Read the Gospels in 40 Days
คำสอนของบรรพบุรุษ
(มธ. 15:1-20)
7 พวกฟาริสี กับพวกครูผู้สอนกฎปฏิบัติบางคนที่มาจากเมืองเยรูซาเล็ม พากันมาหาพระเยซู 2 พวกเขาเห็นศิษย์บางคนของพระเยซู กินอาหารโดยไม่ได้ล้างมือ 3 (พวกฟาริสี และคนยิวทุกคนจะไม่กินอาหารจนกว่าจะได้ล้างมือตามประเพณีที่บรรพบุรุษทำมา 4 เมื่อกลับมาจากตลาดพวกเขาก็ต้องทำพิธีจุ่มตัวเองก่อนที่จะกินข้าว นอกจากนี้ ยังรักษาประเพณีอื่นๆอีกมากมายเช่น การล้างถ้วย เหยือก หม้อทองสัมฤทธิ์ และเก้าอี้เอนสำหรับกินข้าว)[a]
5 ดังนั้นพวกฟาริสีและพวกครูสอนกฎปฏิบัติพวกนี้ถามพระเยซูว่า “ทำไมศิษย์ของคุณถึงไม่ทำตามประเพณีที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ทำไมพวกเขาถึงไม่ล้างมือก่อนกินอาหาร”
6 พระองค์จึงตอบว่า “อิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า พูดไว้ถูกต้องเลยเกี่ยวกับพวกหน้าซื่อใจคดอย่างพวกคุณที่ว่า
‘คนพวกนี้นับถือเราแต่ปากเท่านั้น
แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรามาก
7 จึงไม่มีประโยชน์ที่เขาจะบูชาเรา
เพราะสิ่งที่เขาสอนกันนั้นเป็นแค่กฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น’[b]
8 พวกคุณละเลยคำสั่งของพระเจ้า เพื่อจะได้ไปทำตามประเพณีที่มนุษย์สอนต่อๆกันมา”
9 แล้วพระเยซูพูดอีกว่า “พวกคุณนี่เหลี่ยมจัดนะ เข้าใจหลีกเลี่ยงคำสั่งของพระเจ้า เพื่อจะได้ไปทำตามประเพณีที่สืบทอดกันมา 10 อย่างเช่น โมเสสสอนว่า ‘ให้เคารพนับถือพ่อแม่ของตน’[c] และ ‘คนที่สาปแช่งพ่อแม่ต้องตาย’[d] 11 แต่พวกคุณกลับสอนว่าไม่ผิดที่จะบอกพ่อแม่ว่า ‘สิ่งที่ลูกจะเอามาช่วยพ่อแม่ได้นั้น ลูกได้ยกให้กับพระเจ้าไปหมดแล้ว’ 12 ทำอย่างนี้เท่ากับว่าพวกคุณสอนเขาไม่ให้ช่วยเหลืออะไรพ่อแม่เลย 13 แบบนี้พวกคุณก็เลยยกเลิกพระคำของพระเจ้า แต่ไปทำตามประเพณีที่สืบทอดกันมา และพวกคุณยังทำอย่างนี้กับอีกหลายๆเรื่องด้วย”
สิ่งที่ทำให้สกปรกในสายตาพระเจ้า
14 พระองค์เรียกฝูงชนเข้ามา และพูดว่า “ฟังให้ดีๆและเข้าใจซะด้วยว่า 15 ไม่มีอะไรเลยที่คนกินเข้าไปแล้ว ทำให้เขาสกปรกในสายตาพระเจ้า มีแต่สิ่งที่ออกมาจากข้างในตัวเขาเท่านั้น ที่จะทำให้เขาสกปรกในสายตาพระเจ้า” 16 [e]
17 หลังจากที่พระเยซูแยกกับชาวบ้านแล้ว พระองค์ได้เข้าไปในบ้าน พวกศิษย์ก็เข้ามาถามเกี่ยวกับเรื่องเปรียบเทียบนี้ 18 พระองค์บอกว่า “พวกคุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ไม่มีอะไรหรอกที่คนกินเข้าไปแล้วจะทำให้เขาสกปรกในสายตาพระเจ้า 19 เพราะมันไม่ได้เข้าไปในจิตใจ แต่มันตกลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกมา” (ที่พระองค์พูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าอาหารทุกชนิดสะอาดกินได้หมด)
