Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ผู้วินิจฉัย 18

คนเผ่าดานยึดเมืองลาอิช

18 ในเวลานั้นอิสราเอลยังไม่มีกษัตริย์ และคนเผ่าดานก็ยังเสาะหาแผ่นดินเพื่ออยู่อาศัย เพราะพวกเขาไม่ได้รับส่วนแบ่งของแผ่นดินท่ามกลางเผ่าต่างๆของอิสราเอล

ดังนั้นคนเผ่าดานจึงส่งผู้ชายที่กล้าหาญของเผ่าห้าคน ซึ่งเป็นตัวแทนของเผ่าดานทั้งหมด ที่อาศัยอยู่ในเมืองโศราห์และเอชทาโอล ให้ไปสอดแนมและสำรวจแผ่นดิน พร้อมกับสั่งพวกเขาว่า “ไปสำรวจดูแผ่นดินนั้น”

ชายทั้งห้าจึงเดินทางไปที่แถบเทือกเขาเอฟราอิม มาจนถึงระแวกบ้านของมีคาห์ พวกเขาได้พักค้างคืนอยู่ที่นั่น ตอนที่พวกเขาอยู่แถวบ้านของมีคาห์นั้น พวกเขาได้ยินเสียงของชายหนุ่มชาวเลวีและจำเสียงของชายหนุ่มชาวเลวีนั้นได้ จึงแวะเข้าไปถามเขาว่า “ใครพาเจ้ามาที่นี่ เจ้ามาทำอะไร เจ้ามีธุระอะไรแถวนี้หรือ”

ชายเลวีตอบว่า “มีคาห์ได้ช่วยผมหลายอย่าง เขาได้จ้างผม และผมได้กลายเป็นนักบวชของเขา”

แล้วพวกเขาได้พูดกับชายหนุ่มชาวเลวีว่า “ถามพระเจ้าให้หน่อยว่าการเดินทางของพวกเราในครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จหรือเปล่า”

นักบวชชาวเลวีก็ตอบว่า “สบายใจได้เลย การเดินทางของพวกท่านทั้งหลายจะอยู่ในสายตาของพระยาห์เวห์”

แล้วชายทั้งห้าก็จากไป เมื่อพวกเขามาถึงเมืองลาอิช พวกเขาเห็นประชาชนในเมืองนี้อยู่กันอย่างปลอดภัยตามแบบคนไซดอน สงบสุขและไม่หวาดระแวงอะไร ไม่มีใครมาทำให้ประชาชนในแผ่นดินนี้ต้องอับอายขายหน้าในเรื่องใดเรื่องหนึ่งและไม่มีผู้ครอบครองที่กดขี่ข่มเหง[a] พวกนี้อยู่ห่างจากชาวไซดอน และไม่ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับอาราม

เมื่อคนทั้งห้ากลับมาหาญาติของพวกเขาในโศราห์และเอชทาโอล พวกญาติก็ถามว่า “เป็นยังไง”

พวกเขาตอบว่า “พวกเรารีบขึ้นไปโจมตีพวกนั้นกันเถอะ แผ่นดินที่เราไปเห็นมานั้นดีมาก พวกท่านจะอยู่เฉยๆหรือ อย่าได้ชักช้าที่จะไปบุกและยึดเอาแผ่นดินนั้น 10 เมื่อท่านไปถึงจะพบกับชาวเมืองที่ไม่หวาดระแวงอะไรเลย แผ่นดินที่กว้างใหญ่นี้คือแผ่นดินที่พระเจ้าได้มอบไว้ในมือของพวกท่านแล้ว เป็นแผ่นดินที่ไม่ขาดอะไรเลยในโลกนี้”

11 คนเผ่าดานหกร้อยคนกับอาวุธพร้อมมือก็ออกเดินทางจากโศราห์และเอชทาโอล 12 พวกเขาขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองคิริยาทเยอาริมในยูดาห์ ที่ตรงนั้นจึงถูกเรียกว่า มะหะเนห์-ดาน[b] จนถึงทุกวันนี้ มันอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองคิริยาท-เยอาริม 13 จากที่นั่น พวกเขาเดินทางถึงแถบเทือกเขาเอฟราอิม และมาถึงบ้านของมีคาห์

