M’Cheyne Bible Reading Plan
ประวัติแซมสันผู้นำกู้ชาติ
13 ชาวอิสราเอลได้ทำชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์อีก พระองค์ก็เลยมอบพวกเขาให้ตกไปอยู่ในกำมือของชาวฟีลิสเตียสี่สิบปี
2 มีชายเผ่าดานคนหนึ่งชื่อมาโนอาห์ มาจากเมืองโศราห์ เมียของเขามีลูกไม่ได้เพราะเป็นหมัน
3 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้มาปรากฏตัวต่อหน้านางและพูดว่า “ถึงเจ้าจะเป็นหมันไม่มีลูก แต่เจ้าก็จะตั้งท้องและเกิดลูกชาย 4 ต่อจากนี้ไป เจ้าต้องระวัง อย่าดื่มเหล้าองุ่น เบียร์ รวมทั้งไม่กินของที่ทำให้เป็นมลทิน
5 จริงๆแล้วเจ้าตั้งท้องอยู่และจะคลอดลูกชาย อย่าให้มีดโกนโดนหัวของเขา เพราะเด็กคนนี้จะเป็นพวกนาศีร์[a] อุทิศให้พระเจ้าตั้งแต่ยังไม่เกิด เขาจะเป็นคนหนึ่งที่ช่วยกู้ชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตีย”
6 จากนั้นนางได้ไปเล่าให้สามีฟังว่า “มีคนของพระเจ้ามาหาฉัน หน้าตาท่าทางเขาเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า น่ากลัวมาก แต่ฉันไม่ได้ถามว่าเขามาจากไหน เขาเองก็ไม่ได้บอกชื่อของเขาด้วย 7 แต่เขาพูดกับฉันว่า ‘เจ้าตั้งท้องอยู่และจะคลอดลูกชาย จากนี้ไปเจ้าต้องไม่ดื่มเหล้าองุ่น เบียร์ หรือกินของที่เป็นมลทิน เพราะว่าเด็กชายคนนี้จะมาเป็นนาศีร์ อุทิศให้กับพระเจ้าตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จนวันตาย’”
8 แล้วมาโนอาห์ได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอโทษทีพระองค์ ขอรบกวนพระองค์ช่วยส่งชายคนนั้นมาหาพวกเราอีกครั้งเถิด แล้วให้เขาสอนพวกเราว่าจะต้องทำอะไรให้กับเด็กชายที่กำลังจะเกิดมา”
9 พระเจ้าก็ทำตามที่มาโนอาห์ขอ และทูตของพระเจ้าก็ได้มาหาภรรยาของเขาอีกครั้ง ตอนที่เธอกำลังนั่งอยู่ในท้องทุ่ง แต่ว่ามาโนอาห์สามีของนางไม่ได้อยู่กับนาง 10 เธอจึงรีบวิ่งไปบอกสามี นางบอกเขาว่า “ดูสิ ชายคนที่มาหาฉันวันก่อน ได้มาปรากฏตัวให้ฉันเห็น”
11 มาโนอาห์เลยลุกตามภรรยาไปพบทูตของพระเจ้าและพูดว่า “ท่านคือคนที่เคยพูดกับหญิงคนนี้ใช่ไหม”
ทูตของพระเจ้าตอบว่า “ใช่ เราเอง”
12 มาโนอาห์ถามว่า “เมื่อเรื่องที่ท่านพูดนั้นเกิดขึ้นจริง จะมีกฎเกณฑ์อะไรให้กับเด็กคนนี้บ้าง และงานของเขาคืออะไร”
13 ทูตของพระยาห์เวห์ตอบมาโนอาห์ว่า “เมียเจ้าจะต้องทำตามทุกอย่างที่เราได้บอกเธอไปแล้วอย่างเคร่งครัด 14 เธอจะต้องไม่กินอะไรก็ตามที่เกิดจากต้นองุ่น ไม่ดื่มเหล้าองุ่น เบียร์ หรืออะไรก็ตามที่เป็นมลทิน เธอต้องทำตามทุกอย่างที่เราได้สั่งเธอไว้แล้วอย่างเคร่งครัด”
15 แล้วมาโนอาห์ได้พูดกับทูตของพระยาห์เวห์ว่า “รอเดี๋ยวนะ เราจะไปเตรียมอาหารจากลูกแพะตัวหนึ่งให้ท่านกิน”
16 แต่ทูตของพระยาห์เวห์ตอบมาโนอาห์ว่า “ถึงเจ้าเรียกให้เรารอ เราก็จะไม่กินอาหารของเจ้าหรอก แต่ถ้าเจ้าจะจัดเครื่องเผาบูชา ก็ถวายมันให้กับพระยาห์เวห์เถิด” (เพราะมาโนอาห์ไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นทูตของพระยาห์เวห์)
