Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the NET. Switch to the NET to read along with the audio.

Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
2 พงศาวดาร 19-20

19 เมื่อกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์เสด็จกลับสู่พระราชวังในกรุงเยรูซาเล็มอย่างปลอดภัย ผู้ทำนายเยฮูบุตรฮานานีมาเข้าเฝ้าและทูลว่า “ควรหรือที่ท่านช่วยคนชั่วและรัก[a]บรรดาผู้ที่เกลียดชังองค์พระผู้เป็นเจ้า? เพราะเหตุนี้เองพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตกแก่ท่าน แต่ยังมีข้อดีอยู่บ้างในตัวท่านเพราะท่านได้ทำลายเสาเจ้าแม่อาเชราห์จากแผ่นดินและตั้งใจแสวงหาพระเจ้าอย่างแน่วแน่”

เยโฮชาฟัททรงตั้งผู้พิพากษา

เยโฮชาฟัทประทับอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม และเสด็จไปเยี่ยมประชาชนอีก จากเมืองเบเออร์เชบาจดแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม และนำพวกเขากลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา พระองค์ทรงแต่งตั้งผู้พิพากษาในดินแดน ในแต่ละหัวเมืองป้อมปราการของยูดาห์ ทรงกำชับคนเหล่านั้นว่า “ขอให้ทำอย่างละเอียดรอบคอบ เพราะท่านไม่ได้วินิจฉัยคดีความเพื่อมนุษย์ แต่เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่สถิตกับท่านทุกคราวที่ท่านพิพากษาตัดสิน ให้ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือท่าน จงตัดสินอย่างรอบคอบ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราไม่มีความอยุติธรรม ความลำเอียง และการรับสินบน”

เยโฮชาฟัททรงแต่งตั้งบางคนในหมู่เลวี ปุโรหิต และหัวหน้าครอบครัวต่างๆ ของอิสราเอลให้ผดุงบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าและตัดสินข้อพิพาทต่างๆ ในกรุงเยรูซาเล็มด้วย และคนเหล่านี้จึงอาศัยอยู่ที่นั่น พระองค์ทรงกำชับพวกเขาว่า “ท่านจงทำหน้าที่ด้วยความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างซื่อสัตย์และด้วยสุดใจ 10 ทุกคดีความที่มาถึงท่าน จากพี่น้องร่วมชาติในเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคดีฆาตกรรม หรือการละเมิดบทบัญญัติ พระบัญชา กฎหมาย หรือข้อบังคับ ท่านจะต้องว่ากล่าวตักเตือนไม่ให้เขาทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่เช่นนั้นพระพิโรธของพระองค์จะตกอยู่แก่ท่านและพี่น้อง จงทำเช่นนี้แล้วท่านจะไม่บาป

11 “อามาริยาห์มหาปุโรหิตจะบังคับบัญชาพวกท่านทุกเรื่องที่เกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า และเศบาดิยาห์บุตรอิชมาเอลผู้เป็นหัวหน้าเผ่ายูดาห์จะควบคุมดูแลทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกษัตริย์ คนเลวีจะเป็นเจ้าหน้าที่ทำงานต่างๆ ต่อหน้าท่าน จงปฏิบัติงานด้วยความกล้าหาญ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับทุกคนที่ทำหน้าที่อย่างดี”

เยโฮชาฟัทพิชิตโมอับและอัมโมน

20 ต่อมาชาวโมอับ ชาวอัมโมน และชาวเมอูนีบางคน[b]ยกทัพจะมารบกับเยโฮชาฟัท

มีผู้มาทูลเยโฮชาฟัทว่า “กองทัพใหญ่กำลังเข้ามารบกับฝ่าพระบาท โดยเคลื่อนทัพมาจากเอโดม[c]อีกฟากหนึ่งของทะเล[d] และบัดนี้มาถึงฮาซาโซนทามาร์ (คือ เอนเกดี) แล้ว” เยโฮชาฟัททรงตื่นตระหนกและมุ่งแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงประกาศให้ถืออดอาหารทั่วยูดาห์ ชนยูดาห์มารวมกันเพื่อแสวงหาความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขามาจากทุกเมืองในยูดาห์เพื่อแสวงหาพระองค์