14 แล้วชายทั้งห้าคนที่เคยไปสอดแนมเมืองลาอิช ก็บอกกับพรรคพวกว่า “ท่านรู้ไหมในบ้านเหล่านี้มีเอโฟด และรูปเคารพประจำบ้าน และรูปหล่อ พวกท่านก็คิดเอาเองก็แล้วกันว่าจะทำยังไง” 15 พวกเขาและชายทั้งห้ามุ่งหน้าไปทางนั้นและมาถึงบ้านของหนุ่มชาวเลวีที่อาศัยอยู่ที่บ้านของมีคาห์ และถามเขาว่าสบายดีไหม 16 คนเผ่าดานหกร้อยคนพร้อมอาวุธครบมือยืนอยู่ที่ทางเข้าประตู 17 ส่วนชายห้าคนที่เคยไปสอดแนมแผ่นดินได้เข้าไปข้างใน แล้วยึดเอารูปเคารพ เอโฟด พวกพระประจำบ้าน และรูปหล่อนั้น ส่วนนักบวชก็ยืนอยู่ตรงทางเข้าประตูกับคนเผ่าดานที่มีอาวุธพร้อมมือทั้งหกร้อยคนนั้น 18 เมื่อห้าคนนั้นเข้าไปในบ้านมีคาห์และขนเอารูปเคารพ เอโฟด พวกพระประจำบ้าน และรูปหล่อนั้น นักบวชก็ถามพวกเขาว่า “ทำอะไรกันนั่น”

19 พวกเขาตอบว่า “เงียบซะ เอามือปิดปากไว้ มากับพวกเราสิ จะได้เป็นพ่อและเป็นนักบวชให้กับพวกเรา ท่านคิดเอาเองว่าเป็นนักบวชให้กับบ้านของคนหนึ่ง กับเป็นนักบวชให้กับเผ่าและตระกูลหนึ่งในอิสราเอล อย่างไหนจะดีกว่ากัน” 20 นักบวชนั้นก็ดีใจ เขาจึงขนเอาเอโฟด พวกพระประจำบ้าน และรูปเคารพ แล้วเดินไปด้วยกันกับคนเหล่านั้น

21 พวกเขากลับออกมาจากบ้านของมีคาห์และเดินทางต่อไป มีพวกที่พึ่งพาพวกเขา พวกฝูงสัตว์เลี้ยง และข้าวของต่างๆเดินนำหน้า

22 เมื่อพวกเขาเดินทางไปไกลจากบ้านมีคาห์แล้ว พวกเพื่อนบ้านของมีคาห์ก็ได้รวมตัวกันไล่ติดตามมาทัน 23 และตะโกนเรียกไล่หลังคนดาน พวกดานก็หันกลับมาถามมีคาห์ว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ พวกเจ้าถึงยกกันมามากมายขนาดนี้”

24 มีคาห์ตอบว่า “พวกเจ้าได้เอาพวกพระของข้าที่ข้าได้สร้างไว้และเอานักบวชของข้ามา แล้วข้ายังจะเหลืออะไรอีก พวกท่านยังมีหน้ามาถามอีกว่าเกิดอะไรขึ้น”

25 คนจากเผ่าดานจึงพูดกับมีคาห์ว่า “อย่ามาทำเสียงดังกับพวกเรา ไม่อย่างงั้นพวกขี้โมโหในกลุ่มของเราอาจจะโจมตีเจ้า เจ้าและครอบครัวจะตายซะเปล่าๆ”

26 แล้วคนดานก็ออกเดินทางต่อไป ส่วนมีคาห์เห็นว่าพวกเขาแข็งแรงกว่าจึงเดินทางกลับบ้านตัวเอง

27 คนดานเอาสิ่งของที่มีคาห์ได้สร้างขึ้นและนักบวชของเขามาที่เมืองลาอิช ชาวเมืองอยู่กันอย่างสงบสุขและไม่ได้หวาดระแวงอะไร แล้วคนดานก็ฆ่าชาวเมืองด้วยดาบและจุดไฟเผาเมือง 28 ไม่มีใครมาช่วยเหลือ เพราะเมืองลาอิชอยู่ในหุบเขาที่เป็นของเมืองเบธ-เรโหบ ซึ่งอยู่ไกลจากเมืองไซดอน และไม่ได้เป็นพันธมิตรกับอาราม คนดานก็สร้างเมืองขึ้นมาใหม่และตั้งรกรากที่นั่น 29 พวกเขาตั้งชื่อเมืองว่าดาน ตามชื่อบรรพบุรุษของเขาที่เกิดมาจากอิสราเอล แทนลาอิชชื่อเดิมของเมือง