17 แล้วมาโนอาห์ได้ถามทูตของพระยาห์เวห์ว่า “ท่านชื่ออะไร เพราะเมื่อเรื่องที่ท่านพูดนี้เกิดขึ้นจริง เราจะได้ให้เกียรติกับท่าน”
18 ทูตของพระยาห์เวห์ตอบเขาว่า “ท่านถามชื่อเราทำไม ชื่อของเราวิเศษเกินกว่าที่ท่านจะเข้าใจได้”
19 มาโนอาห์ก็เลยเอาแพะหนุ่มกับเครื่องบูชาจากเมล็ดพืช เผาบนหินให้กับพระยาห์เวห์ผู้ทำเรื่องวิเศษ ในขณะที่มาโนอาห์กับภรรยากำลังดูอยู่ 20 เปลวไฟได้ลุกขึ้นจากแท่นบูชา ทูตของพระยาห์เวห์ได้ลอยตามเปลวไฟที่ลุกจากแท่นบูชานั้น เมื่อมาโนอาห์และภรรยาเห็นอย่างนั้น พวกเขาจึงได้ก้มกราบลงกับพื้น 21 จากนั้นทูตของพระยาห์เวห์ก็ไม่เคยปรากฏตัวให้มาโนอาห์และภรรยาได้เห็นอีกเลย มาโนอาห์ถึงได้รู้ว่าเขาเป็นทูตของพระยาห์เวห์ 22 มาโนอาห์พูดกับภรรยาว่า “เราต้องตายแน่ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า”
23 แต่ภรรยาของเขาตอบว่า “ถ้าพระยาห์เวห์ต้องการฆ่าเรา พระองค์คงจะไม่รับเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชจากเรา และจะไม่แสดงปาฏิหาริย์ รวมทั้งบอกสิ่งต่างๆกับเราเมื่อกี้นี้”
24 นางได้คลอดลูกชาย นางให้เขาชื่อว่า “แซมสัน” เด็กก็เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆและพระยาห์เวห์ก็อวยพรเขา 25 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์เริ่มทำงานในตัวเขาที่ค่ายของคนเผ่าดาน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองโศราห์ กับเมืองเอช-ทาโอล
เปาโลและสิลาสในเธสะโลนิกา
17 หลังจากเดินทางผ่านเมืองอัมฟีบุรี และเมืองอปอลโลเนียแล้ว พวกเขาก็มาถึงเมืองเธสะโลนิกา ซึ่งมีที่ประชุมของชาวยิวอยู่ด้วย 2 เปาโลไปประชุมอย่างเคย และยังได้พูดโต้ตอบเรื่องพระคัมภีร์กับพวกเขาในวันหยุดทางศาสนาทุกอาทิตย์ติดต่อกันถึงสามวันหยุด 3 เปาโลอธิบาย และใช้พระคัมภีร์พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานและฟื้นขึ้นจากความตาย เปาโลพูดต่อว่า “พระเยซู ที่ผมได้ประกาศให้กับพวกคุณองค์นี้แหละ คือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่” 4 บางคนในกลุ่มนั้นก็เชื่อเปาโล จึงเข้าร่วมกับเปาโลและสิลาส นอกจากนี้ยังมีชาวกรีกที่นับถือพระเจ้าเป็นจำนวนมากเข้าร่วมกับพวกเขา และยังมีผู้หญิงคนสำคัญอีกจำนวนไม่น้อยด้วย
5 แต่พวกยิวกลับอิจฉา เขาได้รวบรวมพวกอันธพาลตามท้องถนน ก่อการจลาจลทั่วเมือง พวกเขาบุกเข้าไปในบ้านของยาโสน และพยายามที่จะหาตัวเปาโลและสิลาส เพื่อจะลากพวกเขาออกไปที่ฝูงชน 6 แต่พอหาไม่เจอ พวกเขาก็ลากยาโสนกับพี่น้องบางคนออกไปหาเจ้าหน้าที่บ้านเมือง พร้อมกับตะโกนว่า “ไอ้พวกนั้นที่ก่อความวุ่นวายไปทั่วโลก ตอนนี้ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว 7 ยาโสนก็ได้ต้อนรับไอ้พวกนั้นไว้ในบ้าน และพวกมันทุกคนได้ทำผิดกฎของซีซาร์เพราะพวกมันบอกว่ามีกษัตริย์อีกองค์ชื่อเยซู”