20 พระองค์ก็พูดต่อว่า “สิ่งที่ออกมาจากตัวคนนั่นแหละที่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า 21 เพราะที่ออกมาจากตัวก็ออกมาจากจิตใจ และใจนี่เองเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย ความผิดบาปทางเพศ การลักขโมย การฆ่ากัน 22 การมีชู้ ความโลภ ความชั่วต่างๆ การหลอกลวง ราคะตัณหา การอิจฉาริษยา การนินทาว่าร้าย ความเย่อหยิ่งจองหอง และ ความโง่เขลา 23 สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกมาจากข้างในและทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า”
พระเยซูช่วยผู้หญิงกรีก
(มธ. 15:21-28)
24 พระเยซูจากที่นั่นเข้าไปยังเขตแดนเมืองไทระ แล้วพระองค์เข้าไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ไม่ต้องการให้คนรู้ แต่ก็ไม่สามารถซ่อนตัวได้
25 พอหญิงคนหนึ่งที่มีลูกสาวที่ถูกผีชั่วสิงอยู่รู้ว่าพระองค์มา เธอจึงมากราบแทบเท้าของพระเยซู 26 หญิงคนนี้เป็นคนกรีก[f] เกิดที่แคว้นฟีนีเซียในประเทศซีเรีย เธอมาขอร้องให้พระเยซูช่วยขับไล่ผีชั่วที่สิงลูกสาวของเธออยู่
27 แล้วพระองค์พูดว่า “มันไม่ถูกต้องที่จะเอาอาหารของลูกๆไปโยนให้หมากิน ต้องให้ลูกๆกินอิ่มเสียก่อน”
28 แต่เธอตอบว่า “ใช่ค่ะท่าน แต่หมาก็ยังได้กินเศษอาหารของเด็กๆที่ตกอยู่ใต้โต๊ะเลย”
29 พระองค์พูดว่า “ตอบได้ดีมาก กลับไปบ้านเถอะ เพราะผีชั่วได้ออกจากลูกสาวคุณแล้ว”
30 เมื่อเธอกลับถึงบ้าน ก็เห็นลูกสาวนอนอยู่บนเตียง และผีชั่วได้ออกไปแล้ว
พระเยซูรักษาคนที่หูหนวกและเป็นใบ้
31 พระองค์ออกจากเขตแดนของเมืองไทระ และเดินผ่านเมืองไซดอน เพื่อจะไปที่ทะเลสาบกาลิลี โดยผ่านทางแคว้นเดคาโปลิศ[g] 32 มีคนพาชายหูหนวกคนหนึ่งที่พูดไม่ค่อยได้มาหาพระเยซู พวกเขาขอร้องให้พระองค์วางมือบนชายคนนี้
33 พระองค์พาชายคนนี้หลีกห่างไปจากผู้คน พระองค์เอานิ้วแยงเข้าไปในหูของเขา แล้วเอาน้ำลายที่พระองค์บ้วนออกมาไปแตะที่ลิ้นของเขา 34 แล้วพระองค์เงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นถอนใจยาว แล้วพูดกับชายคนนั้นว่า “เอฟฟาธา” แปลว่า “เปิดสิ” 35 หูของเขาก็ได้ยินทันที และลิ้นของเขาก็ไม่ขัดและพูดได้คล่องชัดเจน
36 พระองค์สั่งพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟัง แต่ยิ่งพระองค์สั่งห้ามมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งร่ำลือกันมากขึ้นเท่านั้น 37 คนที่ได้ยินก็ประหลาดใจมากและพูดว่า “ทุกอย่างที่เขาทำนั้นยอดเยี่ยมจริงๆขนาดคนหูหนวกยังทำให้ได้ยิน และคนใบ้ยังทำให้พูดได้”
พระเยซูเลี้ยงคนสี่พันคน
(มธ. 15:32-39)