30 คนดานก็ตั้งรูปเคารพสำหรับพวกเขาเอง และตั้งโยนาธานลูกชายเกอร์โชม ซึ่งเป็นลูกชายของโมเสส ตลอดจนพวกลูกๆของโยนาธาน เป็นนักบวชสำหรับเผ่าดาน ไปจนกระทั่งคนอิสราเอลถูกจับไปเป็นเชลย 31 พวกเขาได้กราบไหว้รูปเคารพนั้นที่มีคาห์ได้สร้างขึ้น ตลอดระยะเวลาที่บ้านของพระเจ้ายังคงตั้งอยู่ที่ชิโลห์

กิจการ 22

เปาโลพูดกับประชาชน

22 “ท่านผู้อาวุโสและพี่น้องทั้งหลาย โปรดฟังคำอธิบายของผมสักนิดเถอะ” เมื่อพวกเขาได้ยินเปาโลพูดเป็นภาษาอารเมค พวกเขายิ่งเงียบลง จากนั้นเปาโลพูดว่า “ผมเป็นคนยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย แต่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูในเมืองเยรูซาเล็มนี้ ผมเป็นศิษย์ของกามาลิเอล[a] และเขาได้อบรมสั่งสอนผมให้ทำตามกฎของบรรพบุรุษของพวกเราอย่างเคร่งครัด ผมเป็นคนที่เคร่งต่อพระเจ้ามาก เหมือนกับพวกท่านในตอนนี้ ผมเคยข่มเหงคนที่เดินตามแนวทางขององค์เจ้าชีวิตจนถึงตาย และจับพวกเขาทั้งชายและหญิงไปขังคุก ทั้งหัวหน้านักบวชสูงสุด และผู้นำอาวุโสทั้งหมดเป็นพยานให้กับผมได้ พวกเขาได้ออกจดหมายแนะนำตัวผมให้กับพี่น้องชาวยิวในเมืองดามัสกัส ผมจะได้ไปที่นั่นเพื่อจับคนพวกนั้นที่เดินตามทางของพระเยซู แล้วส่งกลับมาเข้าคุกที่เมืองเยรูซาเล็ม

ทำไมเปาโลถึงมาติดตามพระเยซู

เมื่อผมเดินทางใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส เป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน จู่ๆก็มีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าส่องลงมารอบตัวผม ผมก็ล้มลงบนพื้นและได้ยินเสียงพูดว่า ‘เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม’ ผมถามไปว่า ‘พระองค์เป็นใครกัน’ พระองค์ตอบว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธ คนที่เจ้าข่มเหงไง’ คนทั้งหลายที่อยู่กับผมก็เห็นแสงสว่างนั้นด้วย แต่พวกเขาไม่เข้าใจเสียงที่พูดกับผมนั้น 10 ผมถามว่า ‘แล้วข้าพเจ้าจะต้องทำอะไร องค์เจ้าชีวิต’ องค์เจ้าชีวิตก็บอกว่า ‘ลุกขึ้นและเข้าไปในเมืองดามัสกัส ที่นั่นจะมีคนบอกเองว่าเจ้าจะต้องทำอะไรบ้าง’ 11 เพราะความจ้าของแสงนั้นทำให้ผมมองอะไรไม่เห็นเลย เพื่อนร่วมทางของผมต้องมาจูงผมเข้าไปในเมืองดามัสกัส

12 มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนีย[b] เป็นคนที่ทำตามกฎของโมเสสอย่างเคร่งครัด และเป็นคนที่มีชื่อเสียงดีในหมู่คนยิวในเมืองนั้น 13 เขามาหาผม และยืนอยู่ข้างๆพูดว่า ‘น้องเซาโล ขอให้กลับเห็นได้อีก’ แล้วผมก็มองเห็นเขาทันที 14 เขาพูดว่า ‘พระเจ้าของบรรพบุรุษเรา ได้เลือกน้องให้รู้ถึงความต้องการของพระองค์ และให้น้องเห็นพระเยซูผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้า และให้น้องได้ยินเสียงของพระองค์ด้วย 15 เพื่อน้องจะได้บอกให้กับทุกคนรู้ถึงสิ่งที่น้องได้เห็นและได้ยินมาเกี่ยวกับพระองค์ 16 ตอนนี้น้องยังมัวคอยอะไรอยู่อีก ลุกขึ้นและเข้าพิธีจุ่มน้ำเพื่อล้างบาปของน้องให้หมดไป คือร้องเรียกให้องค์เจ้าชีวิตช่วย’