8 เมื่อฝูงชนและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้ยินอย่างนั้น ก็ไม่พอใจ 9 จึงสั่งให้ยาโสนและพวกที่เหลือจ่ายค่าประกันตัว แล้วจึงปล่อยตัวไป
เปาโลและสิลาสไปที่เมืองเบโรอา
10 ในคืนนั้นเอง พวกพี่น้องรีบส่งเปาโลและสิลาสไปเมืองเบโรอา เมื่อสองคนไปถึงที่นั่นก็เข้าไปในที่ประชุม 11 คนยิวที่นี่มีใจกว้างกว่าคนยิวในเมืองเธสะโลนิกา พวกเขารับพระคำอย่างเต็มใจ และศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียดทุกวัน เพื่อจะได้รู้ว่าสิ่งที่เปาโลสอนนั้นจริงหรือไม่ 12 ด้วยเหตุนี้ จึงมีชาวยิวหลายคนมาเชื่อ รวมถึงผู้หญิงคนสำคัญที่เป็นชาวกรีก และผู้ชายกรีกอีกหลายคน 13 เมื่อชาวยิวในเมืองเธสะโลนิการู้ว่าเปาโลได้มาประกาศพระคำของพระเจ้าที่เมืองเบโรอาด้วย พวกเขาก็พากันมาที่นั่น แล้วเริ่มก่อกวนและยุยงฝูงชน 14 พวกพี่น้องจึงรีบส่งเปาโลออกเดินทางไปที่ชายฝั่งทะเล แต่สิลาสและทิโมธียังคงอยู่ที่เมืองเบโรอา 15 คนที่ไปเป็นเพื่อนเปาโล ก็นั่งเรือไปส่งเปาโลถึงเมืองเอเธนส์ เปาโลฝากให้พวกนั้นมาบอกสิลาสและทิโมธีด้วยว่าให้รีบมาหาเขาเร็วๆพวกนั้นก็กลับไปเมืองเบโรอา
เปาโลอยู่ในเมืองเอเธนส์
16 ขณะที่เปาโลกำลังรอคอยสิลาสและทิโมธีอยู่ที่เมืองเอเธนส์นั้น เปาโลกลุ้มอกกลุ้มใจมาก เพราะเขาเห็นรูปเคารพเต็มบ้านเต็มเมือง
17 เขาจึงพูดโต้ตอบกับชาวยิวและชาวกรีกที่นับถือพระเจ้าในที่ประชุมชาวยิว และกับคนที่เขาพบตามตลาดทุกๆวัน 18 พวกนักปราชญ์เอปิคูเรียน[a] และพวกสโตอิก[b] บางคนโต้เถียงกับเขา บางคนพูดว่า “เขาพล่ามเรื่องอะไรหรือ” บางคนพูดว่า “ดูเหมือนเขาจะพูดถึงพระของคนต่างชาตินะ” ที่พวกเขาพูดอย่างนี้ก็เพราะเปาโลกำลังสอนเรื่องพระเยซู และการฟื้นขึ้นจากความตาย 19 พวกเขาจึงนำตัวเปาโลไปที่สภาอาเรโอปากัสแล้วพูดว่า “ช่วยอธิบายคำสอนใหม่ของท่านให้เรารู้หน่อย 20 เพราะท่านได้เอาสิ่งที่แปลกหูมาเล่าให้ฟัง เราจึงอยากรู้ว่ามันหมายถึงอะไร” 21 (ชาวเอเธนส์และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่นั่น วันๆไม่ทำอะไรเลย นอกจากพูดคุยและฟังแต่เรื่องใหม่ๆ)
22 เปาโลจึงยืนขึ้นต่อหน้าสภาอาเรโอปากัสแล้วพูดว่า “ชาวเอเธนส์ทั้งหลาย ผมสังเกตว่าพวกท่านเป็นคนเคร่งศาสนามาก 23 เพราะผมได้เดินไปรอบๆและสังเกตเห็นสิ่งต่างๆที่ท่านบูชา ผมเห็นแท่นบูชาแท่นหนึ่งเขียนว่า ‘แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก’ ผมกำลังประกาศถึงพระเจ้าที่ท่านบูชาโดยไม่รู้จักองค์นี้แหละ 24 พระองค์เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกและทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ พระองค์เป็นเจ้าของท้องฟ้าและแผ่นดินโลกนี้ พระองค์จึงไม่ได้อยู่ในวัดที่มือมนุษย์สร้างขึ้น 