8 มีอีกครั้งหนึ่งที่ชาวบ้านมากมายมาอยู่กับพระเยซู พวกเขาไม่มีอาหารกิน พระเยซูจึงเรียกพวกศิษย์มาบอกว่า 2 “สงสารคนพวกนี้จริงๆเพราะเขาอยู่ที่นี่กับเรามาสามวันแล้ว และไม่มีอะไรกินด้วย 3 ถ้าเราส่งพวกเขากลับบ้านไปทั้งๆที่ยังหิวอยู่ พวกเขาจะต้องเป็นลมกลางทางแน่ๆและบางคนก็มาไกลมากด้วย”
4 พวกศิษย์บอกว่า “ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งอย่างนี้ จะไปหาอาหารที่ไหนมาเลี้ยงคนตั้งเยอะแยะขนาดนี้ล่ะครับ”
5 พระองค์เลยถามว่า “พวกคุณมีขนมปังกี่ก้อน” พวกเขาตอบว่า “เจ็ดก้อนครับ”
6 พระองค์จึงสั่งให้ฝูงชนนั่งลงกับพื้น แล้วพระองค์เอาขนมปังเจ็ดก้อนมา ขอบคุณพระเจ้า แล้วหักขนมปังส่งให้กับพวกศิษย์เอาไปแบ่งให้กับฝูงชนกินกัน 7 พวกเขามีปลาตัวเล็กๆอยู่ไม่กี่ตัว พระองค์ก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับปลาเหล่านั้น และบอกให้พวกศิษย์เอาไปแจก 8 พวกเขากินกันจนอิ่ม และพวกศิษย์เก็บเศษอาหารที่เหลือได้ถึงเจ็ดเข่งเต็มๆ 9 มีประมาณสี่พันคนที่อยู่ที่นั่น หลังจากกินเสร็จ พระองค์ส่งพวกเขากลับบ้าน 10 แล้วพระองค์กับพวกศิษย์พากันลงเรือไปแคว้นดาลมานูธา
พวกฟาริสีมาทดลองพระองค์
(มธ. 16:1-4)
11 พวกฟาริสีได้มาโต้เถียงพระองค์และท้าให้พระองค์ทำเรื่องอัศจรรย์ให้ดูเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์มาจากพระเจ้าจริง 12 พระเยซูถอนใจยาวและพูดว่า “ทำไมคนสมัยนี้ชอบเรียกให้ทำสิ่งอัศจรรย์กันนัก เราขอบอกให้รู้ว่าจะไม่ทำสิ่งอัศจรรย์อะไรให้ดูทั้งนั้น” 13 แล้วพระองค์ก็ลงเรือข้ามทะเลสาบไปอีกฝั่ง
เชื้อฟูของพวกฟาริสีและพวกเฮโรด
(มธ. 16:5-12)
14 พวกศิษย์ลืมเอาขนมปังมาด้วย เลยมีขนมปังอยู่แค่ก้อนเดียวในเรือ 15 พระเยซูเตือนพวกเขาว่า “ระวังเชื้อ[h] ของพวกฟาริสีและของเฮโรดไว้ให้ดี”
16 พวกเขาพูดกันว่า “ที่อาจารย์พูดอย่างนี้ก็เพราะพวกเราไม่มีขนมปังไง”
17 พระองค์รู้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน จึงพูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงพูดกันแต่เรื่องไม่มีขนมปัง ยังไม่เห็นหรือเข้าใจกันอีกเหรอ ใจแข็งกระด้างมากขนาดนั้นเชียวหรือ 18 มีตาก็มองไม่เห็น มีหูก็ไม่ได้ยิน จำไม่ได้แล้วหรือ 19 ตอนที่เราเลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อน พวกคุณเก็บเศษที่เหลือได้กี่เข่ง” พวกเขาตอบว่า “สิบสองเข่งครับ”
20 “แล้วตอนที่เราเลี้ยงคนสี่พันคนด้วยขนมปังเจ็ดก้อนล่ะ พวกคุณเก็บเศษที่เหลือได้กี่เข่ง” พวกเขาก็ตอบว่า “เจ็ดเข่งครับ”
21 แล้วพระองค์จึงพูดว่า “ขนาดทำให้ดูอย่างนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือ”
พระเยซูรักษาคนตาบอดที่เบธไซดา