17 เมื่อผมกลับไปเมืองเยรูซาเล็มและกำลังอธิษฐานอยู่ในวิหาร ผมก็เคลิ้มไม่รู้สึกตัวไป 18 แล้วผมก็เห็นพระเยซูพูดกับผมว่า ‘รีบออกไปจากเมืองเยรูซาเล็มเร็ว เพราะคนที่นี่จะไม่เชื่อในเรื่องของเราที่เจ้าจะบอกพวกเขา’ 19 แล้วผมก็พูดว่า ‘องค์เจ้าชีวิต คนพวกนี้รู้ว่าข้าพเจ้าเคยเข้าไปในที่ประชุมชาวยิว แห่งแล้วแห่งเล่า เพื่อจับคนพวกนั้นที่เชื่อถือพระองค์ไปขังคุกและเฆี่ยนตี 20 เมื่อสเทเฟน คนที่เป็นพยานของพระองค์ถูกฆ่า ข้าพเจ้าก็ยืนอยู่ตรงนั้นและเห็นดีด้วยกับการทำอย่างนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนเฝ้าเสื้อผ้าของคนพวกนั้นที่ฆ่าสเทเฟน’ 21 แล้วพระองค์ก็พูดกับผมว่า ‘ไปเถิด เราจะส่งเจ้าไปไกลๆไปหาคนที่ไม่ใช่ยิว’”

22 ฝูงชนฟังเปาโลพูดมาตลอด แต่พอได้ยินเปาโลพูดอย่างนี้ ก็พากันร้องตะโกนขึ้นมาว่า “กำจัดมันไปจากโลกนี้ มันสมควรตาย” 23 พวกเขาร้องตะโกนไป เหวี่ยงเสื้อผ้าทิ้งไป[c] และขว้างปาฝุ่นละอองขึ้นไปในอากาศ[d] 24 ผู้พันกองทัพทหารโรมันจึงสั่งให้นำเปาโลเข้าไปในค่ายทหาร เขาสั่งให้ไต่สวนเปาโลด้วยการเฆี่ยนตี เพื่อจะได้รู้ว่า ทำไมผู้คนถึงได้ร้องตะโกนต่อต้านเขาอย่างนั้น 25 แต่พอพวกทหารกำลังขึงเปาโลเพื่อจะเฆี่ยนตี เปาโลพูดกับนายร้อยที่ยืนอยู่ตรงนั้นว่า “ถูกกฎหมายแล้วหรือที่จะเฆี่ยนตีพลเมืองโรมันโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าทำผิดอะไร”

26 เมื่อนายร้อยได้ยินอย่างนั้น เขาจึงเดินไปพูดกับผู้พันกองทัพทหารโรมันว่า “ท่านครับ รู้หรือเปล่าว่าท่านกำลังจะทำอะไรลงไป ชายคนนี้เป็นพลเมืองโรมันนะครับ” 27 ผู้พันกองทัพทหารโรมันเดินเข้าไปถามเปาโลว่า “บอกหน่อยสิว่า แกเป็นพลเมืองโรมันหรือ” เปาโลตอบว่า “เป็นครับ” 28 ผู้พันจึงตอบว่า “เราต้องเสียเงินก้อนใหญ่ทีเดียวถึงจะได้เป็นพลเมืองโรมัน” เปาโลพูดว่า “แต่ผมเป็นตั้งแต่เกิดแล้ว”

29 คนพวกนั้นที่กำลังจะไต่สวนเปาโล ก็ผงะถอยไปทันที แม้แต่ผู้พันกองทัพทหารโรมันก็เกิดความกลัวขึ้นมา เมื่อรู้ว่าคนที่เขาสั่งให้ล่ามโซ่นั้นเป็นพลเมืองโรมัน

เปาโลพูดกับสภาแซนฮีดริน

30 วันต่อมาผู้พันกองทัพทหารโรมัน ก็ปล่อยตัวเปาโล แต่เพราะเขาอยากจะรู้ว่าทำไมเปาโลถึงถูกชาวยิวกล่าวหา เขาจึงสั่งให้พวกผู้นำนักบวชและสมาชิกสภาแซนฮีดรินทั้งหมดมาประชุมกัน และเขาพาเปาโลออกมายืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา

เยเรมียาห์ 32

เยเรมียาห์ซื้อท้องทุ่งที่อานาโธท

32 นี่คือข่าวสารจากพระยาห์เวห์ที่มาถึงเยเรมียาห์ ในปีที่สิบ[a] ที่เศเดคียาห์เป็นกษัตริย์ปกครองยูดาห์ และตรงกับปีที่สิบแปดของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

