Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the EHV. Switch to the EHV to read along with the audio.

Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
1 ซามูเอล 20-21

ดาวิดกับโยนาธาน

20 ครั้งนั้นดาวิดหนีจากนาโยทที่รามาห์ไปพบกับโยนาธาน ดาวิดถามว่า “ข้าพเจ้าทำอะไรหรือ? ข้าพเจ้าก่ออาชญากรรมอะไรหรือ? ข้าพเจ้าทำอะไรผิดต่อราชบิดาของท่านหรือ พระองค์จึงทรงพยายามจะเอาชีวิตของข้าพเจ้า?”

โยนาธานตอบว่า “ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก! ท่านจะไม่ตาย! ดูเถิด เสด็จพ่อจะไม่ทรงทำสิ่งใดไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่โดยไม่บอกเรา ทำไมพระองค์จะต้องปิดบังเราในเรื่องนี้? ไม่เป็นเช่นนั้นแน่!”

แต่ดาวิดสาบานและกล่าวว่า “เสด็จพ่อของท่านทรงทราบดีว่าท่านโปรดปรานข้าพเจ้า พระองค์คงดำริว่า ‘อย่าให้โยนาธานรู้เรื่องนี้เลย เดี๋ยวเขาจะสะเทือนใจ’ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใดและท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าอยู่ใกล้ความตายแค่คืบฉันนั้น”

โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “ถ้าอย่างนั้นบอกมาสิว่าท่านจะให้เราทำอะไร เรายินดีจะทำให้”

ดาวิดตอบว่า “ดูเถิด พรุ่งนี้จะมีงานฉลองขึ้นหนึ่งค่ำ ข้าพเจ้าน่าจะร่วมอยู่ที่โต๊ะเสวย แต่ข้าพเจ้าขอซ่อนอยู่ในทุ่งนาจนถึงเย็นวันมะรืนนี้ หากราชบิดาของท่านทรงถามถึงข้าพเจ้า ช่วยทูลว่า ‘ดาวิดทูลขออนุญาตรีบกลับไปเบธเลเฮม เพื่อร่วมฉลองการถวายบูชาประจำปีของตระกูล’ หากพระองค์ตรัสว่า ‘ดี’ ผู้รับใช้ของท่านก็ปลอดภัย แต่หากพระองค์กริ้ว ท่านก็แน่ใจได้ว่าพระองค์ตั้งพระทัยจะทำร้ายข้าพเจ้า ส่วนท่านขอให้กรุณาผู้รับใช้ของท่านเพราะท่านให้ข้าพเจ้าเข้าร่วมกระทำพันธสัญญากับท่านต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าหากข้าพเจ้าทำผิดคิดร้ายใดๆ ท่านเองก็ฆ่าข้าพเจ้าได้เลย! ทำไมต้องมอบข้าพเจ้าแก่ราชบิดาของท่านเล่า?”

โยนาธานกล่าวว่า “เราไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด ทำไมเราจะไม่บอกท่านถ้าเราได้เบาะแสว่าเสด็จพ่อตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำร้ายท่าน?”

10 ดาวิดจึงถามว่า “แล้วข้าพเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าราชบิดาของท่านทรงตอบท่านอย่างเกรี้ยวกราดหรือไม่?”

11 โยนาธานตอบว่า “ไปทุ่งนากับเราเถิด” แล้วคนทั้งสองก็ออกไปด้วยกัน

12 แล้วโยนาธานบอกดาวิดว่า “เราขอปฏิญาณโดยพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า เราจะหยั่งดูเสด็จพ่อในวันมะรืนนี้ในช่วงเวลานี้! ทำไมเราจะไม่ส่งข่าวให้ท่านรู้หากพระองค์มีท่าทีโปรดปรานท่าน? 13 แต่หากเสด็จพ่อทรงมีแนวโน้มจะทำร้ายท่าน แล้วเราไม่บอกท่านและส่งท่านไปให้รอดปลอดภัย ก็ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดการกับเราให้หนักกว่า ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่านดังที่เคยสถิตกับเสด็จพ่อ 14 แต่ขอให้ท่านแสดงความรักมั่นคงขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อเราตราบชั่วชีวิตของเรา เพื่อเราเองจะได้ไม่ถูกฆ่า 15 และขออย่าได้ตัดรอนความเมตตากรุณาต่อครอบครัวของเราเลยแม้ในยามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำลายศัตรูทั้งปวงของท่านไปจากแผ่นดินโลก”