25 พระเจ้าไม่ต้องให้มนุษย์มารับใช้ หรือทำเหมือนกับว่าพระองค์ขาดอะไรอยู่ แต่เป็นพระองค์ต่างหากที่ให้ชีวิต ลมหายใจ และทุกสิ่งทุกอย่างกับมนุษย์ 26 พระองค์ได้ทำให้ชนชาติต่างๆเกิดขึ้นมาจากคนคนเดียว เพื่อพวกเขาจะได้ตั้งรกรากอยู่ทั่วโลก และพระองค์ได้กำหนดเวลาและเขตแดนให้กับพวกเขาอยู่ 27 พระองค์ประสงค์ให้พวกเขาแสวงหาพระองค์ เผื่อบางทีเขาอาจจะไขว่คว้าหาพระองค์แล้วจะได้พบพระองค์ ความจริงแล้วพระองค์ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากพวกเราแต่ละคน 28 เพราะในพระองค์ เราถึงมีชีวิตเคลื่อนไหวได้และเป็นอยู่นี้ เหมือนกับที่กวีของท่านผู้หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า
‘ด้วยว่าพวกเราคือลูกหลานของพระองค์’
29 ในเมื่อพวกเราเป็นลูกหลานของพระเจ้าแล้ว พวกเราก็ไม่ควรจะคิดว่า พระองค์เป็นเหมือนรูปปั้นที่คนได้คิดออกแบบทำขึ้นจากทองคำ เงิน หรือหิน 30 ในอดีตพระเจ้าได้มองข้ามเรื่องนี้ไป เพราะคนไม่เข้าใจพระองค์อย่างถ่องแท้ แต่ตอนนี้พระองค์ได้สั่งมนุษย์ทุกคนในทุกที่ให้กลับตัวกลับใจเสียใหม่ 31 เพราะพระองค์ได้กำหนดวันที่พระองค์จะพิพากษาโลกนี้อย่างยุติธรรม โดยชายคนหนึ่งที่พระองค์ได้แต่งตั้ง และพระองค์ก็พิสูจน์เรื่องนี้ให้ทุกคนเห็น โดยทำให้ชายคนนี้ฟื้นขึ้นจากความตาย”
32 เมื่อได้ยินเรื่องการฟื้นขึ้นจากความตาย บางคนก็หัวเราะเยาะ แต่บางคนก็พูดว่า “เราอยากฟังท่านพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” 33 แล้วเปาโลก็ไปจากสภานั้น 34 มีบางคนได้มาเข้าร่วมกับเปาโลและเชื่อ ในคนเหล่านั้นมีดิโอนิสิอัสสมาชิกของสภาอาเรโอปากัส ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อดามาริสและคนอื่นๆด้วย
บทเรียนของเยเรมียาห์ที่วิหาร
(ยรม. 7:1-15)
26 ในช่วงต้นรัชกาลของกษัตริย์เยโฮยาคิมลูกชายกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ มีข้อความนี้มาจากพระยาห์เวห์
2 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด “เยเรมียาห์ ให้เจ้าไปยืนอยู่ในลานของวิหารของพระยาห์เวห์ แล้วพูดต่อว่าประชาชนจากเมืองทั้งหลายของยูดาห์ที่กำลังมานมัสการที่วิหารของพระยาห์เวห์ แล้วพูดกับพวกเขาตามที่เราสั่ง ให้เจ้าพูดกับพวกเขาทุกคำห้ามตกแม้แต่คำเดียว
3 บางทีพวกเขาอาจจะฟัง แล้วแต่ละคนก็หันหลังให้กับวิถีชีวิตบาปๆของพวกเขาก็ได้ ถ้าพวกเขาทำอย่างนั้น เราก็จะเปลี่ยนใจจากเรื่องความหายนะที่เราได้วางแผนจะให้เกิดขึ้นกับพวกเขา เพราะการกระทำที่ชั่วช้าต่างๆของพวกเขา
4 แล้วเจ้าก็ควรพูดกับพวกเขาว่า พระยาห์เวห์พูดอย่างนี้ว่า ‘ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมฟังเรา และไม่ยอมเดินตามกฎของเราที่เราได้ให้ไว้ต่อหน้าเจ้า
5 และไม่ยอมฟังถ้อยคำต่างๆของผู้พูดแทนพระเจ้าผู้รับใช้ของเรา ที่เราได้ส่งมาให้เจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเจ้าไม่ยอมฟังเขา