ในเวลานั้น กองทัพของกษัตริย์บาบิโลนกำลังล้อมเมืองเยรูซาเล็มอยู่ และเยเรมียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้ากำลังถูกคุมขังอยู่ในลานของคุกที่อยู่ในวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ กษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์เป็นผู้สั่งให้จับเยเรมียาห์ขังไว้ในคุกที่นั่นเอง พระองค์ถามเยเรมียาห์ว่า “ทำไมเจ้าถึงได้ทำนายอย่างนี้ เจ้าพูดว่า พระยาห์เวห์พูดว่า ‘เราจะยกเมืองนี้ให้ตกไปอยู่ในกำมือของกษัตริย์บาบิโลน พระองค์จะได้ยึดครองมัน และกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ ก็จะไม่มีทางหนีรอดจากเงื้อมมือของพวกบาบิโลน เพราะเขาจะต้องถูกส่งตัวไปอยู่ในกำมือของกษัตริย์บาบิโลนอย่างแน่นอน และกษัตริย์เศเดคียาห์จะได้พูดกับกษัตริย์บาบิโลนตรงหน้า และเจอกันซึ่งๆหน้า กษัตริย์ของบาบิโลนจะบังคับให้เศเดคียาห์ไปบาบิโลน และเขาจะต้องอยู่ที่นั่น จนกว่าเราจะมาลงโทษเขา พวกเจ้าจะต่อสู้กับพวกบาบิโลน แต่จะไม่ชนะ’” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น

แล้วเยเรมียาห์ก็ตอบว่า “ข่าวสารของพระยาห์เวห์มาถึงผม พระองค์พูดว่า ‘เยเรมียาห์ ฮานาเมลลูกชายของชัลลูมลุงของเจ้าจะมาหาเจ้า และเขาจะบอกกับเจ้าว่า “ให้ซื้อท้องทุ่งของผมที่อยู่ในอานาโธทไปหน่อย เพราะท่านสามารถซื้อมันได้ตามสิทธิ์”’

แล้วฮานาเมลลูกชายของลุงผม ก็ได้มาหาผมในลานคุกแห่งนี้ ตามที่พระยาห์เวห์ได้บอกไว้ และเขาก็พูดกับผมว่า ‘ให้ซื้อท้องทุ่งของผมไปหน่อย ท้องทุ่งที่อยู่ในอานาโธท ที่อยู่ในแผ่นดินของเบนยามิน เพราะท่านมีสิทธิ์ที่จะครอบครอง และมีสิทธิ์ที่จะซื้อมันได้ ให้ท่านซื้อเก็บไว้เอง’”

ดังนั้นผมจึงรู้ว่านี่คือถ้อยคำของพระยาห์เวห์ แล้วผมก็ซื้อท้องทุ่งนั้นจากฮานาเมลลูกชายของลุงผม เป็นท้องทุ่งที่อยู่ในอานาโธท แล้วผมก็จ่ายไปเป็นเงินหนักสิบเจ็ดเชเขล[b] 10 ผมได้เขียนเป็นสัญญาซื้อขายขึ้นมา เอาเชือกมัดแล้วหยดครั่งลงบนเชือก และให้พยานเซ็นชื่อรับรอง แล้วผมก็ชั่งเงินจ่ายเขาไป

11 จากนั้นผมก็เอาหนังสือซื้อขายมา ซึ่งก็รวมถึงสำเนาของสัญญาที่มีครั่งหยดปิดอยู่ คำสั่งและเงื่อนไข รวมทั้งสำเนาที่ยังไม่ได้ลงครั่งด้วย 12 แล้วผมก็ให้หนังสือซื้อขายกับบารุคลูกชายของเนริยาห์ ซึ่งเป็นลูกชายของมาอาเสอาห์ ต่อหน้าฮานาเมล กับลุงของผม และต่อหน้าพวกพยานที่ลงชื่อไว้ในสัญญาซื้อขาย รวมทั้งพวกชาวยูดาห์ทุกคนที่นั่งอยู่ที่ลานคุกนั้น

13 แล้วผมก็สั่งบารุคต่อหน้าพวกเขาว่า 14 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ผู้เป็นพระเจ้าของอิสราเอล พูดไว้อย่างนี้ว่า “ให้เอาหนังสือพวกนี้ คือหนังสือซื้อขายนี้ ทั้งที่มีครั่งปิด และไม่มีครั่งปิด ไปใส่ไว้ในหม้อดิน เพื่อพวกมันจะอยู่ได้นานๆ” 15 เพราะพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ผู้เป็นพระเจ้าของอิสราเอลพูดไว้ว่า “ในอนาคต คนของเราก็จะซื้อบ้านเรือน ท้องทุ่ง และ พวกสวนองุ่นในแผ่นดินนี้อีกครั้งหนึ่ง”

