอดไป

30 ปากคนดีพูดอย่างเฉลียวฉลาด
    และลิ้นเขาสนับสนุนความยุติธรรม
31 คำสั่งสอนของพระเจ้าของเขาอยู่ในใจเขา
    และเขาจะไม่ลื่นไถลออกจากทางของเขา

32 คนชั่วคอยดักซุ่มคนดี
    เพื่อหาโอกาสที่จะฆ่าเขา
33 แต่พระยาห์เวห์จะไม่ปล่อยให้คนดีตกไปอยู่ในกำมือของคนชั่ว
    พระองค์จะไม่ยอมให้พวกเขาแพ้คดีในศาล

34 ให้รอคอยพระยาห์เวห์และทำตามที่พระองค์บอก
    แล้วพระองค์จะยกเจ้าขึ้น เจ้าจะได้รับกรรมสิทธิ์ในแผ่นดิน
    เจ้าจะได้เห็นคนชั่วถูกตัดออกไป

35 ข้าพเจ้าเคยเห็นคนชั่วที่อำมหิต
    อิทธิพลของเขาแผ่ออกไปเหมือนต้นไม้เขียวสด
36 แต่หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ผ่านทางนั้นอีก[c]
    เขาหายไปแล้ว ข้าพเจ้ามองหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ

37 ให้สังเกตดูคนไร้ที่ติ และคนซื่อตรง
    คนที่รักสันติ จะมีอนาคตที่สดใส
38 แต่ทุกคนที่ฝ่าฝืนกฎของพระเจ้าจะถูกทำลาย
    อนาคตของคนเลวจะถูกตัดออกไปแน่ๆ

39 ความรอดของคนดีมาจากพระยาห์เวห์
    ในยามทุกข์ยาก พระองค์เป็นป้อมปราการของพวกเขา
40 พระยาห์เวห์ช่วยพวกเขาและช่วยกู้พวกเขา
    พระองค์ช่วยกู้พวกเขาให้รอดพ้นจากคนชั่ว
    เพราะพวกเขาลี้ภัยในพระองค์

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International