เยโฮชาฟัททรงยืนขึ้นท่ามกลางชุมนุมประชากรของยูดาห์และของเยรูซาเล็มในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตรงหน้าลานใหม่ และทรงอธิษฐานว่า

“ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประทับในสวรรค์ไม่ใช่หรือ? พระองค์ทรงปกครองเหนือมวลอาณาจักรของชนชาติต่างๆ ฤทธิ์อำนาจและแสนยานุภาพอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่มีผู้ใดอาจต่อต้านพระองค์ได้ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ ในดินแดนนี้ออกไปต่อหน้าอิสราเอลประชากรของพระองค์ และประทานดินแดนนี้ให้แก่วงศ์วานอับราฮัมสหายของพระองค์ตลอดไปไม่ใช่หรือ? เราทั้งหลายได้อาศัยอยู่ที่นี่และได้สร้างสถานนมัสการเพื่อพระนามของพระองค์ และกล่าวว่า ‘หากมีภัยพิบัติตกมาถึง ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ภัยพิบัติ หรือการกันดารอาหาร ข้าพระองค์ทั้งหลายจะมาเข้าเฝ้าพระองค์ที่หน้าพระวิหารแห่งพระนามของพระองค์ และจะร้องทูลพระองค์ในยามทุกข์ลำเค็ญ แล้วพระองค์จะทรงสดับฟังและช่วยเหลือข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นภัย’

10 “แต่บัดนี้มีคนมาจากอัมโมน โมอับ และภูเขาเสอีร์ ซึ่งเมื่อครั้งอิสราเอลออกจากอียิปต์ พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้อิสราเอลบุกรุกดินแดนของพวกเขา อิสราเอลจึงอ้อมมาและไม่ได้ทำลายล้างพวกเขา 11 แต่บัดนี้ดูเถิด พวกเขากลับตอบแทนด้วยการขับไล่พวกข้าพระองค์ออกจากดินแดนซึ่งพระองค์ประทานให้เป็นกรรมสิทธิ์ 12 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์จะไม่ทรงลงโทษเขาหรือ? เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีกำลังอำนาจจะรับมือกับกองทัพใหญ่ที่มาโจมตีนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่หวังพึ่งพระองค์”

13 ผู้ชายยูดาห์ทั้งปวงกับภรรยาและลูกเล็กเด็กแดงมายืนอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

14 แล้วพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาเหนือชายคนหนึ่งในกลุ่มชนนั้นคือ ยาฮาซีเอลบุตรเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรของเบไนยาห์ ผู้เป็นบุตรของเยอีเอล ผู้เป็นบุตรของมัททานิยาห์เผ่าเลวี วงศ์วานของอาสาฟ

15 ยาฮาซีเอลกล่าวว่า “ฟังเถิด ข้าแต่กษัตริย์เยโฮชาฟัทและทุกคนที่อาศัยอยู่ในยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม! องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับท่านว่า ‘อย่ากลัวเลย ไม่ต้องท้อแท้เพราะกองทัพใหญ่นี้ เพราะการศึกครั้งนี้ไม่ใช่ของเจ้า แต่เป็นของพระเจ้า 16 พรุ่งนี้จงออกไปรบกับเขา เขาจะปีนขึ้นมาทางช่องแคบศิส และเจ้าจะประจันหน้ากับเขาที่ท้ายหุบเขาในถิ่นกันดารเยรูเอล 17 เจ้าจะไม่ต้องรบในสงครามครั้งนี้ จงเข้าประจำที่ ยืนนิ่งๆ ดูการช่วยกอบกู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานแก่ท่าน ยูดาห์และเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่ากลัวหรือท้อแท้ใจไปเลย พรุ่งนี้จงออกไปเผชิญหน้ากับพวกเขา และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะสถิตกับเจ้า’ ”

18 เยโฮชาฟัททรงซบหน้าลงกับพื้น และชาวยูดาห์กับชาวเยรูซาเล็มทั้งปวงก็หมอบกราบลงนมัสการต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 19 แล้วมีคนเลวีบางคนจากตระกูลโคฮาทและตระกูลโคราห์ยืนขึ้นเปล่งเสียงก้องกังวานสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล

20 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะเคลื่อนทัพไปยังถิ่นกันดารเทโคอา เยโฮชาฟัททรงยืนขึ้นและตรัสว่า “ฟังข้าพเจ้าเถิด พี่น้องประชาชนยูดาห์และเยรูซาเล็ม! จงเชื่อในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านแล้วท่านจะได้รับการเชิดชู จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ” 21 หลังจากที่ทรงหารือกับประชาชนแล้ว เยโฮชาฟัทก็ทรงแต่งตั้งผู้ร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าและสรรเสริญพระองค์ใน[e]ความบริสุทธิ์สูงส่งของพระองค์ขณะเดินนำหน้ากองทัพไปว่า

“จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์”

22 เมื่อพวกเขาเริ่มร้องเพลงและสรรเสริญ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงวางกำลังซุ่มโจมตีชาวอัมโมน ชาวโมอับ และชาวภูเขาเสอีร์ที่มารุกรานยูดาห์ แล้วพวกเขาก็พ่ายแพ้ 23 ชาวอัมโมนกับชาวโมอับหันไปเล่นงานพันธมิตรจากภูเขาเสอีร์ ทำลายล้างพวกเขาหมดสิ้น เสร็จแล้วก็หันมาห้ำหั่นกันเอง

24 เมื่อทัพยูดาห์มาถึงท้ายหุบเขาเหนือถิ่นกันดารและมองดูกองทัพใหญ่ ก็เห็นแต่ศพเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้น ไม่มีใครหนีรอดไปได้เลย 25 เยโฮชาฟัทกับพวกจึงออกไปริบข้าวของ ได้เครื่องมือ เครื่องแต่งกาย[f] และของมีค่าจำนวนมหาศาล จนต้องใช้เวลาถึงสามวันจึงขนมาหมด 26 ในวันที่สี่พวกเขามาชุมนุมกันที่หุบเขาเบราคาห์และสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า หุบเขานี้จึงได้ชื่อว่าเบราคาห์[g]ตราบจนทุกวันนี้

27 จากนั้นชนยูดาห์และเยรูซาเล็มทั้งหมดกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มโดยมีเยโฮชาฟัทเป็นผู้นำ ทุกคนรื่นเริงยินดีเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้เขาเปรมปรีดิ์เหนือศัตรู 28 พวกเขาเข้าสู่เยรูซาเล็มและไปยังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยมีวงพิณใหญ่ พิณเขาคู่ และแตรบรรเลง

29 เมื่ออาณาจักรของชนชาติทั้งปวงได้ยินถึงการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสู้รบกับศัตรูของอิสราเอล พวกเขาก็เกรงกลัวพระเจ้า 30 และอาณาจักรของเยโฮชาฟัทจึงสงบสุข เพราะพระเจ้าของพระองค์ประทานการพักสงบทุกด้าน

ปลายรัชกาลเยโฮชาฟัท(A)

31 เยโฮชาฟัทขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 25 ปี ราชมารดาคืออาซูบาห์ธิดาของชิลหิ 32 พระองค์ทรงดำเนินตามแบบอย่างของอาสาราชบิดาโดยไม่หันเห ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า 33 แต่ไม่ได้ทรงทำลายสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย และเหล่าประชากรยังไม่ได้ปักใจยึดพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา

34 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลเยโฮชาฟัทตั้งแต่ต้นจนจบมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุของเยฮูบุตรฮานานี ซึ่งบันทึกอยู่ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอล

35 ต่อมากษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ทรงเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์อาหัสยาห์แห่งอิสราเอลผู้ได้ชื่อว่าชั่วร้ายยิ่งนัก 36 ทั้งสองพระองค์ร่วมกันต่อเรือที่เอซีโอนเกเบอร์เพื่อเป็นกองเรือพาณิชย์[h] 37 ครั้งนั้นเอลีเยเซอร์บุตรโดดาวาหุแห่งมาเรชาห์พยากรณ์เกี่ยวกับเยโฮชาฟัทว่า “เพราะท่านผูกมิตรกับอาหัสยาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำลายกิจการของท่าน” แล้วกองเรือก็อับปางตั้งแต่ยังไม่ได้ออกทำการค้า[i]