16 หลังจากที่ผมได้ให้หนังสือซื้อขายกับบารุคลูกชายของเนริยาห์ไปแล้ว ผมก็ได้อธิษฐานถึงพระยาห์เวห์ว่า

17 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ เจ้านายของข้าพเจ้า พระองค์สร้างฟ้าและแผ่นดินโลกด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และแขนที่ยื่นออกมาของพระองค์ ไม่มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับพระองค์ 18 พระองค์คือผู้ที่แสดงความเมตตาแก่คนเป็นพันๆและเป็นผู้ที่ตอบแทนความผิดบาปของพ่อแม่ให้กับลูกๆของพวกเขา พระองค์คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าที่ทรงพลังที่มีชื่อว่าพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น

19 แผนการของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ และการกระทำของพระองค์ก็ยอดเยี่ยม พระองค์เป็นผู้ที่มีดวงตาคอยสอดส่องการกระทำทั้งหมดของมนุษย์ เพื่อตอบแทนให้กับแต่ละคนตามวิถีทางต่างๆของเขา และการกระทำต่างๆของเขา ตามที่เขาสมควรจะได้รับ

20 พระองค์คือผู้ที่ได้ทำหมายสำคัญ และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆในแผ่นดินอียิปต์ ซึ่งไม่มีอะไรที่จะเหนือกว่านั้นอีกแล้ว มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะในอิสราเอลหรือในชนกลุ่มไหนก็ตาม พระองค์สร้างชื่อเสียงให้กับพระองค์เอง ชื่อเสียงพระองค์เป็นที่เคารพยำเกรงมาจนถึงทุกวันนี้ 21 พระองค์ได้นำอิสราเอลที่เป็นคนของพระองค์ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ด้วยหมายสำคัญและสิ่งมหัศจรรย์มากมายด้วยมืออันทรงพลังและแขนที่เหยียดออกและด้วยความน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

22 พระองค์ได้ให้แผ่นดินนี้กับคนอิสราเอล แผ่นดินที่พระองค์ได้สาบานไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาว่า พระองค์จะให้กับพวกเขา เป็นแผ่นดินที่อุดมไปด้วยน้ำนมและน้ำเชื่อมผลไม้ 23 พวกอิสราเอลก็ได้เข้ามาในแผ่นดินนี้ และก็ได้ครอบครองมัน แต่พวกเขาไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ และไม่เดินตามกฎต่างๆของพระองค์ พวกเขาไม่ทำสิ่งต่างๆที่พระองค์สั่งให้พวกเขาทำ แล้วพระองค์ก็ทำให้พวกเขาต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายทั้งหมดเหล่านี้

24 พวกชาวบาบิโลน ได้สร้างเนินดินติดกำแพงเมืองเพื่อที่จะบุกยึดเมือง เนื่องจากคมดาบ ความอดอยาก และโรคภัยไข้เจ็บ เมืองก็เลยตกไปอยู่ในเงื้อมมือของชาวบาบิโลนที่กำลังต่อสู้กับมัน สิ่งที่พระองค์บอกว่าจะเกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และพระองค์ก็เห็น

25 ข้าแต่พระยาห์เวห์ เจ้านายของข้าพเจ้า พระองค์ได้บอกกับข้าพเจ้าว่า ‘ให้เอาเงินไปซื้อท้องทุ่งนั้นเอาไว้เอง และให้มีพยานรับรองด้วย’ แต่เมืองนี้กำลังจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือพวกบาบิโลนอยู่แล้ว”

