Read the Gospels in 40 Days
เรื่องเพื่อนเจ้าสาวสิบคน
25 ในเวลานั้นอาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนกับ เพื่อนเจ้าสาวสิบคนที่ถือตะเกียงออกมารอรับเจ้าบ่าว 2 ในพวกเขามีห้าคนเป็นหญิงโง่ และอีกห้าคนเป็นหญิงฉลาด 3 หญิงโง่ห้าคนนั้นเอาตะเกียงไป แต่ไม่ได้เอาน้ำมันสำรองไปด้วย 4 แต่หญิงฉลาดห้าคนนั้นเอาน้ำมันสำรองไปพร้อมกับตะเกียงด้วย 5 เจ้าบ่าวมาช้า หญิงสาวทั้งหมดก็ง่วงและหลับไป
6 เมื่อถึงเที่ยงคืน ก็มีเสียงร้องเรียกว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว ออกมาต้อนรับเร็วเข้า’
7 เพื่อนเจ้าสาวทั้งหมดตื่นขึ้น และเตรียมตะเกียงของตนให้พร้อม 8 แล้วหญิงโง่ก็พูดกับหญิงฉลาดว่า ‘ขอแบ่งน้ำมันของพวกเธอให้กับพวกเราบ้างสิ ตะเกียงของพวกเราใกล้จะดับอยู่แล้ว’
9 หญิงฉลาดตอบว่า ‘ไม่ได้หรอก เพราะน้ำมันนี้มีไม่พอสำหรับพวกเราทุกคน พวกเธอไปหาซื้อจากคนขายน้ำมันเอาเองก็แล้วกัน’
10 ขณะที่หญิงโง่ออกไปหาซื้อน้ำมัน เจ้าบ่าวก็มาถึง เพื่อนเจ้าสาวที่พร้อมอยู่แล้วก็เข้าไปในงานแต่งงานกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ถูกปิดลง
11 ต่อมาเมื่อหญิงโง่ห้าคนนั้นกลับมา ก็ร้องเรียกว่า ‘คุณคะ คุณคะ ช่วยเปิดประตูให้พวกเราหน่อยค่ะ’
12 แต่เจ้าบ่าวตอบว่า ‘จะบอกให้ ผมไม่รู้จักคุณสักหน่อย’
13 ดังนั้นให้พร้อมอยู่เสมอ เพราะพวกคุณไม่รู้ถึงวันเวลาที่เราจะกลับมา
เรื่องทาสสามคน
(ลก. 19:11-27)
14 หรือเราอาจจะเปรียบอาณาจักรนั้นเหมือนกับชายคนหนึ่งที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ จึงเรียกพวกทาสมาและฝากทรัพย์สินให้พวกเขาดูแล 15 เขาให้เงินห้าถุงกับทาสคนหนึ่ง ให้เงินสองถุงกับทาสอีกคนหนึ่ง และให้เงินหนึ่งถุง[a] กับทาสคนสุดท้าย โดยได้แบ่งให้ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วเขาก็ออกเดินทางไป 16 ทาสที่ได้รับเงินห้าถุง เอาเงินไปค้าขายทันที และได้กำไรมาอีกห้าถุง 17 ทาสที่ได้เงินสองถุง เอาเงินไปค้าขายเหมือนกัน และได้กำไรมาอีกสองถุง 18 แต่ทาสที่ได้เงินหนึ่งถุงได้ขุดหลุมซ่อนเงินของเจ้านายไว้ในพื้นดิน
19 หลังจากเวลาผ่านไปนาน เจ้านายกลับมาและเรียกพวกเขามาถามว่าเอาเงินไปทำอะไรกันบ้าง 20 ทาสที่ได้เงินไปห้าถุงได้นำเงินกำไรอีกห้าถุงมาให้นาย และบอกว่า ‘เจ้านายครับ ท่านให้ผมดูแลเงินห้าถุง และนี่ผมได้กำไรมาอีกห้าถุง’
21 นายจึงพูดกับเขาว่า ‘เยี่ยมมาก เจ้าเป็นทาสที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าได้ซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กๆน้อยๆเราจะตั้งให้เจ้าดูแลของจำนวนมาก มาร่วมฉลองกับเรา’
