The Daily Audio Bible
Today's audio is from the NLT. Switch to the NLT to read along with the audio.
18 ดาวิดทรงจัดกำลังพลและแต่งตั้งหัวหน้ากองร้อยกองพัน 2 ดาวิดทรงส่งทหารออกไปโดยให้หนึ่งในสามอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของโยอาบ อีกหนึ่งในสามนำโดยอาบีชัยน้องชายของโยอาบบุตรนางเศรุยาห์ และอีกหนึ่งในสามบัญชาการโดยอิททัยชาวกัท ดาวิดตรัสกับเหล่าทหารว่า “เราจะออกรบร่วมกับพวกท่าน”
3 แต่พวกเขาทูลทัดทานว่า “ขอฝ่าพระบาทอย่าทรงออกรบเลย เพราะหากพวกเราต้องหนี และตายไปถึงครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็ไม่แยแส แต่ฝ่าพระบาททรงมีค่าเท่ากับพวกข้าพระบาทหมื่นคน[a] ขอทรงคอยช่วยสนับสนุนจากในเมืองจะดีกว่า”
4 ดาวิดตรัสว่า “เราจะทำทุกอย่างที่พวกเจ้าเห็นว่าดีที่สุด”
ดาวิดจึงประทับอยู่ที่ข้างประตูเมือง ขณะที่ทหารยกออกไปเป็นกองร้อยบ้างกองพันบ้าง 5 กษัตริย์ตรัสสั่งโยอาบ อาบีชัย และอิททัยว่า “เพื่อเห็นแก่เรา ขอให้ปฏิบัติต่ออับซาโลมอย่างละมุนละม่อมเถิด” กองทหารทั้งหมดก็ได้ยินคำสั่งของกษัตริย์เกี่ยวกับอับซาโลมโดยทั่วหน้า
6 กองทหารจึงเคลื่อนออกไปกลางทุ่งเพื่อสู้รบกับอิสราเอลและสงครามเริ่มขึ้นที่ป่าเอฟราอิม 7 กองทัพอิสราเอลถูกทหารของดาวิดบดขยี้ มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมายถึงสองหมื่นคน 8 สงครามขยายไปทั่วแถบนั้นและคนที่ตายในป่ามีมากกว่าคนที่ตายในสงคราม
9 อับซาโลมบังเอิญพบกับทหารของดาวิด และเมื่อขี่ล่อหนีไป ล่อวิ่งผ่านพุ่มไม้หนาของกิ่งต้นโอ๊กใหญ่ ผมของอับซาโลมเกี่ยวติดกับกิ่งไม้ ล่อวิ่งไปปล่อยให้อับซาโลมห้อยอยู่กลางอากาศ
10 ทหารคนหนึ่งของดาวิดเห็นจึงมาแจ้งโยอาบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอับซาโลมห้อยอยู่ที่ต้นโอ๊ก”
11 โยอาบถามว่า “เจ้าเห็นเขาอยู่ที่นั่นแล้วทำไมไม่ฆ่าเขา ถ้าทำ ป่านนี้เราคงตกรางวัลเจ้าอย่างงามด้วยเงินหนัก 10 เชเขล[b]กับเข็มขัดนักรบแล้วล่ะ”
12 ทหารคนนั้นตอบว่า “ถึงจะให้เงินข้าพเจ้า 1,000 เชเขล ข้าพเจ้าก็จะไม่แตะต้องพระโอรส เราทุกคนต่างได้ยินเรื่องที่กษัตริย์ตรัสกับท่าน และอาบีชัยกับอิททัยว่า ‘เพื่อเห็นแก่เรา[c] อย่าทำอันตรายอับซาโลมเลย’ 13 และหากข้าพเจ้าได้ทรยศต่อเจ้าเหนือหัว[d] ในที่สุดกษัตริย์ย่อมจะทรงทราบเรื่องนี้ และท่านก็คงจะตีตัวออกห่างจากข้าพเจ้า”