6 เราก็จะทำให้วิหารนี้เป็นเหมือนชิโลห์ และให้ชนชาติต่างๆทั่วโลกใช้ชื่อของเมืองนี้เป็นคำสาปแช่ง’”
7 พวกนักบวชและพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และประชาชนทั้งหลายก็ได้ยินเยเรมียาห์พูดถ้อยคำต่างๆเหล่านี้ ในวิหารของพระยาห์เวห์
8 เมื่อเยเรมียาห์พูดทุกอย่างที่พระยาห์เวห์สั่งให้เขาพูดกับประชาชนเสร็จแล้ว พวกนักบวช พวกผู้พูดแทนพระเจ้า และประชาชนทุกคนก็รุมกันเข้ามาจับตัวเขาพร้อมกับพูดว่า “แกตายแน่ๆ 9 ทำไมแกถึงอ้างชื่อพระยาห์เวห์มาพูดว่า วิหารนี้จะต้องเป็นเหมือนชิโลห์ และคนที่อยู่ในเมืองนี้จะต้องถูกทำลาย”
แล้วทุกคนก็เข้าไปรุมล้อมเยเรมียาห์ในวิหารของพระยาห์เวห์
10 พวกเจ้านายแห่งยูดาห์ได้ยินถ้อยคำนี้เหมือนกัน พวกเขาก็เลยออกจากวังมาที่วิหารของพระยาห์เวห์ แล้วก็ไปนั่งอยู่ตรงทางเข้าประตูบานใหม่ที่วิหารของพระองค์
11 แล้วพวกนักบวชและพวกผู้พูดแทนพระเจ้าก็พูดกับพวกเจ้านายและทุกคนที่อยู่ที่นั่นว่า “ไอ้หมอนี่น่าจะถูกตัดสินประหารชีวิต เพราะมันได้พูดให้ร้ายบ้านเมืองนี้เหมือนที่เราเคยได้ยินมาแล้ว”
12 แล้วเยเรมียาห์ก็พูดกับเจ้านายและชาวบ้านทุกคนว่า “พระยาห์เวห์ส่งให้ผมมาพูดสิ่งทั้งหมดนี้ที่เกี่ยวกับบ้านนี้และเมืองนี้ตามที่พวกคุณได้ยิน
13 ตอนนี้ขอให้พวกคุณแก้ไขวิถีทางและการกระทำต่างๆของพวกคุณ และให้เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกคุณ บางทีพระองค์อาจจะเปลี่ยนใจไม่ทำร้ายพวกคุณตามที่พระองค์ได้วางแผนไว้
14 แต่ตอนนี้ผมอยู่ในเงื้อมมือคุณแล้ว จะทำยังไงกับผมก็ได้แล้วแต่จะเห็นสมควร
15 แต่ให้รู้ไว้ว่า ถ้าพวกคุณคิดจะฆ่าผม พวกคุณกำลังทำให้เลือดของผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งตกอยู่บนตัวคุณเอง บ้านเมืองนี้ และประชาชนของเมืองนี้ด้วย เพราะพระยาห์เวห์ส่งผมมาจริงๆ เพื่อพูดคำเหล่านี้ทุกคำให้พวกคุณฟัง”
16 แล้วพวกเจ้านายและชาวบ้านทั้งหลายก็บอกกับพวกนักบวชและพวกผู้พูดแทนพระเจ้าว่า “อย่าตัดสินประหารคนคนนี้เลย เพราะว่าเขาพูดกับเราในนามของพระยาห์เวห์”
17 ผู้ชายบางคนและผู้อาวุโสบางคนของแผ่นดิน ก็ลุกขึ้นยืนและพูดกับคนทั้งกลุ่มที่ออกันอยู่ว่า
18 “มีคาห์แห่งโมเรเชทเคยพูดแทนพระเจ้าในสมัยของกษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ ท่านได้พูดกับคนทุกคนในยูดาห์ว่า
‘พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนี้ว่า
เมืองศิโยนจะถูกไถเหมือนไถนา
และเมืองเยรูซาเล็มจะกลายเป็นซากปรักหักพัง
ภูเขาที่เป็นที่ตั้งของวิหารก็จะถูกถอนรากถอนโคน’[a]
19 แล้วกษัตริย์เฮเซคียาห์และชาวเมืองยูดาห์ทั้งหมดได้ฆ่าท่านหรือเปล่า ก็เปล่า แต่กษัตริย์กลับเกรงกลัวพระยาห์เวห์แล้วอ้อนวอนพระองค์ให้เมตตา แล้วพระยาห์เวห์ก็เปลี่ยนใจไม่นำภัยพิบัติมาถึงพวกเขาทั้งๆที่พระองค์เคยพูดไว้ว่าจะลงโทษพวกเขา แต่ตอนนี้เรากำลังจะนำความหายนะอันใหญ่หลวงมาสู่ตัวเอง”