16 โยนาธานจึงทำพันธสัญญาไว้กับวงศ์วานของดาวิดว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดการกับศัตรูของดาวิด” 17 แล้วโยนาธานขอให้ดาวิดสาบานอีกครั้งโดยอ้างความรักที่โยนาธานมีต่อดาวิด เพราะเขารักดาวิดเหมือนรักตนเอง

18 โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “วันพรุ่งนี้มีงานฉลองขึ้นหนึ่งค่ำ ผู้คนจะสังเกตว่าท่านไม่อยู่เพราะที่นั่งประจำของท่านจะว่าง 19 วันมะรืนนี้เวลาเย็น เมื่อเกิดเรื่องยุ่งขึ้น ให้ท่านไปยังที่ซ่อนและคอยอยู่ที่ศิลาเอเซล 20 เราจะยิงธนูสามดอกไปที่ข้างๆ ศิลาเหมือนกำลังยิงเข้าเป้า 21 แล้วเราจะส่งเด็กมาและบอกเขาว่า ‘จงไปหาลูกธนู’ ถ้าเราบอกเขาว่า ‘นั่นไง ลูกธนูอยู่ข้างๆ ตัว เอามาที่นี่สิ’ ท่านก็ออกมาเถิดเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ท่านจะปลอดภัยและไม่มีอันตรายใดๆ ฉันนั้น 22 แต่ถ้าเราบอกเด็กคนนั้นว่า ‘ไปโน่น ลูกธนูอยู่ข้างหน้าโน่นแน่ะ’ ท่านก็ต้องไป เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งท่านออกไป 23 ส่วนเรื่องที่เราตกลงกันไว้ อย่าลืมว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างท่านกับเราตลอดไป”

24 ดาวิดจึงซ่อนตัวอยู่ในทุ่ง เมื่อเริ่มงานฉลองขึ้นหนึ่งค่ำ กษัตริย์เสด็จมาประทับเพื่อร่วมเสวย 25 พระองค์นั่งในที่ประจำข้างกำแพงตรงข้ามกับโยนาธาน[a] อับเนอร์นั่งอยู่ข้างๆ ซาอูล แต่ที่นั่งของดาวิดว่างอยู่ 26 ซาอูลไม่ได้ตรัสว่าประการใดในวันนั้น เนื่องจากทรงดำริว่า “อาจจะเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ดาวิดเป็นมลทินตามระเบียบพิธี เขาเป็นมลทินแน่ๆ” 27 แต่เมื่อที่นั่งของดาวิดยังว่างอยู่อีกในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่สองของเดือน ซาอูลจึงตรัสถามโยนาธานราชโอรสว่า “ทำไมบุตรเจสซีไม่มาร่วมโต๊ะทั้งเมื่อวานและวันนี้?”

28 โยนาธานทูลตอบว่า “ดาวิดมาอ้อนวอนขออนุญาตลูกไปเบธเลเฮม 29 เขาขอว่า ‘ให้ข้าพเจ้าไปเถิด เพราะครอบครัวของข้าพเจ้าจัดพิธีถวายเครื่องบูชาในเมือง และพี่ชายของข้าพเจ้าสั่งให้ข้าพเจ้าไปร่วมด้วย ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของท่าน อนุญาตให้ข้าพเจ้าไปพบพวกพี่ๆ เถิด’ เขาจึงไม่ได้มาร่วมโต๊ะเสวยของกษัตริย์”

30 ซาอูลกริ้วโยนาธานมาก และตรัสกับเขาว่า “เจ้าลูกของหญิงจอมกบฏและวิปริต! ข้าหรือจะไม่รู้ว่าเจ้าน่ะเข้าข้างเจ้าลูกชายของเจสซี ขายหน้าทั้งตัวเจ้าเอง ขายหน้าไปถึงแม่ที่ให้กำเนิดเจ้าด้วย? 31 ตราบใดที่ลูกของเจสซีคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ตัวเจ้าหรืออาณาจักรของเจ้าก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ไปสิไปเอาตัวมันมา เพราะมันต้องตาย!”