26 และข่าวสารของพระยาห์เวห์ก็มีมาถึงเยเรมียาห์ พระองค์พูดว่า 27 “เยเรมียาห์ เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง มีอะไรยากเกินไปสำหรับเราหรือ”[c] 28 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงพูดว่าอย่างนี้ “เราจะยกเมืองนี้ให้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของชาวบาบิโลน และตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์ของบาบิโลน และเขาจะยึดครองมัน 29 ชาวบาบิโลนที่กำลังสู้รบอยู่กับเมืองนี้จะบุกเข้ามาในเมือง และจุดไฟเผาเมือง พวกเขาจะเผาบ้านเรือนต่างๆที่เผาเครื่องหอมให้กับพระบาอัลบนดาดฟ้า และถวายเครื่องดื่มบูชาให้กับเทพเจ้าอื่นๆซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้เราโกรธ 30 เพราะชาวอิสราเอลและยูดาห์ทำสิ่งที่เราถือว่าชั่วร้ายจริงๆมาตั้งแต่เด็กๆเพราะชาวอิสราเอลได้สร้างรูปเคารพขึ้นมากับมือ ซึ่งทำให้เราโกรธ” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น 31 “ที่เราพูดอย่างนี้ก็เพราะเราโกรธเมืองนี้ตั้งแต่วันที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาแล้ว โกรธมาจนถึงทุกวันนี้ เราโกรธถึงขนาดที่จะกำจัดมันให้พ้นไปจากหน้าเรา 32 เราโกรธเพราะชาวอิสราเอลและยูดาห์ทำในสิ่งที่ชั่วร้าย ซึ่งเป็นการยั่วโมโหเรา พวกมันต่างพากันทำสิ่งที่ชั่วร้ายกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกกษัตริย์ พวกเจ้าหน้าที่บ้านเมือง พวกนักบวช พวกผู้พูดแทนพระเจ้า พวกคนยูดาห์ หรือพวกคนที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม

33 พวกมันหันหลังให้เรา ไม่ได้หันหน้าให้เรา ถึงแม้เราจะสอนพวกมัน ลุกขึ้นแต่เช้ามาสอนพวกมัน แต่พวกมันก็ไม่ยอมรับการตักเตือน 34 พวกมันเอาสิ่งที่น่ารังเกียจขยะแขยงมาตั้งไว้ในบ้านที่ถูกเรียกว่าเป็นของเรา ทำให้บ้านนั้นเสื่อมไป

35 พวกมันก็ได้สร้างสถานนมัสการต่างๆสำหรับพระบาอัล ในหุบเขาแห่งเบน-ฮินโนม เพื่อเอาไว้เป็นที่สำหรับเซ่นไหว้พวกลูกชายและลูกสาวของพวกมันให้กับพระโมเลค ทั้งๆที่เราไม่ได้สั่ง หรือแม้แต่คิดจะสั่งเรื่องน่าขยะแขยงอย่างนี้ ดังนั้นมันจึงทำให้ชาวยูดาห์บาป

36 ดังนั้น นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ได้พูดเกี่ยวกับเมืองนี้ คือ ‘ที่พวกเจ้าพูดกันว่า กษัตริย์บาบิโลนจะยึดเยรูซาเล็ม ด้วยคมดาบ ความอดอยาก และโรคร้าย’ แต่เราจะบอกว่า 37 ‘เรากำลังจะรวบรวมพวกเขามาจากทุกหนทุกแห่ง ที่เราได้ขับไล่พวกเขาไปด้วยความโกรธแค้น เดือดดาลอย่างใหญ่หลวง เราจะพาพวกเขากลับมาที่นี่ และจะทำให้พวกเขาอยู่กันอย่างปลอดภัย 38 พวกเขาจะเป็นคนของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา 39 เราจะให้หัวใจกับพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน และให้ทำอย่างเดียวกัน พวกเขาจะได้ยำเกรงเราตลอดไป เพื่อเป็นผลดีสำหรับพวกเขาและสำหรับลูกหลานของพวกเขา

40 เราได้ทำข้อตกลงกับพวกเขาชั่วนิรันดร์ ว่าเราจะไม่มีวันหันหลังไปจากพวกเขา คือเราจะทำสิ่งที่ดีๆให้กับพวกเขา และเราจะทำให้จิตใจของพวกเขายำเกรงเรา เพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่หันหลังไปจากเรา 41 เราจะมีความสุขที่ทำสิ่งดีๆให้กับพวกเขา และด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมดของเรา เราจะปลูกพวกเขาไว้ในแผ่นดินนี้อย่างสัตย์ซื่อ’”

42 พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้ “เราเคยนำความเลวร้ายทั้งหมดนี้มาให้คนพวกนี้อย่างไร เราก็จะนำสิ่งดีๆมาให้กับพวกเขาอย่างนั้น สิ่งดีๆที่เราได้สัญญาว่าจะทำเพื่อพวกเขา 43 แล้วท้องทุ่งในแผ่นดินนี้ก็จะมีคนมาซื้อกัน แผ่นดินที่พวกเจ้าพูดว่า ‘มันเป็นแผ่นดินที่พินาศย่อยยับ ไม่มีคนหรือสัตว์อาศัยอยู่ และตกไปอยู่ในเงื้อมมือของชาวบาบิโลน’ 44 คนจะเอาเงินมาซื้อท้องทุ่งกัน และจะมีการเขียนสัญญา ติดครั่งบนสัญญานั้น และมีพยานรับรอง พวกเขาจะซื้อท้องทุ่งในแผ่นดินของเบนยามิน และบริเวณรอบๆเยรูซาเล็ม รวมทั้งเมืองต่างๆในยูดาห์ ในแถบเนินเขา ในแถบที่ลุ่มเชิงเขาด้านตะวันตก และในแถบเนเกบด้วย เพราะเราจะพลิกสถานการณ์ให้กับพวกเขา” พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนั้น