14 โยอาบกล่าวว่า “เราจะไม่รีรออย่างเจ้า” แล้วหยิบหอกสามอันออกมาเสียบทะลุหัวใจอับซาโลมทั้งเป็น ขณะที่อับซาโลมห้อยอยู่ที่ต้นโอ๊กใหญ่ 15 ผู้ถืออาวุธทั้งสิบคนของโยอาบก็รุมล้อมสังหารอับซาโลม
16 แล้วโยอาบก็เป่าแตรเขาสัตว์หยุดพวกเขาไว้ ทหารจึงเลิกตามล่ากองทัพอิสราเอล 17 พวกเขาโยนศพอับซาโลมลงในหลุมลึกในป่า แล้วสุมก้อนหินทับเป็นกองพะเนิน ฝ่ายทหารอิสราเอลต่างหนีกลับบ้าน
18 ขณะอับซาโลมยังมีชีวิต เขาได้ตั้งเสาไว้เป็นอนุสรณ์ที่หุบเขากษัตริย์เพราะเขาคิดว่า “เราไม่มีลูกชายจะสืบนาม” อับซาโลมตั้งชื่อเสานั้นตามชื่อของตน เขาเรียกกันว่า “อนุสรณ์ของอับซาโลม” ตราบจนทุกวันนี้
ดาวิดไว้อาลัย
19 อาหิมาอัสบุตรศาโดกกล่าวว่า “ให้ข้าพเจ้าวิ่งไปกราบทูลกษัตริย์เถิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยพระองค์จากศัตรูแล้ว”
20 โยอาบทัดทานว่า “อย่าเลย เจ้าไม่ใช่คนที่จะนำข่าวในวันนี้ ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน เพราะพระโอรสสิ้นพระชนม์แล้ว”
21 แล้วโยอาบจึงพูดกับชาวคูชคนหนึ่งว่า “จงไปทูลรายงานสิ่งที่เจ้าเห็นให้กษัตริย์ทรงทราบ” เขาก็คำนับโยอาบแล้ววิ่งออกไป
22 อาหิมาอัสบุตรศาโดกกล่าวกับโยอาบว่า “แต่ให้ข้าพเจ้าวิ่งตามชาวคูชคนนั้นไปเถิด”
โยอาบตอบว่า “อย่าเลยลูกเอ๋ย ทำไมถึงอยากไป? ไม่มีข่าวอะไรที่จะทำให้เจ้าได้รับบำเหน็จ”
23 เขาอ้อนวอนว่า “เอาเถิด ข้าพเจ้าอยากวิ่งไป”
โยอาบจึงพูดว่า “วิ่งไปสิ!” อาหิมาอัสจึงวิ่งลัดผ่านที่ราบ[e]แซงชาวคูชไป
24 ดาวิดประทับอยู่ระหว่างประตูเมืองชั้นนอกและชั้นใน เมื่อคนยามปีนบันไดขึ้นไปยังจุดที่ตนรักษาการณ์บนกำแพง เขามองออกไปเห็นชายคนหนึ่งวิ่งมา 25 เขาจึงร้องทูลให้ดาวิดทรงทราบ
ดาวิดตรัสว่า “ถ้ามีคนเดียวคงจะมาแจ้งข่าวดี” ขณะที่ผู้สื่อสารวิ่งใกล้เข้ามาทุกที
26 คนยามมองเห็นอีกคนวิ่งมาจึงร้องบอกคนเฝ้าประตูว่า “นั่น! มาอีกคนหนึ่งแล้ว”
กษัตริย์ตรัสว่า “คงจะมาแจ้งข่าวดีเหมือนกัน”
27 คนยามทูลว่า “คนแรกน่าจะเป็นอาหิมาอัสบุตรศาโดก”
กษัตริย์ตรัสว่า “เขาเป็นคนดี นำข่าวดีมาบอก”
28 อาหิมาอัสร้องทูลดาวิดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี” เขาหมอบกราบลงต่อหน้าดาวิดและทูลว่า “สรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท พระองค์ได้ประทานบรรดาผู้ที่บังอาจต่อกรกับฝ่าพระบาทแก่ฝ่าพระบาทแล้ว”
29 ดาวิดตรัสถามว่า “ลูกอับซาโลมปลอดภัยดีใช่ไหม?”