22 แล้วทาสที่ได้รับเงินสองถุงก็มา และพูดว่า ‘เจ้านายครับ ท่านให้ผมดูแลเงินสองถุง ดูสิครับ ผมได้กำไรมาอีกสองถุง’
23 นายพูดกับเขาว่า ‘เจ้าทำดีมาก เจ้าเป็นทาสที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ เราจะตั้งให้เจ้าดูแลของจำนวนมาก มาร่วมฉลองกับเรา’
24 แล้วทาสที่ได้รับเงินถุงเดียวก็มา และพูดว่า ‘เจ้านายครับ ผมรู้ว่าท่านเป็นคนที่โหดร้ายทารุณ ท่านเก็บเกี่ยวในที่ดินซึ่งท่านไม่ได้ปลูก และเก็บพืชผลที่ท่านไม่ได้หว่าน 25 ผมกลัวท่าน ก็เลยเอาถุงเงินไปฝังดินซ่อนไว้ นี่ไงถุงเงินของท่าน’
26 นายจึงด่าเขาว่า ‘ไอ้ทาสชาติชั่วจอมขี้เกียจ ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ดินซึ่งข้าไม่ได้ปลูก และเก็บพืชผลที่ข้าไม่ได้หว่าน 27 ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็น่าจะเอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เพื่อว่าเมื่อข้ากลับมา ข้าก็จะได้เงินกลับมาพร้อมทั้งดอกเบี้ยด้วย’
28 แล้วเจ้านายก็บอกให้เอาถุงเงินจากเขาไปให้คนที่มีถุงเงินสิบถุง 29 เพราะคนที่ทำประโยชน์จากสิ่งที่เขามีอยู่ ก็จะได้รับเพิ่มมากขึ้นจนเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่ได้ทำประโยชน์จากสิ่งที่เขามีอยู่ ทุกสิ่งที่เขามีจะถูกริบไปจนหมดด้วย 30 จากนั้นเขาก็สั่งให้เอาตัวทาสที่ไร้ประโยชน์นี้โยนออกไปที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้โหยหวนด้วยความเจ็บปวด
บุตรมนุษย์จะพิพากษาทุกคน
31 เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาอย่างสง่างามพร้อมเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ พระองค์จะนั่งบนบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 32 คนทุกเชื้อชาติจะมารวมกันต่อหน้าบุตรมนุษย์ พระองค์จะแยกพวกเขาออกจากกัน เหมือนกับคนเลี้ยงแกะที่แยกแกะออกจากแพะ 33 พระองค์จะแยกแกะไว้ทางขวามือ และแยกแพะไว้ทางซ้ายมือ
34 กษัตริย์จะพูดกับพวกที่อยู่ทางขวามือว่า ‘พวกเจ้าที่ได้รับพรจากพระบิดาของเรา มารับอาณาจักรที่ได้เตรียมไว้สำหรับพวกเจ้าตั้งแต่เริ่มสร้างโลก 35 เพราะเมื่อเราหิว พวกเจ้าก็เลี้ยงเรา เรากระหายน้ำ เจ้าก็ให้น้ำเราดื่ม เราเป็นคนแปลกหน้า เจ้าก็ต้อนรับเราเข้าไปในบ้าน 36 เราไม่มีเสื้อผ้าใส่ เจ้าก็หาเสื้อผ้ามาให้ เราไม่สบาย เจ้าก็ดูแล เราติดคุก เจ้าก็มาเยี่ยม’
37 แล้วพวกที่ทำตามใจพระเจ้าจะตอบว่า ‘องค์เจ้าชีวิต พวกเราเคยเห็นท่านหิวและเลี้ยงท่านตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเห็นท่านกระหายน้ำ แล้วให้น้ำท่านดื่มตั้งแต่เมื่อไหร่ 38 แล้วพวกเราเคยเห็นท่านเป็นคนแปลกหน้า แล้วเชิญท่านเข้ามาในบ้าน หรือเห็นท่านไม่มีเสื้อผ้าใส่ แล้วหาเสื้อผ้ามาให้ใส่ตั้งแต่เมื่อไหร่ 39 แล้วพวกเราเห็นท่านป่วย หรืออยู่ในคุก แล้วไปเยี่ยมตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับท่าน’