32 โยนาธานทูลว่า “เขาทำผิดอะไรหรือเสด็จพ่อ? ทำไมจะต้องประหารเขาด้วย?” 33 แต่ซาอูลพุ่งหอกเข้าใส่โยนาธานหมายจะฆ่าเสีย โยนาธานจึงตระหนักว่าราชบิดาทรงเจตนาจะฆ่าดาวิด

34 โยนาธานลุกจากโต๊ะเสวยด้วยความโกรธจัด และไม่ยอมกินอะไรเลยในวันที่สองของเดือนนั้น เพราะรู้สึกเสียใจที่ราชบิดาทรงปฏิบัติต่อดาวิดอย่างน่าละอาย

35 เช้าวันรุ่งขึ้น โยนาธานมาที่ทุ่งนาเพื่อพบกับดาวิด โดยพาเด็กคนหนึ่งมาด้วย 36 โยนาธานสั่งเด็กคนนั้นว่า “วิ่งไปเก็บลูกธนูที่เรายิงออกไป” ขณะที่เด็กนั้นวิ่งไป โยนาธานก็ยิงลูกธนูไปข้างหน้า 37 เมื่อเด็กนั้นวิ่งเกือบจะไปถึงลูกธนู โยนาธานตะโกนว่า “ลูกธนูยังอยู่ตรงหน้าโน้นไม่ใช่หรือ?” 38 แล้วเขาตะโกนว่า “รีบๆ เข้า! ไปเร็วๆ! อย่าหยุด!” เด็กนั้นจึงรีบวิ่งไปเก็บลูกธนูกลับมาหาเจ้านาย 39 (เขาไม่เข้าใจสัญญาณทั้งหมดเหล่านี้ มีแต่ดาวิดและโยนาธานเท่านั้นที่รู้) 40 จากนั้นโยนาธานส่งคันธนูและลูกธนูให้เด็กนั้นแล้วสั่งว่า “จงนำกลับไปที่ตัวเมือง”

41 เมื่อเด็กนั้นไปแล้ว ดาวิดก็ออกมาจากที่ซ่อนทางทิศใต้ของโขดหิน ดาวิดหมอบคำนับโยนาธานสามครั้ง ซบหน้าลงกับพื้น แล้วทั้งสองร้องไห้ จูบลากัน แต่ดาวิดร้องไห้หนักกว่า

42 โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “ไปดีมีสุขเถิด เพราะเราได้เป็นเพื่อนร่วมสาบานในพระนามพระยาห์เวห์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างท่านกับเราและระหว่างวงศ์วานของเราทั้งสองฝ่ายตลอดไป’ ” แล้วดาวิดก็จากไป ส่วนโยนาธานกลับเข้าเมือง

ดาวิดที่เมืองโนบ

21 ดาวิดเดินทางไปพบปุโรหิตอาหิเมเลคที่เมืองโนบ อาหิเมเลคตัวสั่นเมื่อพบดาวิด เขาถามว่า “ทำไมท่านมาคนเดียว? ทำไมไม่มีใครมาด้วย?”

ดาวิดตอบปุโรหิตอาหิเมเลคว่า “กษัตริย์รับสั่งให้ข้าพเจ้ามาปฏิบัติงานอย่างหนึ่ง ทรงกำชับข้าพเจ้าว่า ‘อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้’ ข้าพเจ้านัดกับพรรคพวกไว้แล้วว่าจะไปพบกันที่ไหน ว่าแต่ตอนนี้มีอะไรให้ข้าพเจ้ากินบ้างไหม? ขอขนมปังสักห้าก้อนหรืออะไรก็ได้ที่ท่านมี”

ปุโรหิตตอบดาวิดว่า “เราไม่มีขนมปังธรรมดา มีแต่ขนมปังศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเราคิดว่าพวกท่านจะกินได้ก็ต่อเมื่อคนของท่านไม่ได้หลับนอนกับหญิงใดตลอดช่วงนี้”

ดาวิดตอบว่า “แน่นอน โดยปกติเมื่อ[b] ออกปฏิบัติภารกิจก็จะกันพวกผู้หญิงให้ห่างอยู่แล้ว แม้ปฏิบัติหน้าที่ตามธรรมดาก็ยังรักษาตัวให้บริสุทธิ์ วันนี้ก็ยิ่งกว่านั้นอีก!” เนื่องจากไม่มีอาหารอื่นใดเลย ปุโรหิตจึงให้ขนมปังศักดิ์สิทธิ์แก่ดาวิดคือ ขนมปังเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งในวันนั้นเพิ่งจะนำขนมปังใหม่สดมาเปลี่ยน