22 เมื่อพวกเขามาถึงเมืองเบธไซดา มีคนพาคนตาบอดมาหาพระองค์ อ้อนวอนให้พระองค์แตะต้องเขา 23 พระองค์ก็จูงมือคนตาบอดออกมานอกหมู่บ้าน พระองค์ถ่มน้ำลายใส่ตาทั้งสองข้างของคนตาบอดนั้น และวางมือบนตัวเขาแล้วถามว่า “มองเห็นหรือยัง”
24 คนตาบอดเงยหน้าขึ้นมาดูและบอกว่า “เห็นคนครับ แต่เหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา”
25 พระองค์ก็เลยวางมือบนตาของเขาอีกครั้งหนึ่ง คนตาบอดก็ได้เพ่งดู ตาของเขาก็หายสนิท มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน 26 พระองค์บอกให้เขากลับบ้านโดยบอกว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้านนั้น”
เปโตรพูดว่าพระเยซูเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
(มธ. 16:13-20; ลก. 9:18-21)
27 พระเยซูและพวกศิษย์เดินทางไปที่หมู่บ้านใกล้ๆเมืองซีซารียาแคว้นฟีลิปปี ในระหว่างทางนั้นพระองค์ถามพวกศิษย์ว่า “คนอื่นๆเขาว่าเราเป็นใครกัน”
28 พวกเขาก็ตอบว่า “บางคนว่า เป็นยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ บางคนว่า เป็นเอลียาห์ และมีบางคนว่า เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่ง”
29 แล้วพระองค์ถามว่า “แล้วพวกคุณล่ะ คิดว่าเราเป็นใคร” เปโตรตอบว่า “เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น”
30 พระองค์จึงเตือนพวกศิษย์ไม่ให้บอกคนอื่นว่าพระองค์เป็นใคร
พระเยซูทำนายถึงความตายของพระองค์
(มธ. 16:21-28; ลก. 9:22-27)
31 แล้วพระเยซูเริ่มสอนให้พวกเขารู้ว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่าง พวกผู้นำชาวยิว พวกหัวหน้านักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติจะไม่ยอมรับเขา และเขาจะต้องถูกฆ่า แต่เขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันที่สาม” 32 พระองค์เล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังอย่างชัดเจน เปโตรจึงดึงพระองค์ไปข้างๆแล้วต่อว่าพระองค์ที่พูดอย่างนั้น 33 พระองค์ก็หันไปดูพวกศิษย์แล้วดุเปโตรว่า “ไปให้พ้น ไอ้ซาตาน เพราะแกไม่ได้คิดแบบพระเจ้า แต่คิดแบบมนุษย์”
34 พระองค์เรียกชาวบ้านกับศิษย์เข้ามาแล้วพูดว่า “ถ้าใครอยากจะติดตามเรา คนนั้นต้องเลิกตามใจตัวเอง และแบกไม้กางเขนของตัวเองตามเรามา 35 คนที่อยากจะเอาตัวรอดจะไม่รอด แต่คนที่ยอมสละตัวเองเพื่อเราและข่าวดีนั้นจะรอด 36 มันจะได้กำไรตรงไหน ถ้าได้โลกทั้งใบ แต่ตัวเองถูกทำลายไป 37 เขาจะเอาอะไรไปแลกเพื่อจะได้ตัวเองกลับคืนมาหรือ 38 ในยุคชั่วร้ายนี้ ถ้าคนไหนอับอายที่จะยอมรับเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ ก็จะอับอายที่จะยอมรับคนนั้นด้วยเหมือนกันในวันที่บุตรมนุษย์เสด็จกลับมาพร้อมกับสง่าราศีของพระบิดาและพร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์”