40 กษัตริย์จะตอบพวกเขาว่า ‘เราจะบอกให้รู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเจ้าทำอะไรให้กับคนที่ต่ำต้อยที่สุดคนหนึ่งในหมู่พี่น้องของเรา เจ้าก็ได้ทำให้กับเราด้วย’
41 แล้วกษัตริย์หันไปตวาดใส่พวกที่อยู่ทางซ้ายมือว่า ‘ไปให้พ้น พวกที่ถูกสาปแช่ง ไปตกในกองไฟที่ไม่มีวันดับ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารและพวกผู้ช่วยของมัน 42 เพราะเมื่อเราหิว เจ้าก็ไม่ได้ให้อะไรเรากิน เรากระหายน้ำ เจ้าก็ไม่ได้ให้อะไรเราดื่ม 43 เราเป็นคนแปลกหน้า เจ้าก็ไม่ได้เชิญเราเข้าไปในบ้าน เราไม่มีเสื้อผ้าใส่ เจ้าก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเราใส่ เราไม่สบายและอยู่ในคุก เจ้าก็ไม่เคยมาดูแลเรา’
44 แล้วพวกเขาก็จะตอบว่า ‘องค์เจ้าชีวิต ตอนไหนกันที่พวกเราเห็นท่านหิวหรือกระหายน้ำ หรือเป็นคนแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้าใส่ หรือไม่สบาย หรือติดคุก แล้วพวกเราไม่ได้ช่วยเหลือท่าน’ 45 กษัตริย์จะตอบว่า ‘เราขอบอกให้รู้ว่าอะไรก็ตามที่พวกเจ้าไม่ได้ทำให้กับคนที่ต่ำต้อยที่สุดคนหนึ่งในพวกนี้ เจ้าก็ไม่ได้ทำกับเรา’
46 แล้วพวกเขาก็จะต้องไปรับโทษตลอดไป แต่คนที่ทำตามใจพระเจ้าจะเข้าสู่ชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป”
ผู้นำชาวยิววางแผนฆ่าพระเยซู
(มก. 14:1-2; ลก. 22:1-2; ยน. 11:45-53)
26 เมื่อพระเยซูพูดเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว พระองค์บอกกับพวกศิษย์ว่า 2 “พวกคุณก็รู้แล้วว่า อีกสองวันจะถึงเทศกาลวันปลดปล่อย และบุตรมนุษย์จะถูกส่งมอบไปให้ศัตรูเพื่อเอาไปตรึงที่กางเขน”
3 พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสมาประชุมกันที่บ้านของคายาฟาสนักบวชสูงสุด 4 พวกเขาวางแผนจับตัวพระเยซูไปฆ่า 5 แต่พวกเขาตกลงกันว่า “อย่าเพิ่งทำในช่วงเทศกาล เพราะประชาชนจะก่อการจลาจลขึ้น”
หญิงคนหนึ่งชโลมน้ำหอมบนศีรษะพระเยซู
(มก. 14:3-9; ยน. 12:1-8)
6 ในเมืองเบธานี ขณะที่พระเยซูอยู่ที่บ้านของซีโมนที่เคยเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง 7 มีผู้หญิงคนหนึ่งถือขวดใส่น้ำหอมราคาแพงมากมาหาพระองค์ เธอชโลมน้ำหอมลงบนศีรษะของพระองค์ ขณะที่พระองค์กำลังกินอาหารอยู่
8 เมื่อพวกศิษย์เห็นอย่างนั้นก็โกรธ ต่างพูดกันว่า “ทำไมถึงทำให้เสียของอย่างนี้ 9 มันคงขายได้เงินมากทีเดียว แล้วก็เอาเงินนั้นไปแจกจ่ายให้กับคนจน”