ขณะนั้นโดเอกชาวเอโดมหัวหน้าคนเลี้ยงสัตว์ของซาอูลอยู่ที่นั่นด้วย เพราะเขามีเหตุต้องอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

ดาวิดถามอาหิเมเลคว่า “มีหอกหรือดาบบ้างไหม? เนื่องจากพระราชกิจครั้งนี้เร่งด่วนมาก ข้าพเจ้ารีบร้อนจนไม่ได้เอาอาวุธติดมือมาเลย”

ปุโรหิตตอบว่า “มีดาบของโกลิอัทชาวฟีลิสเตียซึ่งท่านฆ่าที่หุบเขาเอลาห์ห่ออยู่ในผ้าข้างหลังเอโฟด ถ้าท่านต้องการก็เอาไปได้เลย เพราะมีดาบเล่มนั้นอยู่เล่มเดียว”

ดาวิดตอบว่า “ไม่มีดาบเล่มไหนเหมือนเล่มนั้นอีกแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเถิด”

ดาวิดที่เมืองกัท

10 ในวันนั้นดาวิดหนีจากซาอูลไปเฝ้ากษัตริย์อาคีชแห่งกัท 11 แต่ข้าราชบริพารของอาคีชทูลว่า “นี่คือกษัตริย์ดาวิดของดินแดนนั้นไม่ใช่หรือ? คนนี้ไม่ใช่หรือที่ประชาชนร้องรำทำเพลงยกย่องว่า

“‘ซาอูลฆ่าศัตรูนับพัน
และดาวิดฆ่าศัตรูนับหมื่น’”

12 ดาวิดจำถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในใจ และหวาดกลัวกษัตริย์อาคีชแห่งกัทยิ่งนัก 13 จึงแกล้งทำเป็นเสียสติต่อหน้าพวกเขา เอามือขีดข่วนประตู ปล่อยน้ำลายไหลยืดลงมาเลอะหนวดเครา

14 อาคีชตรัสกับข้าราชบริพารว่า “ดูชายผู้นี้สิ! เขาเสียสติ! เหตุใดจึงนำเขามาพบเรา? 15 ที่นี่ก็มีคนบ้ามากพอแล้ว ทำไมต้องเอาคนนี้เข้ามาในวังของเราด้วย?”

ยอห์น 9

พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดแต่กำเนิด

ขณะเสด็จไปตามทางพระองค์ทรงเห็นชายตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่ง เหล่าสาวกทูลถามพระองค์ว่า “รับบี ใครกันที่ทำบาป ชายผู้นี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด?”

พระเยซูตรัสว่า “ไม่ใช่คนนี้หรือบิดามารดาของเขาที่ทำบาป แต่การนี้เกิดขึ้นเพื่อสำแดงพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของเขา ตราบใดที่ยังเป็นเวลากลางวันอยู่พวกเราต้องทำงานของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา จวนจะถึงเวลากลางคืนแล้ว เวลานั้นไม่มีใครทำงานได้ ขณะที่เราอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก”

เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้แล้วก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่พื้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนนั้น พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้างออกที่สระสิโลอัมเถิด” (สิโลอัมแปลว่า ส่งไป) ชายคนนั้นจึงไปล้างโคลนออกและขณะกลับบ้านก็มองเห็นได้

เพื่อนบ้านของเขาและผู้ที่เคยเห็นเขานั่งขอทานถามกันว่า “นี่เป็นชายคนเดียวกับคนที่เคยนั่งขอทานไม่ใช่หรือ?” บางคนก็ว่าใช่

บางคนก็ว่า “ไม่ใช่ เพียงแต่หน้าตาคล้ายๆ กัน”

แต่ตัวเขาเองยืนยันว่า “ข้าพเจ้าคือชายคนนั้น”

10 พวกเขาคาดคั้นว่า “แล้วตาของท่านหายบอดได้อย่างไร?”

11 เขาตอบว่า “ชายคนที่เรียกกันว่าพระเยซูเอาโคลนทาที่ตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้าและสั่งให้ข้าพเจ้าไปล้างออกที่สระสิโลอัม ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไปล้างออกแล้วข้าพเจ้าก็มองเห็นได้”

12 พวกเขาถามว่า “ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน?”

เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ”

พวกฟาริสีสอบสวนเรื่องการรักษาคนตาบอด

13 พวกเขานำคนที่เคยตาบอดมาพบพวกฟาริสี 14 วันที่พระเยซูทรงทำโคลนรักษาตาของคนนั้นให้หายบอดเป็นวันสะบาโต 15 ดังนั้นพวกฟาริสีจึงถามด้วยว่าเขามองเห็นได้อย่างไร คนนั้นบอกว่า “เขาผู้นั้นเอาโคลนทาที่ตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไปล้างออกและเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าก็มองเห็น”

16 ฟาริสีบางคนพูดว่า “ชายผู้นี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขาไม่ถือรักษาวันสะบาโต”

แต่คนอื่นๆ ถามว่า “คนบาปจะทำหมายสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร?” พวกเขาจึงแตกแยกกัน

17 ในที่สุดพวกเขาหันมาถามชายตาบอดอีกว่า “เจ้าจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับคนนั้น? ในเมื่อเขาทำให้ตาของเจ้าหายบอด”

เขาตอบว่า “เขาเป็นผู้เผยพระวจนะ”

18 พวกยิวยังไม่เชื่อว่าเขาเคยตาบอดและกลับมองเห็นได้จนกระทั่งได้เรียกบิดามารดาของเขามา 19 พวกเขาถามว่า “นี่คือลูกชายของเจ้าใช่ไหม? นี่คือคนที่เจ้าบอกว่าตาบอดแต่กำเนิดใช่ไหม? เดี๋ยวนี้เขามองเห็นได้อย่างไร?”

20 บิดามารดาของเขาตอบว่า “เรารู้ว่าเขาเป็นลูกของเราและเรารู้ว่าเขาตาบอดมาตั้งแต่เกิด 21 แต่เราไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เขามองเห็นได้อย่างไร หรือใครรักษาตาของเขาให้หายบอด จงถามเขาเถิด เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาพูดเองได้” 22 บิดามารดาของเขาพูดเช่นนั้นเพราะกลัวพวกยิวเพราะพวกเขาได้ตกลงกันไว้ว่าใครยอมรับพระเยซูเป็นพระคริสต์[a]จะถูกอเปหิจากธรรมศาลา 23 ฉะนั้นบิดามารดาของเขาจึงบอกว่า “เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว จงถามเขาเถิด”

24 พวกนั้นจึงเรียกตัวคนที่เคยตาบอดมาพบเป็นครั้งที่สองและพูดว่า “จงถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าด้วยการพูดความจริง เรารู้ว่าคนนั้นเป็นคนบาป”

25 เขาตอบว่า “เขาเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบก็คือข้าพเจ้าเคยตาบอดแต่เดี๋ยวนี้มองเห็นแล้ว!”

26 แล้วพวกเขาจึงถามว่า “เขาทำอะไรกับเจ้า? เขาทำอย่างไรตาของเจ้าจึงหายบอด?”

27 เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าก็บอกไปแล้วและพวกท่านไม่ฟัง ทำไมท่านอยากฟังอีก? ท่านอยากเป็นสาวกของเขาด้วยหรือ?”

28 แล้วพวกนั้นจึงพากันประณามเขาเป็นการใหญ่และกล่าวว่า “เจ้าเป็นสาวกของคนนั้น! ส่วนเราเป็นสาวกของโมเสส! 29 เรารู้ว่าพระเจ้าตรัสกับโมเสส แต่ส่วนคนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามาจากไหน”

30 ชายคนนั้นตอบว่า “แปลกจริงๆ! ท่านไม่รู้ว่าเขามาจากไหนแต่เขาก็รักษาตาของข้าพเจ้าให้หายบอด 31 พวกเรารู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงฟังคนบาป พระองค์ทรงฟังคนที่อยู่ในทางพระเจ้าผู้ทำตามพระประสงค์ของพระองค์ 32 ไม่เคยมีใครได้ยินถึงการรักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้มองเห็นได้ 33 หากชายผู้นั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาย่อมไม่สามารถทำอะไรได้เลย”

34 พวกนั้นตอบโต้เขาว่า “เจ้าจมปลักอยู่ในบาปมาตั้งแต่เกิด เจ้ากล้าดีอย่างไรมาสั่งสอนเรา!” แล้วอเปหิเขาจากธรรมศาลา

ความมืดบอดฝ่ายจิตวิญญาณ

35 พระเยซูทรงได้ยินว่าพวกนั้นได้อเปหิเขา เมื่อทรงพบเขาพระองค์จึงตรัสว่า “ท่านเชื่อในบุตรมนุษย์หรือไม่?”