อาหิมาอัสทูลว่า “ตอนที่ท่านโยอาบใช้ให้ข้าพระบาทมา เห็นผู้คนโกลาหล แต่ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร”
30 ดาวิดตรัสว่า “รออยู่ตรงนี้ก่อน” อาหิมาอัสจึงก้าวหลบเข้าไป
31 จากนั้นคนชาวเมืองคูชก็มาถึงและทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระบาทนำข่าวดีมากราบทูล! วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยฝ่าพระบาทให้รอดจากเงื้อมมือของบรรดาผู้คิดคดทรยศต่อฝ่าพระบาท”
32 ดาวิดตรัสถามว่า “ลูกอับซาโลมปลอดภัยดีใช่ไหม?”
ชายชาวคูชผู้นั้นทูลว่า “ขอให้ศัตรูทั้งปวงและผู้คิดร้ายต่อฝ่าพระบาทเป็นเช่นโอรสองค์นี้เถิด”
33 ดาวิดเสียพระทัยอย่างยิ่ง เสด็จขึ้นสู่ที่ประทับเหนือประตูเมือง ทรงกันแสงไปตลอดทางและทรงคร่ำครวญว่า “โอ อับซาโลมลูกของพ่อ! ลูกของพ่อ ลูกของพ่ออับซาโลมเอ๋ย! พ่อน่าจะตายแทนลูก โอ อับซาโลม ลูกของพ่อ! ลูกของพ่อ!”
19 เมื่อโยอาบทราบว่ากษัตริย์ทรงกันแสงและอาลัยถึงอับซาโลม 2 และเมื่อทั้งกองทัพทราบว่ากษัตริย์ทรงเศร้าโศกเสียใจเรื่องราชโอรส ความปลื้มปีติในชัยชนะใหญ่หลวงในวันนั้นก็กลับกลายเป็นความโศกสลด 3 ทั้งกองทัพค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่กรุงอย่างเงียบเหงาเหมือนคนที่เข้ามาอย่างอับอายเพราะหนีจากการรบ 4 ดาวิดซบพระพักตร์ลงกับพระหัตถ์คร่ำครวญว่า “โอ อับซาโลมลูกของพ่อ! โอ อับซาโลมลูกของพ่อ ลูกของพ่อ!”