20 (ยังมีชายอีกคนหนึ่งชื่ออุรียาห์ลูกชายของเชไมอาห์จากคิริยาทเยอาริม มาพูดแทนพระยาห์เวห์ เขาพูดให้ร้ายเมืองนี้และแผ่นดินนี้เหมือนที่เยเรมียาห์พูดนั่นแหละ 21 แล้วกษัตริย์เยโฮยาคิม พวกเจ้านาย และทหารทุกคนของพระองค์ได้ยินคำพูดของเขา กษัตริย์ก็เลยคิดฆ่าเขา แต่อุรียาห์ได้ยินเสียก่อน ก็เลยกลัวและหนีไปอียิปต์ 22 กษัตริย์เยโฮยาคิมก็ส่งเอลนาธันลูกชายของอัคโบร์ และคนอีกจำนวนหนึ่งไปอียิปต์ 23 แล้วพวกเขาก็นำอุรียาห์กลับมาจากอียิปต์ พวกนั้นนำเขาไปให้กษัตริย์เยโฮยาคิม พระองค์ก็ฆ่าเขาแล้วโยนศพเขาทิ้งในสุสานของสามัญชน
24 แต่อาหิคัมลูกชายของชาฟานป้องกันไม่ให้เยเรมียาห์ถูกชาวบ้านฆ่าตาย)
พระเจ้าส่งพระบุตรมา
(มธ. 21:33-46; ลก. 20:9-19)
12 พระเยซูเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้ฟังว่า “มีชายคนหนึ่งทำสวนองุ่นไว้ เขาล้อมรั้วไว้รอบ ขุดบ่อย่ำองุ่น และสร้างหอคอย เขาให้ชาวสวนมาเช่าสวนองุ่นนั้น ส่วนตัวเขาเดินทางไปต่างประเทศ 2 เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลองุ่นเขาก็ส่งทาสคนหนึ่งมารับส่วนแบ่งจากผลองุ่นนั้น 3 แต่พวกคนเช่ากลับจับทาสคนนั้นทุบตีและไล่กลับไปมือเปล่า 4 เจ้าของสวนส่งทาสคนใหม่มาอีก แต่คราวนี้พวกคนเช่าก็ได้รุมกันทุบหัวเขาและแกล้งเขาจนอับอาย 5 เจ้าของสวนส่งอีกคนหนึ่งมาแต่ก็ถูกฆ่า แล้วเขาก็ยังส่งคนมาอีกเรื่อยๆ คนที่เขาส่งมาก็ถูกตีบ้าง ถูกฆ่าบ้าง
6 สุดท้ายเจ้าของสวนเหลือคนเพียงคนเดียว คือลูกชายสุดที่รักของเขา เขาจึงส่งลูกชายมา เขาคิดว่า ‘พวกนั้นจะต้องเคารพยำเกรงลูกชายของเราแน่ๆ’
7 แต่พวกคนเช่ากลับพูดกันว่า ‘นี่ไง ผู้รับมรดก มาเร็วเข้า ฆ่ามันเลย สวนนี้จะได้ตกเป็นของเรา’ 8 พวกคนเช่าจึงจับเขาไปฆ่า แล้วโยนศพทิ้งออกไปนอกสวนองุ่น
9 พวกคุณคิดว่าเจ้าของสวนจะทำยังไง เขาจะมาฆ่าพวกชาวสวนนั้น แล้วเอาสวนองุ่นนั้นไปให้ชาวสวนคนอื่นเช่าต่อ 10 พวกคุณไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้หรือ ที่ว่า
‘หินก้อนนี้ที่ช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว กลับกลายเป็นหินก้อนที่สำคัญที่สุด
11 องค์เจ้าชีวิตทำให้เป็นอย่างนั้น
สำหรับเราแล้วนี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ’”[a]
12 เมื่อพวกผู้นำชาวยิวรู้ตัวว่าพระองค์กำลังเปรียบพวกเขาว่าเป็นคนเช่าสวนพวกนั้น พวกเขาจึงหาทางที่จะจับพระองค์ แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวฝูงชน พวกเขาจึงพากันจากไป
คนมาถามเรื่องการเสียภาษี
(มธ. 22:15-22; ลก. 20:20-26)