9 แล้วพระองค์พูดกับพวกเขาว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนในที่นี้จะยังไม่ตาย จนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาพร้อมกับฤทธิ์เดชเสียก่อน”
พระเยซูอยู่กับโมเสส และเอลียาห์
(มธ. 17:1-13; ลก. 9:28-36)
2 หกวันต่อมาพระเยซูได้พาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาสูงกัน แล้วลักษณะของพระเยซูก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา 3 เสื้อผ้าของพระองค์กลายเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววับ ขาวกว่าที่คนฟอกผ้าในโลกนี้จะฟอกให้ขาวขนาดนี้ได้ 4 แล้วพวกเขาก็เห็นเอลียาห์กับโมเสส[i] กำลังคุยอยู่กับพระเยซู
5 เปโตรบอกพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ดีมากเลยที่พวกเราอยู่ที่นี่ พวกเราจะได้สร้างเพิง ขึ้นมาสามหลัง ให้อาจารย์หลังหนึ่ง ให้โมเสสหลังหนึ่ง และให้เอลียาห์อีกหลังหนึ่ง” 6 (เปโตรไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะพวกเขากำลังตกใจกลัวมาก)
7 จากนั้นก็มีเมฆลอยมาปกคลุมพวกเขาไว้ และมีเสียงพูดก้องออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกรักของเรา ให้เชื่อฟังท่าน”
8 พวกเขาก็หันไปดูรอบๆแต่ไม่เห็นใครเลยนอกจากพระเยซู
9 ขณะที่เดินลงมาจากภูเขา พระเยซูสั่งห้ามพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องที่เห็นนี้ให้ใครฟัง จนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นจากความตาย
10 พวกเขาก็ทำตามที่พระเยซูสั่ง แต่ก็ถามกันเองว่าที่พระองค์พูดว่า “ฟื้นขึ้นจากความตาย” หมายถึงอะไร
11 พวกเขาถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกครูสอนกฎปฏิบัติถึงบอกว่า เอลียาห์ต้องมาก่อน[j]”
12 พระเยซูตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์ต้องมาก่อน เพื่อมาเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่ทำไมถึงได้มีคำเขียนว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและถูกทำให้อับอายขายหน้า 13 เราจะบอกให้รู้ว่า เอลียาห์ก็ได้มาแล้ว และพวกเขาก็ทำกับเอลียาห์ตามใจชอบของพวกเขา เหมือนกับที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์”
พระเยซูรักษาเด็กที่มีผีชั่วสิงอยู่
(มธ. 17:14-20; ลก. 9:37-43)
14 เมื่อพวกเขาลงมาถึงที่ๆพวกศิษย์คนอื่นๆอยู่ ก็เห็นฝูงชนจำนวนมากรุมล้อมพวกศิษย์เหล่านั้น พวกครูสอนกฎปฏิบัติกำลังเถียงกับศิษย์พวกนั้นอยู่ 15 เมื่อฝูงชนเห็นพระเยซู ก็รู้สึกแปลกใจมาก แล้วพากันวิ่งมาต้อนรับพระองค์