สดุดี 1-2

หนังสือเล่มที่หนึ่ง

(สดุดี 1-41)

คนดีและคนชั่ว

คนอย่างนี้มีเกียรติจริงๆคือ
    คนที่ไม่ทำตามคำแนะนำของคนชั่ว
คนที่ไม่เดินในทางของคนผิดบาป
    คนที่ไม่เข้าไปนั่งอยู่ในที่ของคนที่หยิ่งยโส
แต่ เขามีความสุขในคำสอนของพระยาห์เวห์
    เขาเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่คำสอนของพระองค์ทั้งวันทั้งคืน
เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ
    ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล ใบจะไม่เหี่ยวเฉา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ จะประสบผลสำเร็จ

แต่คนชั่วจะไม่เป็นอย่างนั้น
    พวกเขาจะเป็นเหมือนแกลบที่ลมพัดปลิวฟุ้งไป
ดังนั้น คนชั่วจะไม่รอดในวันแห่งการพิพากษา
    พวกคนบาปจะไม่มีส่วนในชุมชนของพวกคนบริสุทธิ์
เพราะพระยาห์เวห์ เฝ้าดูแลทางของคนบริสุทธิ์
    แต่ทางของคนชั่วจะนำไปสู่ความพินาศ

กษัตริย์ที่พระยาห์เวห์ทรงเลือก

ทำไมชนชาติอื่นๆถึงชุลมุนวุ่นวายเหลือเกิน
    ทำไมคนเหล่านั้นถึงวางแผนโง่ๆ
พวกกษัตริย์ในโลกต่างเตรียมพร้อมรบ
    พวกผู้นำของประเทศเหล่านั้น
    ร่วมกันต่อต้านพระยาห์เวห์และกษัตริย์ที่พระองค์ทรงเลือกไว้[a]
พวกเขาพูดว่า “ให้พวกเราหักโซ่ตรวนที่พระยาห์เวห์และกษัตริย์ของพระองค์ได้เอามามัดเราไว้
    และโยนมันทิ้งไป”

แต่องค์เจ้าชีวิตนั่งอยู่บนสวรรค์
    พระองค์หัวเราะเยาะใส่พวกเขา
แล้ว พระองค์ ก็ต่อว่าพวกเขาด้วยความเกรี้ยวกราด
    จนทำให้พวกนั้นตกใจขวัญกระเจิง
พระองค์พูดว่า
“เราได้แต่งตั้งกษัตริย์ที่เราได้เลือกมาไว้บนศิโยน ภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา”

กษัตริย์องค์นี้พูดว่า “ให้เราอธิบายให้เจ้าฟัง ถึงประกาศิตของพระยาห์เวห์
    พระองค์บอกกับเราว่า ‘เจ้าคือลูกชายของเรา ในวันนี้ เราได้เป็นพ่อของเจ้าแล้ว’
แค่ขอเรามา แล้วเราจะมอบชนชาติต่างๆให้กับเจ้าเป็นมรดก
    เราจะมอบโลกทั้งโลกให้เจ้าเป็นเจ้าของ
เจ้าจะทำลายชนชาติเหล่านั้นด้วยกระบองเหล็ก
    เจ้าจะฟาดพวกเขา ให้แตกกระจายเหมือนหม้อดิน”

10 ตอนนี้ พวกเจ้า กษัตริย์ทั้งหลาย ให้ฉลาดขึ้น
    พวกผู้นำทั้งหลาย ให้ฟังคำตักเตือนของเรา
11-12 ให้รับใช้พระยาห์เวห์ด้วยความเคารพยำเกรง
    ให้กราบลงต่อหน้าพระองค์ด้วยตัวสั่นเทิ้ม
ไม่อย่างนั้นพระองค์จะโกรธ แล้วเจ้าจะต้องพินาศทันที
    ให้ทำอย่างนี้ เพราะความโกรธของพระองค์ลุกเป็นไฟได้ในพริบตา

คนที่ลี้ภัยในพระองค์นั้น ก็เป็นคนที่มีเกียรติจริงๆ

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International