5 โยอาบจึงเข้าไปยังที่ประทับ และกราบทูลว่า “วันนี้ฝ่าพระบาททรงทำให้คนของฝ่าพระบาท ผู้ได้ปกป้องพระชนม์ชีพของฝ่าพระบาทรวมทั้งชีวิตของราชโอรส ราชธิดา มเหสี และสนมไว้นั้นรู้สึกอัปยศอดสู 6 ฝ่าพระบาททรงรักอาลัยผู้ที่ชิงชังฝ่าพระบาท และทรงชิงชังผู้ที่รักฝ่าพระบาท ในวันนี้ฝ่าพระบาททรงแสดงให้เห็นชัดว่าบรรดานายทัพ และทหารล้วนไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับฝ่าพระบาท หากอับซาโลมมีชีวิตอยู่และพวกข้าพระบาทตายไปหมด ฝ่าพระบาทคงจะพอพระทัย 7 บัดนี้ขอทรงโปรดเสด็จออกไปประทานกำลังใจแก่พวกทหาร ข้าพระบาทขอสาบานโดยอ้างองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า หากไม่เสด็จไปจะไม่เหลือพวกเขาแม้แต่คนเดียวในคืนนี้ นี่จะเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับฝ่าพระบาท ยิ่งกว่าที่ฝ่าพระบาทเคยประสบภัยพิบัติใดมาตลอดพระชนม์ชีพ”
8 กษัตริย์จึงเสด็จออกไปประทับอยู่ที่ประตูเมือง และเมื่อเขาทั้งปวงทราบว่ากษัตริย์ประทับอยู่ที่นั่น พวกเขาก็พากันมาเข้าเฝ้า
ขณะเดียวกันคนอิสราเอลก็หนีกลับบ้านของตน
ดาวิดเสด็จกลับกรุงเยรูซาเล็ม
9 ผู้คนถกเถียงกันทั่วทุกเผ่าของอิสราเอลว่า “กษัตริย์ได้ทรงกอบกู้เราให้พ้นจากมือของศัตรู ทรงช่วยเราให้พ้นจากมือของชาวฟีลิสเตีย แต่บัดนี้พระองค์ทรงหนีจากแผ่นดินไปเพราะอับซาโลม 10 และอับซาโลมผู้ที่พวกเราเจิมตั้งให้ปกครองเรา ก็สิ้นพระชนม์แล้วในสงคราม ทำไมเราไม่มาพูดถึงเรื่องทูลเชิญกษัตริย์กลับมา?”
อุโมงค์ว่างเปล่า(A)
20 เช้ามืดวันต้นสัปดาห์ขณะยังมืดอยู่ มารีย์ชาวมักดาลามาที่อุโมงค์ฝังศพและเห็นว่าก้อนหินถูกเคลื่อนออกจากปากอุโมงค์แล้ว 2 ดังนั้นนางจึงวิ่งมาบอกซีโมนเปโตรกับสาวกคนที่พระเยซูทรงรักว่า “พวกเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากอุโมงค์แล้วและเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน!”
3 ดังนั้นเปโตรกับสาวกคนนั้นจึงมาที่อุโมงค์ 4 ทั้งสองคนวิ่งมาแต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน 5 เขาก้มลงมองเข้าไปเห็นแถบผ้าลินินวางอยู่แต่เขาไม่ได้เข้าไป 6 แล้วซีโมนเปโตรซึ่งตามมาข้างหลังก็วิ่งตรงเข้าไปในอุโมงค์ เขาเห็นแถบผ้าลินินวางอยู่ 7 พร้อมกับผ้าพันพระเศียรของพระเยซูพับวางไว้ต่างหาก 8 ในที่สุดสาวกคนนั้นซึ่งมาถึงอุโมงค์ก่อนก็เข้ามาข้างในด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ 9 (พวกเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่ว่าพระเยซูต้องเป็นขึ้นจากตาย)
พระเยซูทรงปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลา
10 แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปบ้านของตน 11 แต่มารีย์ยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะร้องไห้อยู่นางก้มลงมองเข้าไปในอุโมงค์ 12 เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมชุดสีขาวนั่งอยู่ตรงที่ซึ่งพวกเขาเคยวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร อีกองค์อยู่เบื้องพระบาท
13 ทูตทั้งสองถามมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?”
มารีย์ตอบว่า “พวกเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปแล้วและข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” 14 แล้วมารีย์ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่ที่นั่นแต่นางไม่ทราบว่าเป็นพระเยซู
15 พระองค์ตรัสว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? เจ้ากำลังตามหาใครหรือ?”