10 เมื่อพระเยซูได้ยิน จึงห้ามพวกศิษย์ว่า “ไปวุ่นวายกับเธอทำไม เธอได้ทำสิ่งที่ดีงามให้กับเรา 11 พวกคุณจะมีคนจนอยู่ด้วยเสมอ[b] แต่เราจะไม่อยู่กับพวกคุณเสมอไป 12 ที่เธอเทน้ำหอมลงบนตัวเรานั้น ก็เพื่อเตรียมเราไว้สำหรับการฝังศพ 13 เราจะบอกให้รู้ว่า ไม่ว่าข่าวดีนี้จะประกาศออกไปที่ไหนๆในโลกนี้ ก็จะมีคนพูดถึงเรื่องที่เธอทำให้กับเรานี้เสมอ เพื่อเป็นการระลึกถึงเธอ”
ยูดาสกลายเป็นศัตรูของพระเยซู
(มก. 14:10-11; ลก. 22:3-6)
14 ยูดาส อิสคาริโอท ศิษย์เอกคนหนึ่งในสิบสองคนของพระเยซู ได้ไปพบพวกหัวหน้านักบวช 15 เขาถามว่า “ถ้าผมส่งตัวพระเยซูให้ จะจ่ายให้ผมเท่าไหร่” แล้วพวกเขาก็ให้เงินยูดาสสามสิบเหรียญ 16 ตั้งแต่นั้นมา ยูดาสก็คอยจ้องหาโอกาสที่จะส่งพระเยซูให้กับพวกเขา
พระเยซูกินอาหารมื้อพิเศษในเทศกาลวันปลดปล่อย
(มก. 14:12-21; ลก. 22:7-14, 21-23; ยน. 13:21-30)
17 วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พวกศิษย์ได้เข้ามาถามพระเยซูว่า “อาจารย์จะให้พวกเราเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยให้อาจารย์ที่ไหนครับ”
18 พระเยซูตอบว่า “ให้เข้าไปในเมืองหาชายคนหนึ่ง แล้วบอกเขาว่า ‘อาจารย์บอกว่า เวลาของเราใกล้มาถึงแล้ว เราจะเลี้ยงฉลองเทศกาลวันปลดปล่อยกับพวกศิษย์ของเราที่บ้านของคุณ’” 19 พวกศิษย์ทำตามที่พระเยซูบอก และจัดเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยที่นั่น
20 เมื่อถึงตอนเย็น พระเยซูเอนตัวอยู่ที่โต๊ะอาหาร พร้อมกับศิษย์ทั้งสิบสองคน 21 ขณะที่กำลังกินกันอยู่นั้น พระเยซูได้พูดขึ้นว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนหนึ่งในพวกคุณจะหักหลังเรา”
22 พวกศิษย์ตระหนกตกใจมาก ต่างถามพระองค์ว่า “คงไม่ใช่ผมนะ อาจารย์”
23 พระเยซูตอบว่า “คนที่เอามือจิ้มลงในชามเดียวกับเราจะเป็นคนที่หักหลังเรา 24 บุตรมนุษย์จะต้องตาย เหมือนกับที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้แล้ว แต่คนที่หักหลังบุตรมนุษย์นี้น่าละอายจริงๆ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมา ก็คงจะดีกว่า”
25 พอยูดาสคนที่จะหักหลังพระองค์ถามว่า “คงไม่ใช่ผมนะ อาจารย์” พระองค์จึงตอบว่า “คุณนั่นแหละ”
ขนมปังและเหล้าองุ่น
(มก. 14:22-26; ลก. 22:15-20; 1 คร. 11:23-25)
26 ขณะที่กำลังกินกันอยู่นั้น พระเยซูหยิบขนมปังมา ขอบคุณพระเจ้า จากนั้นหักขนมปังให้พวกศิษย์และพูดว่า “รับไปกินสิ นี่คือร่างกายของเรา”