13 พวกผู้นำยิวส่งพวกฟาริสี และพวกที่สนับสนุนกษัตริย์เฮโรด[b] มาเพื่อจับผิดคำพูดพระเยซู 14 พวกเขาถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เรารู้ว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ไม่เห็นแก่หน้าใคร และสอนความจริงในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำ ช่วยบอกหน่อยสิครับว่ามันถูกต้องตามกฎหรือเปล่าที่จะเสียภาษีให้กับซีซาร์”
15 พระองค์รู้ว่าพวกเขามาหลอกถามก็เลยพูดว่า “พวกคุณมาหลอกจับผิดเราทำไม ส่งเหรียญเงินมาอันหนึ่งสิ” 16 พวกเขาจึงส่งเหรียญให้พระองค์ แล้วพระองค์ถามพวกเขาว่า “นี่เป็นรูปและชื่อใคร” พวกเขาตอบว่า “ซีซาร์”
17 พระเยซูเลยตอบว่า “ของๆซีซาร์ก็ให้กับซีซาร์ และของๆพระเจ้าก็ให้กับพระเจ้า” พวกเขาก็ทึ่งในคำตอบของพระองค์
พวกสะดูสีมาถามเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย
(มธ. 22:23-33; ลก. 20:27-40)
18 พวกสะดูสีมาหาพระองค์ (พวกนี้ไม่เชื่อเรื่องการฟื้นขึ้นจากความตาย) พวกเขาถามว่า 19 “อาจารย์ครับ โมเสสได้เขียนสั่งพวกเราว่า ถ้าชายคนไหนตายและทิ้งภรรยาไว้โดยยังไม่มีลูก ก็ให้น้องชายของคนตายนั้นแต่งงานกับหญิงม่ายคนนี้ จะได้มีลูกไว้สืบสกุลของพี่ชายของเขา 20 ครั้งหนึ่งมีพี่น้องอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงานแล้วตายไปแต่ยังไม่มีลูก 21 น้องคนที่สองก็มาแต่งงานกับแม่ม่ายของพี่ชาย และเขาก็ตายไปโดยยังไม่มีลูก น้องคนที่สามก็มาทำเหมือนกัน 22 ทำอย่างนี้จนครบทั้งเจ็ดคนโดยไม่มีใครมีลูกเลย แล้วสุดท้ายหญิงคนนี้ก็ตาย 23 ในวันที่ทุกคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ผู้หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนนั้นก็เคยเป็นสามีของเธอ”
24 พระเยซูว่า “พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว นี่เพราะพวกคุณไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และไม่รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้า 25 เมื่อคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น จะไม่มีการแต่งงานหรือยกให้เป็นผัวเมียกันอีกแล้ว แต่พวกเขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ 26 พวกคุณไม่เคยอ่านในหนังสือของโมเสสหรือ ในตอนที่พุ่มไม้ติดไฟแต่ไม่ไหม้[c] พระเจ้าพูดกับโมเสสว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[d] 27 พระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนมีชีวิต พวกคุณเข้าใจเรื่องนี้ผิดหมดเลย”
กฎข้อสำคัญที่สุด
(มธ. 22:34-40; ลก. 10:25-28)
28 มีครูสอนกฎปฏิบัติคนหนึ่งที่ยืนฟังพวกเขาถามตอบกันอยู่ที่นั่น เขาเห็นว่าพระเยซูตอบได้ดีมากทีเดียว จึงเข้าไปถามพระองค์ว่า “กฎทั้งหมด ข้อไหนสำคัญที่สุด”