มารีย์คิดว่าพระองค์เป็นคนสวนจึงตอบว่า “ท่านเจ้าข้า หากท่านเอาพระองค์ไปขอบอกข้าพเจ้าว่าท่านเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ข้าพเจ้าจะได้รับพระองค์ไป”
16 พระเยซูตรัสกับนางว่า “มารีย์เอ๋ย”
มารีย์หันกลับมาหาพระองค์และร้องออกมาเป็นภาษาอารเมคว่า “รับโบนี!” (ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์)
17 พระเยซูตรัสว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เพราะเรายังไม่ได้กลับไปหาพระบิดา จงไปหาพวกพี่น้องของเราและบอกพวกเขาว่า ‘เรากำลังจะกลับไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย’ ”
18 มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวแก่เหล่าสาวกว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว!” และเล่าถึงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสกับนาง
พระเยซูทรงปรากฏแก่เหล่าสาวก
19 ค่ำวันต้นสัปดาห์นั้นเมื่อพวกสาวกมาอยู่ด้วยกันพวกเขาปิดประตูลงกลอนเพราะกลัวพวกยิว พระเยซูก็เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาและตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด!” 20 เมื่อตรัสแล้วพระองค์ทรงสำแดงพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ให้พวกเขาดู เมื่อเหล่าสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็ชื่นชมยินดีเป็นล้นพ้น
21 พระเยซูตรัสอีกว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด! พระบิดาได้ทรงส่งเรามาฉันใดเราก็ส่งพวกท่านไปฉันนั้น” 22 เมื่อตรัสดังนั้นแล้วพระองค์ทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาพร้อมทั้งตรัสว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด 23 ถ้าท่านอภัยบาปของผู้ใดผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัยให้เขาก็ไม่ได้รับการอภัย”
ทรงปรากฏแก่โธมัส
24 ฝ่ายโธมัส (ที่เรียกกันว่า ดิไดมัส[a]) หนึ่งในสาวกสิบสองคนไม่ได้อยู่ด้วยในตอนที่พระเยซูเสด็จมา 25 ดังนั้นสาวกคนอื่นๆ จึงบอกเขาว่า “เราได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว!”
แต่โธมัสกล่าวกับพวกเขาว่า “ถ้าเราไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ ไม่ได้เอานิ้วแยงที่รูตะปูนั้นและไม่ได้เอามือแยงที่สีข้างของพระองค์ เราก็จะไม่ยอมเชื่อ”
26 สัปดาห์ต่อมาเหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านหลังนั้นอีก โธมัสก็อยู่กับพวกเขา ทั้งๆ ที่ปิดประตูลงกลอนอยู่แต่พระเยซูก็เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาและตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด!” 27 จากนั้นพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “ยื่นนิ้วมาที่นี่ ดูมือของเรา ยื่นมือมาแยงที่สีข้างของเรา จงเลิกสงสัยและจงเชื่อเถิด”
28 โธมัสทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์!”
29 แล้วพระเยซูตรัสบอกเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อ ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่ได้เห็นแต่ก็ยังเชื่อ”
30 พระเยซูทรงกระทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกมากมายต่อหน้าเหล่าสาวกของพระองค์ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ 31 แต่ที่บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า[b]พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และโดยความเชื่อท่านจะได้มีชีวิตในพระนามของพระองค์