27 แล้วพระองค์หยิบถ้วยขึ้นมา ขอบคุณพระเจ้า ส่งไปให้พวกเขาและพูดว่า “ให้ทุกคนดื่มจากถ้วยนี้ 28 เพราะนี่คือเลือดของเรา พระเจ้าได้ทำสัญญาขึ้นมาด้วยเลือดนี้ มันได้หลั่งไหลออกมาเพื่อยกโทษให้กับความบาปของคนทั้งหลาย 29 เราจะบอกให้รู้ว่า เราจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นนี้อีก จนกว่าจะถึงวันนั้นที่เราจะได้ดื่มเหล้าองุ่นใหม่ด้วยกันกับพวกคุณในอาณาจักรของพระบิดาเรา”
30 เมื่อพวกเขาได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าแล้ว ก็ออกไปที่ภูเขามะกอกเทศ
พระเยซูทำนายว่าพวกศิษย์จะทิ้งพระองค์
(มก. 14:27-31; ลก. 22:31-34; ยน. 13:36-38)
31 พระเยซูบอกพวกศิษย์ว่า “คืนนี้พวกคุณจะทิ้งเราไปกันหมดทุกคน เหมือนกับที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
‘เราจะฆ่าคนเลี้ยงแกะ
และแกะฝูงนั้นจะกระเจิดกระเจิงไป’[c]
32 แต่เมื่อเราฟื้นขึ้นมา เราจะล่วงหน้าพวกคุณไปที่แคว้นกาลิลีก่อน”
33 เปโตรตอบว่า “ถึงแม้คนอื่นๆจะทิ้งอาจารย์ไปหมด แต่ผมจะไม่มีวันทำอย่างนั้น”
34 พระเยซูจึงตอบเปโตรว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คืนนี้ก่อนไก่ขัน คุณจะพูดว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง”
35 แต่เปโตรยืนยันว่า “ถึงผมจะต้องตายกับอาจารย์ ผมก็ไม่มีวันพูดว่าไม่รู้จักอาจารย์” และพวกศิษย์ทั้งหมดก็พูดอย่างเดียวกัน
พระเยซูอธิษฐานตามลำพัง
(มก. 14:32-42; ลก. 22:39-46)
36 จากนั้นพระเยซูก็พาศิษย์ไปที่สวนแห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี และบอกพวกศิษย์ว่า “นั่งคอยอยู่ที่นี่นะ เราจะไปอธิษฐานทางโน้น” 37 พระองค์พาเปโตรกับลูกทั้งสองคนของเศเบดีไปด้วย พระองค์รู้สึกโศกเศร้าและเป็นทุกข์มาก 38 พระองค์จึงบอกพวกเขาว่า “เราทุกข์ใจมากจนแทบจะตายอยู่แล้ว ให้ตื่นและเฝ้าระวังอยู่กับเราหน่อย”
39 พระองค์เดินห่างออกไปนิดหนึ่ง ก้มหน้าซบลงกับพื้นดิน แล้วอธิษฐานว่า “พระบิดา ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ถ้วย[d] แห่งความทุกข์ยากนี้ผ่านพ้นไปจากลูกด้วยเถิด แต่ขอให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์ไม่ใช่ของลูก” 40 แล้วพระองค์ก็เดินกลับมาเห็นพวกศิษย์หลับอยู่ พระองค์จึงพูดกับเปโตรว่า “พวกคุณตื่นอยู่เป็นเพื่อนเราสักชั่วโมงไม่ได้เลยหรือ 41 ให้เฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อจะได้ไม่แพ้ต่อการยั่วยวน ถึงแม้จิตใจอยากจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ร่างกายยังอ่อนแออยู่”