16 พระเยซูถามว่า “กำลังเถียงกันเรื่องอะไร”
17 ชายคนหนึ่งในฝูงชนตอบว่า “อาจารย์ครับ ผมพาลูกชายมาหาท่าน เขาถูกผีชั่วสิงทำให้พูดไม่ได้ 18 ทุกครั้งที่มันแผลงฤทธิ์ออกมา เด็กจะล้มลง น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแน่น ตัวแข็งทื่อไปหมด ผมขอให้พวกศิษย์ของท่านขับผีชั่วออกให้ แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้”
19 แล้วพระเยซูพูดว่า “พวกขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกคุณไปอีกนานแค่ไหน เราจะต้องอดทนกับพวกคุณไปถึงไหน พาเด็กนั้นมานี่ซิ”
20 พวกเขาก็พาเด็กมา เมื่อผีชั่วในเด็กเห็นพระเยซู มันก็ทำให้เด็กชักกระตุกอย่างแรง ล้มลงกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น น้ำลายฟูมปาก
21 พระเยซูก็ถามพ่อของเด็กว่า “เป็นอย่างนี้มานานแล้วหรือยัง” พ่อเด็กตอบว่า “เป็นตั้งแต่เล็กๆเลยครับ 22 ไอ้ผีชั่วจะฆ่าเขาหลายครั้งแล้ว ทำให้ตกลงไปในไฟบ้าง หรือตกน้ำบ้าง ถ้าอาจารย์ช่วยได้ก็โปรดสงสารช่วยพวกเราด้วยเถิด”
23 พระเยซูจึงตอบว่า “ทำไมถึงพูดว่า ‘ถ้าอาจารย์ช่วยได้’ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ”
24 พ่อของเด็กจึงรีบร้องบอกทันทีว่า “ผมเชื่อครับ ช่วยทำให้ผมเชื่อมากขึ้นด้วยครับ”
25 เมื่อพระองค์เห็นว่าคนเริ่มมามุงดูมากขึ้น พระองค์ตวาดผีชั่วว่า “ไอ้ผีชั่วที่ทำให้คนหูหนวกและเป็นใบ้ เราสั่งให้แกออกมาจากเด็กคนนั้น และอย่าได้เข้าสิงเขาอีกเป็นอันขาด”
26 ผีชั่วก็กรีดร้องเสียงดัง มันทำให้เด็กชักกระตุกอย่างแรง แล้วออกจากร่างเด็กไป เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนตายแล้ว มีเสียงบ่นกันพึมพำว่า “เขาตายแล้ว” 27 แต่พระเยซูจับมือของเด็กและพยุงเขาขึ้นมา เด็กก็ลุกขึ้นยืน
28 เมื่อพระเยซูเข้าไปในบ้าน พวกศิษย์มาถามพระองค์ส่วนตัวว่า “อาจารย์ ทำไมพวกเราถึงไล่ผีชั่วตัวนั้นไม่ได้ล่ะครับ”
29 พระองค์บอกว่า “มีทางเดียวที่จะไล่ผีชั่วชนิดนี้ออกได้ คือต้องอธิษฐาน”[k]
พระเยซูพูดถึงเรื่องความตายของพระองค์อีก
(มธ. 17:22-23; ลก. 9:43-45)
30 พระเยซูและพวกศิษย์ก็เดินทางต่อโดยผ่านแคว้นกาลิลี พระเยซูไม่อยากให้ใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน เพราะกำลังสอนพวกศิษย์อยู่ พระองค์บอกเขาว่า 31 “บุตรมนุษย์จะต้องถูกจับส่งไปอยู่ในมือของมนุษย์ และเขาจะถูกฆ่า และหลังจากนั้นสามวันเขาจะฟื้นขึ้นจากความตาย” 32 พวกศิษย์ไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ไม่มีใครกล้าถาม
ใครเป็นใหญ่
(มธ. 18:1-5; ลก. 9:46-48)