เรช
153 ขอโปรดทอดพระเนตรความทุกข์ทรมานของข้าพระองค์และทรงกอบกู้
เพราะข้าพระองค์ไม่ได้ลืมบทบัญญัติของพระองค์
154 ขอทรงสู้คดีให้และไถ่ข้าพระองค์
ขอทรงรักษาชีวิตของข้าพระองค์ตามที่ทรงสัญญาไว้
155 ความรอดอยู่ห่างไกลจากคนชั่วร้าย
เพราะเขาไม่แสวงหากฎหมายของพระองค์
156 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระกรุณาธิคุณของพระองค์ใหญ่หลวงนัก
ขอทรงรักษาชีวิตของข้าพระองค์ตามบทบัญญัติของพระองค์
157 ศัตรูผู้กดขี่ข่มเหงข้าพระองค์มีมากมาย
แต่ข้าพระองค์ไม่ได้หันไปจากกฎเกณฑ์ของพระองค์
158 ข้าพระองค์มองดูผู้ทรยศด้วยความชิงชัง
เพราะเขาไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระองค์
159 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงพิเคราะห์ดูว่า
ข้าพระองค์รักข้อบังคับของพระองค์ เพียงใด
ขอทรงสงวนชีวิตของข้าพระองค์ไว้ตามความรักมั่นคงของพระองค์
160 พระวจนะของพระองค์ทุกคำเป็นความจริง
บทบัญญัติอันชอบธรรมทั้งสิ้นของพระองค์ดำรงอยู่นิรันดร์
ซินและชิน
161 บรรดาผู้ครอบครองประทุษร้ายข้าพระองค์โดยไม่มีสาเหตุ
แต่จิตใจข้าพระองค์เกรงกลัวพระวจนะของพระองค์
162 ข้าพระองค์ชื่นชมยินดีในพระสัญญาของพระองค์
เหมือนคนที่พบขุมทรัพย์มหาศาล
163 ข้าพระองค์ชิงชังรังเกียจความเท็จ
แต่ข้าพระองค์รักบทบัญญัติของพระองค์
164 ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์วันละเจ็ดครั้ง
เพราะบทบัญญัติอันชอบธรรมของพระองค์
165 บรรดาผู้ที่รักบทบัญญัติของพระองค์มีสันติสุขยิ่งใหญ่
ไม่มีสิ่งใดทำให้พวกเขาสะดุดล้ม
166 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์รอคอยความรอดของพระองค์
และข้าพระองค์ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์
167 ข้าพระองค์เชื่อฟังกฎเกณฑ์ของพระองค์
เพราะข้าพระองค์รักกฎเกณฑ์เหล่านั้นยิ่งนัก
168 ข้าพระองค์เชื่อฟังข้อบังคับและกฎเกณฑ์ของพระองค์
เพราะวิถีทั้งปวงของข้าพระองค์ก็ประจักษ์แจ้งแก่พระองค์
เทาว์
169 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เสียงร่ำร้องของข้าพระองค์ขึ้นไปถึงต่อหน้าพระองค์
โปรดประทานความเข้าใจแก่ข้าพระองค์ตามพระวจนะของพระองค์
170 ขอให้คำทูลวิงวอนของข้าพระองค์ขึ้นไปถึงต่อหน้าพระองค์
ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ตามพระสัญญาของพระองค์
171 ขอให้ปากของข้าพระองค์พรั่งพรูคำสรรเสริญพระองค์
เพราะพระองค์ทรงสอนกฎหมายของพระองค์แก่ข้าพระองค์
172 ขอให้ลิ้นของข้าพระองค์แซ่ซ้องพระวจนะของพระองค์
เพราะพระบัญชาทั้งสิ้นของพระองค์ชอบธรรม
173 ขอให้พระหัตถ์ของพระองค์พร้อมที่จะช่วยเหลือข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์เลือกข้อบังคับของพระองค์
174 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ใฝ่หาความรอดของพระองค์
และบทบัญญัติของพระองค์เป็นความปีติยินดีของข้าพระองค์
175 ขอให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่เพื่อที่จะสรรเสริญพระองค์
ขอให้บทบัญญัติของพระองค์ค้ำชูข้าพระองค์ไว้
176 ข้าพระองค์หลงเตลิดไปเหมือนลูกแกะที่หลงทาง
ขอทรงตามหาผู้รับใช้ของพระองค์
เพราะข้าพระองค์ไม่ลืมพระบัญชาของพระองค์
14 เมื่อกษัตริย์พิโรธผู้ใด ยมทูตก็มาเยือนผู้นั้น
แต่คนฉลาดจะระงับมันไว้ได้
15 เมื่อพระพักตร์ของกษัตริย์แจ่มใสก็หมายถึงชีวิต
ความโปรดปรานของพระองค์เป็นดั่งเมฆฝนในฤดูใบไม้ผลิ
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.