โรม 10:14-11:12

14 แล้วผู้ที่ยังไม่เชื่อจะร้องเรียกพระองค์ได้อย่างไร? และผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระองค์จะเชื่อได้อย่างไร? และหากไม่มีใครประกาศเรื่องของพระองค์ พวกเขาจะได้ยินได้อย่างไร? 15 และถ้าไม่มีใครส่งเขาไป เขาจะประกาศได้อย่างไร? ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เท้าของผู้นำข่าวดีมาช่างงดงามยิ่งนัก!”[a]

16 แต่ไม่ใช่ว่าคนอิสราเอลทั้งปวงจะยอมรับข่าวประเสริฐ เพราะอิสยาห์กล่าวไว้ว่า “พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อถ้อยคำของเรา?”[b] 17 ฉะนั้นความเชื่อจึงเกิดขึ้นจากการได้ยินเรื่องราวนั้น และเรื่องราวที่ได้ยินนั้นคือพระวจนะของพระคริสต์ 18 แต่ข้าพเจ้าขอถามว่า “พวกเขาไม่ได้ยินหรือ?” แน่นอนพวกเขาได้ยินแล้ว

“เสียงของพวกเขาได้ออกไปทั่วโลก
ถ้อยคำของพวกเขาไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก”[c]

19 ข้าพเจ้าขอถามอีกว่าชนอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ? ตอนแรกโมเสสกล่าวว่า

“เราจะทำให้เจ้าอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ประชาชาติ
เราจะยั่วโทสะเจ้าด้วยประชาชาติที่ไม่มีความเข้าใจ”[d]

20 และอิสยาห์กล้ากล่าวว่า

“บรรดาผู้ที่ไม่ได้แสวงหาเราก็พบเรา
เราสำแดงตนเองแก่บรรดาผู้ที่ไม่ได้เรียกหาเรา”[e]

21 แต่ท่านกล่าวถึงพวกอิสราเอลว่า

“ตลอดวันเราได้ยื่นมือออก
ให้แก่ชนชาติที่ไม่เชื่อฟังและดื้อด้าน”[f]

ชนอิสราเอลที่เหลืออยู่

11 ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอถามว่าพระเจ้าทรงละทิ้งประชากรของพระองค์แล้วหรือ? เปล่าเลย! ข้าพเจ้าเองก็เป็นชาวอิสราเอล เป็นเชื้อสายของอับราฮัมจากตระกูลเบนยามิน พระเจ้าไม่ได้ทรงละทิ้งประชากรของพระองค์ผู้ซึ่งทรงเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว ท่านไม่รู้พระคัมภีร์ตอนที่กล่าวถึงเอลียาห์หรือที่เขาร้องเรียนต่อพระเจ้าเกี่ยวกับอิสราเอลว่า “พระองค์เจ้าข้า เขาทั้งหลายสังหารเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ รื้อแท่นบูชาของพระองค์ลง เหลือข้าพระองค์เพียงคนเดียวและพวกเขากำลังพยายามฆ่าข้าพระองค์”[g]? และพระเจ้าตรัสตอบเขาว่าอย่างไร? “เราได้สงวนคนไว้สำหรับเราเจ็ดพันคนซึ่งไม่ได้คุกเข่ากราบไหว้พระบาอัล”[h] เช่นนั้นแหละ ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนที่เหลืออยู่ซึ่งทรงเลือกสรรไว้โดยพระคุณ และถ้าทรงเลือกโดยพระคุณย่อมไม่ใช่โดยการประพฤติอีกต่อไป เพราะถ้าโดยการประพฤติ พระคุณจะไม่ใช่พระคุณอีกต่อไป[i]

แล้วเป็นอย่างไร? อิสราเอลไม่ได้สิ่งที่เขาขวนขวายหา แต่ผู้ที่ทรงเลือกกลับได้รับ คนอื่นๆ นอกจากนั้นถูกทำให้มีใจแข็งกระด้าง ตามที่มีเขียนไว้ว่า

“พระเจ้าทรงให้เขามีจิตใจที่มึนชา
มีตาที่ไม่อาจมองเห็น
และหูที่ไม่อาจได้ยิน
จนถึงทุกวันนี้”[j]