33 เมื่อพวกเขามาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะที่อยู่ในบ้าน พระองค์ถามพวกศิษย์ว่า “ในระหว่างทางพวกคุณเถียงกันเรื่องอะไร” 34 ทุกคนเงียบหมด เพราะในระหว่างทางนั้นพวกเขาเถียงกันเรื่องที่ว่าใครใหญ่ที่สุด
35 พระองค์จึงนั่งลงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองคนเข้ามา แล้วพูดว่า “ถ้าใครอยากจะเป็นใหญ่ เขาจะต้องเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุดและยอมรับใช้ทุกคน”
36 พระองค์เอาเด็กเล็กๆคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้าพวกเขา พระองค์โอบเด็กนั้นไว้ แล้วสอนว่า 37 “คนที่ต้อนรับเด็กเล็กๆอย่างนี้เพราะเห็นแก่เรา ก็เท่ากับคนนั้นได้ต้อนรับเราด้วย และคนที่ต้อนรับเราก็ไม่ได้ต้อนรับแต่เราเท่านั้น แต่ยังได้ต้อนรับผู้ที่ส่งเรามาด้วย”
คนที่ไม่ได้ต่อต้านพระเยซูก็เป็นพวกพระองค์
(ลก. 9:49-50)
38 ยอห์นเล่าให้พระเยซูฟังว่า “อาจารย์ครับ พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับผีชั่วออก โดยอ้างชื่อของอาจารย์ พวกเราก็เลยพยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ใช่พวกเดียวกับเรา”
39 แต่พระเยซูบอกว่า “อย่าไปห้ามเขาเลย เพราะไม่มีใครที่อ้างชื่อเราทำสิ่งอัศจรรย์ แล้วอีกประเดี๋ยวหนึ่งก็มาใส่ร้ายเรา 40 คนที่ไม่ได้ต่อต้านเราก็เป็นพวกเรา 41 ใครก็ตามที่ให้น้ำพวกคุณดื่มเพราะพวกคุณเป็นคนของพระคริสต์ เรารับรองว่า เขาจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างแน่นอน
โทษสำหรับผู้ที่ทำให้คนอื่นทำบาป
(มธ. 18:6-9; ลก. 17:1-2)
42 ระหว่างการทำให้คนที่ต่ำต้อยคนหนึ่งในพวกนี้ที่ไว้วางใจในเราหลงไปทำบาป กับการถูกถ่วงน้ำโดยมีหินโม่แป้ง[l] แขวนคอไว้ อย่างหลังนี้ก็ยังจะดีกว่า 43 ถ้ามือข้างหนึ่งของคุณทำให้คุณทำบาป ตัดมันทิ้งซะ เพราะมือด้วนข้างหนึ่งแล้วมีชีวิตอยู่กับพระเจ้า ก็ดีกว่ามีมือครบทั้งสองข้าง แต่ต้องตกนรกในไฟที่ไม่มีวันดับ 44 [m] 45 ถ้าเท้าข้างหนึ่งของคุณทำให้คุณทำบาป ก็ตัดมันทิ้งซะ เพราะเท้าข้างหนึ่งด้วนแล้วมีชีวิตอยู่กับพระเจ้า ก็ยังดีกว่ามีเท้าครบทั้งสองข้างแต่ต้องถูกโยนลงไปในนรก 46 [n] 47 ถ้าตาของคุณทำให้คุณทำบาปก็ควักทิ้งซะ เพราะเหลือตาข้างเดียวแล้วได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ก็ยังดีกว่ามีตาสองข้างแล้วถูกโยนลงไปในนรก 48 ที่เต็มไปด้วยตัวหนอนที่ไม่มีวันตายและไฟที่ไม่มีวันดับ
49 ทุกคนจะต้องถูกชำระล้าง[o]ด้วยไฟแห่งความทุกข์”
50 “เกลือนั้นดี แต่ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้วพวกคุณจะทำให้มันกลับมาเค็มอีกได้อย่างไร ขอให้พวกคุณมีเกลือ[p] อยู่ในตัว คืออยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International