29 พระเยซูตอบว่า “ข้อที่สำคัญที่สุดคือ ‘พวกอิสราเอลฟังไว้ให้ดี องค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเราเป็นองค์เจ้าชีวิตแต่เพียงผู้เดียว 30 ให้รักองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้าอย่างสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังของเจ้า’[e] 31 ข้อที่สำคัญรองลงมาคือ ‘ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง’[f] ไม่มีกฎข้อไหนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าสองข้อนี้อีกแล้ว”
32 ครูสอนกฎปฏิบัติคนนี้ก็พูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์พูดถูกต้องเลยที่ว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว ไม่มีพระอะไรอีกแล้วนอกจากพระองค์เท่านั้น 33 และการรักพระองค์สุดใจ สุดความคิด สุดกำลัง และการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง สำคัญยิ่งกว่าการนำเครื่องเผาบูชาและเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆมาถวายตามกฎเสียอีก”
34 เมื่อพระเยซูเห็นเขาตอบได้อย่างเฉลียวฉลาด พระองค์ก็พูดว่า “คุณอยู่ไม่ไกลจากอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว” หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์อีกเลย
พระเยซูถามเรื่องพระคริสต์
(มธ. 22:41-46; ลก. 20:41-44)
35 ระหว่างที่พระเยซูกำลังสอนอยู่ในวิหารนั้น พระองค์ได้ถามว่า “เป็นไปได้อย่างไร ที่พวกครูสอนกฎปฏิบัติบอกว่าพระคริสต์สืบเชื้อสายมาจากดาวิด 36 ในเมื่อดาวิดเองได้พูดตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจว่า
‘พระเจ้าพูดกับองค์เจ้าชีวิตของผมผู้เป็นพระคริสต์ว่า
นั่งลงทางขวามือของเรา
จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านถูกเหยียบอยู่ใต้เท้าของท่าน’[g]
37 แม้แต่ดาวิดเองยังเรียกพระคริสต์ว่า ‘องค์เจ้าชีวิต’ เลย แล้วพระคริสต์จะเป็นลูกของดาวิดได้อย่างไร” มีคนมากมายตั้งอกตั้งใจฟังพระองค์สอน
พระเยซูเตือนให้ระวังผู้นำศาสนาที่ไม่ดี
(มธ. 23:1-36; ลก. 11:37-52; 20:45-47)
38 พระองค์สอนว่า “ระวังพวกครูสอนกฎปฏิบัติให้ดี พวกนี้ชอบใส่เสื้อคลุมยาวๆเดินไปมาให้คนคำนับตามท้องตลาด 39 พวกนี้ชอบนั่งในที่สำคัญที่สุดในที่ประชุม และชอบนั่งหัวโต๊ะในงานเลี้ยงต่างๆ 40 พวกนี้โกงเอาบ้านของพวกแม่ม่ายไป และแกล้งทำเป็นอธิษฐานเสียยืดยาวเพื่ออวดคน คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษหนักกว่าคนอื่นที่ไม่ได้ทำอย่างนั้น”
เงินถวายของหญิงม่าย
(ลก. 21:1-4)
41 เมื่อพระเยซูนั่งอยู่หน้ากล่องรับเงินในวิหารนั้น พระองค์นั่งดูคนใส่เงินในกล่องกัน คนรวยๆก็ใส่เงินเข้าไปมาก 42 มีหญิงม่ายยากจนคนหนึ่ง ได้ใส่เหรียญทองแดงเล็กๆสองเหรียญ[h] ลงไป
43 พระเยซูจึงเรียกพวกศิษย์เข้ามาและบอกว่า “เราจะบอกให้รู้ว่าหญิงม่ายจนๆคนนี้ได้ใส่เงินเข้าไปในกล่องรับเงินนั้นมากกว่าทุกๆคนที่เอาเงินมาใส่ 44 เพราะคนอื่นๆเอาเงินที่เหลือกินเหลือใช้มาให้ แต่หญิงม่ายจนๆคนนี้เอาเงินเลี้ยงชีพทั้งหมดของเธอมาให้”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International