36 ชายคนนั้นถามว่า “ท่านเจ้าข้า ใครคือบุตรมนุษย์? โปรดบอกเถิด ข้าพเจ้าจะได้เชื่อในพระองค์”

37 พระเยซูตรัสว่า “บัดนี้ท่านก็ได้เห็นพระองค์แล้ว อันที่จริงพระองค์คือผู้ที่กำลังพูดกับท่าน”

38 คนนั้นจึงทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อ” และเขาก็กราบนมัสการพระองค์

39 พระเยซูตรัสว่า[b] “เราเข้ามาในโลกนี้เพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนตาบอดมองเห็นได้และให้คนที่มองเห็นได้กลับตาบอด”

40 ฟาริสีบางคนที่อยู่กับพระองค์ได้ยินเช่นนั้นก็ทูลถามว่า “อะไรกัน? เราตาบอดด้วยหรือ?”

41 พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านตาบอดท่านก็คงจะไม่มีความผิดบาป แต่นี่ท่านอ้างว่าตัวเองมองเห็น บาปผิดของท่านจึงยังคงอยู่

สดุดี 113-114

113 จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า[a]

จงสรรเสริญเถิด บรรดาผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงสรรเสริญพระนามของพระยาห์เวห์
ขอให้พระนามของพระยาห์เวห์เป็นที่สรรเสริญ
ตั้งแต่บัดนี้และสืบไปนิรันดร
ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก
พระนามของพระยาห์เวห์จะเป็นที่สรรเสริญ

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นที่ยกย่องเทิดทูนเหนือมวลประชาชาติ
พระเกียรติสิริของพระองค์สูงส่งกว่าฟ้าสวรรค์
ผู้ใดจะเสมอเหมือนพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา?
ผู้ประทับบนบัลลังก์เบื้องสูง
ผู้ทรงโน้มพระองค์ลงมา
ทอดพระเนตรฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก

พระองค์ทรงยกคนยากจนขึ้นจากฝุ่นธุลี
ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองขี้เถ้า
พระองค์ทรงให้เขานั่งร่วมกับเจ้านาย
กับเจ้านายแห่งชนชาติของเขา
พระองค์ประทานเหย้าเรือนแก่ผู้หญิงที่เป็นหมัน
เพื่อเธอจะเป็นมารดาผู้มีสุขของลูกๆ

จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

114 เมื่ออิสราเอลออกจากอียิปต์
วงศ์วานของยาโคบออกจากชนต่างภาษา
ยูดาห์กลายเป็นสถานนมัสการของพระเจ้า
อิสราเอลเป็นอาณาจักรของพระองค์

ทะเลมองดูแล้วถอยหนี
แม่น้ำจอร์แดนหันกลับ
ภูเขาทั้งหลายโลดเต้นเหมือนแกะผู้
เนินเขากระโดดเหมือนลูกแกะ

ทะเลเอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงถอยหนี?
แม่น้ำจอร์แดนเอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงหันกลับ?
ภูเขาเอ๋ย เหตุใดจึงโลดเต้นเหมือนแกะผู้?
เนินเขาเอ๋ย เหตุใดจึงกระโดดเหมือนลูกแกะ?

แผ่นดินโลกเอ๋ย จงสั่นสะท้านต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
ต่อหน้าพระเจ้าของยาโคบ
ผู้ทรงทำให้หินกลายเป็นแอ่งน้ำ
ศิลาแกร่งกลายเป็นธารน้ำพุ

สุภาษิต 15:15-17

15 ทุกวันของผู้ทุกข์ใจล้วนแต่เลวร้าย
แต่จิตใจร่าเริงมีงานฉลองไม่ขาดสาย

16 มีน้อยแต่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า
ดีกว่ามีมากแต่เดือดร้อนวุ่นวาย

17 ได้กินผักนิดเดียวในที่ซึ่งมีความรัก
ดีกว่ากินเนื้อวัวขุนพร้อมกับความเกลียดชัง

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.