42 พระองค์เดินกลับไป และอธิษฐานเป็นครั้งที่สองว่า “พระบิดา ถ้าถ้วยแห่งความทุกข์ยากนี้ผ่านพ้นลูกไปไม่ได้ นอกจากลูกจะต้องดื่มมัน ก็ขอให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์เถิด” 43 จากนั้นพระองค์ก็เดินกลับมา ก็พบว่าพวกศิษย์ยังหลับอยู่ เพราะเปลือกตาเขาหนักอึ้งจนลืมไม่ขึ้น 44 พระองค์จึงเดินไปจากพวกเขา และอธิษฐานเหมือนเดิมอีกเป็นครั้งที่สาม 45 พระองค์เดินกลับมาที่พวกศิษย์อีก และพูดว่า “ยังนอนหลับพักผ่อนกันอยู่อีกหรือ ชั่วโมงที่บุตรมนุษย์จะถูกหักหลังให้ไปอยู่ในมือของพวกคนบาปนั้นมาถึงแล้ว 46 ลุกขึ้นไปกันเถอะ นั่นไงคนที่หักหลังเรามาถึงแล้ว”
พระเยซูถูกจับ
(มก. 14:43-50; ลก. 22:47-53; ยน. 18:3-12)
47 พระองค์พูดยังไม่ทันขาดคำ ยูดาสศิษย์คนหนึ่งในสิบสองคนของพระองค์ก็มาถึง พร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ที่ถือทั้งดาบและไม้กระบอง คนพวกนี้ถูกส่งมาจากพวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโส 48 ยูดาสได้ตกลงกับพวกนั้นไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่า “คนที่ผมจูบคือคนๆนั้น เข้าไปจับกุมได้เลย” 49 ยูดาสก็ตรงเข้าไปหาพระเยซูทันที พร้อมกับพูดว่า “สวัสดีครับ อาจารย์” และจูบพระองค์
50 พระเยซูจึงพูดกับเขาว่า “เพื่อนเอ๋ย มาทำอะไรก็รีบทำไปเลย” แล้วคนเหล่านั้น ก็เข้ามาจับตัวพระองค์และคุมตัวไว้ 51 ศิษย์คนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซูจึงชักดาบออกมาแล้วก็ฟันถูกหูทาสคนหนึ่งของหัวหน้านักบวชสูงสุดขาดไป
52 พระเยซูพูดกับเขาว่า “เก็บดาบใส่ฝักเสีย เพราะคนที่ใช้ดาบจะตายเพราะดาบ 53 คุณคิดว่า เราจะขอความช่วยเหลือจากพระบิดาเราไม่ได้หรือ พระองค์จะส่งทูตสวรรค์มาให้กับเรามากกว่าสิบสองกอง[e] ได้ทันที 54 แต่ถ้าเราทำอย่างนั้น มันก็จะไม่เป็นไปตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้”
55 แล้วพระเยซูก็พูดกับคนกลุ่มใหญ่นั้นว่า “เห็นเราเป็นโจรหรือยังไง ถึงได้ถือดาบและไม้กระบองมาจับเรา ตอนที่เรานั่งสอนอยู่ในวิหารทุกวัน กลับไม่มาจับ 56 แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ก็เพื่อจะได้เป็นจริงตามที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าได้เขียนไว้” แล้วพวกศิษย์ของพระองค์ได้ทิ้งพระองค์และหนีไป
พระเยซูอยู่ต่อหน้าผู้นำชาวยิว
(มก. 14:53-65; ลก. 22:54-55, 63-71; ยน. 18:13-14, 19-24)
57 พวกนั้นจับพระเยซูไปที่บ้านของคายาฟาสหัวหน้านักบวชสูงสุด ที่พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกผู้นำอาวุโสได้ประชุมกันอยู่ 58 เปโตรตามพระองค์มาห่างๆจนถึงลานบ้านของหัวหน้านักบวชสูงสุด แล้วเขาเข้าไปนั่งอยู่ในลานบ้านกับพวกผู้คุม เพื่อดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