และดาวิดตรัสว่า

“ขอให้สำรับของพวกเขากลายเป็นบ่วงแร้วและเป็นกับดัก
เป็นหินสะดุดและเป็นการลงโทษสำหรับพวกเขา
10 ขอให้ดวงตาของพวกเขามืดมัวไป พวกเขาจะได้มองไม่เห็น
และขอให้หลังของพวกเขาค้อมลงตลอดไป”[k]

กิ่งที่นำมาต่อเข้ากับต้น

11 ข้าพเจ้าถามอีกว่าพวกเขาสะดุดล้มจนลุกไม่ขึ้นหรือ? ไม่ใช่เลย! แต่เพราะการล่วงละเมิดของเขา ความรอดจึงมาถึงคนต่างชาติเพื่อให้อิสราเอลอิจฉา 12 แต่ถ้าการล่วงละเมิดของเขาหมายถึงความไพบูลย์สำหรับโลก และการสูญเสียของเขาหมายถึงความไพบูลย์สำหรับคนต่างชาติแล้ว ความบริบูรณ์ของเขาจะยิ่งนำความไพบูลย์มาให้มากมายเพียงใด!

สดุดี 21

(ถึงหัวหน้านักร้อง บทสดุดีของดาวิด)

21 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์ปีติยินดีในพระเดชานุภาพของพระองค์
ความเปรมปรีดิ์ของท่านในชัยชนะที่พระองค์ประทานนั้นช่างยิ่งใหญ่นัก!

พระองค์ได้ประทานตามที่ใจของท่านปรารถนา
ไม่ได้ทรงหน่วงเหนี่ยวสิ่งที่ท่านทูลขอ
เสลาห์
พระองค์ทรงต้อนรับท่านด้วยพระพรอันอุดม
และทรงสวมมงกุฎทองคำบริสุทธิ์บนศีรษะของท่าน
ท่านทูลขอชีวิต พระองค์ก็ประทาน
วันคืนแห่งชีวิตของท่านจึงยืนยงนิรันดร์
ศักดิ์ศรีของท่านยิ่งใหญ่โดยชัยชนะที่พระองค์ประทาน
พระองค์ทรงประสิทธิ์ประสาทสง่าราศีและบารมีแก่ท่าน
แน่นอน พระองค์ประทานพระพรนิรันดร์แก่ท่าน
และทำให้ท่านสุขใจจากความยินดีที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์
เพราะกษัตริย์วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
โดยความรักมั่นคงขององค์ผู้สูงสุด
ท่านจะไม่มีวันคลอนแคลนหวั่นไหว

พระหัตถ์ของพระองค์จะจับกุมศัตรูทั้งปวง
พระหัตถ์ขวาจะยึดข้าศึกทั้งหลายของพระองค์ไว้
เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ
พระองค์จะทรงทำลายพวกเขาเหมือนเผาในเตาไฟร้อนแรง
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลืนพวกเขาด้วยพระพิโรธ
ไฟของพระองค์จะเผาผลาญพวกเขา
10 พระองค์จะทรงทำลายล้างวงศ์วานของพวกเขาไปจากแผ่นดินโลก
กำจัดเผ่าพันธุ์ของพวกเขาจากมนุษยชาติ
11 แม้พวกเขาคิดร้ายต่อพระองค์
และคิดวางแผนชั่ว พวกเขาไม่สามารถทำให้สำเร็จได้
12 เพราะพระองค์จะทรงทำให้พวกเขาหันหลังหนีไป
เมื่อพระองค์ทรงเล็งธนูไปที่พวกเขา

13 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงรับการเชิดชูในพระเดชานุภาพของพระองค์
ข้าพระองค์ทั้งหลายจะร้องเพลงสรรเสริญฤทธานุภาพของพระองค์

สุภาษิต 20:4-6

คนเกียจคร้านไม่ยอมไถหว่านเมื่อถึงฤดู
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวก็จะไม่มีอะไรกิน

ความคิดดีเหมือนน้ำที่อยู่ลึกในใจคน
แต่คนที่มีความเข้าใจก็ตักมันออกมาได้

คนมากมายอ้างว่าตนมีความรักมั่นคง
แต่ใครเล่าจะพบคนซื่อสัตย์?

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.