59 พวกหัวหน้านักบวชและสมาชิกสภาแซนฮีดรินทั้งหมดพยายามหาพยานเท็จมาปรักปรำพระเยซู เพื่อจะได้ฆ่าพระองค์ 60 แต่ก็หาไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าจะมีพยานเท็จมาปรักปรำพระองค์หลายคน พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานที่ดีพอที่จะตัดสินฆ่าพระองค์ได้ 61 ในที่สุดก็มีสองคนให้การว่า “ชายคนนี้เคยพูดว่า ‘เราสามารถทำลายวิหารของพระเจ้า และสร้างขึ้นมาใหม่ภายในสามวัน’”
62 หัวหน้านักบวชสูงสุดจึงยืนขึ้น ถามพระเยซูว่า “แกจะไม่แก้ตัวในสิ่งที่เขากล่าวหาแกหรือ” 63 แต่พระเยซูยังนิ่งเงียบ หัวหน้านักบวชสูงสุด จึงพูดกับพระองค์ว่า “เราขอสั่งแกในนามของพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ บอกพวกเรามาสิว่า แกคือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าหรือเปล่า”
64 พระองค์จึงตอบเขาว่า “ท่านพูดถูกแล้ว แต่เราจะบอกให้รู้ว่า ในอนาคตท่านจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่ทางขวาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และเสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า”
65 แล้วหัวหน้านักบวชสูงสุด ก็ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองและพูดว่า “มันพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าชัดๆ เรายังต้องการพยานอะไรอีก เห็นไหม พวกคุณก็ได้ยินคำหมิ่นประมาทแล้ว 66 พวกคุณคิดว่าอย่างไร” พวกเขาตอบว่า “มันมีความผิด มันสมควรตาย”
67 พวกเขาถ่มน้ำลายรดหน้าพระองค์ และชกต่อยพระองค์ บางคนก็ตบหน้าพระองค์ 68 และพูดว่า “ทายมาสิ ไอ้คริสต์ ใครตบหน้าแก”
เปโตรไม่ยอมรับว่ารู้จักพระเยซู
(มก. 14:66-72; ลก. 22:56-62; ยน. 18:15-18, 25-27)
69 ในขณะเดียวกัน เปโตรกำลังนั่งอยู่ข้างนอกที่ลานบ้าน และสาวใช้คนหนึ่งเข้ามาทักเขาว่า “แกก็อยู่กับเยซูคนกาลิลีด้วยนี่นา”
70 แต่เปโตรพูดต่อหน้าทุกคนว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร”
71 แล้วเขาก็เดินออกไปที่ประตูบ้าน สาวใช้อีกคนที่เห็นเขาก็บอกกับทุกคนที่อยู่ตรงนั้นว่า “คนนี้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย”
72 เปโตรปฏิเสธว่า “สาบานได้เลย ผมไม่เคยรู้จักชายคนนั้น”
73 อีกสักครู่หนึ่ง คนที่ยืนอยู่ที่นั่นก็เดินเข้ามาหาเปโตร และพูดว่า “แกเป็นหนึ่งในพวกนั้นแน่ๆ สำเนียงของแกมันฟ้องอยู่ชัดๆ”
74 เปโตรขอให้ตัวเองถูกสาปแช่งถ้าโกหก แล้วเขาสาบานว่า “ผมไม่รู้จักชายคนนี้” ทันใดนั้นไก่ก็ขัน 75 เปโตรจึงนึกขึ้นได้ถึงคำพูดที่พระเยซูเคยบอกกับเขาว่า “ก่อนไก่ขัน คุณจะพูดว่าไม่รู้จักเราสามครั้ง” เปโตรออกไปข้างนอก แล้วร้องไห้อย่างขมขื่น
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International